ห้องสามเดอะซีรี่ย์

9.0

เขียนโดย มุมฉาก

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.

  26 ตอน
  0 วิจารณ์
  21.35K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) นิตยาผู้น่ารัก 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     นิตยาผู้น่ารัก 2

     รถกระบะสีน้ำเงินเนบิวล่าวิ่งฝ่าสายฝนกลางดึก สาวน้อยนิตยาทำหน้าที่พลขับเดี่ยวมือหนึ่ง ส่วนผมผู้เป็นโรคกลัวรถนั่งข้างเป็นเนวิเกเตอร์ เบาะหลังคือทรงเดชกับอำนาจซึ่งยังกอดกันเองไม่เลิก แม้จะมีปัญหานานับทว่าพวกเรายังคงปรกติสุข ต้องยกความดีความชอบให้กับฝีมือพลขับสาว ภารกิจช่วยเหลือบุษบายังคงไม่เสร็จสิ้น ก็ดันมีปัญหาใหญ่โตโผล่ขึ้นมาอีก

     “เธอจะกลับรถทำไมยายหัวฟู ตำรวจเลยตามมาเลย” อำนาจโวยวายหน้าตาตื่น

     “นั่นสินิด เลี้ยวซ้ายเข้าไปจอดในวัดน่าจะดีกว่า” ผมเห็นด้วยกับอำนาจ

     “ก็อยากทำอยู่หรอกนะ ถ้าพวกนายคลุมผ้าใบมิดชิด”

     นิตยาบ่นแบบเซ็ง ๆ โดยไม่หันมามอง ผู้โดยสารทั้งสองเอี้ยวคอกลับไปที่ท้ายรถ หมูป่าสาวนางหนึ่งโผล่หัวออกมารับแสงจันทร์ พลางยักคิ้วหลิ่วตาให้คนขายก๋วยเตี๋ยวรูปหล่อริมถนน ผมขยี้ตาตัวเองก่อนจ้องมองอย่างตั้งอกตั้งใจ พระเจ้าช่วยกล้วยทอด บุษบากำลังร้องเพลงรอบกองไฟพร้อมส่ายหัวไปมา

     “นายคลุมยังไงเนี่ยทรงเดช ทำไมคืนนี้วุ่นวายจังวุ้ย”

     อำนาจหันไปล้งเล้งใส่เพื่อนรักข้างกายบ้าง ทั้งที่ยังกุมมือของกันและกันอยู่ ผ้าใบเจ้ากรรมดันเปิดขึ้นมาบางส่วน อาจเป็นเพราะความเร็วรถทำให้มันเผยอขึ้น บุษบาซึ่งกำลังหลับอยู่เลยลุกขึ้นยืน ความลับที่ควรจะเป็นความลับจึงไม่เป็นความลับอีกต่อไป ทรงเดชสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนสำนึกผิด เขาเปิดกระจกรถแล้วชะโงกหัวออกไปข้างนอก

     “ไอ้บ้าทรงเดช จะทำอะไร นายปีนออกไปคลุมผ้าใบไม่ได้นะ” ผมรีบตะโกนห้ามสุดเสียง

     “กลับเข้ามาเถอะ พ้นตำรวจแล้วค่อยคลุม” นิตยาช่วยอ้อนวอนอีกแรง

     “ไม่นะทรงเดช อย่าทำแบบนี้เลยเพื่อน เราปากเสียไปหน่อยเราขอโทษ”

     อำนาจพุ่งถลาเข้าไปรั้งตัวอีกฝ่ายสุดกำลัง เขากำลังตกใจเลยพาลใส่คนรอบตัว ทรงเดชไม่ได้สนใจคำเตือนพวกเราเลย ทั้งยังกดหัวอำนาจให้ล้มขมำกองแทบเท้า ผมจะลุกไปช่วยก็ดันติดเข็มขัดนิรภัย ท่ามกลางเสียงโวยวายและอ้อนวอนดังลั่นรถ ทรงเดชผู้มีความแน่วแน่พาตัวเองออกมานอกหน้าต่าง นักบาสคนเก่งโก่งคออ้าปากกว้างแล้วก็

     “อ๊วกกกกก……!!”

     นมสดรสจืด 2 ลิตรพุ่งทะลักลงสู่พื้นถนน ทำให้รถกระบะคันหลังส่ายไปส่ายมาทันตาเห็น เพื่อนคงตระหนักว่าพวกเรากำลังจวนตัว จึงตัดสินใจปล่อยไอเท็มลับสุดยอดทันที มันก็ดูได้ผลอยู่ล่ะนะเพราะฝ่ายโน้นขับช้าลง

     “เป็นการดริฟท์รถที่เจ๋งมากนิด เรานี้โคตรประทับใจ”

     เด็กหนุ่มผู้เกือบสมบรูณ์แบบกลับเข้ามานั่งที่เดิม ใบหน้าครึ่งซีกเปียกน้ำฝนส่วนอีกครึ่งซีกเปียกน้ำนม ทรงเดชยกนิ้วโป้งแสดงความยินดีให้คนขับ ผมกับอำนาจนั่งตัวแข็งเพราะเห็นการปล่อยไอเท็มลับติดตา มันจะเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ไม่อยากจดจำชั่วชีวิต นิตยาทำท่าสะอิดสะเอียนทันควัน เมื่อเห็นใบหน้าทรงเดชจากกระจกมองหลัง

     “อี๋… อย่าทำรถเลอะนะ แม่ด่าเราเปิงแน่” เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกกังวลใจ

     “ไม่ต้องสนใจเราหรอก ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่า” ทรงเดชใช้กระดาษทิชชู่ทำความสะอาด เขาเขวี้ยงมันทิ้งแล้วทำหน้าตาขึงขังใส่ “เธอขนาดเท่าไหร่เหรอนิด”

     “ไอ้บ้า ไอ้ลามก ไอ้โรคจิต” สาวผมหยักโศกโวยลั่นเพราะความเขิน

     “เราหมายถึงสายตาสั้นเท่าไหร่ คิดอะไรเนี่ย” คนถามรีบเฉลยก่อนตัวเองจะซวย

     “แล้วไป เราสั้นแค่ 150 เอง ต้องเลิกเล่นเกมส์แล้วสิ” นิตยาตอบกลับแล้วถอนใจ

     “นิดไม่ควรเล่นเกมส์ในที่มีแสงสว่างน้อย” ผมพูดตามโดยอัตโนมัติ “มันจะทำให้สายตาของเราเสียเหมือนกับอำนาจ หมอประสาทถึงกับมาฟ้องอาจารย์สมพิศ ว่านายคนนี้นอนคลุมโปงแชทกับสาวกลางดึก ห้ามยังไงก็ไม่ฟังสงสัย….”

     “เงียบไปเลยเอ็ง มันใช่เวลาเป็นหัวหน้าห้องไหม” อำนาจโวยลั่นเมื่อโดนเพื่อนแฉ

     “เอ่อ… โทษทีลืมตัว” เมื่อโดนท้วงผมจึงต้องหยุด “เชิญคุณทรงเดชต่อครับ”

     “นิดสายตาสั้น 150 ส่วนอำนาจสั้น 450 ใช่ไหม” เมื่อเห็นเจ้าตัวพยักหน้าให้ ทรงเดชจึงว่าต่อด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ “ฉะนั้น นิดเอาแว่นตานายคนนี้ไปใส่ได้เลย เธอจะมองชัดมากกว่าเดิมถึง 300 เชียวนะ”

     รถกระบะสีน้ำเงินมีอาการแฉลบนิดหน่อย ขณะที่ผมกับอำนาจถอนหายใจเฮือกโต ทรงเดชยังคงยิ้มค้างด้วยความภาคภูมิใจ ที่ตนเองสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่มันแก้ได้แค่ในฝันเท่านั้นนะครับ

     “แล้วจะเอายังไงดี ไอ้รถบ้านั่นก็ตามไม่เลิก” อำนาจเปิดปากบ่นอีกครั้ง

     “รถคันนั้นขับช้าพอสมควร” ผมชิงออกความเห็นก่อนทรงเดชเล็กน้อย เพราะกลัวจะได้คำคมจากไอสไตน์ หรือไม่ก็แฟรงเกนสไตน์ “ถ้านิดขับหลบริมทางแล้วดับเครื่อง บางทีตำรวจอาจขับผ่านไปเลยก็ได้”

     “แล้วจะไปหลบตรงไหน ถนนตรงแน๋วอย่างกับท่อ” อำนาจยังคงมีปัญหาไม่หยุดหย่อน

     “ปิดไฟขับแบบทาคุมิเลย” ทรงเดชพูดจบก่อนโดนแพ่นกระบาล

     “เรารู้แล้วว่าจะซ่อนที่ไหน ไปกันเลยนะ”

     นิตยาพูดสั้นและห้วนอีกครั้ง แสดงว่าเธอมีความมั่นใจชนิดเต็มเปี่ยมล้นแก้ว แล้วสาวน้อยก็แสดงฝีมือขั้นเทพให้ปรากฎ ด้วยการใช้ขาขวาเหยียบเบรกและคันเร่งพร้อมกัน รถกระบะเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนรองเส้นหนึ่ง ความเร็วลดต่ำลงทว่ารอบเครื่องยังคงเท่าเดิม เธอปล่อยเท้าจากแป้นเบรกเมื่อรถตั้งหลักได้ ส่วนผมตกใจหงายเก๋งเนื่องจากตั้งหลักไม่ทัน ที่อยู่ซ้ายมือคือบึงขนาดใหญ่สุดของอำเภอ ทำหน้าที่รับน้ำระบายน้ำกักเก็บน้ำและให้เด็กจมน้ำ ถนนคอนกรีตขนาด 2 ช่องทางรถใหญ่วิ่งสวนได้ อาจมีหลุมมีบ่อบ้างแต่ไม่ถึงกับลำบาก เข้ามาจากถนนใหญ่จะเป็นทางโค้งคดเคี้ยวและแคบ มีแผงคอนกรีตกันตกทุกโค้งที่อาจเกิดอันตราย ผมเพิ่งสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มาบึงหนองโพธิ์อีก ผ่านไปเพียงอาทิตย์เดียวก็ผิดคำสัญญาเสียแล้ว

     "นิดจะขับไปไหน เราว่าหลบหลังร้านนี้ก็ได้”

     ผมตะโกนแข่งเสียงฟ้าร้องพลางชี้ใส่เพิงหมาแหงน สาวน้อยส่ายหัวให้พร้อมเพิ่มความเร็วรถ

     “ที่ซ่อนตัวต้องใหญ่กว่านี้ เดี๋ยวเราพาไปเอง”

     พายุโซนร้อนที่ซัดกระหน่ำชนิดเล่นไม่เลิก ไม่ได้ส่งผลกับรถกระบะรุ่นใหม่คันนี้เลย เพราะได้ติดตั้งอุปกรณ์ทันสมัยนานับประการ เจ้านี่เกิดมาเพื่อลุยเส้นทางแบบนี้อยู่แล้ว ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อพร้อม Differential Lock ที่เฟืองท้าย ช่วยให้รถวิ่งผ่านหลุมบ่อน้อยใหญ่ได้สะดวกโยธิน ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ปรับระดับโดยอัตโนมัติ ทั้งยังมีไฟตัดหมอกประสิทธิภาพสุง นั่นทำให้ผู้โดยสารสบายใจได้อย่างเต็มที่ ว่าสามารถมองเห็นทุกอย่างโดยไม่ต้องกังวลใจ แต่ที่ผมยังกังวลใจก็คือสายตาของเพื่อนสาว รวมทั้งนิตยาสุงแค่เพียง 165 เซนติเมตร เธอจะควบคุมเจ้ายักษ์สีน้ำเงินได้ดีแค่ไหนกัน

      ผ่านหัวโค้งมานิดเดียวจะเป็นเส้นทางตรง พวกเราพบกับแผ่นดินงอกอยู่ฝั่งซ้ายมือ เป็นที่ตั้งสถานที่ราชการประกอบไปด้วย องค์การบริหารส่วนตำบล สำนักงานสาธารณะสุข และศูนย์การศึกษานอกระบบตามลำดับ ถัดไปเป็นลานซีเมนต์ขนาดเท่าสนามฟุตบอล นิตยาเลี้ยวซ้ายทันควันพลางเร่งความเร็วเต็มที่ แล้วเธอก็ดับเครื่องยนต์ทำให้ทุกอย่างมืดสนิท รถวิ่งด้วยแรงเฉี่อยเข้าใกล้ริมบึงอย่างระทึกใจ ตรงนั้นเองมีรถกระบะจอดอยู่หลายคัน และมีช่องว่างพอที่จะสามารถจอดแทรกได้

     “เราจะจอดในช่องนั้น แต่ต้องกลับรถก่อนนะ”

     สาวน้อยผมหยักโศกแสดงฝีมืออีกครั้ง ด้วยการหมุน 180 องศาเอาท้ายรถเข้าช่องว่าง ทว่าแรงเฉื่อยที่คำนวนไว้มีไม่มากพอ รถจึงหมุนเพียงครึ่งเดียวและเอาด้านข้างพุ่งใส่ ผู้ชายบนรถตะโกนร้องเจี๊ยกโดยพร้อมเพรียง จากนั้นจึงหลับตาปี๋สวดมนต์ไม่ก็คิดถึงแม่ โชดดีมากที่นิตยาเป็นคนสายตาสั้น เธอจึงคำนวนระยะทางผิดพลาดไปด้วย สุดท้ายรถจอดนิ่งก่อนถึงช่องว่างตั้ง 5 เมตร เมื่อไม่มีเสียงปะทะทุกคนจึงได้ลืมตาขึ้น เพื่อพบว่าตัวเองยังอยู่บนโลกเบี้ยว ๆ ใบเดิม

     “โทษทีนะ เรากะระยะพลาด” สาวน้อยดวงตาซุกซนแลบลิ้นให้อีกครั้ง

     “ยายหัวฟูนรกแตก มีความคิดบ้างไหมเนี่ย เกือบฉี่ราดไปแล้ว” อำนาจแหลขึ้นมาทันที

     “ห้ามเลยนะ นี่รถป้ายแดงแม่เรา” เธอยังดุอีกฝ่ายหน้าตาเฉย

     “มันไม่ใช่ว่าป้ายแดงหรือไม่แดง ทำไมไม่รู้จักคิดให้มันรอบคอบ”

     “ทุกคนเงียบ! ก้มหัวด้วย”

     ผมออกคำสั่งในฐานะอะไรก็ช่างเถอะ พลางกดหัวนิตยาให้ก้มต่ำตามไปด้วย เสียงไซเรนดังโหยหวนมาแต่ไก่โห่ ทว่าตัวรถก็ยังมาไม่ถึงเสียที พวกเราจึงค่อย ๆ โผล่หัวขึ้นไปดู จึงพบรถกระบะสีแดงสดขับผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่ใช่รถตำรวจหรอกครับต่อให้โลกแตกก็ไม่ใช่ เพราะมันก็คือรถกระบะดับเพลิงของเทศบาล ที่สำคัญรถคันนี้อายุ 28 ปีเข้าไปแล้ว และไม่มีวันขับตามรถของแม่นิตยาได้เลย เนื่องจากท้ายรถมีเครื่องสูบน้ำตัวเบ้อเริ่มสุงท่วมหัว

     “ใครบอกว่ารถตำรวจ” สาวน้อยหันมาถามหน้าตาบึ้งตึง ผมและทรงเดชรีบชี้มือไปที่อำนาจ

     “เฮ้ย! เราไม่ได้บอกว่ารถตำรวจนะ เราบอกว่าตำรวจเฉย ๆ” เจ้าตัวยังแถได้อีก

     “นายสี่ตานรกแตก มีความคิดบ้างไหมเนี่ย” สาวน้อยย้อนคำอำนาจกลับไปบ้าง

     “พอก่อนเถอะ เราว่าอย่าทะเลาะกันเลย” ผมรีบปรามเพื่อนทั้งสอง ดูเหมือนอำนาจจะชอบมีเรื่องกับผู้หญิง “ตำรวจหรือใครก็ตามขับรถผ่านไปแล้ว เรารีบจัดการงานของเราก่อนดีกว่า”

     “จัดการยังไงล่ะ บ้านนายก็ไปไม่ได้แล้ว” ทรงเดชออกความเห็นแล้วถอนใจ

     “ก็ไปที่อื่นสิ” ผมกอดอกพลางใช้ความคิดจนคิ้วขมวด หันไปทางขวาก็พบนิตยาจ้องมองตาแป๋ว “เอาแบบนี้ดีกว่า เดี๋ยวนิดขับรถไปจอดริมถนนใหญ่ เรากับอำนาจจะเดินไปดูสถานีตำรวจให้ก่อน ว่ามีการตั้งด่านเพื่อสกัดจับพวกเราหรือเปล่า ถ้าไม่มีด่านจะโทรให้นิดมารับ แล้วค่อยเอาบุษบาไปซ่อนในเล้าหมูโรงเรียน”

     “จะดีเหรอ เราเกรงใจจัง” น้ำเสียงของสาวน้อยลดต่ำลง

     “ก็นะ พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่นา และอีกอย่างเราเป็นหัวหน้าห้องด้วย” ผมตอบด้วยสคริปเดิม

     “หัวหน้าห้องนี่งานยุ่งเนอะ” เธอแซวกลับพลางยิ้มให้ เป็นยิ้มที่มาจากใจอย่างแท้จริง

     “แต่ตรูไม่ได้เป็นหัวหน้าห้องนะเฟ้ย แล้วทำไมต้องเดินไปด้วย” อำนาจเจ้าเดิมบ่นอุบตามเคย

     “นายอยากอยู่ในรถก็ได้ ถ้ามั่นใจว่าปกป้องนิดได้ดีกว่าทรงเดช”

    ผมยิงกระสุนเงินออกจากลำกล้องปืนทันที ส่งผลให้มนุษย์ปากสุนัข เอ๊ย! มนุษย์หมาป่าเถียงต่อไม่ออก อำนาจจำเป็นต้องยอมแพ้ทั้งที่ไม่อยากยอมแพ้ เพราะรู้ดีว่าตัวเองแตกต่างกับทรงเดชมาก เฉพาะความสุงอย่างเดียวก็ 30 เซนติเมตรแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพละกำลังหรือความแข็งแรง ก่อนที่พวกเราจะทำอะไรต่อ พ่อยอดนักบาสก็โวยวายลั่น

     “เฮ้ย! ซวยแล้ว ผ้าใบท้ายรถปลิวไปไหนก็ไม่รู้” น้ำเสียงคนพูดตื่นตระหนกยิ่งนัก

     “ช่างมันเถอะ ของเก่าพ่อทิ้งแล้ว” นิตยาตอบกลับแบบไม่คิดอะไร

     “แต่ว่า…” คราวนี้น้ำเสียงทรงเดชตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด “หมูเธอก็เช่นกัน”

คนที่เหลือรีบหันขวับไปดูท้ายรถ จึงได้พบกับว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร์ หมูป่าสาวผิวสีน้ำตาลเข้มหายตัวไป โดยไม่มีใครรับรู้หรือเฉลียวใจแม้แต่น้อย นิตยาเปิดประตูแล้ววิ่งออกมาทันที ผู้ชายที่เหลือจึงต้องลงตามลงมาด้วย

     “บุษบาหายไปไหน หรือว่า เราทำเธอตกรถ”

     สาวน้อยผมหยักโศกมีอาการร้อนรน เมื่อพบว่าท้ายรถไม่มีบุษบาอีกต่อไป เธอพยายามกวาดตามองไปตามถนน ด้วยสายตาที่ไม่มีแว่นอันโปรดติดจมูก ทว่าพายุฝนก็ดันตกไม่หยุดเสียที แถมมีทีท่าจะว่ารุนแรงยิ่งกว่าเดิม ความหวังที่จะเจอบุษบาเลือนลางเหลือเกิน แล้วพวกเราก็ได้เห็นน้ำตาจากเพื่อนสาว

     “ใจเย็นนะนิด เข้าไปหลบในรถกันก่อน เดี๋ยวจะแย่เอา”

     ในรถกระบะมีร่มแค่เพียงคันเดียว ผมนำมากางพร้อมพูดปลอบใจไปก่อน อันว่าตัวผมเองก็ตกใจไม่แพ้ใคร เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อติดหนึ่งในสิบของโลก ถ้าบุษบากระโดดลงจากรถทุกคนต้องรู้แน่ เพราะมวลสาร 200 กิโลกรัมไม่มีวันสูญหายไปไหน แรงกระทำใด ๆ ก็ตามจะส่งผลเข้ามาในห้องโดยสาร แล้วหมูป่าตัวที่ว่าดันหายไปได้อย่างไร

     “เพราะเราบุษบาถึงหายไป นายเตือนแล้วก็ไม่ฟัง ไม่น่าขับรถเข้ามาในนี้เลย”

     ทุกคนเข้ามาในรถกันหมดแล้ว แต่ไม่มีผู้ชายคนไหนพร่ำบ่นให้รำคาญอีก สาวน้อยนิตยากำลังร้องให้เพียงลำพัง เธอโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุเรื่องราวทั้งปวง แล้วใครหน้าไหนมันจะกล้าซ้ำเติมล่ะครับ ไม่เว้นกระทั่งนายอำนาจปากเสีย

     “ไม่เอาน่า ถ้าผิดก็ผิดกันหมดนี่แหละ” คนสวมแว่นตาพยายามพูดปลอบใจ

     “ใช่นิด เราพลาดเองที่คลุมผ้าใบไม่เรียบร้อย” ทรงเดชแจงความผิดพลาดที่ได้กระทำ

     “เห็นไหม ไม่มีใครโทษนิดหรอก มาถึงขนาดนี้ได้เพราะนิดเลยนะ” ผมรีบตามขยี้ซ้ำ

     “แต่บุษบาไม่อยู่แล้ว เธออาจขาหักหรือจมน้ำแล้วก็ได้”

     สาวน้อยมีอาการตัวสั่นเล็กน้อย เธอคงจะหนาวเพราะยืนตากฝนอยู่พอสมควร ผมหันซ้ายหันขวาจนพบผ้าขนหนูผืนหนึ่งเข้า จึงส่งให้เช็ดผมหยักโศกรวมทั้งคลุมร่างไว้ก่อน ภายในรถค่อนข้างมืดเนื่องจากไม่ได้ติดเครื่องยนต์ พวกเราแง้มกระจกเล็กน้อยเพื่อช่วยระบายอากาศ เสียงสะอื้นของนิตยาน้อยลงไปทุกขณะ เสียดายว่าไม่มีอะไรร้อน ๆ ให้เธอดื่มซักแก้ว ทว่าเพื่อนสาวคนนี้ฟื้นตัวเร็วมาก แล้วเธอก็กลับมาแข็งแกร่งเป็นนิตยาคนเดิมอีกครั้ง

     “บุษบาเป็นหมูจากฟาร์มเพื่อนพ่อ มันซนมากและไม่ยอมมีคู่เหมือนตัวอื่น” สาวน้อยเปิดปากเล่าเรื่องราว “เจ้าของจะเอาไปขายที่ตลาด พ่อเกิดนึกสงสารเลยซื้อต่อ โดยให้พี่รปภ.ดูแลที่อาคารไม้หลังนั้นแหละ เราเลิกเรียนจะมาเล่นกับเธอบ่อยครั้ง บางทีกว่าพ่อจะเลิกงานก็เกือบ 2 ทุ่ม รู้อะไรไหม มันไม่สนุกหรอกที่ต้องคุยกับหมู”

     ผมได้รู้ซึ้งถึงความเงียบสงัดของป่าช้าวันดอนอีกครั้ง ทว่าเหตุผลแตกต่างกับคราวก่อนโดยสิ้นเชิง อย่างที่เคยบอกนะครับว่าผู้หญิงกับผู้ชายไม่เหมือนกัน พวกเธอมีความอดทนสุงมากอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักกังวลใจในทุกเรื่อง แต่จะยอมเปิดปากเฉพาะกับคนที่สนิทมาก บางทีก็อยากพูดอยากระบายให้หมดเปลือก และต้องการคำแนะนำแต่ไม่ชอบให้ใครมาแนะนำ หน้าที่ผู้ชายก็แค่ยิ้มและพยักหน้าให้ แต่ทว่า… แต่จะให้ผมทำแค่นั้นกับเพื่อนไม่ได้หรอก

     “นิตยา เราขอโทษ” ผมเอ่ยปากออกมาในที่สุด

     “ขอโทษเรื่องอะไร” สาวน้อยแสดงทีท่าแปลกใจ ภายในดวงตามีความสงสัยปะปน

     “ก็เรื่องที่เรา เราไม่ค่อยได้คุยกับนิดไง ดันนึกว่านิดหยิ่งไม่อยากคุยด้วย แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่”

     ผมรับสารภาพตามข้อเท็จจริง นั่นคือความผิดของผมแต่เพียงผู้เดียว นิตยาเพิ่งเข้าเรียนห้อง 4/3 ได้เพียง 1 เดือนกว่า ๆ เธอย้ายตามพ่อมายังอำเภอไกลปืนเที่ยงแห่งนี้ ด้วยหน้าที่รับใช้ชาติจึงต้องกระเตงลูกสาวมาด้วย และด้วยอะไรไม่ทราบจึงต้องย้ายที่ทำงานเป็นว่าเล่น นิตยาจึงต้องย้ายโรงเรียนเป็นว่าเล่นตาม นี่คือเหตุผลสำคัญที่เธอไม่ค่อยมีเพื่อน และนี่คือเหตุผลสำคัญมากที่เธอจะดูแตกต่าง ทำไมผมไม่นึกออกให้เร็วกว่านี้ ไอ้หัวหน้าห้องปัญญาอ่อนเอ๊ย

     “อันที่จริงเราก็หยิ่งแหละ อย่ารู้ดีหน่อยเลย” สาวน้อยทำหน้าขึงขังแต่อมยิ้มแก้มตุ่ย

     “ถามหน่อยยายหัวฟู เธอเอากุญแจห้องนั้นมาจากไหน”

     อำนาจเอ่ยปากถามทำลายความเงียบ ด้วยคำเรียกชื่อที่น่าโดนแพ่นกระบาลมาก จากที่เคยอมยิ้มจนแก้มตุ่ยอยู่นั้นเอง เมื่อเจอคำถามข้อนี้นิตยาก็เลยปล่อยก๊าก ผู้โดยสารทุกคนมองหน้ากันเองแล้วเกาหัว

     “จำพี่สมานหน้าโหดได้ไหม” เมื่อทุกคนพยักหน้าเธอจึงเล่าต่อ “เราสนิทกับพี่สมานมากที่สุด รองมาก็พี่อองรีที่เป็นคนเปิดไม้กั้น เวลาพ่อกลับบ้านดึกเราจะมาเล่นกับบุษบา พี่สองคนนั้นเลยมาช่วยดูแลเราอีกที พอรู้ว่าคนงานจะล้มบุษบาในงานเลี้ยง เราก็แอบเอาดินน้ำมันมาปั๊มกุญแจจากพี่สมาน เป็นไง เจ๋งไหมล่ะ”

     คนพูดเชิดคอมองด้วยหางตาพลางยักคิ้ว คนฟังอ้างปากค้างแมลงวันบินเข้าสบาย ผมไม่เคยเข้าใจผู้หญิงเลยซักนิด ไม่ว่าจะวิธีคิด วิธีประมวลผล หรือการตัดสินใจ ดูเหมือนว่าเธอล้ำหน้าเราหนึ่งขั้นเสมอ นิตยาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนโรงเรียนเก่าช่วยสอน เธอได้อะไรมากมายจากการย้าย 4 โรงเรียนใน 4 ปี ไม่ว่าจะเป็นการเล่นไพ่กลเพื่อทายใจ การส่งฝิ่นกลางห้องสอบแบบสุดเนียน หรือใช้ยาแก้ไอผสมแอลกอฮอล์แกล้งเพื่อน ทันใดนั้นเองผมก็ดันนึกถึงบางเรื่อง จึงเปิดฉากหัวเราะเสียงดังลั่นรถ

     “สนุกคนเดียวเลยนะ มีอะไรก็บอกกันหน่อย” อำนาจเช็ดแว่นสายตาขณะถาม

     “ไม่มีอะไร” ผมพูดได้อีกครั้งหลังหยุดหัวเราะ “เรานึกถึงเรื่องที่ทรงเดชพูดถึงนิด”

     สาวน้อยทำตาโตด้วยความอยากรู้อยากเห็น ขณะที่ทรงเดชทำตาโตด้วยความที่นึกไม่ออก คนจินตนาการสุงแบบเขาคงมีเรื่องราวมากเกินไป ทรงเดชพูดเก่งเหมือนอำนาจแต่เนื้อหาตรงกันข้ามเป๊ะ และเป็นผมอีกครั้งที่ต้องขยายความ

     “คือแบบนี้ นิดเรียนที่เสาห้าวิมลก่อนย้ายมาที่นี่ใช่ไหม” คนโดนถามพยักหน้าหงึด ๆ ผมจึงว่าต่อ “แล้วโรงเรียนเราก็เป็นคู่แข่งเรื่องบาสกับทีมเสาห้า นายทรงเดชคนนี้เลยมีความคิดสุดติ่งว่า นิดน่าจะเป็น…”

     ก่อนที่ผมจะเฉลยปริศนาออกมานั้นเอง พลันมีมือลึกลับทั้งใหญ่และยาวพุ่งมาปิดปาก ทรงเดชเจ้าของคำพูดจำทุกอย่างได้แล้ว เจ้าตัวจึงจำเป็นที่จะต้องปกป้องศักดิ์ศรีตัวเอง ส่วนผมก็จำเป็นที่จะต้องปกป้องชีวิตตัวเอง จึงเกิดการกอดรัดฟัดเหวี่ยงต่อหน้าเจ้าของรถ ระหว่างที่นิตยายังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเชียร์ฝ่ายไหนดี ลูกชายหมอประสาทก็ถึงบ้างอ้อ

     “จำได้แล้ว” แววตาภายใต้กรอบแว่นสุดเชยกำลังลุกโชน “ส่งเดชมันบอกว่านิดเป็นสายลับ ที่เสาห้าส่งมาเพื่อสืบข้อมูลของมัน ก็เลยห้ามไม่ให้พวกเราสุงสิงกับเธอ ตัวการของทุกเรื่องคือหมอนี่เลย”

     อำนาจพูดทันก่อนโดนล๊อคตัวจนคอแทบหัก ทว่าคุ้มกับการแก้แค้นเรื่องนมราดหัว นิตยาอึ้งไปทันทีเมื่อได้ฟังเรื่องราว เธอทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งคล้ายตัดสินใจไม่ได้ กระทั่งเห็นอาการลุกลี้ลุกลนของทรงเดช จึงได้มั่นใจว่าเป็นเรื่องจริง

     “โธ่เอ๊ย จะบอกอะไรให้” แววตาคนพูดแฝงความเจ้าเล่ห์เพทุบาย “ตอนทีมเราซ้อมแข่งกับทีมผักหนองน้ำ มีคนจากเสาห้าเข้ามาดูที่สนามด้วย ก่อนกลับยังแวะคุยกับเราครู่นึง เขาบอกว่าจัดการกับทรงเดชง่ายจะตาย แค่ให้เห็นเลือดจนเป็นลมแบบคราวก่อน ก็เป็นอันเรียบร้อย”

     หลังสาวน้อยพูดจบทุกคนพากันหัวเราะ ผมคิดถึงเรื่องราวเมื่อสองวันก่อนแล้วขำไม่เลิก นักบาสคนเก่งหัวเราะตามแม้จะเขินหน้าแดง มือไม้พาลอยู่ไม่สุขเลยเอาใส่ปากแทะเล่น ร่างกายทรงเดชโตเป็นหนุ่มแล้วก็จริง ทว่าจิตใจยังเป็นเด็กผู้ชายอายุย่าง 16 ปีเท่านั้น เมื่ออยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิทคือผมและอำนาจ ทรงเดชเป็นตัวเรียกเสียงฮากันเลยทีเดียว

     ทันใดนั้นเองพายุฝนก็หยุดตกเอาดื้อๆ ท้องฟ้าที่เคยมืดมิดพลันเห็นดวงดาวนับร้อย ปริมาณน้ำฝนลดน้อยลงกระทั่งแห้งสนิท เสียงฟ้าร้องฟ้าคำรามหายต๋อมไปพร้อมนางเมขลา ทุกคนภายในรถจึงพากันดีใจ

     “ไปกันเถอะ บุษบาคงอยู่แถวนี้แหละ”

     นิตยาเปิดประตูแล้วก้าวลงไปคนแรก เธอเป็นคนตัดสินใจเร็วกว่าพวกเราทุกคน ถ้าจะพูดให้ถูกคงต้องบอกว่าผู้หญิงทุกคนต่างหาก ผมคิดในใจแบบเงียบกริบขณะก้าวเท้าตาม รถของพวกเราอยู่ห่างริมบึงไม่ถึงสิบเมตร ถัดไปหน่อยเดียวมีทางเดินลงไปที่ริมตลิ่ง แสงไฟจากถนนส่องมาถึงบริเวณนี้ก็จริง ทว่าเลือนลางไปตามระยะทางที่ออกจะไกล ถึงอย่างไรมันก็เป็นความหวังสำคัญ อาศัยไฟฉายดวงน้อยของอำนาจอย่างเดียวคงไม่ไหว

     พวกเราจอดรถกลางแผ่นดินงอกพอดี ริมตลิ่งฝั่งตรงข้ามห่างไปเพียง 120 เมตร ขวามือไม่ไกลเท่าไหร่เป็นส่วนท้ายแผ่นดินงอก ตรงนั้นเองมีสะพานแขวนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทนโท่ เลยออกไปจะเป็นบึงรับน้ำที่ทั้งกว้างยาวและลึก ซ้ายมือไล่ไปจนสุดคือสถานที่ราชการทั้ง 3 แห่ง พวกเราเดินย้อนไปที่ถนนเป็นอย่างแรกสุด หมูป่าตัวใหญ่น่าจะทิ้งร่องรอยไว้บ้าง และเป็นไปไม่ได้แม้แต่น้อย ที่หล่อนจะเดินฉลุยผ่านพวกเราไปฝั่งสะพาน

     “เจอผ้าใบแล้ว นั่นไง”

     อำนาจซึ่งล่วงหน้าไปก่อนได้หันมาบอก เขามักเป็นคนเดินนำหน้าแบบนี้เสมอ (ด้วยเหตุผลสำคัญที่ผมจะบอกในภายหลัง) ข่าวชิ้นนี้ทำให้ทุกคนมีเรี่ยวแรงทันควัน นิตยารีบตามไปดูหลักฐานเป็นคนแรก

     “ใช่ ของพ่อเราเอง มีรอยปะตามมุมรูปหัวใจ”

     สาวน้อยฉีกยิ้มกว้างผิดไปจากช่วงฝนตก เธอได้ทั้งความหวังและกำลังใจเพิ่มมากขึ้น เมื่อผมตามมาทันจึงช่วยกันพิจารณา รอยเท้าสัตว์กีบคู่จำนวน 1 ตัวอยู่บนพื้นดินเฉอะแฉะ น้ำหนักกดค่อนข้างมากทว่ากีบเท้าค่อนข้างเล็ก ต้องเป็นของบุษบาแน่นอน ผมกล้าเอาหัวเพื่อนเป็นประกัน หล่อนคงหล่นลงมาตอนที่รถเลี้ยวกระทันหัน จากนั้นจึงเดินเลาะรั้วสถานที่ราชการ รอยเท้ามุ่งไปสู่บึงหนองโพธิ์ที่พวกเราเพิ่งจากมา

     “ตามรอยไปก็คงเจอตัว แต่ต้องเงียบกันหน่อยนะ เดี๋ยวพี่ ๆ รปภ.ได้ยิน”

     ผมบอกกล่าวทุกคนก่อนมาหยุดที่นิตยา เธอสบตาด้วยครู่เดียวแล้วเดินนำอีกครั้ง ฝนหยุดตกแล้วพวกเราจึงมีปัญหาเพิ่ม รปภ.ทั้ง 3 นายจาก 3 สถานที่ราชการ กำลังยืนคุยติดลมเรื่องผัวเมียละเหี่ยใจ พวกเราเดินลัดเลาะพลางใช้ไฟฉายส่องพื้น ริมรั้วไม่ได้เทปูนเลยหาหลักฐานได้ง่าย รอยเท้าของบุษบามาหยุดที่สนามเด็กเล่น หมูป่าสาวขึ้นม้าหมุนและดูเหมือนจะตกลงมาด้วย จากนั้นจึงไปที่เครื่องเล่นสไลด์เดอร์สีส้มเหลือง หล่อนปีนขึ้นไปด้านบนเพื่อทิ้งตัวลงมาตามราง ดูเหมือนบุษบาจะชอบเครื่องเล่นนี้เป็นพิเศษ เพราะพื้นดินตรงนั้นยุบเป็นแอ่งกระทะขนาดใหญ่

     “นี่ยายหัวฟู พ่อเธอได้หมูมาจากไหน”

     คำถามของอำนาจตรงใจผมเป็นที่สุด ถ้าไม่เห็นมาก่อนผมจะไม่เชื่อว่าเป็นหมูป่าเด็ดขาด ทรงเดชถึงกับหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายภาพ พลางบ่นงึมงำในลำคอตามลำพัง ฝ่ายนิตยายักไหล่เป็นคำตอบ แล้วเดินตามรอยต่อ

     “แล้วพวกเราก็กลับมายืนที่เดิม” อำนาจเริ่มบ่นอีกครั้งไม่รู้เพื่ออะไร

     “ไม่เป็นไรน่า จะได้รู้ว่าบุษบาอยู่แถวนี้ไง” ผมพยายามปลอบใจในฐานะหัวหน้าห้องที่ดี

     “ก็น่าจะหาแถวนี้ตั้งแต่ทีแรก เสียเวลานอนหลับจริง ๆ เลย”

     เด็กหนุ่มผู้มีสิวประปรายยังคงขยับปากไม่หยุด แล้วเขาก็ก้าวเท้านำทุกคนไปที่ริมบึง นิตยาอมยิ้มเดินตามต่อด้วยผมและทรงเดช เธอคงคุ้นเคยหรือปลงตกกับนิสัยนายอำนาจแล้ว ทุกคนเดินผ่านสถานที่ราชการอย่างเงียบกริบ แม้รู้ดีว่ารปภ.ทั้งหมดจะอยู่ด้านหน้าก็ตาม พอมาถึงริมรั้วสำนักงานสาธารณะสุข ทรงเดชก็ได้ทำลายความเงียบอีกครั้ง

     “เฮ้ย! ซวยแล้ว ลืมนึกถึงเรื่องลุงม่องไปเลย”

     คำพูดนักบาสทำให้ผมกับนิตยาต้องหยุดเดิน เราหันมามองคนต้นเรื่องผู้มีทีท่าตื่นตระหนก

     “ลุงม่อง…ที่เคยขับรถโรงเรียนเราใช่ไหม แกทำไมเหรอ” ผมถามกลับเพราะไม่รู้เรื่อง

     “เพื่อนบ้านเราทำงานที่นี่ บอกว่าลุงม่องมาสมัครเป็นคนขับรถ”

     คนพูดชี้ไม้ชี้มือไปที่สำนักงานสาธารณะสุข คนฟังมองตามแต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

     “ก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่เมาหัวราน้ำเหมือนอดีต” ผมยังจำวีรกรรมลุงม่องได้ติดตา

     “ดีกับผีอะไร เฮ้ย!” ทรงเดชตบปากตัวเองดังเพี๊ยะ “นายไม่รู้เหรอ ว่าลุงม่อง ตะ ตะ… ตายแล้ว”

     ทรงเดชพูดประโยคท้ายสุดอย่างยากลำบาก ผมรีบพุ่งตัวหลบด้านหลังนิตยาทันที พลางสาปส่งเพื่อนรักนักบาสอยู่ในใจ ลุงม่องได้ม่องเท่งจากไปแล้ว แล้วเอ็งจะมาบอกข้าทำไม มีใครแถวนี้อยากรู้เรื่องอย่างนั้นรึ ไอ้ปากไม่มีหูรูดเอ๊ย

     “ลุงม่องตายยังไง” นิตยาคันปากจึงถามบ้าง พลางเหลือบมองคนที่เกาะหลังเธอ

     “นิดไม่น่าถามเลย” เจ้าตัวเหมือนไม่อยากพูดแต่ก็พูด “เมื่อวานนี้ลุงม่อง แกขับรถตกบึง…”

     “ตกบึงจมน้ำตายทั้งคัน!! ลุงม่องพาคนไปตาย ลุงม่องพาคนไปตาย”

     อันตัวผมซึ่งเป็นคนห้ามไม่ให้พูดเสียงดัง ทว่าตอนนี้ดันแหกปากด้วยวิตกจริต ผมรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมากระทันหัน ขนทุกเส้นบนร่างตั้งชันโดยไม่มีตัวช่วย ก่อนที่ผมจะโวยวายต่อพลันมีมือนุ่ม ๆ ปิดปากได้ทัน

     “กลัวผีก็ไม่บอก ผู้ชายอะไรเนี่ย”

     นิตยาสาวน้อยดวงตาซุกซนนั่นเอง เธอรีบแก้ปัญหาก่อนความลับจะแตกดังโพละ เมื่อเห็นทีท่าว่าคนกลัวผีเริ่มดีขึ้น จึงได้หันไปมองคนเล่าเรื่องอีกครั้ง ทรงเดชนั่งยอง ๆ ริมรั้วทำท่าจะร้องให้ เพื่อนคงตกใจเสียงผมกระมังครับ

     “นี่ก็อีกคน แล้วจะเล่าเรื่องนี้เพื่อ…” สาวน้อยบ่นอุบท่าทางเบื่อโลก ก่อนเดินไปฉุดทรงเดชให้ลุกขึ้นบ้าง “จากนั้นยังไงต่อ เมื่อวานนี้ลุงม่องขับรถตกบึง เลยทำให้พนักงานเสียชีวิตทั้งคันใช่ไหม”

     “เปล่า ลุงม่องขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนเพื่อน 3 คน” ทรงเดชเริ่มเล่าต่ออีกครั้ง

     “พอลุงม่องเมาก็เลยขี่รถตกบึง เสียชีวิตทั้งหมด” นิตยาจึงช่วยต่อให้จนจบ

     “เปล่า เพื่อนปวดฉี่แวะข้างทาง ลุงม่องเมาหลับเผลอบิดคันเร่ง” ทรงเดชเล่าต่อเรื่อย ๆ

     “ลุงม่องก็เลยตกบึง เสียชีวิตคนเดียว” นิตยาพูดต่อจนจบอีกรอบ

     “เปล่า ตรงนั้นน้ำไม่ลึก ลุงม่องหัวแตกเย็บสองเข็ม” ทรงเดชยังคงเล่าต่อไม่หยุด

     “อุวะ! แล้วลุงม่องตายยังไง” คราวนี้นิตยาเริ่มมีน้ำโห

     “คืนนั้นลุงม่องไปฉลองที่ยังไม่ตาย แล้วดันขาดใจคาอกสาวคาราโอเกะ”

     ยอดนักบาสทำสีหน้าเจื่อน ๆ ประกอบคำพูด สลับกับสาวน้อยทำตาโตพลางขยี้หัว ผมรีบยืนมาดแมนและคิดถึงลุงม่องไปด้วย ยังจำได้ดีว่าแกชอบเที่ยวผู้หญิงมาก อย่างน้อยลุงม่องก็ได้ไปที่ชอบที่ชอบก่อนตาย ที่มันสุดเจ็บใจก็คือตัวผมนี่แหละ รู้ทั้งรู้ว่าทรงเดชมักพูดส่งเดชไปเรื่อยเปื่อย แล้วทำไมถึงหลงเชื่อจนเสียฟอร์มต่อหน้าหญิง

     “ทุกคน เรามีของดีจะอวด รีบตามมาเร็ว”

     ก่อนที่ผมจะล้งเล้งใส่ทรงเดชนั้นเอง อำนาจก็ได้กลับมาหาพวกเราอีกครั้ง คนสวมแว่นเดินนำไปยังทางลงริมตลิ่ง ความมืดมิดหรือเสียงนกร้องไม่ส่งผลกับเขาเลย เพราะได้รับการเลี้ยงดูด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ก็เลยไม่เชื่อเรื่องผีหรือสิ่งลึกลับทั้งหมดทั้งสิ้น  ทีนี้ทุกคนคงเข้าใจกันแล้วนะครับ ว่าทำไมอำนาจถึงเป็นคนนำในภารกิจนี้

     “อายเพื่อนไหมเนี่ย ตัวอย่างกับหมีควายดันกลัวผี”

     นิตยาแซวอย่างแรงแล้วตามอำนาจไป เธออดไม่ไหวจึงหัวเราะร่วนจนผมปลิวสยาย ผมยื่นมะเหงกให้ทรงเดชแล้วออกเดินบ้าง ใช้เวลาครู่เดียวก็ควบตามสาวน้อยมาทัน เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและเป็นกลาง นิตยาเป็นเด็กสาวธรรมดาเหมือนทุกคน เธอดูปรกติกว่าลิงทะโมนทั้งสามตัวด้วยซ้ำ ผมเอาหัวเพื่อนเป็นประกันได้เลย

     “เห็นรอยเท้าบุษบาใช่ไหม ยายหมูบ้าเดินมาสุดตรงนี้แหละ”

     อำนาจแปลงร่างเป็นนายพรานนักแกะรอย เขาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมยิ่งกว่าสุนัขดมกลิ่น รอยเท้าสัตว์กีบคู่เดินมาหยุดที่ริมตลิ่ง ห่างไปหน่อยเดียวมีเรือเป็ดลำหนึ่งจอดเทียบท่า แล้วบุษบามาที่ท่าน้ำแห่งนี้เพื่ออะไร

     “หมูว่ายน้ำได้ไหม” ทรงเดชโพล่งขึ้นมาทันควัน

     “อย่าเพิ่งวุ่นวายน่า เรากำลังใช้ความคิด” ผมตอบปัดทันควันเช่นกัน

     “อ้าวไอ้นี่ ก็อยากรู้นี่นา” ทรงเดชยังไม่ยอมหยุดพูดอีก

     “มันใช่เวลาไหม คราวก่อนก็ทีแล้วนะ” ผมตอบปัดแรงกว่าเดิมมากขึ้น

     “ก็ตอบเรามาสิ เรื่องสำคัญนะโว้ย” ทรงเดชยังไม่ยอมเลิกลาเสียที

     “ได้มั้ง บุษบาว่ายน้ำไปหาลุงม่องหรือไง” ผมตอบปัดแรงที่สุดในชีวิตแล้ว

     “เปล่า เราแค่สงสัยว่า หมูว่ายน้ำจากเรือเป็ดกลับฝั่งได้ไหม”

     ยอดนักบาสก็คือยอดนักบาสวันยังค่ำ กว่าทรงเดชจะพูดจาให้ทุกคนเข้าใจได้ ผมต้องเสียน้ำลายต่อปากต่อคำอยู่นาน พวกเราทุกคนรีบหันไปมองกลางบึง ได้เกิดเรื่องราวมหัศจรรย์พันลึกหนักกว่าเดิม หมูป่าสาวเต็มวัยน้ำหนัก 200 กิโลกรัม กำลังถีบเรือเป็ดท่าทางสบายใจเฉิบ บางทีหล่อนก็นอนหงายให้ร่างกายรับแสงจันทร์ สลับกับนอนคว่ำใช้สองขาหลังตีน้ำเล่น นิตยาตะโกนเรียกชื่อบุษบาเสียงดังลั่น เจ้าตัวชายตามองครู่เดียวด้วยจริตจะก้าน แล้วลุกยืนด้วยสองขาหลังเพื่อโชว์ความเหนือชั้น พระเจ้าช่วยกล้วยทอด บุษบากำลังร้องเพลงรอบกองไฟพร้อมส่ายก้นดุ๊กดิ๊กไปมา

     “นี่ยายหัวฟู ขอถามเป็นครั้งสุดท้าย พ่อเธอได้หมูมาจากไหน”

     คำถามของอำนาจตรงใจผมเป็นที่สุด ถ้าไม่เห็นมาก่อนผมจะไม่เชื่อว่าเป็นหมูป่าเด็ดขาด ทรงเดชถึงกับหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายภาพ พลางบ่นงึมงำในลำคอตามลำพัง ฝ่ายนิตยายักไหล่เป็นคำตอบ ทว่าตัวเองรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมาแล้ว

     “ไว้เจอพ่อจะถามให้นะ เอาบุษบาขึ้นฝั่งก่อนเถอะ”

     นิตยาสบตาทุกคนเพื่อขอความร่วมมือ ถึงเธอไม่ขอพวกเราก็ยินดีช่วยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าดันเกิดปัญหาสำคัญเนี่ยสิ นางสาวบุษบากำลังลั้นลาอยู่กลางบึง เรือเป็ดที่หล่อนนั่งก็ลำเล็กนิดเดียว แล้วทีนี้จะลากหมูขึ้นฝั่งด้วยวิธีไหน ขณะใช้ความคิดผมเดินไปเดินมาแถวท่าน้ำ กระทั่งสะดุดเชือกมัดเรือเป็ดอีกลำจนร่างเซถลา

     “เรือเป็ดไง” นิตยาเกิดไอเดียขึ้นมาทันที “เอาเรือเป็ดลำนี้ไปเทียบลำนั้น แล้วค่อยลากเข้าฝั่ง”

     “ก็ดีอยู่นะ แต่…มันจะดีนะ” ผมสนับสนุนอย่างไม่ค่อยเต็มเสียง

     “ดีสิ ใครก็ได้ไปกับเราหนึ่งคน ทรงเดชว่ายน้ำเป็นใช่ไหม” สาวน้อยสอบถามยอดนักบาส

     “เราว่ายน้ำไม่เป็น” ยอดนักบาสตอบกลับหน้าชื่นตาบาน

     “เราว่ายเป็น” ผมเสนอตัวเองบ้าง แต่เมื่อเห็นสายตาเพื่อนจึงต้องรับสารภาพ “ประมาณ 5 เมตร”

     “งั้น…” สาวน้อยหันไปมองยอดนายพรานแล้วเปลี่ยนใจ “เราไปคนเดียวก็ได้”

     “ไม่ได้!” สามหนุ่มสามมุมตะโกนพร้อมกันทันที

     “แล้วจะเอายังไง เดี๋ยวตำรวจก็แห่กันมาแล้ว”

     สาวผมหยักโศกถอนใจพลางนั่งลง สายตาจับจ้องอยู่ที่เพื่อนรักสี่ขาสองกลีบ ผมมองตามแล้วขยี้ตาตัวเองอีกครั้ง บุษบากำลังทรงตัวด้วยสองขาหน้าบนเรือลำน้อย สองขาหลังชูขึ้นฟ้าประหนึ่งนักมายากลหญิง ถ้าเป็นเวลาปรกติผมคงกรี๊ดลั่นทุ่งไปแล้ว แต่ในตอนนี้ใครจะมีอารมณ์นั่งเสพความสุข ต้องมีคนลงเรือเป็ดไปลากตัวบุษบาขึ้นฝั่ง และต้องไม่ใช่นิตยาอย่างเด็ดขาด วินาทีนั้นเองผมจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ บางครั้งคนเราก็ต้องทำในสิ่งที่หวาดกลัว

     “เอาแบบนี้ดีกว่า พวกเราทั้งสามคนลงเรือไปด้วยกัน แล้วลงมือตามแผนที่นิดบอก พอถึงให้อำนาจข้ามไปที่เรืออีกลำ จากนั้นเรากับทรงเดชจะช่วยกันลากทุกชีวิตขึ้นฝั่ง”

     ทรงเดชตกใจร้องว้ายเพราะเป็นโรคกลัวน้ำ แต่ก็ยังน้อยกว่าเด็กชายผอมกระหร่องใส่แว่น อำนาจทำท่าจะโวยวายตามนิสัยขี้ระแวง นั่นจะทำให้แผนทั้งหมดของพวกเราต้องพังยับ ผมจึงจำเป็นเหลือเกินที่ต้องใช้มือปิดปากเพื่อนรัก

     “เรารู้ว่านายกำลังจะพูดอะไร แต่ช่วยฟังเราพูดก่อน” กระทั่งแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่พูด ผมจึงตกลงปล่อยมือ “เรากับทรงเดชว่ายน้ำไม่แข็งทั้งคู่ ส่วนนายว่ายน้ำเก่งและตัวเล็กที่สุด เราสัญญาว่านายจะไม่เป็นอะไรเลย หรือถ้าเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่ทอดทิ้งนายแน่ ชายชาตรีไม่ควรให้ผู้หญิงเสี่ยงอันตราย เราจึงอยากให้นายคิดอีกรอบ ก่อนตัดสินใจว่าจะเอาด้วยหรือไม่”

     อยากให้ทุกคนได้เห็นใบหน้าเพื่อนผมจัง อำนาจมีทีท่าไม่อยากทำเรื่องนี้เลย เขาสามารถบอกปัดได้และผมก็จะไม่ห้าม แต่เขาก็ไม่ทำตามนิสัยขี้ระแวงเหมือนทุกครั้ง คนว่ายน้ำเก่งสุดก้าวลงไปรอในเรือเป็ด ทุกคนได้ยินเสียงถอนหายใจชัดเจนมาก เมื่อเห็นดังนั้นผมจึงรีบลงเรือตามไป พร้อมดึงมือทรงเดชผู้ทำหน้าที่กับตันเรือ เอ๊ย! ถีบเรือเป็ดลำนี้

     “ระวังตัวนะทุกคน ห้ามเสี่ยงเด็ดขาดสัญญาก่อน”

     นิตยาได้ตามมาส่งอย่างใกล้ชิด เธอพยายามหาเชือกมาผูกเพื่อช่วยดึงเรือกลับ ทว่าเชือกที่ได้มาล้วนแล้วแต่สั้นเกิน ในที่สุดสาวน้อยก็ต้องล้มเลิกความคิด ผม อำนาจ และทรงเดช เดินทางฝ่าความมืดมิดในรัตติกาล แสงสว่างจากจันทราช่วยนำทางให้แก่เรา และแล้วความพยายามก็ประสบความสำเร็จ เรือเป็ดสีฟ้าพร้อมผู้โดยสารหน้าตาดีทั้งสามนาย ได้เข้าเทียบเรือเป็ดสีแดงของหมูป่าสาวนางหนึ่ง ตอนนั้นเองบุษบากำลังนอนหงายบิดขี้เกียจเป็นหมู ก็เธอเป็นหมูนี่เนอะ

     “ค่อย ๆ ข้ามไปนะ เราจับมือนายอยู่” ผมพยายามช่วยเพื่อนอย่างถึงที่สุด

     “ต่อไปห้ามตบหัวหรือล้อชื่อพ่อ กินก๋วยเตี๋ยวก็ห้ามแย่งลูกชิ้น นายด้วยนะทรงเดช”

     อำนาจทรงตัวขึ้นยืนพลางสั่งเสียเพื่อนฝูง เขาเป็นคนละเอียดรอบคอบแบบนี้แหละครับ แล้วนายสี่ตาก็ก้าวผ่านตัวผมไป เขากำลังเหยียบเรือสองแคมท่าทางลุกลี้ลุกลน ลมวูบใหญ่พุ่งเข้าปะทะจนเรือโคลงไปเคลงมา ผมต้องช่วยคนถีบเรือถ่วงน้ำหนักไม่ให้พลิกคว่ำ หันมาอีกทีอำนาจหัวทิ่มอยู่บนเรือบุษบาแล้ว นั่นแปลว่าเขาทำงานนี้สำเร็จลุล่วง

     “จับมือเราไว้ก่อน เดี๋ยวจะเอาเชือกผูกเรือนายอีกที”

     ผมเคลื่อนตัวไปที่หัวเรือให้มากที่สุด พลางยื่นมือขวาอันทรงพลังไปหาเพื่อนรัก อำนาจยิ้มแห้ง ๆ พลางทำท่าแบบเดียวกัน มือทั้งสองฝ่ายแตะโดนกันที่สุดปลายนิ้ว แล้วอยู่ดี ๆ เรือของผมก็ลอยห่างออกมา ทั้งที่ทรงเดชพยายามถีบจนสุดกำลังแล้ว เรือเป็ดสีฟ้าลอยห่างออกไปมากขึ้น มากขึ้น แล้วก็มากขึ้น ส่วนเรือเป็ดสีแดงดันจอดสงบนิ่งอยู่ที่เดิม

     “มีน้ำไหลมาจากฝั่งถนนใหญ่” นิตยาตะโกนบอกจากริมตลิ่ง

     “ซวยแล้วไง สงสัยน้ำฝนระบายมาจากตลาด”

     ผมหันไปมองทรงเดชเพื่อขอความเห็น เพื่อนรักนักบาสส่ายหัวขณะออกแรงถีบเต็มที่ ผมจึงหันไปมองเพื่อนรักอีกคนบ้าง อำนาจสบตาด้วยพร้อมคำถามมากมายในแววตา สถานการณ์ตอนนี้เข้าขั้นวิกฤตเสียแล้ว

     “ทำไมเรือนายไม่เคลื่อนที่ มันติดอะไรอยู่หรือเปล่า”

    ผมจำเป็นต้องตะโกนเสียงดังอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความลับจะแตกหรืออะไรจะแตกก็ช่างมันเถอะ อำนาจหันซ้ายหันขวาท่าทางร้อนรนใจ เขาข้ามตัวบุษบาผู้นอนหลับไหลอย่างมีความสุข แล้วเพื่อนผมก็ป้องปากตะโกนกลับมา

     “เชือกหัวเรือติดอะไรก็ไม่รู้ เราพยายามดึงแล้วแต่มันไม่ออก”

     เป็นอันว่าผมรับรู้ปัญหาจากเรือสีแดงแล้ว ทว่าตอนนี้ต้องหันมาสนใจตัวเองก่อน เรือสีฟ้าปะทะอะไรซักอย่างจากใต้น้ำ ทำให้เรือเอียงวูบไปทางขวาแทบจะทันที ผมกับทรงเดชพยายามถ่วงน้ำหนักทั้งสองฝั่ง แต่น้ำเจ้ากรรมก็ดันทะลักเข้าจากท้ายเรือ วินาทีแห่งความเป็นความตายมาถึงแล้ว พวกเราอยู่ห่างชายฝั่งประมาณ 50 เมตรก็จริง แต่เหมือนมีเคราะห์ซ้ำกรรมซัดไม่หยุดหย่อน กระแสน้ำเพิ่มความเชี่ยวกราดอย่างรวดเร็ว ความแรงของมันทำให้เรือเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

     นิตยาวิ่งหน้าตาตื่นตามเรือเป็ดมา เธอหกล้มต่อหน้าต่อตาแล้วก็ลุกขึ้นยืน ผมเห็นรถกระบะสีน้ำเงินจอดอยู่ชั้นบนสุด นั่นหมายถึงพวกเราเหลือเวลาไม่มากนัก ถ้าเรือโดนน้ำซัดพ้นแผ่นดินงอกไป คราวนี้แหละจะเป็นเรื่องใหญ่โตแน่ ทั้งผมและเพื่อนพยายามช่วยตัวเองอย่างเต็มที่ พวกเราทำให้เรือใกล้ฝั่งจนห่างแค่เพียง 30 เมตร แล้วนักบาสคนเก่งก็ทำที่ถีบเรือหักคาเท้า จึงไม่เหลืออะไรช่วยต้านทานกระแสน้ำ พวกเราทั้งสองมองหน้ากันเองด้วยจนปัญญา

     “อยู่ตรงนั้นนะ เดี๋ยวเราไปช่วย”

     นิตยาตะโกนมาจากริมตลิ่ง ตอนนั้นเรือเราอยู่ห่างสะพานแขวนไม่ถึง 20 เมตร พ้นจากสะพานไปก็คือขุมนรกในบึงกว้าง สาวน้อยดวงตาซุกซนได้ทำสิ่งที่กล้าหาญมาก เธอกระโดดลงสู่กระแสน้ำเชี่ยวด้วยความมุ่งมั่น

     “กลับฝั่งไปนิด เธอทำไม่ได้หรอก” ทรงเดชตะโกนแข่งกับเสียงน้ำไหล

     “นิดกลับไป พวกเราจัดการเองได้”

      ผมรีบตะโกนสุดเสียงเพื่อบอกเธอ สิ่งที่เพื่อนสาวกำลังกระทำคือความกล้าหาญ แต่เป็นเพียงความกล้าหาญในอุดมคติ ผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียวมองทางก็ยังไม่ชัด มีหรือจะลากหมีควาย 2 ตัวขึ้นฝั่งสำเร็จ เป็นไปไม่ได้และผมจะไม่ยอมให้เธอทำ จึงตั้งใจที่จะกระโดดลงจากเรือลำนี้ซะ แล้วพยายามช่วยเหลือตัวเองจนถึงที่สุด

     ทันใดนั้นเองมีเสียงตะโกนคำว่า "ระวัง" ผมกับเพื่อนหันไปมองแล้วตกใจหงายหลังทันควัน ฉมวกแทงปลาอันหนึ่งพุ่งตรงมาที่เรือ ก่อนปักดังฉึกกลางลำระหว่างเด็กหนุ่ม 2 คน เรือเป็ดสีฟ้าไม่ไหลไปตามกระแสน้ำอีกแล้ว เนื่องจากโดนเชือกเส้นโตผูกติดฉมวกฉุดดึงไว้ รู้สึกว่าเรากำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ริมตลิ่ง ทรงเดชก็รู้สึกเช่นกันแสดงว่าไม่ได้ฝันไป ที่ริมตลิ่งนิตยาได้ยืนตัวเปียกรออยู่ ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มที่สวยที่สุดในโลก แล้วเราสามคนก็ได้กลับสู่แผ่นดินงอกอีกครั้ง

 “ลงไปจู๋จี๋อะไรกันในน้ำ เราแค่ให้ถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า อย่ารับสมอ้างหน่อยเลยน่า”

     เสียงหวาน ๆ ดังขึ้นที่ริมตลิ่งชั้นบนสุด ตรงนั้นเองมีรถกระบะอีกคันจอดติดเครื่องอยู่ แสงไฟจากหน้ารถสว่างจ้าจนแยงดวงตา ผมใช้มือบังแสงเพื่อมองหาเจ้าของเสียงหวาน สาวน้อยดวงตากลมโตยืนอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง ชิดชนกลูกสาวเฮียอ๋ากำลังโบกไม้โบกมือให้ เธอสวมเสื้อยืดหมีพูห์สีฟ้ากางเกงขาสั้นสีน้ำตาล ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มที่สวยที่สุดในสามโลก

                                ---------------------------------------------

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา