ห้องสามเดอะซีรี่ย์

9.0

เขียนโดย มุมฉาก

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.14 น.

  26 ตอน
  0 วิจารณ์
  21.33K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 กันยายน พ.ศ. 2560 08.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

9) ศิษย์หลวงพ่อย้อย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

     ศิษย์หลวงพ่อย้อย

     แสงแดดอ่อน ๆ สาดส่องทะลุก้อนเมฆ แม้เพียงน้อยนิดแต่ยังคงให้ความหวัง ทั่วท้องฟ้าอึมครึมเหมือนจิตใจมนุษย์ อันยากนักที่จะเข้าถึงแท้จริงได้ เศษขยะข้างถนนปลิวว่อนไร้ทิศทาง ไม่ต่างอะไรกับชะตาชีวิตของเรา ครั้นรถแล่นผ่านได้เหยียบย้ำซ้ำเติม ประหนึ่งการกระทำจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน

     เหมันตฤดูเดินทางมาถึงอย่างต็มตัวแล้ว ลมหนาวทำหน้าที่ตัวเองอย่างซื่อสัตย์ ผมกระชับเสื้อตัวเองให้แน่นกว่าเดิม พลางเป่าลมใส่มือเพื่อสร้างความอบอุ่น สองมืออันเย็นเฉียบเอื้อมไปจับรถเข็น ในนั้นมีถังพลาสติกสีเหลืองจำนวนสองถัง สองเท้าอันหนาวเหน็บก้าวอยู่บนถนนลาดยาง เป็นการเดินทางที่สุดเชื่องช้า และต้องแวะข้างทางบ่อยครั้ง

     ตึกแถวสุงสามชั้นเรียงรายฝั่งซ้ายมือ กระทั่งสิ้นสุดที่บ้านสร้างใหม่สีเทาหม่น นกพิราบใต้หลังคาส่งเสียงโวยวาย มันถือวิสาสะทำรังตั้งแต่วันแรกสุด ใครบางคนบอกผมว่านกพิราบหนาว จึงครางว่า ฮือ ฮือ ฮือ… ช่วงเช้าตรู่อยู่เสมอ แต่ผมคิดว่ามันคงอยากเจอแฟน จึงร้องว่า อู้ อู้ อู้… หวังให้ตัวผู้อู้งานและสนใจกันบ้าง เมื่อนกมีคู่จะทำรังและอยู่เคียงข้าง จนกว่าลูกน้อยจะปีกกล้าขาแข็ง จึงได้ลาจากจากแม่ของมันตามธรรมเนียม

     ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามก็คือตลาดสด ช่วงเวลา 6 โมงเช้าเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ไม่วายเว้นกระทั่งวันนี้ซึ่งเป็นเสาร์ ที่คนทำงานส่วนมากได้หยุดพัก เด็กนักเรียนตัวเล็กตัวโตไม่ต้องไปเรียน หลายคนยังคงหลับอุตุอย่างดื่มด่ำ เดือดร้อนผู้เป็นแม่ต้องคอยตะโกนเรียก เสียงโหวกเหวกยามเช้าบอกให้รู้ว่าบ้านมีชีวิต ย่อมดีกว่าบ้านที่ใหญ่โตแต่แสนเงียบเชียบ ทว่าผมไม่ได้หยุดพักเหมือนคนอื่น ต้องมาเดินงุด ๆ ริมถนนตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นมันมีสาเหตุสำคัญ ให้พลัดพรากจากเตียงนอนอันเป็นที่รักยิ่ง

     เดินต่อไม่นานก็มาถึงสถานที่คุ้นเคย บ้านไม้สองชั้นอายุมากกว่า 50 ปี หลังคาสังกะสีค่อนข้างเก่าและเริ่มผุ ขึงลวดตาถี่ป้องกันนกแอบมาทำรัง ตัวบ้านชั้นสองตีไม้ฝาตามแนวนอน เป็นไม้เล็กราคาถูกหาได้ทั่วไป รอยต่อของฝาเริ่มห่างออกจากกัน บางครั้งฝนตกมีน้ำฝนเล็ดลอดบ้าง หน้าต่างไม้จำนวน 4 บานเรียงรายติดกัน ด้านบนติดกระเบื้องสีฟ้าให้แสงสว่าง ชั้นล่างติดประตูเหล็กยืดพร้อมบังตาแข็ง เพิ่งทาสีฟ้าสดอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว หลังคาสังกะสีต่อยื่นออกมาหน้าบ้าน พื้นที่บางส่วนใช้สำหรับวางข้าวของ ม้านั่งหินอ่อนตั้งโทนโท่และเดียวดาย สำหรับลูกค้าที่มาใช้บริการได้นั่งพัก

     พื้นหน้าบ้านลาดปูนซีเมนต์เต็มพื้นที่ มีบันไดทำด้วยเหล็กตั้งอยู่หน้าสุด ทั้งนี้เนื่องมาจากตัวบ้านต่ำกว่าถนน ที่มีการพัฒนาหลายครั้งในรอบ 50 ปี ถนนจึงสุงกว่าเดิมเกือบครึ่งเมตร บ้านไม้หลังนี้จึงเตี้ยลงทันตาเห็น บางปีฝนตกหนักระบายน้ำไม่ทัน ชั้นล่างมักโดนน้ำท่วมขังอยู่เป็นนิจ เป็นปัญหาหนักอกที่ไม่อาจแก้ไขได้เลย

     ทางเท้าหน้าบ้านมีสตรีสองคนยืนอยู่ พร้อมข้าวปลาอาหารตั้งวางบนโต๊ะพับ หญิงคนแรกอายุประมาณสามสิบกลาง ๆ ผมสีดำขลับยาวตรงถึงกลางหลัง เธอตัวเล็กผิวขาวหน้าหมวยตาตี่ ขอบตาคล้ำไร้ซึ่งการแต่งหน้า หญิงอีกคนอายุเจ็ดสิบเห็นจะได้ รูปร่างหน้าตาใกล้เคียงหญิงคนแรก แผ่นหลังงุ้มกว่าร่างกายทรุดโทรมกว่า คำนวนดูแล้วน่าจะเป็นแม่ลูกกัน

     “นิมนต์ค่ะท่าน”

     หญิงชราเป็นผู้เอ่ยประโยคเชื้อเชิญ ใบหน้ากร้านโลกมีรอยยิ้มปรากฎ เมื่อพูดจบจึงหยิบโถข้าวขึ้นมาถือ ผู้ครองผ้าเหลืองซึ่งเดินนำหน้าผมอยู่ ได้เบนเส้นทางไปยังสตรีทั้งสอง ผมจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

     “ผู้ช่วยคนใหม่เหรอคะ เก้ ๆ กัง ๆ พิกลนะเรา”

     หญิงผมยาวกลางหลังพูดแซว ขณะช่วยประคองหญิงชราตักบาตร ถุงแกงเขียวหวานและผัดผักใส่ตามมา ผมเอื้อมมือหยิบแล้วใส่ถังเหลืองใบแรก รับรู้ได้ทันทีว่าทั้งคู่กำลังจ้องมอง

     “ไม่มีขนมหวานนะคะพระคุณเจ้า” หญิงชราชวนคุยทั้งที่พนมมือ “ประเดี๋ยวลูกศิษย์จะอ้วนพุงออก เดี๋ยวนี้ชอบกินขนมกลางดึก ไม่รู้มีอะไรให้เครียดนักหนา เมื่อวาน…”

     “จะไม่รับพรเสียหน่อยเหรอครับ” คนเข็นรถเข็นรีบพูดแทรก

     “รับสิยะ ลื้ออย่ามาพูดซี้ซั้ว”

     หญิงชราดุใส่คนพูดขัด ก่อนบ่นอุบในลำคอตามประสาคนแก่ ลูกสาวพยายามดึงไปเรื่องการรับพร ทุกอย่างจึงกลับคืนสู่ปรกติ พระสงฆ์ปิดฝาบาตรแล้วทำหน้าที่ สาวสองนางพนมมือตามระเบียบพัก เนื่องจากอายุมากพอสมควร การก้มเงยจึงทำไม่ค่อยสะดวก ผู้สุงวัยจึงนั่งบนเก้าอี้พับแทน โดยไม่ลืมถอดรองเท้าของตนเอง

     จบจากรับพรจึงเป็นการสนทนาธรรม บ้านหลังนี้ใส่บาตรพระรูปนี้ทุกเช้า ก็เลยมีความสนิทชิดเชื้อพอสมควร ใบหน้าฆราวาสอิ่มเอมไปด้วยความสุข ใบหน้าผู้ถือศีล 227 ข้อสำรวมและมีสติ ทุกคนเริ่มต้นวันใหม่ด้วยรอยยิ้ม ยกเว้นผมคนเดียวกระมังครับ ที่พยายามซักเท่าไหร่ก็ยังยิ้มไม่ออก

     “อะไรของลื้อ หน้าบึ้งอย่างกับตูดเด็ก”

     หญิงชราหันมาคุยกับผมบ้าง หล่อนจิกตามองคล้ายอยากตำหนิ ทำให้ผมหน้ามู่ทู่หนักกว่าเดิม

     “โธ่… อาม่า จะแกล้งผมไปถึงไหน”

     คนหน้าบึ้งเหมือนตูดเด็กบ่นอุบ พลางจัดแยกอาหารคาวหวานในถังเหลือง ถูกต้องแล้วครับเพื่อน ๆ ทุกคน หญิงชราคนนี้คืออาม่าผมเอง แปลเป็นไทยได้ว่ายายหรือแม่ของแม่ ส่วนลูกสาวของเธอก็คืออาอี๊ แปลเป็นไทยได้ว่าน้าสาวหรือน้องของแม่ และบ้านไม้หลังนี้ก็คือที่ซุกหัวนอน แปลเป็นไทยได้ว่าบ้านผมเนี่ยแหละ ประกอบกิจการร้านขายจักรยานขนาดเล็ก แล้วมันเกิดเหตุอันใดกันเล่า ผมถึงต้องมาเดินตามพระพร้อมรถเข็น หรือแปลเป็นไทยได้ว่าเด็กวัดนั่นเอง

     สาเหตุสำคัญมาจากอาม่าอีกแล้ว สตรีสุงวัยผมสีดอกเลาร่างผอมเพรียว ผู้ปกครองทุกคนด้วยระบบเผด็จการ เรื่องของเรื่องมาจากคืนฝนตกหนัก พวกเราไปช่วยนิตยาลักพาตัวบุษบา กว่าผมจะกลับถึงบ้านก็ค่อนข้างดึก ในสภาพลูกหมาตกน้ำก็ไม่ปาน การลงโทษจึงตามมาในวันรุ่งขึ้น ด้วยการส่งตัวมาขัดเกลาจิตใจที่วัดหมูแดง

     “ท่านเจ้าคุณจัดหนักเลยนะคะ ข้าวเรียงเม็ดแล้วส่งไปขัดส้วมต่อ” อาม่าบัญญัติบทลงโทษให้

    “ซิ่มก็ อย่าโหดกับหลานนักเลย” อาอี๊เรียกแม่แบบจีนแต้จิ๋ว เป็นการเพิ่มความงงเข้าไปอีก

     “ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” อาม่าตอบกลับด้วยสุภาษิต

     “เช้าฟาดผัดฟัก เย็นฟาดฟักผัด ชามเขียวคว่ำเช้า ชามขาวคว่ำค่ำ” ผมก็เลยต่อด้วยสุภาษิตบ้าง

     “ไอ้แปะยิ้ง ! ลื้ออย่ากวนโอ๊ยได้ไหม”

     อาม่าไม่ได้แค่โวยภาษาจีนกลับ หล่อนยังเอาทัพพีเคาะกระบาลดังโป๊ก ผมนี้ปวดหัวจิ๊ดขึ้นมาทันที ความง่วงเหงาหาวนอนสลายไปสิ้น รู้แบบนี้ยืนห่างหน่อยดีกว่าเรา

     “พอเถอะซิ่ม เกรงใจพระเจ้าบ้าง นายก็เหมือนกัน แหย่อาม่าอยู่ได้”

     หญิงผมยาวกลางหลังต้องทำการห้ามทัพ เป็นหน้าที่ประจำของเธออยู่แล้ว อี๊บ๊วยยืดทัพพีมาครอบครอง พร้อมทำตาดุใส่เด็กวัดผู้หัวปูด เพราะเป็นลูกสาวคนสุดท้องของบ้าน ก็เลยได้ชื่อจีนกิ๊บเก๋ว่ากิมบ๊วย ชื่อตามบัตรประชาชนคือดอกบ๊วย และมีชื่อเล่นอย่างไม่เป็นทางการว่าบ๊วย ผมอยากให้อี๊เปลี่ยนไปใช้ชื่ออื่น แต่เจ้าตัวไม่ได้มีทีท่าทุกข์ร้อนเลย

     ฝ่ายอาม่าที่มักฉุนเฉียวง่าย คงเป็นเพราะอายุมากบวกกับนิสัยผู้หญิง ถึงตอนนี้ก็ยังค้อนประหลับประเหลือก ทว่าในมือมีขนมถุงเบ้อเริ่ม เจ้าตัวยืนของที่ว่าใส่หน้าผม

     “ขอบคุณครับอาม่า ทำไมวันนี้ใจดีแท้” ผมรีบคว้าไว้โดยไม่รีรอ

     “ของเพื่อนลื้อต่างหาก ลื้ออย่ามั่วอาตี๋”

     แล้วอาม่าก็เฉลยปริศนาธรรม ทำเอาผมอยากสะดุ้งเป็นตลกคาเฟ่ ทุกคนหันไปมองเด็กวัดอีกคน เขาก็คืออำนาจผู้มีสิวประปราย นายคนนี้สวมเสื้อบอลทีมแมนยู ปักชื่อเวยน์รูนี่ย์ไว้กลางหลัง กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะยี่ห้ออาดิดาส ขณะที่ผมสวมเสื้อยืดน้ำมันเครื่องไดเกียว กางเกงขาสั้นตลาดนัดสองตัวร้อย รวมทั้งรองเท้าแตะยี่ห้อดาวเทียมสปุตนิค เราทั้งคู่สวมเสื้อวอร์มทับอีกชั้น ของอำนาจยี่ห้ออาดิดาสส่วนของผมยี่ห้อเสิ่นเจิ้น แต่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ก็เหมือนกันไม่มีผิดเพี๊ยน

     “อำนาจ อำนาจ… เฮ้ย ! ตื่นได้แล้ว”

     คนพูดวางถุงขนมในรถเข็น คนโดนเรียกยังยืนหลับนกได้อีก สุดท้ายจึงต้องใช้มือเขย่าร่าง กระทั่งอำนาจตื่นจากนิทราได้ เจ้าตัวมองซ้ายมองขวาด้วยความไม่แน่ใจ

     “เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ แม่เราฝากขนมมาให้ด้วยนะ”

     อี๊บ๊วยพูดไปยิ้มไปแบบคนใจดี ฝ่ายอาม่าเพ่งมองด้วยความชื่นชม นั่นทำให้ผมหัวเสียไม่ใช่น้อย ที่ได้รับการปฎิบัติสองมาตราฐาน ทีหลานตัวเองเข็นรถเข็นจนเหงื่อตก ไม่ยักกะชมกันซักคำเล๊ย

     “ครับ เปล่าครับ ใช่ครับ” อำนาจตอบกลับทั้งที่ไม่มีสติ

     “ตอบซะครบเชียว อาตมาขอตัวดีกว่า มีกิจของสงฆ์อีกหลายเรื่อง”

      เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว หลวงพ่อย้อยจึงได้ออกบิณฑบาตต่อ อาม่าและอี๊บ๊วยต่างยกมือไหว้ พร้อมกล่าวคำว่านมัสการพระคุณเจ้า ไอ้หนุ่มรถเข็นจึงได้ออกเดินทาง ด้วยว่ากิจของสงฆ์ก็คือกิจของผมเช่นกัน

     “อาตี๋โว้ย ลื้อลืมอะไรหรือเปล่า”

     ยังไม่ทันจะก้าวเท้าครบสิบครั้ง ผมก็ต้องแตะเบรกจนรถสะเทือน เมื่อเห็นว่าถังเหลืองยังปรกติดี จึงได้รีบหันกลับโดยพลัน อี๊บ๊วยถือข้าวของเดินเข้าบ้าน ส่วนอาม่ายังยืนอยู่ที่เก่า หล่อนได้ชี้ไปยังวัตถุชิ้นหนึ่ง รูปร่างคล้ายคลึงเด็กนักเรียนมัธยมสี่ วัตถุดังกล่าวก็คืออำนาจ หมอนั่งสัปหงกบนทางเท้าหน้าตาเฉย เดือดร้อนผมต้องมาปลุก กว่าจะสำเร็จเล่นเอาทุลักทุเล

     สตรีสุงวัยผมสีดอกเลาหัวเราะร่วน แล้วหันหลังเดินเข้าร้านจักรยานไป ผมของอาม่าสั้นประมาณติ่งหู ดัดลอนทั้งหัวจนพองฟู พี่ท้อแท้เรียกว่าทรงอาม่าของแท้ เพราะเป็นทรงผมยอดฮิตมาจากเมืองจีน ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อนัก แต่ไม่มีเหตุผลอะไรมาขัดแย้ง จึงสรุปความตอนจบได้ว่า อาม่าของผมไว้ผมทรงอาม่านั่นเอง

                              ---------------------------------------------

     เมื่อพระสงห์ฉันมื้อเช้าเป็นที่เรียบร้อย จึงเป็นเวลาของเด็กวัดอย่างพวกเรา วัดหมูแดงมีเด็กวัดมืออาชีพสองคน คือเด็กชายปานและเด็กชายติ่งคู่หูนรกแตก อาหารจากบิณฑบาตมีไม่มากนัก ด้วยเหตุว่าวันนี้สำคัญกว่าวันอื่น ถึงกระนั้นเราได้แบ่งอาหารบางส่วน ไว้สำหรับมื้ออื่นเพราะกินกันไม่หมด

     “อย่าเอาแต่เหม่อสิโยมอำนาจ กับข้าวกับปลาเย็นหมด”

     หลวงพ่อย้อยบังเอิญผ่านมาพอดี จึงทำการตักเตือนเด็กวัดมือใหม่ จากนั้นจึงเดินไปยังห้องน้ำ เพื่อทำกิจของตนให้เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะเผชิญกิจของสงฆ์ต่อเนื่องทั้งวัน

     "ไม่กินแล้ว ล้างจานเลยดีกว่า ทำไมวันนี้วุ่นวายจังวุ้ย”

     แล้วอำนาจก็ตัดสินใจเด็ดขาด เจ้าตัวขยับแว่นก่อนหยิบจานชามขึ้นถือ ผมหยิบส่วนที่เหลือแล้วเดินตามเพื่อน กระทั่งมาเจอกันด้านข้างห้องน้ำรวม เราทั้งคู่นั่งยอง ๆ ล้างจานเรื่อยไป

     “โทษทีนะ เพราะเราคนเดียวเลย” ผมกล่าวคำขอโทษสามัญประจำบ้าน

     “เฮ้ย ไม่เกี่ยวกับนาย เป็นความซวยของเรามากกว่า”

     เจ้าตัวไม่ยอมรับคำขอโทษนั้น เพราะรู้ดีว่ามันไม่ใช่เลย ผมต้องขอเท้าความอีกซักครั้ง ถึงมูลเหตุที่สองเราได้มาอยู่ที่นี่ เย็นวันศุกร์ที่ผ่านมานี้เอง หลังหลบหนีทหารมาได้อย่างจวนเจียน ผม อำนาจ และทรงเดช อาศัยรถอีแต๊กลุงฉุยเพื่อกลับบ้าน เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในร้านจักรยาน ผมก็ได้รับบทลงโทษทันที โดยถูกส่งตัวมาเป็นเด็กวัดตั้งแต่ 2 ทุ่ม มีกำหนดเวลาถึงเที่ยงตรงวันอาทิตย์ นับดูคร่าว ๆ ก็อีกประมาณ 24 ชั่วโมง ตามที่ทุกคนรับทราบกันดีแล้ว

     แล้วอำนาจมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร คงเป็นความซวยอย่างที่เจ้าตัวบอก วันศุกร์อันแสนวุ่นวายที่ผ่านมา ผู้ปกครองอำนาจกลับจากกรุงเทพ ทั้งคู่เดินมาคุยกับอาม่าและอี๊บ๊วย โดยไม่ลืมนำของฝากติดไม้ติดมือ

     “เป็นเด็กวัด ! ไม่แรงไปหน่อยเหรอคะ”

     หมอสาซึ่งก็คือแม่ของอำนาจ ทำตาโตพร้อมรีบถามกลับ หลังได้รับทราบชะตากรรมผู้โชดร้าย อาม่าส่ายหัวไปมา ผมสีดอกเลาพริ้วไหวเมื่อโดนพัดลม

     “ไม่แรงหรอกหมอ รักดีหามจั่ว รักชั่วหามสาว” สุภาษิตอาม่าออกจะแปลก ๆ

     “เสาหรือเปล่าคะ” หมอสาแอบยิ้ม “แต่สาว่าแรงไปนิด นายคนเดียวถือของยังไงไหว”

     “ไหวสิ” หญิงชราค้านหัวชนฝา “ตัวใหญ่อย่างกับหมีควาย เด็กวัดตัวน้อยยังทำได้เลย นี่ถ้าอาตี๋ทำไมได้นะ อั๊วจะส่งไปใช้แรงงานที่ไซบีเรีย ให้ไปอยู่กับอาก๋งของมันโน่น”

     เจ้าของร้านจักรยานโยงเรื่องในอดีต ครั้งสมัยสามีเธอยังเป็นวัยรุ่น ผมไม่รู้นะว่านี่เป็นเรื่องจริง หรืออากงแต่งเรื่องขึ้นมากันแน่ แต่ทุกครั้งที่โดนอาม่าทำโทษ ก็มักจะได้ยินวลีเด็ดประโยคนี้เสมอ

     หมอสาส่งยิ้มให้เช่นเคย เพราะเธอเองได้ยินบ่อยครั้ง เจ้าตัวหันไปมองหน้าสามี ซึ่งทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ให้ เนื่องจากหมอประสาทนั้นนกรู้ ว่าไม่ควรพูดอะไรซักประโยค ภรรยาจึงพึ่งพาอาศัยไม่ได้

     “แบบนี้ดีกว่าค่ะ” หมอสาตัดสินใจเด็ดขาด แววตาเธอเหมือนอำนาจตอนเอาจริง “สาจะให้ลูกชายไปอยู่วัดด้วย เพราะกลับบ้านดึกเหมือนกัน ต้องโดนลงโทษเหมือนกัน”

     การตัดสินใจของหญิงผู้มาเยือน ทำให้หญิงผู้เป็นเจ้าบ้านแปลกใจ อี๊บ๊วยรีบแย้งทันที

     “จะดีหรือสา บ๊วยว่าลูกชายเธอไม่เกี่ยวนะ”

     “ดีสิบ๊วย แบบนี้ดีที่สุดแล้ว เหมือนพวกเราสมัยก่อนจำได้ไหม”

     หมอสาตอบกลับอย่างเป็นกันเอง คู่สนทนาจึงพลอยโล่งใจ ถึงตอนนี้เพื่อน ๆ คงรู้แล้ว ว่าอี๊บ๊วยและแม่ของอำนาจเป็นเพื่อนกัน ทั้งคู่เรียนด้วยกันจนจบมัธยมปลาย ก่อนต้องแยกย้ายสุดแท้แต่เวรแต่กรรม

     น้าสาวของผมไม่ได้เรียนต่อ เพราะต้องดูแลแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ส่วนหมอสาสอบติดแพทย์แห่งหนึ่ง และได้เป็นคุณหมอสมใจหวัง เธอเรียนจบช้ากว่ากำหนด 1 ปี ด้วยเหตุว่ามีครอบครัวและลูกน้อย เพื่อนผมจึงมีคุณแม่ยังสาวที่แสนน่ารัก แต่ไม่รู้เจ้าตัวจะดีใจหรือเปล่า ถ้าได้ยินคำสั่งประหารในคืนนี้

     สาเหตุนี้เองทำให้อำนาจ ต้องมานั่งจุมปุ๊กข้างห้องน้ำพร้อมผม แม้ว่าเขาพยายามทักท้วงซักเพียงไหน ผู้เป็นแม่ก็ไม่ยอมคล้อยตาม แล้วอำนาจผู้ไม่มีอำนาจอะไรเลย จึงกลายเป็นเด็กวัดด้วยประการฉะนี้

     แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ ที่ทำให้พวกเรานั่งหาวเป็นดาวเป็นเดือน จริงอยู่ว่าง่วงนอนด้วยกันทั้งคู่ เพราะคืนวันพฤหัสกลับบ้านดึกมาก อีกทั้งวันศุกร์ต้องเผชิญเรื่องวุ่นวาย ความอ่อนเพลียสะสมย่อมมีแน่ แต่พวกเราเป็นคนกินง่ายนอนง่าย หลังได้ที่พักซึ่งก็คือห้องเก็บของ ผมกลางมุ้งเสร็จก็หลับสนิท ส่วนอำนาจฟิวส์ขาดตั้งแต่เข้าห้อง แล้วพวกเราก็เข้าสู่นิทรานคร

     เวลาตอนนั้นประมาณ 4 ทุ่ม ทั่วทั้งวัดเงียบสนิทอย่างกับป่าช้า ได้ยินแค่เสียงแม่แมวร้องเหมียว ๆ ไม่รู้หล่อนตามหาลูกหรือตามหาพ่อ แล้วผมก็เริ่มฝันถึงเรื่องเดิม เป็นเรื่องที่มักฝันถึงบ่อยครั้ง เวลาที่ร่างกายอ่อนเพลียหรือไม่สบาย จะเรียกความฝันวนกลับก็คงได้ เพราะเริ่มสตาร์ทที่จุดเดิมอยู่ร่ำไป เนื้อหาทั้งปวงเหมือนเดิมทุกประการ

     “กริ๊ง…! กริ๊ง…! กริ๊ง…! กริ๊ง…!”

     ขณะที่พวกเรากำลังหลับลึกอยู่นั้น พลันมีเสียงโทรศัพท์ดังกระหื่มหู ต้องขอบอกซักนิดนะครับ ว่าโทรศัพท์ตั้งอยู่หน้าห้องเก็บของ เป็นจุดวางโซฟาให้หลวงพ่อนั่งทำงาน

     “อำนาจ รับโทรศัพท์ที”

     หลังมั่นใจว่าเป็นโลกความจริง ผมจึงเรียกเพื่อนพลางใช้เท้าสะกิด นั่นก็เพราะอำนาจนอนใกล้ประตู

     “ให้มันดังไป เดี๋ยวก็เงียบเองแหละ” อำนาจบอกปัดเพราะง่วงมาก

     “หลวงพ่อให้รับโทรศัพท์ด้วย จำไม่ได้เหรอ” ผมจึงต้องบอกซ้ำ

     “แต่นี่มันดึกแล้วนะ ใครจะบ้าโทรมาที่วัด” อำนาจไม่เห็นด้วย

     “ก็เพราะไม่รู้นี่ไง ถึงต้องออกไปรับ” ผมต้องกระตุ้นรอบที่สาม

     หลังโยนกันไปโยนกันมาอยู่พักหนึ่ง เสียงกริ๊ง ๆ ที่ได้ยินก็เงียบไป พวกเราก็เลยเงียบเสียงตาม แล้วหลับตานอนต่อไปเหมือนเดิม จากนั้นไม่นานนักมันก็ดังขึ้นอีก

     “สวัสดีครับ ต้องการคุยกับใครไม่ทราบ”

    คนที่รับสายก็คืออำนาจ หลังหมอนี่เล่นตัวไปรอบหนึ่งแล้ว ครั้นโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง ผมตัดสินใจยันโครมเข้าที่สะเอว อำนาจปลิวกระเด็นออกนอกมุ้ง แล้วเดินบ่นอุบไปรับโทรศัพท์

    “จอย.. ซักครู่นะ” นายสี่ตาหันมาที่ผม “เฮ้ย เขาจะคุยกับหลวงพี่จอย”

    “หลวงพี่จอย” ผมทวนคำพูดพลางลืมตาขึ้น “ไม่น่ามีนะ ผู้ชายอะไรชื่อจอย”

     “นั่นสิ” อำนาจหันกลับไปตอบ “ไม่มีพระชื่อจอยนะครับ สงสัยคุณจะจำผิด”

     เพื่อนผมคุยโต้ตอบอยู่พักหนึ่ง ก่อนวางสายแล้วเข้ามานอนต่อ ผมเหลียวมองนาฬิกาบนฝาผนัง แสงเหลืองนวลของพระจันทร์ส่องผ่านหน้าต่าง คำนวนดูแล้วอีกสิบห้านาทีจะตีสาม คนแบบไหนกันโทรหาพระเวลานี้ เขาอาจมีเรื่องทุกข์ใจก็เป็นได้ แต่เขาวางสายไปแล้วนี่ และผมเองก็ควรพักผ่อน จึงข่มตานอนเหมือนเก่าได้

     ไม่ทันหลับสนิทซักเท่าไหร่ โทรศัพท์เครื่องเดิมก็ส่งเสียงกวนประสาท ผมตัดสินใจเดินไปรับสาย

     “วัดหมูแดงครับ อะไรนะ จอย… ที่นี่ไม่มีพระชื่อจอยนะคุณ”

     ปลายสายถามหาคนชื่อจอยอีกแล้ว น้ำเสียงอู้อี้มากแทบฟังไม่รู้เรื่อง ผมรับรู้ได้ประหนึ่งว่าเป็นโคนัน ว่าทางนั้นเมามากจนถึงมากที่สุด อีกทั้งน่าจะมีอายุพอสมควร วัยรุ่นที่ไหนเรียกตัวเองว่าเด็กฮาร์ด

     “หลวงพี่จ่อยหรือเปล่าครับ” ผมตอบกลับพลางคิดถึงพระบวชใหม่

     “ม่ายช่ายยย…” ปลายสายพยายามอธิบาย “น้องจอยซู่ส์ซ่าส์บะลั่กกั๊กคนนั้นไง”

     “บะลั่กกั๊กเสียด้วย” ผมทวนคำพูดแล้วคิดตาม“โทรผิดหรือเปล่าลุง”

     “ม่ายยย…ผิด สยิวกิ้วแบบนี้มีคนเดียว” อีกฝ่ายยืนยันน้ำเสียงกรุ้มกริ่ม คงไม่ใช่แค่เมาอย่างเดียวแล้ว “น้องจอยให้เบอร์โทรป๋ามา ป๋าชิไปร้องเกะกับเพื่อนที่ร้านกุจะหลอก แล้วน้องจอยมาขายเบียร์กับป๋า ป๋าก็เลยเหมาหมดเพื่อโชวป๋า นี่ป๋าจะชวนน้องจอยไปกินต่อ อย่างที่ป๋าบอกว่าป๋าไม่ใช่แค่ป๋า แต่ป๋า…”

     ทางโน้นแจ้งความประสงค์ไปเรื่อยเปื่อย เสียงที่ได้ยินอู้อี้หนักกว่าเก่า ผมเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว พ่อยอดนักรักได้เบอร์โทรเด็กเชียร์เบียร์ เลยอยากสานสัมพันธ์ต่อนั่นเอง

     “ขอโทษนะครับ ที่นี่วัดหมูแดง ไม่มีผู้หญิงชื่อจอยแน่นอน”

     ผมพยายามชี้แจงด้วยความใจเย็น ว่าลุงโดนเด็กหลอกแน่แล้วงานนี้ ทว่าฝ่ายโน้นยังคงไม่เชื่อ หาว่าผมโกหกไม่ยอมให้คุยด้วย จึงต้องอธิบายความกันเสียยืดยาว เราทวนเบอร์โทรศัพท์กันอีกรอบ พบว่าเลขหมายทุกตัวตรงกันเป๊ะ ผมคิดได้เพียงเรื่องเดียวว่า น้องจอยซู่ส์ซ่าส์คงรู้จักที่นี่ เห็นจวนเข้าเลยแจกเบอร์วัดให้ ป๋าชิคนนี้ก็เลยโดนเด็กหลอก ชื่อร้านคาราโอเกะก็บอกอยู่โต้ง ๆ ว่าคืนนี้กุจะหลอกเมิงแล้วนะ ทำไมไม่รู้จักอ่านเสียบ้าง

     “คนเดิมล่ะสิ ขอสายน้องจอยแม่แตงร่มใบ” อำนาจแขวะใส่เมื่อผมถึงห้อง

     “สงสัยลุงคนนี้เมามาก เราฟังแกพูดไม่รู้เรื่องเลย”

     ผมตอบกลับขณะมุดเข้าผ้าห่ม อากาศกลางดึกค่อนข้างหนาวเหน็บ แค่เพียงเข้าวัดได้ไม่กี่ชั่วโมง ก็ได้เรียนรู้วิชาศีล 5 ชนิดทันควัน กาเมสุมิสฉาจารา เวรมณี หมายถึง การละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม สุราเมรยมัฌชปะมาทัตถานา เวรมณี หมายถึง การละเว้นจากการดื่มสุราเมรัยทุกชนิด ถ้าเราทำผิดศีลก็จะเป็นอย่างป๋าคนนี้

     “เราว่านะ” อำนาจคุยด้วยทั้งที่หลับตา “ลุงแกต้อง หัวล้าน ตัวดำ พุงออก และหลงตัวเองแน่”

     เมื่อได้ฟังสิ่งที่เพื่อนสาธยาย จึงเริ่มคล้อยตามอย่างช่วยไม่ได้ ความคิดแวบหนึ่งเข้ามาในหัว ปรากฎเป็นใบหน้าผอ.ยอดรัก ผมรีบสลัดความคิดทั้งหมดทิ้ง แล้วคลุมโปงเพื่อนอนต่อ ไม่ดีเลยถ้าคิดแบบนี้กับอาจารย์ ตอนนี้อยู่ในวัดยิ่งแย่ไปใหญ่ หลายวันที่ผ่านมาผมเจอเรื่องราวมากมาย จนจิตใจเริ่มแบ่งออกเป็นสองด้าน

     เสียงกรนจากอำนาจดังเข้าหู นี่คืออุปสรรคเรื่องใหม่สินะ อำนาจมักมานอนกับผมเสมอ แต่ไม่เคยเห็นเขากรนซักที คงเป็นเพราะร่างกายอ่อนเพลียมาก คิดได้ดังนั้นจึงข่มตานอนต่อ

     “พี่ตื่น พี่ตื่น พี่ตื่น…”

     เสียงเคาะข้างฝาห้องดังโครมคราม ไม่แน่ใจว่าตัวเองหลับหรือยัง แสงสว่างส่องทะลุประตูไม้ เป็นสัญญานว่ากุฏิเปิดไฟแล้ว ศาลาและกุฏิวัดหมูแดงอยู่รวมกัน เป็นเรือนไทยทั้งหลังขนาดใหญ่ สร้างด้วยไม้เก่ายกพื้นสูงเหนือหัว มีเฉลียงยื่นออกมาด้านหน้าศาลา ด้านที่เหลือกั้นด้วยไม้ฝาแผ่นเบ้อเริ่ม

     ถัดจากส่วนรับรองแขกบริเวณด้านหน้า จะพบลานกว้างอยู่กลางเรือนไทย ยกสุงขึ้นจากพื้นประมาณครึ่งเมตร ฝั่งซ้ายเป็นที่ตั้งของพระประธาน โต๊ะหมู่บูชาวางไว้เคียงข้างกัน ถัดมาเป็นพื้นที่สำหรับหอฉัน ปูด้วยเสื่อขนาดใหญ่พับเก็บได้ สามารถปรับเปลี่ยนเป็นศาลาบาตร รวมทั้งอาสน์สงฆ์ในช่วงงานบุญได้ วัดเล็ก ๆ มักเป็นแบบนี้แหละครับ

     กุฏิจำนวน 8 หลังตั้งอยู่ล้อมรอบ สำหรับพระสงฆ์หรือเณรน้อยห้องล่ะรูป แค่กั้นฝาประจันเพื่อแบ่งพื้นที่ ก็จะได้กุฏิขนาดพอประมาณ ตกแต่งเรียบง่ายไม่เว้นห้องเจ้าอาวาส มีห้องน้ำจำนวน 6 ห้องอยู่ด้านขวา แบ่งแยกชายหญิงด้วยการติดป้ายขนาดจิ๋ว ซ้ายสุดของเรือนเป็นส่วนหอระฆัง ตรงนั้นเองมีบันไดลงไปสู่เมรุ ใช้เป็นทางเดินของพระช่วงที่มีงาน

     ระหว่างที่ผมพรรณาโวหารอยู่นี้เอง เสียงเคาะประตูก็ยังคงดังตลอดเวลา เสียงเรียก พี่ตื่น…พี่ตื่น… ก็เช่นกัน จึงกลั้นใจลุกขึ้นอีกครั้งอย่างเอื่อยเฉื่อย

     “มีอะไรเรียกพี่กลางดึก ไม่หลับไม่นอนหรือไงเรา”

     ผมหาวฟอด ๆ ขณะที่พูด เมื่อรู้ว่าคนเรียกคือปานและติ่ง คู่หูนรกแตกรีบแย่งกันตอบ

     “ดึกที่ไหนกัน ตีสี่ครึ่งแล้วนะพี่” ติ่งชิงตอบได้ก่อน

     “หลวงพ่อให้มาเรียกไปล้างหน้า” ปานไม่ยอมแพ้เพื่อน

     “ตี่สี่ครึ่ง ! หลวงพ่อเรียกไปทำไม” ผมเริ่มตาสว่างทันควัน

     “สวดมนต์ทำวัตรเช้าสิพี่ รู้อะไรบ้างเนี่ย” ติ่งชายตามองประหนึ่งเยาะเย้ย

     “แม่นแล้ว สวดเสร็จก็ต้องบิณฑบาตต่อ รีบเลยพี่” ปานโชว์ความรู้บ้าง

     “เออรู้แล้ว เดี๋ยวตามไป ปลุกเพื่อนก่อน”

     ผมได้ทำการหาวเป็นครั้งสุดท้าย พลางคำนวนว่าได้นอนเท่าไหร่แล้ว พอหันกลับหลังเท่านั้นเอง ก็เจอหลวงพ่อย้อยเดินสวนมา แววตาเจ้าอาวาสเปี่ยมไปด้วยความเมตตา เด็กวัดหน้าใหม่จึงใจชึ้นขึ้นมาบ้าง พระสงฆ์เดินผ่านผมน้อมตัวลงยกมือไหว้ คล้อยหลังท่านจึงรีบเผ่นไปปลุกเพื่อน แล้วลากตัวเข้าห้องน้ำอย่างเร่งด่วน

     พวกเรารีบกลับมาให้เร็วที่สุด แต่ก็ยังไม่เร็วพอสำหรับพิธีกรรม พระสงฆ์จำนวน 5 รูป รวมทั้งเด็กวัดอีก 2 เด็ก กำลังสวดมนต์ทำวัตรเช้าหน้าพระประธาน ถึงบวชสวดเพื่อบูชาพระรัตนตรัย สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ แปลได้ว่าพวกเรามาช้าหน่อยเดียว ไม่น่าเกลียดเท่าไหร่หรอกน่า ผมพูดแก้ตัวในใจ

     ผู้มาใหม่เข้ารวมกลุ่มอย่างเงียบกริบ พลางท่องบทสวดมนต์ผิด ๆ ถูก ๆ ไปตามเนื้อเพลง ติ่งและปานหันมายิงฟันขาวเยาะเย้ย จึงต้องดุให้ตั้งใจสวดมนต์เสียหน่อย

     “กริ๊ง…! กริ๊ง…! กริ๊ง…! กริ๊ง…!”

     ไม่ทันจะครบ 5 นาทีดี เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกหน ผมหันไปมองนาฬิกาตั้งพื้น อีกสิบห้านาทีถึงจะตีห้า ใครกันนะโทรมาแต่เช้าตรู่ ไม่คิดมาก่อนว่าอยู่วัดจะวุ่นวายมาก

     “วัดหมูแดงครับ” ผมรีบเดินไปรับโทรศัพท์ เพราะไม่อยากให้พระต้องหยุดสวด

     “ท่านเจ้าประคุณเจ้าคะ ช่วยอิฉันด้วยเจ้าค่ะ ไอ้แก่ของอิฉันไม่อยู่แล้ว…”

     ปลายสายตอบกลับพร้อมเสียงสะอื้น ปริ่มว่าจะขาดใจตายให้จงได้ ทำเอาคนฟังถึงกับสะดุ้งโหยง ท่านเจ้าประคุณเชียวหรือเรา นรกจะกินกบาลก็คราวนี้แหละ

     “โทษนะครับ ผมเป็นเด็กวัด เรียกน้องหรือหลายชายน่าจะดี” ผมรีบอธิบายด้วยเกรงใจ

     “อ้าว แล้วแกจะรับสายทำไม ไปตามหลวงพ่อมาเดี๋ยวนี้” ทางนั้นหัวเสียทันควัน

     “หลวงพ่อทำวัตรเช้าอยู่ รวมทั้งพระทุกรูปด้วย ป้าเชื่อผม… ไอ้แก่ของป้าไม่ได้อยู่ที่นี่”

     ดูเหมือนเรื่องราวจะซ้ำซ้อนกับหนังตัวอย่าง สามีของป้าคงหนีเที่ยวกลางคืน หล่อนก็เลยโทรมาตามที่วัด เพราะคิดว่าลุงแอบมานอนที่นี่ เห็นจะไม่ผิดเพี๊ยนไปจากนี้แน่ ประสบการณ์ครั้งล่าสุดยืนยันได้

     ผมคิดในใจเรื่องหนึ่งแต่ไม่ได้พูด ว่าป้าควรโทรไปที่ร้านกุจะหลอกมากกว่า สามีป้าคงเป็นเพื่อนของป๋าชิ และตามหาน้องบะลั่กกั๊กกันอยู่ ความคิดด้านเลวดึงผมไปไกลลิบ ความคิดด้านดีจึงรีบห้ามปรามไว้

     “ไอ้เด็กเวร นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ”

     ปลายสายขึ้นเสียงใส่ทันที ก็สมควรกับเหตุและผลแล้ว หล่อนพยายามชี้แจงทั้งที่สะอื้นไม่หยุด

     “ไอ้แก่ของฉัน มัน มัน… มันตายแล้ว !!!”

                      ---------------------------------------------

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา