นิยาย : I Choose You Baby! ประกาศรักจับใจยัยตัวดี



(แก้ไขเนื้อหาล่าสุดเมื่อ โดย เจ้าของบทความ)
chapter 1. Midnight Speed Party
( แก้ไขเมื่อ วันที่ 11 ม.ค. 2561 19:12 น. โดย เจ้าของบทความ )
Chapter 1
Midnight Speed Party
ยามค่ำคืนที่แสนสงบเช่นนี้หลายคนคงจะได้อยู่บ้านพักผ่อนโดยการดูพระเอกสุดฟินในละครหลังข่าวและนอนหลับฝันดีอยู่บนเตียงแสนอุ่นแล้ว ต่างจากฉันที่เพิ่งจะมีโอกาสได้ชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นน้ำมันเครื่องในเวลาเที่ยงคืนกว่าเช่นนี้บวกด้วยบรรยากาศยามดึกดื่นที่ช่างเป็นใจเหลือเกิน ทั้งอากาศเย็นฉ่ำในห้องนอนและความเงียบที่มีเพียงเสียงไอ้แดงเจ้าถิ่นประจำซอยส่งเสียงน่าขนลุกแว่วมาจากท้ายซอยเท่านั้น มันก็เลยทำให้ฉันออกจะเคลิ้มๆ จนหนังตาแทบจะปิดอยู่แล้ว
ปึง! ปึง! ปึง!
“เจ๊เปอร์ๆๆ เจ๊คูเปอร์!”
โป๊ก!
“โอ๊ย!” ฉันร้องลั่นเมื่อหัวโขกเข้ากับขอบเตียงอย่างจังเพราะการสัปหงกทั้งที่ผมบนหัวยังไม่แห้งดี
“เจ๊เปอร์เรื่องด่วนเปิดประตูหน่อยโว้ย!” เสียงตะโกนอันคุ้นเคยดังแหวกความเงียบขึ้นมาอีกครั้งกลบเสียงทุบประตู แม้จะหงุดหงิดไม่น้อยแต่ฉันก็หอบความง่วงงุนลงไปหาไอ้อาร์มลูกน้องที่อู่ซึ่งเขย่าประตูบ้านจนแทบพังแล้ว
"เจ๊เปอร์!"
แก๊ก แก๊ก แอ๊ดดด~
“เออๆ มาแล้วแหกปากอยู่ได้ อยากให้เฮียผดุงตื่นมาด่าพ่อหรือไง” ฉันแว้ดใส่อาร์มให้เงียบเสียงลงเพราะไม่อยากให้พ่อบังเกิดเกล้าของตัวเองตื่นขึ้นมาด่าซ้ำ “แล้วมีเรื่องอะไรถึงได้มาตะโกนดึกดื่นป่านนี้เนี่ย”
“โทษทีเจ๊แต่นี่มันเรื่องด่วนคอขาดบาดตายเลยนะเจ๊เปอร์” อาร์มรีบละล่ำละลักบอกทันทีพร้อมเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้า
“มีใครเป็นอะไรอีกล่ะ”
“ตอนนี้ยังไม่มีแต่กำลังจะมีแน่ ถ้าเราไม่รีบไปตอนนี้น่ะเจ๊” ไอ้ตัวขัดการนอนบอกพลางดึงแขนฉันให้เคลื่อนตัวออกไปให้พ้นจากประตูบ้าน
“เฮ้ยๆ จะไปไหน!? นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ” ด้วยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุฉันจึงรีบค้านด้วยการเอามือเกี่ยวขอบประตูบ้านไว้อย่างเหนียวแน่นยิ่งกว่าตีนตุ๊กแก
“ไปเร็วๆ เจ๊! เดี๋ยวเล่าให้ฟัง วิ่งไปฟังไปนะ” มันเซ้าซี้แล้วออกแรงดึงสุดแรงแต่ไม่ได้ผลกับฉันที่สูงเกือบร้อยแปดสิบเซ็นต์แถมตัวยังหนากว่ามันตั้งหลายเท่า ฉันจึงกระชากไอ้อาร์มกลับมาได้อย่างง่ายดาย
เอี๊ยด!
“ไอ้อาร์ม! มัวทำอะไรวะ บอกว่าให้รีบพาคูเปอร์มาไง”
“อ้าว! พี่บาสมาทำอะไรดึกดื่นน่ะ” เมื่อเห็นว่าผู้มาหยุดสงครามชักเย่อของพวกเราคือพี่บาสหนุ่มคมเข้มมายไอดอล ฉันจึงโบกหัวไอ้อาร์มไปหนึ่งทีเพื่อให้มันหยุดดึงฉันเสียทีและจัดการเดินเข้าไปหาพี่บาสที่จอดรถอยู่บริเวณหน้ารั้วบ้าน
“เฮ้อ...ใช้อะไรไม่เคยได้เรื่องเลยนะไอ้อาร์ม” พี่บาสบ่นอย่างเหนื่อยหน่ายขณะที่ยื่นหน้าออกมาจากหน้าต่างรถฝั่งคนขับ “เปอร์...อยากฟังข่าวดีหรือข่าวร้ายก่อน”
“หืม...มีใครเป็นอะไรจริงๆ เหรอเนี่ย” ฉันถามตาโตขึ้นมาอีกสามเลเวลเมื่อเจอคำถามเช่นนี้ในเวลาดึกดื่นย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่
“ปอร์เช่...”
อีกแล้ววว! ได้ยินชื่อนี้ทีไรมีเรื่องตลอด!
“หยุด! ถ้าเป็นเรื่องไอ้ปอร์เช่นะพี่บาส เปอร์ขอข่าวดีก่อนดีกว่า” ฉันรีบบอกอย่างใจคอไม่ดี
“ข่าวดีคือ...พี่รู้ว่าตอนนี้ไอ้ปอร์อยู่ที่ไหน”
-_-^
เอ่อ...ข่าวดีตรงไหนฟ่ะ ฉันก็รู้ว่ามันอยู่ไหน ก็มันขอไปนอนบ้านเพื่อนตั้งแต่เมื่อวานแล้วน่ะสิ
“คือ...พี่บาสอันนี้เปอร์ก็รู้นะ ก็บ้านไอ้ไก่เพื่อนมันไง”
“เฮ้อ...เชื่อมันเหรอ...งั้นข่าวร้ายเลยแล้วกันนะ ตอนนี้ไอ้ปอร์เช่มันแอบเอารถไปแข่งอยู่ที่สนามแข่งนอกเมืองโน่น”
“ฮะ! เป็นไปได้ไงพี่ก็รถยังจอดอยู่นี่เลยอะ” ฉันชี้ไปยังรถฮอนด้าซิตี้สีดำของบ้านเราที่ยังคงจอดนิ่งสนิทอยู่ในโรงรถ
“คิดว่ามันจะเอารถบ้านๆ แบบนั้นไปแข่งหรือไงฮะเปอร์”
“เอ้า! แล้วมันจะ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยคภาพรถสปอร์ตคันหรูสีเขียวสดของลูกค้าวีไอพีที่เพิ่งทำเสร็จไปเมื่อตอนบ่ายก็ลอยเข้ามาในหัวทันที
มะ -- มะ -- ไม่จริงใช่ไหม! O[]O
คำถามที่แสดงออกทางสีหน้าของฉันได้คำตอบกลับมาจากใบหน้าคมเข้มกับคิ้วที่ขมวดเป็นปมยิ่งกว่าเชือกเงื่อนตายทำให้รู้ว่าหายนะกำลังมาเยือนชีวิตตัวเองก็คราวนี้ เมื่อตั้งสติได้ฉันจึงรีบคว้าประตูรถอีกด้านกระโดดเข้าไปนั่งอย่างไม่รีรอ ทิ้งความตั้งใจที่จะนอนออกไปจากหัวโดยทันที ส่วนสมุนตัวจ้อยอย่างไอ้อาร์มก็รีบตามมานั่งที่เบาะหลังอย่างรู้งานและเมื่อคนพร้อม...พี่บาสก็ทำหน้าที่ตีนผีออกตัวรถในทันที
เราขับรถออกมาจนถึงชานเมืองแล้วแต่บรรยากาศในรถก็ยังคงเงียบเป็นป่าช้าซึ่งสวนทางกับเสียงความเร็วรถด้านนอกที่ดังก้องถนน เพราะการจราจรที่ไหลลื่นมีเพียงรถไม่กี่คันบนท้องถนนทำให้พวกเราที่มุ่งตรงออกไปยังสนามแข่งรถชื่อดังแถบชานเมืองสามารถใช้ความเร็วเกินกำหนดได้ แม้มันจะอันตรายและผิดกฎหมายแต่ในหัวของฉันตอนนี้มีเพียงรถสปอร์ตสีเขียวให้ต้องคำนึงถึงมากกว่าด่านตำรวจหรือค่าปรับที่จะตามมาในภายหลัง แต่โชคดีที่ดูเหมือนว่าวันนี้จะไร้ซึ่งคุณตำรวจตัวเป็นๆ มีก็แต่จ่าเฉยที่ยืนซุ่มอยู่ตามหัวมุมถนนทำท่าสวัสดีตั้งแต่ปีที่แล้วยันปีหน้าเท่านั้นเองที่เห็นว่าพี่บาสขับรถได้ตีนผีขนาดไหน
และถ้าให้เท้าความถึงไอ้ตัวก่อปัญหาที่ทำให้ฉันเครียดจนเส้นประสาทจะแตกในเวลานี้ก็คือ ‘ปอร์เช่’ ลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ในความดูแลของครอบครัวเรามาตั้งแต่เด็กจึงเป็นเสมือนน้องชายแท้ๆ และถ้าไม่นับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่มันก่อขึ้นตามประสาเด็กผู้ชาย ไอ้ปอร์เช่ก็ถือเป็นน้องชายที่ดีสำหรับฉันเลยทีเดียวแต่วันนี้มันคงกลายเป็นไอ้น้องชั่วไปในพริบตา เมื่อริอาจขโมยรถของลูกค้าโคตรวีไอพีของอู่เรามางานแข่งรถนอกกฎหมายแบบนี้ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันเอาสมองส่วนไหนคิดมันถึงก่อปัญหาร้ายแรงขนาดนี้ได้
แม้ว่ารถคันนี้จะไม่ธรรมดาและล่อตาล่อใจให้ลองขับมันสักครั้งเพราะพวกเราจัดการแต่งมันซะหล่อเหลาแถมยกเครื่องใหม่จนความเร็วทะลุนรกยิ่งกว่ารถเมล์สายแปดให้กับเจ้าของกระเป๋าหนักนามว่าเฮียแขก ซึ่งเป็นเจ้าพ่อธุรกิจการเงินขาโหดที่โคตรโฉดสุดๆ เป็นลูกค้าของพ่อมานานหลายปีและเราไม่เคยทำงานพลาดแต่ครั้งนี้ไม่ใช่แค่พลาดนะแต่จะบรรลัยกันทั้งชาติต่างหากล่ะ!
ถ้าฉันไปตามเอารถกลับคืนมาในสภาพเดิมไม่ได้คงไม่ใช่แค่ต้องรับมือกับเฮียผดุงธรรมพ่อบังเกิดเกล้าเท่านั้นแต่ยังต้องเจอกับอาบังอย่างเฮียแขกที่ด่าไม่ค่อยชัดแต่ชอบซัดด้วยลูกปืน =[]= เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าคูเปอร์คนนี้จะหลงไหลคลั่งไคล้รถมากแค่ไหนก็ไม่ได้อยากตายเพราะรถหรอกนะ แล้วจากสถานการณ์นี้ไม่ใช่แค่ฉันหรอกที่ต้องรับผิดชอบรถคันนี้น่ะเพราะน้องเตี้ยที่นั่งอยู่เบาะหลังอย่างอาร์มที่มีหน้าที่นอนเฝ้ารถที่อู่น่ะสิ...ดูก็รู้ว่ามันวิตกกังวลไม่น้อยเลย
“เจ๊เปอร์”
“หือ”
“ถ้ารถมันเจ๊งขึ้นมา เราไม่ต้องใช้หนี้หัวบานเลยเหรอเจ๊”
-_-
“มันไม่พังหรอกน่า...แกไม่เชื่อฝีมือพวกเราหรือไง รถเฮียแขกโคตรเจ๋งขนาดนั้นไม่พังง่ายๆ หรอก” ฉันปลอมใจไอ้อาร์มพร้อมบอกตัวเองไปด้วย
“ถ้างั้นสีอาจถลอก...แค่สีก็ปาไปกี่บาทแล้ว มันก็เข้าเนื้อเราดิถ้าต้องทำใหม่อะ”
-_-”
“เออน่า...ถ้าแค่สีก็ยังดีกว่าเครื่องพัง” ฉันมองโลกในแง่ดีเข้าไว้
“แต่...ถ้ามันขับแล้วรถคว่ำอะเจ๊”
-_-^ มันก็ตายไง...
“ไอ้ปอร์มันไม่ขับรถห่วยขนาดนั้นหรอก” แม้จะคิดแบบนั้นแต่ฉันก็ยังปลอบใจไอ้คนขวัญหายว่าเรามันสายเลือดนักแข่ง จับรถกันมาตั้งแต่เด็กเพราะฉะนั้นฉันมั่นใจในตัวน้องชายในระดับหนึ่ง แม้ในใจจะขอให้มันตายดีกว่าพิการ...อย่าหาว่าแช่งเลยนะไอ้ปอร์ -_-^
“หรือมันอาจแข่งแพ้ แล้วเป็นหนี้ก้อนโตไม่ต้องมาตามล้างหนี้กันยันชาติหน้าเลยเหรอเจ๊หรือขั้นร้ายสุด...โดนยึดรถแล้วไม่ได้คืน แล้วถ้าเฮียแขก --”
“โว้ย! ไอ้อาร์มเลิกใช้ประโยคอีฟคอร์สสักทีเหอะ เครียดจะตายอยู่แล้วเนี่ย!” ฉันว่าพลางขยี้หัวไม่สนผมสั้นประบ่าที่ยังคงชื้นอยู่ว่าจะกระเซิงมากขึ้นไปอีก อุตส่าห์คิดจะปลอบใจน้องทำตัวเป็นพี่ที่พึ่งพิงได้แต่ตอนนี้มันทำให้ฉันเครียดหนักกว่ามันแล้วนะ!
และเพราะอาการสติแตกของฉันทำให้อาร์มเงียบเสียงลงได้แต่มันก็เหมือนจินตนาการที่พลุ่งพล่านไปแล้วน่ะสิ จึงทำให้ฉันต้องหาหนทางแบบคนฉลาดพึงมี “เปอร์ย้ายร้านดีไหมพี่บาส”
“ย้ายทำไม”
“ก็...ก็ถ้าสถานการณ์มันเข้าขั้นเลวร้ายอย่างไอ้อาร์มบอก เปอร์กับพ่อก็ไม่มีปัญญาใช้หนี้หรอกนะและก็ไม่อยากหมดทางทำมาหากินด้วย”
“คิดว่าย้ายแล้วจะรอดเหรอวะเปอร์ ไม่ต้องย้ายไปแอฟริกาเลยหรือไงถึงจะรอดน่ะ”
“ไม่ต้องไกลขนาดนั้นหรอกพี่บาส แค่หาทำเลใกล้ๆ ฟาร์มหมูหรือไม่ก็โรงเชือดหมูอะน่าจะเวิร์ค”
“เปอร์...”
“เข้าท่าใช่ไหมพี่” ^-^
“ลงไปเล่นนอกรถไป”
TOT
แล้วทำไมต้องถอนหายใจแรงเบอร์นั้นด้วยอะพี่บาสทั้งที่ฉันจริงจังนะเว้ยไม่ได้คิดเล่นๆ นะ ถึงแม้จะดูปัญญาอ่อนและจนตรอกไปหน่อยแต่เฮียแขกก็เป็นอาบังที่เกลียดหมูสุดชีวิตยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ถ้าเกิดเฮียแขกบ้าระห่ำเพราะลูกรักคันนี้เป็นอะไรไปฉันจะทำยังไงล่ะ ชีวิตฉันทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยเนี่ย T^T แถมต้องคอยปกปิดเฮียผดุงไม่ให้รู้อีกไม่เช่นนั้นคงได้ตายหมู่ซ้ำซากแน่นอน
“โอ้โฮ! คนโคตรเยอะเลยว่ะพี่บาส แล้วเราจะเข้าไปได้ไงล่ะ”
ความคิดของฉันยังไม่ทันเข้าที่เข้าทางเสียงจากเบาะหลังก็ร้องบอกอย่างตื่นเต้นทำให้รู้ว่าพวกเรามาถึงทางเข้าสนามแข่งรถหรูอย่าง ‘AP Speedway’ ธุรกิจที่เป็นการร่วมทุนกันระหว่างบริษัทยานยนต์ยักษ์ใหญ่ของไทยกับญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่สนใจไม่น้อยของนักแข่งทั้งเอเชียและยุโรป แม้จะมีการแอบจัดงานไม่เป็นทางการขึ้นในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ พวกคลั่งไคล้ความเร็วก็ยังมารอเพื่อเข้างานราวกับรถติดแถวสุขุมวิท เจ้าของงานคงเส้นใหญ่น่าดูในเมื่องานอึกทึกขนาดนี้ยังไม่มีตำรวจมาคอยสอดส่องเลยสักคนเดียว
“เดี๋ยวพี่โทรหาเพื่อนก่อนนะ มันบอกว่าเข้าได้เฉพาะพวกมีบัตรน่ะ อาจจะพาเราเข้าไปในงานได้”
“ถ้าต้องมีบัตรเข้างานแบบนี้ พี่บาสแน่ใจเหรอว่าไอ้ปอร์มันอยู่ที่นี่น่ะ มันไม่น่ามีปัญญาหาบัตรเข้าไปได้นะ” ดูจากความสามารถของไอ้ปอร์น้องชายฉันแล้ว มันไม่น่ารู้จักพวกรวยๆ แบบนี้หรอก
“แน่ใจสิ สองสามวันก่อนไอ้ปอร์มันมาคุยกับพี่เรื่องงานนี้อยู่เหมือนกัน พอรู้ว่ามันหายไปพี่ก็เลยคิดว่ามันน่าจะมาที่นี่นั่นแหละ พี่ถึงได้รีบโทรให้เพื่อนในงานเช็กให้ว่ามีรถของเฮียแขกอยู่ในงานด้วยไหม”
“แต่นี่มันตีสองกว่าแล้วนะพี่ ไอ้ปอร์มันจะยังอยู่รึเปล่า”
“งานมันเริ่มตั้งแต่เที่ยงคืนแล้ว แต่แข่งไฮไลต์น่าจะยังไม่ถึงนะเพราะคนยังรอเข้างานกันเยอะขนาดนี้...เดี๋ยวพี่โทรหาไอ้พลก่อนแล้วกัน”
ระหว่างที่รอพี่บาสต่อสายคุยกับเพื่อน ฉันก็เห็นความวุ่นวายจากทางกระจกข้างที่ทำให้คนด้านหน้าและการ์ดของงานซึ่งเป็นผู้ชายไซซ์บิ๊กเบิ้มสามคนถือไม้กระบองพอดีมืออย่างกับพวกมนุษย์หินฟลิ้นท์สโตนส์วิ่งผ่านรถเราไปยังต้นทางความวุ่นวายด้านหลัง
“เกิดอะไรขึ้นอะเจ๊เปอร์”
ไอ้อาร์มขี้เผือกอะ! แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของไอ้อาร์มที่มีมากกว่าฉันหลายเท่า มันก็เลยพุ่งตัวออกจากรถไปอย่างกับเฮียอนุวัตจัดให้โดยไม่รอฟังคำตอบจากฉันที่ก็ไม่รู้เหมือกันว่าเกิดอะไรขึ้น และระหว่างที่ไอ้อาร์มหายไปฉันก็ชะเง้อมองไปทางด้านหลังเหมือนกับคนอื่นที่อยากรู้อยากเห็นเพราะเสียงโหวกเหวกที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
“เปอร์”
“ว่าไงพี่บาสได้เรื่องไหม” หลังจากไอ้อาร์มหายหัวไปพักหนึ่งพี่บาสก็วางสายจากเพื่อน
“เออได้แล้ว...ตอนนี้เพื่อนพี่มันออกไปทำธุระน่ะ กำลังกลับมา เดี๋ยวเรารอมันหน่อยแล้วกันนะ”
“อืมๆ ขอให้เข้าไปได้ก็พอ”
ปึง! ปึง! ปึง!
เฮ้ย! หัวใจแทบวาย!
อยู่ๆ ไอ้อาร์มก็โผล่พรวดมาเกาะกระจกรถแถมด้วยหน้าขาวผ่องเพราะแป้งตรางูที่เจ้าตัวชอบเอามาพอกหน้าก่อนนอนจนขาวโพลนอย่างกับผีจูออน เมื่อเห็นมันชัดๆ ก็ทั้งขำทั้งกลัวและคิดได้ว่าฉันควรจะเตือนมันก่อนออกมาว่าสภาพของมันดูเหมือนคนไม่เต็มเต็งขนาดไหน แต่ก็นะ...สภาพของฉันก็คงไม่ต่างจากมันมากนักเพราะชุดนอนย้วยๆ ตัวเก่งที่ใส่มาหลายปีพร้อมผมที่กระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรงแบบนี้ จากสภาพแล้ว...ก็คงไม่ได้ดูปกติกว่ากันสักเท่าไรหรอก
“พี่บาส! เจ๊เปอร์!”
“อารายยยย เรื่องชื่อตูที่ไรมีเรื่องทุกที!” ฉันว่ามันพลางลดกระจกลงอีกเพื่อให้ได้ยินมันพูดชัดเจนขึ้น
“มีเรื่องดิพี่! ข้างหลังแม่งซัดกันนัวเรื่องแย่งบัตรวีไอพีอะไรเนี่ยแหละ แล้วอีกฝั่งก็ท้าให้แจ้งตำรวจ อีกฝั่งแม่งก็บ้าจี้โทรจริงอะ! ถ้าเรายังอยู่อาจจะซวยกันหมดนะพี่”
พูดทำไมซะยืดยาวฟ่ะไอ้นี่! สรุปบอกมาแค่คำเดียวว่าพ่อมาาาา!
โฮฮฮฮ ตายแน่งานนี้ตายแน่ ถ้าโดนหางเลขไปด้วยจะบอกเฮียผดุงว่าไงล่ะ! คิดว่างานนี้มันจะเส้นใหญ่ซะอีกอะ
ปิ๊น! ปิ๊น! ปิ๊น!
เสียงบีบแตรไล่กันดังระงมจากรถหลายคันที่จอดอยู่ทั้งด้านหน้าและหลังของพวกเราที่เริ่มหันพวงมาลัยออกสู่ถนนด้านนอกเพื่อแย่งกันออกไปจากที่นี่ซึ่งก็คงเป็นเพราะรู้ข่าวร้ายเรื่องเดียวกันนั่นแหละ
แล้วจะเอายังไงดีล่ะ...จะเอาตัวรอดแล้วไปตายด้วยน้ำมือเฮียแขกหรือจะลองเสี่ยงตายกับคุณตำรวจดีล่ะเนี่ย เรื่องนี้คงใช้อะไรที่สมเหตุสมผลไม่ได้หรอกคงต้องชั่งน้ำหนักว่าทางเลือกไหนจะทำให้ตายทรมานน้อยกว่ากันดีกว่า T^T และแค่ฉันลองคิดถึงเฮียแขกก็พาลให้นึกถึงการตายด้วยวิธีทรมานมากมายในหัวเพราะฉะนั้นการเสี่ยงกับคุณตำรวจคงจะดีกว่าแน่นอน
เมื่อตัดสินใจได้ฉันก็เลยรีบคว้าโอกาสที่จะเข้างานโดยการเปิดประตูรถที่ไอ้อาร์มเกาะอยู่ออกอย่างแรงจนมันกระเด็นไปด้านข้าง จากนั้นฉันก็รีบพุ่งตัวไปทิศทางตรงข้ามกับคนอื่น
“เฮ้ย! เปอร์จะไปไหนวะ”
ฉันวิ่งฝ่าฝูงรถฝูงคนเพื่อตรงไปยังประตูทางเข้าของงานที่มีป้ายขนาดใหญ่ติดไว้เหนือประตูว่ ‘MidnightSpeed Party’ ขณะที่พี่บาสก็วิ่งตามหลังมาพร้อมตะโกนถามถึงการกระทำบ้ารำห่ำของฉันในเวลานี้
“เปอร์! พี่ถามว่าจะทำอะไร!” พี่บาสวิ่งตามมาทันพร้อมกับคว้าแขนของฉันไว้เพื่อให้หยุดตอบคำถาม
“ไม่มีเวลาแล้วพี่! เวลานี้แหละเหมาะสุดที่จะเข้างานได้” ฉันบอกแผนการอันชาญฉลาด (เสียงใครบอกว่าสิ้นคิด -_-”) “ยังไงเปอร์ก็ต้องพาไอ้ปอร์เช่และรถกลับบ้านให้ได้ ไม่งั้นก็ตายอยู่ดี”
การตัดสินชะตาชีวิตของตัวเองโดยไม่ปรึกษาใครทำให้พี่บาสจ้องมองฉันอย่างจริงจังและดูเหมือนชั่งใจว่าจะเอาอย่างไรดีกับชีวิต ส่วนไอ้อาร์มก็ยืนหอบตัวโยนพร้อมกับส่งสายตาที่ราวกับว่ามันกำลังด่าทอฉันในใจว่า ‘อีเจ๊บ้า’ ยังไงยังงั้น
“เอ้า! เอาวะ...ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน” ในที่สุดพี่บาสก็เอ่ยขึ้นมาหลังจากตัดสินใจว่าควรบ้าตามไปกับฉันด้วย “อาร์มเอากุญแจรถไป แล้วไปหลบตรงทางเข้าโน่นนะ ถ้าตำรวจมาแล้วพวกพี่ยังไม่ออกมาก็กลับไปก่อนเลย”
“จะให้ผมทิ้งเจ๊เหรอ!”
O0O ไม่อยากจะเชื่อ! ไอ้อาร์มน้องรักเป็นห่วงเจ๊ขนาดนี้
“ถ้าเฮียผดุงรู้ผมไม่ตายเหรอพี่”
ซึ้งยังไม่ถึงห้าวินาทีที่แท้มันก็ห่วงตัวเองสินะ อย่างว่าละนะใครๆ ก็กลัวเฮียผดุงทั้งนั้นไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่ถ่อมาถึงที่นี่เหมือนกันแหละ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า อย่างน้อยถ้าโดนจับพวกพี่จะได้มีคนมาประกันตัว ลุงผดุงจะได้ไม่รู้ด้วย”
โว้ววว พี่บาสนี่รอบคอบพึ่งพาได้จริงๆ ศิษย์พี่มายไอดอลลล ถึงแม้ว่าพี่แกจะดูมั่นใจแปลกๆ ว่าเราจะโดนจับก็เหอะนะ =_=
“เฮ้อ...เอาไงก็เอาเหอะ เราไม่มีเวลาแล้วนะพี่บาส” ด้วยความที่ไม่อยากสั่งเสียอะไรมากกว่านี้ ฉันจึงรีบโบกมือไล่ไอ้อาร์มเพราะเห็นมนุษย์หินฟลิ้นท์สโตนส์อีกคนกำลังวิ่งกลับมาทางพวกเรา ถ้าจะเข้างานก็ต้องฉวยโอกาสตอนนี้แหละ
“ไปเร็วพี่บาส!” ฉันรีบดึงแขนมายไอดอลให้เริ่มออกวิ่งเพื่อฝ่าเข้าไปในงานปาร์ตี้ให้ได้แล้วทิ้งอาร์มไว้ด้านหลัง ฉันไม่มีเวลาหันไปมองว่าพี่การ์ดมนุษย์ถ้ำเห็นพวกเราหรือเปล่าเพราะอีกเพียงไม่กี่เมตรก็จะหลุดเข้าไปในประตูทางเข้างานได้แล้ว
“เฮ้ย!! หยุดนะ! ไม่มีบัตรเข้าไปไม่ได้!”
แหะๆ ไม่ต้องหันไปดูก็รู้แล้วแหละว่าพี่การ์ดมนุษย์ถ้ำเห็นเราเข้าแล้ว พวกเราจึงวิ่งกันอย่างไม่คิดชีวิตไม่สนใจเสียงตะโกนของพี่การ์ดและในที่สุด -- เราก็วิ่งเข้าเส้นชัยชนะอีพี่การ์ดมนุษย์หินจนได้ - -”
“แฮกๆๆ หนะ -- เหนื่อยจะตายแล้ว ไม่ไหวแล้วอะพี่บาส” พวกเราวิ่งเข้ามาอยู่ในกลุ่มฝูงคนข้างสนามจึงได้หลุดพ้นจากการติดตามของพี่การ์ดตัวโต ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนปอดแทบจะหลุดออกมาเพราะความเหนื่อยส่วนพี่บาสที่ยืนเกาะราวกั้นของสนามแข่งอยู่ข้างฉันก็มีสภาพไม่ต่างจากกันมากนัก
“เออ พี่ก็ -- ก็ไม่ไหว...มันคงไม่ตามมาแล้วแหละ พี่ว่าเรารีบมองหารถเฮียแขกกับไอ้ปอร์เช่เหอะ เดี๋ยวพ่อมาจะซวยหนักกว่าเดิม”
ฉันรีบสอดส่องสายตาหาไอ้ตัวสร้างปัญหาในทันทีแม้ว่าฝูงคนด้านในจะเยอะมากกว่าด้านนอกหลายเท่าแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคกับคนที่มีส่วนสูงเกินผู้ชายบางคนอย่างฉัน ในที่สุดก็ไปสะดุดตาอยู่กับกลุ่มคนที่ยืนเยื้องออกไปทางขวามือ ไม่ได้สะดุดที่ตัวคนหรอกนะแต่เป็นวัตถุบางอย่างที่มีสีเขียวสะท้อนแสงอันคุ้นตา ในเมื่อฉันทำมันเองกับมือขลุกอยู่กับสิ่งนี้มาเป็นเดือนๆ รถของเฮียแขกแน่นอน! แม้จะเห็นเพียงท้ายรถฉันก็มั่นใจราวกับกำลังจ้องมองบัตรประชาชนของตัวเองเลยแหละ
“พี่บาส~ เจอรถแล้ว!” ฉันรีบชี้ไม้ชี้มือไปตรงทิศทางที่รถจอดอยู่โดยมีฝูงคนกลุ่มหนึ่งรุมล้อมอยู่รอบรถ ฉันจึงผลักดันคนให้พ้นทางเพื่อตรงไปหาลูกรักของเฮียแขก
“เปอร์รอพี่ด้วยดิ”
ตอนนี้อะดีนาลีนพุ่งเกินกว่าจะรอมายไอดอลได้เพราะจิตใจฉันจดจ่ออยู่ที่รถสปอร์ตสีเขียวสะท้อนแสงคันงามของเฮียแขก
ถ้าถามว่ากลัวตำรวจไหม? ตอบเลยว่ากลัว! แต่ก็น้อยกว่าเฮียแขกแหละนะ ดังนั้นฉันรีบเร่งฝ่าฝูงชนเข้าไปให้ถึงรถสปอร์ตันงามโดยการเหยียบเท้าใครต่อใครไปหลายคนจนในที่สุดก็เห็นมันเต็มตา...ลูกรักของเฮียแขกพร้อมป้ายทะเบียนรถที่เด่นหราจอดนิ่งสนิทอยู่ท่ามกลางแสงสะท้อนของไฟซึ่งส่องสว่างอยู่รอบสนามแข่ง
“รถพี่เท่มากเลยนะคะ” เสียงแหลมๆ ของหญิงสาวที่ยืนเยื้องไปทางด้านหน้าตัวรถเอ่ยขึ้น ดึงสติของฉันให้กลับมาและหันหน้าไปมองต้นเสียงโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ระหว่างผมกับรถอันไหนเท่กว่ากันล่ะครับ” เสียงทุ้มคุ้นหูโต้ตอบกับผู้หญิงตรงหน้าที่สวมกระโปรงสั้นเสมอหูพร้อมเสื้อรัดติ้วโชว์เอวบางอย่างกับกระดาษเอสี่ ฉันเดินเข้าไปหาหนุ่มสาวคู่นั้นและเอ่ยด้วยสติที่เริ่มเลือนรางเพราะความโกรธ
“เท่ไปถึงชาติหน้าเลยค่ะ! พี่ปอร์เช่!”
“ใครวะ -- เฮ้ย!” เมื่อเด็กหนุ่มสวมเสื้อยีนสีเข้มซึ่งกำลังนั่งเก๊กท่าอยู่บนฝากระโปรงรถหันมาเห็นหน้าฉันที่ยืนค้ำหัวมันอยู่ หน้าตี๋ๆ นั้นก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัดส่วนตามันนี่โตสุดในรอบหลายปีเลยนะ “เจ๊เปอร์! มาได้ไงวะ!”
“มายังไงไม่สำคัญหรอก...ที่สำคัญแกควรห่วงว่าจะมีชีวิตกลับไปได้ยังไงมากกว่า” ด้วยเสียงเย็นเฉียบของฉัน ยัยกระดาษเอสี่ที่คงเห็นลางไม่ดีจึงส่งยิ้มห่อเหี่ยวให้ไอ้ปอร์เช่ทีหนึ่งแล้วเดินเลี่ยงไปอีกทางอย่างไม่เต็มใจนัก คงคิดว่าฉันเป็นอาเจ้ที่มาตามสามีกลับบ้านเป็นแน่
“เปอร์ใจเย็นๆ รีบเอารถกลับกันดีกว่า มีอะไรค่อยไปคุยกันที่บ้านเหอะ” พี่บาสที่โผล่มาติดๆ รีบดึงตัวฉันให้ออกห่างจากปอร์เช่เพราะคงกลัวฉันจะบีบคอมันตายคามือน่ะสิ
“ยังกลับไม่ได้นะพี่!” ไอ้ปอร์เช่คัดค้านพลางรีบวิ่งไปกางแขนกันไม่ให้พวกเราเปิดประตูรถได้และเพราะท่าทางหวงของที่ไม่ใช่ของตัวเองทำให้ความอดทนของฉันสิ้นสุดลงทันที ฉันพุ่งตัวอย่างเร็วเข้าไปกระชากคอเสื้อไอ้น้องชั่วอย่างแรงทำให้มันที่ยังไม่ทันตั้งตัวถอยไปกระแทกเข้ากับตัวรถอย่างจัง ทำเอาพวกสาวๆ ส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ
“เฮ้ย! เปอร์ใจเย็นๆ”
“ยังไม่รู้จักสำนึกอีก! ยังมีหน้ามาห้ามไม่ให้กลับงั้นเหรอ แกรู้ไหมว่าพวกเราจะซวยกันหมดเพราะแก!” ฉันไม่สนใจหน้าเหยเกของปอร์เช่ที่ถูกกระชากคอเหมือนลูกหมาตัวน้อยๆ ก็มันเตี้ยกว่าฉันตั้งหลายเซ็นต์แถมตัวบางอย่างกับพวกนางแบบ
“ปอร์อธิบายได้นะเจ๊ ใจเย็นๆ ดิ! พี่บาสช่วยปอร์ด้วย”
“พี่บาสไม่ต้องยุ่ง! เอากุญแจรถมา แล้วแกจะไปไหนก็ไปเลย จะไม่กลับก็เรื่องของแก!”
ฉันปล่อยมืออีกข้างที่กำคอเสื้อปอร์เช่เพื่อจัดการล้วงกระเป๋าตามตัวมันจนทั่วแต่ยังไม่ทันเจอกุญแจ ไอ้ปอร์ก็ฤทธิ์เยอะดิ้นหนีจนหลุดจากเงื้อมมือของฉันไปหลบอยู่หลังพี่บาสแทน
“ไม่ๆ ช่วยด้วยดิพี่บาส ผมกลับตอนนี้ไม่ได้นะ!”
“ปอร์เอากุญแจรถคืนเปอร์ไปเดี๋ยวนี้เลย” พี่บาสพยายามหันไปดึงตัวไอ้ปอร์ที่ทำตัวเป็นปลิงเกาะหลังพี่บาสไว้แน่นเพื่อเป็นโล่กำบังให้พ้นจากฉัน
“คืนไม่ได้อะพี่” มันว่าพลางดึงพี่บาสไปรอบๆ เพื่อหลบฉันที่พยายามหาช่องว่างดึงมันออกมา
อ่อยยย =_=” มันเปลืองไขมันที่สะสมไว้นะเฟ้ยยย!
“เอามาเดี๋ยวนี้นะเว้ย ไม่งั้นแกตายแน่!”
“ให้แล้วจะรอดเหรอ!”
ก็จริงของมันนะ -_-
ทันใดนั้นฉันก็มองเห็นโอกาสที่จะคว้าตัวมันได้แต่ด้วยประสบการณ์การลื่นเป็นปลาไหลของมันที่พัฒนาขึ้นอย่างน่าตกใจ มือของฉันจึงเฉียดปลายเสื้อมันไปเพียงนิดเดียว
“เฮ้ย! ไอ้ปอร์ -- ”
ปึก!
ตุ้บ!
ก๊ากกกก หัวเราะหนักมากกกกก
เพราะไอ้ปอร์เช่มันมัวแต่คิดหนีไม่มองตาม้าตาเรือก็เลยชนเข้ากับผู้ชายร่างสูงชะลูดที่ดูเป็นผู้เป็นคนกว่าพวกเราในตอนนี้ ทั้งที่เขาสวมเพียงเสื้อยืดสีชมพูสดใสกับกางเกงยีนส์สีซีดประกอบกับใบหน้าหล่อเหลาสไตล์โอปป้าภายใต้ทรงผมพระเอกเกาหลีสีน้ำตาลสว่างที่เหมาะเจาะรับกับรูปหน้าเรียวเล็ก แต่รูปลักษณ์ที่ดูดีมีสกุลของเขาดึงความสนใจของฉันไปได้ไม่นานนักเพราะไอ้คนที่ล้มอยู่บนพื้นทำท่าว่าจะลุกขึ้นหนีอีกครั้ง แต่ต้องขอบคุณปฏิภาณไหวพริบที่ว่องไวของตัวเองที่ทำให้ฉันพุ่งตัวไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับไอ้ปอร์เช่บนพื้นต่อหน้าต่อตาชาวไทยมุงทั้งหลายได้ทันเวลาพอดี
“เฮ้ยยย!!!”
เสียงร้องอย่างตกใจของพี่บาสพร้อมกับหนุ่มเกาหลีคนนั้นดังขึ้นอย่างตกใจ แต่เพียงไม่กี่วินาทีทั้งคู่ก็พยายามเข้ามาแยกฉันกับปอร์เช่ที่กอดกันยังกับฝาแฝดอินจันซึ่งตรงข้ามกับความเป็นจริงที่มันกำลังพยายามถีบฉันออกต่างหากล่ะ! หากแต่เพราะความสูงและความหนาของตัวที่ต่างกันชัดเจนโดยที่ฉันเปรียบเสมือนนักมวยปล้ำหญิงที่กำลังทำท่าเฮดล็อกนางแบบร่างบางอยู่ ทำให้ไอ้ปอร์เช่ทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งเสียงไอค่อกแค่กออกมา
“เปอร์! ปล่อยคอไอ้ปอร์ก่อนเดี๋ยวน้องมันก็ตายหรอก”
“ให้ แฮกๆ มัน -- ตาย แฮกๆ ไปเลยยยย” ฉันบอกพี่บาสทั้งที่แขนสองข้างยังล็อกคอมันอยู่อย่างนั้นจนหนุ่มเกาหลีต้องเปลี่ยนจากช่วยดึงไอ้ปอร์เช่มาเป็นช่วยพี่บาสแกะตัวฉันออกจากไอ้น้องตัวแสบแทน
“ม่ายยยย! แกตายแน่ไอ้ปอร์เอากุญแจรถคืนมาเดี๋ยวนี้นะเว้ย!” ฉันรั้งไว้สุดชีวิตแม้จะถูกดึงตัวออกมาจากไอ้ปอร์เช่ได้ในที่สุด
“แค่กๆๆ เจ๊แม่งบ้าไปแล้วอะ ดูสภาพดิอย่างกับหลุดมาจากศรีธัญญา!”
ฮึ่มมม! มันยังมีหน้ามาด่าว่าฉันบ้าอีก แกได้ตายจริงแน่ก็วันนี้ไอ้ปอร์เช่ - -**
“หุบปากได้แล้วน่าไอ้ปอร์ เอากุญแจรถมาให้พี่ได้แล้ว...เปอร์พอได้แล้วเหนื่อยโว้ย!”
“เออ ผมก็เหนื่อย ผู้หญิงอะไรวะแรงเยอะโคตร” หนุ่มหล่อผู้ดีเกาหลีโอปป้าบอกหอบๆ ทั้งที่ยังคงล็อกเอวฉันไว้ให้ห่างจากปอร์เช่
ฉันหันไปมองหน้าคนที่กอดเอวฉันอยู่ แม้ว่าหน้าเขาจะใสวิ๊งจนน่าตะลึงขนาดไหนแต่เพราะไอ้รอยยิ้มที่ดูชอบอกชอบใจกับเหตุการณ์ชุลมุนตรงหน้าไม่น้อยทำให้ฉันรู้สึกไม่ชอบใจนัก
“พี่โยชิถ้าพี่รักผมอย่าปล่อยเจ๊เปอร์เด็ดขาดเลยนะ”
นายโอปป้าเลิกคิ้วเป็นเชิงถามให้ปอร์เช่แต่กลับโอบรัดเอวฉันแน่นขึ้น งั้นหมอนี่...ก็คงชื่อโยชิสินะและคงจะสนิทกับไอ้ปอร์น่าดูถึงได้กล้าเข้ามาช่วยไอ้ตัวแสบแบบนี้น่ะ
หึหึ ^^+ เลือกผิดข้างแล้วละโอปป้า!
ความคิดชั่วร้ายบังเกิดอย่างฉับพลัน ฉันหยุดดีดดิ้นและเปลี่ยนเป้าหมายด้วยการเอื้อมมือมาบิดข้อมือของนายโอปป้าที่กอดเอวฉันอยู่โดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวทำให้เขาต้องรีบละมือออกจากเอวของฉันในทันที
“โอ๊ย! ทำอะไรของเธอวะเนี่ย!” นายโอปป้าส่งเสียงร้องลั่นเมื่อถูกบิดข้อมือไพล่หลังอย่างแรงพลางสบถสาบานใส่ฉันเป็นการใหญ่
นี่แหละคือวิธีของฉันในเมื่อช่วยกันดีนักก็มาวัดกันว่าอะไรสำคัญกว่าระหว่างไอ้พี่หน้าเกาหลีคนนี้กับกุญแจรถของเฮียแขก ใครจะว่าฉันบ้าก็ได้นะแต่ตอนนี้ฉันกัดไม่เลือกแล้วละ...ขอให้ได้รถคืนก็พอ
“เฮ้ย! เจ๊จะบ้าเหรอไปทำพี่โยชิทำไมอะ!” ไอ้ปอร์เช่รีบวิ่งแจ้นเข้ามาหาฉันเองพลางกระโดดหย็องแหย็งเหมือนเด็กๆ พร้อมร้องบอกให้ปล่อยโอปป้าของมัน
“เอากุญแจรถมา” ฉันพูดพร้อมส่งรอยยิ้มเย็นเฉียบให้ปอร์เช่ รอยยิ้มที่มันรู้ดีว่าฉันเอาจริงแล้ว
“ให้ไม่ได้อะเจ๊...”
ฉันไม่พูดพร่ำแต่บิดข้อมือแรงขึ้นอีกจนนายโยชิด่าฉันเป็นภาษาอะไรไม่รู้ที่ฉันฟังไม่ออกแล้วคุกเข่าลงไปตามแรงกดของฉัน
“เฮ้ยๆ ปอร์ก็อยากให้นะแต่ -- แต่กุญแจไม่ได้อยู่ที่ผมตอนนี้อะเจ๊เปอร์ ใจเย็นๆ ดิ ปล่อยพี่โยชิก่อนนะ...นะเจ๊”
“อะไรนะ!” OoO งามไส้แล้วววว “แล้วแกเอาไปไว้ไหน!”
จะให้เอารถมายกไปหรือไงฟ่ะ! ทั้งที่หันไปมองหน้าไอ้ปอร์อย่างจะกินเลือดกินเนื้อแต่ฉันก็ยังจับข้อมือนายโอปป้าไว้แน่น
“มีเรื่องอะไรกัน!”
“พี่นิกซ์!!” จู่ๆ ปอร์เช่ก็หน้าเผือดสีลงหนักกว่าที่มันเห็นฉันซะอีก ฉันเลยจำต้องหันไปมองตามสายตาของทุกคู่ที่จับจ้องไปทางด้านหลัง
O_o
โอ๊ะโอ...นี่มันงานรวมพลคนหล่อขอทำเลวหรือไงนะเพราะที่ประจักษ์แก่สายตาตอนนี้ก็คือหนุ่มหล่ออีกสองคนที่เดินเข้ามาหาฉันกับนายโอปป้า ซึ่งคนด้านหลังตัวสูงกว่าฉันนิดหน่อยแต่หน้าตานั้นทำให้ฉันอยากมองไปอีกนานแสนนานก็เพราะอาหมวยอย่างฉันชอบชายไทยสไตล์คมเข้มแบบนี้น่ะสิ ต่างจากคนที่เดินนำหน้ามาที่ขาวออร่าพอกับนายโอปป้าแต่เครื่องหน้าไปทางยุโรปมากกว่าเอเชียทั้งจมูกโด่งๆ นั่นที่เห็นแล้วฉันรู้สึกว่าตัวเองมีจมูกไว้แค่หายใจจริงๆ T-T ปาร์ตี้คืนนี้มันคัดหน้าตาหรือไงกันนะ
“แกลงไปทำอะไรตรงนั้นวะ?” นายหล่อออร่าเอ่ยถามกดสายตามองลงมาที่นายโอปป้า
“ไอ้นิกซ์ช่วยด้วยดิ เขาเจ็บอะ” OMG! สรรพนามจะดูไม่ใช่แค่เพื่อนเลยนะยะ “ยัยนี่อยากได้กุญแจรถไอ้ปอร์เช่อะ ให้ๆ ไปซะทีเหอะ แขนฉันจะหักแล้วเนี่ย” นายโอปป้าฟ้องเพื่อนพร้อมทั้งเอื้อมมืออีกข้างมาจับแขนเพราะความเจ็บที่ฉันยังล็อกไว้แน่นราวกับคีมหนีบ
นายออร่ามองเพื่อนอย่างไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าแจ็กเกตหนังสีดำและมันก็คือกุญแจรถที่ฉันจำได้ดีว่าเป็นของรถสปอร์ตสีเขียวสะท้อนแสงคันนี้ เมื่อเห็นสิ่งที่ต้องการฉันจึงปล่อยแขนนายโอปป้าออกทันทีเพื่อจะคว้ากุญแจจากคนตัวสูงตรงหน้าแต่เขากลับชูมันขึ้นเหนือหัวตัวเองเสียอย่างนั้น
“นี่! เอากุญแจรถคืนมาเดี๋ยวนี้นะ”
“ทำไมฉันต้องเอาของๆ ฉันให้คนแปลกหน้าด้วยล่ะ” เขาเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ของนาย? นี่มันของฉันต่างหาก”
“จะเป็นของเธอได้ยังไง ในเมื่อฉันเป็นคนไถ่มันออกมาให้ปอร์เช่”
“ฮะ!?”
“เจ๊ๆ ใจเย็นนะคือ -- มันผิดพลาดนิดหน่อยน่ะแต่ไม่ต้องห่วงนะ พี่ฟีนิกซ์เขาช่วยเสียค่าไถ่ให้แทนการยึดรถแล้วน่ะ”
ยึดรถ!!! =[]=
“ไอ้ปอร์เช่!!” ความโกรธระดับสิบเลยคราวนี้!
“ปอร์อธิบายได้นะเจ๊” ไอ้ปอร์รีบแก้ตัวยกมือไหว้ท่วมหัวแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ดูน่าเห็นใจแต่อย่างใด “ปอร์มั่นใจเลยว่าชนะแน่แต่มันโกงปอร์อะ ไม่เชื่อถามพี่นิกซ์ดิ ใครๆ ก็เห็นกันทั้งงาน” คำแก้ตัวพรั่งพรูออกมาจากไอ้น้องตัวดีแต่ยิ่งฟังคำแก้ตัวของมันฉันยิ่งอยากจะพ่นไฟใส่ไอ้น้องบ้านี่มากขึ้นไปอีก ฉันไม่สนใจหรอกว่ามันจะโดนโกงไหมแต่มันกล้าแข่งโดยเอารถเป็นเดิมพันได้ยังไง ไอ้บ้าปอร์เช่มันสิ้นคิดเหมือนใครกัน! (ได้โปรดอย่าบอกว่าเหมือนฉันนะ แม้ตั้งแต่ทำมาจะเหมือนพวกสิ้นคิดก็เถอะ T^T)
“แกอยากตายเพราะเฮียแขกมากใช่ไหมหา! ถึงได้กล้าเอารถเฮียแกมาเดิมพันแบบนี้น่ะทั้งที่ขโมยรถเขามา แกยังกล้าเอามาพนันอีก ไอ้โง่นี่!”
ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!
เลือดขึ้นหน้าสุดๆ ก็คราวนี้ ฉันตบหัวไอ้ปอร์เช่แบบไม่ยั้งจนมันรีบวิ่งแจ้นไปหลบหลังไอ้ผู้ชายโคตรหล่อสามคนที่มาช่วยมันไว้
“เปอร์ๆ พอเหอะ! ตีไปก็ตายเปล่า นายน่ะ...เราขอกุญแจรถคืนเถอะ ไอ้ปอร์มันขโมยมาจากอู่ ยังไงซะเราก็ต้องคืนลูกค้า” พี่บาสหันไปพูดกับนายออร่าทั้งที่ยังรวบตัวฉันไว้ไม่ให้เข้าไปฆ่าไอ้ปอร์เช่ได้
“แล้วเงินที่ผมออกไปแทนรถคันนี้ใครจะรับผิดชอบให้ล่ะ หรือเธอ...จะออกแทน เธอเป็นพี่ไอ้เด็กนี่ใช่ไหม” เขามองฉันแล้วส่งยิ้มเย็นมาให้
ไหน...ใครถามหาความรับผิดชอบ? คนอย่างคูเปอร์ไม่เคยรับผิดชอบแทนคนอื่นหรอก
(แกภูมิใจมากสินะ -_-)
“เฮอะ! อยากเอามันไปฆ่าแกงตัดมือตัดแขนล้างหนี้ยังไงก็เชิญตามสบายแต่ฉันไม่เกี่ยวด้วย เอากุญแจรถคืนมาไม่อย่างนั้นนายจะโดนข้อหาลักทรัพย์ไปด้วย” ฉันดันตัวเองออกจากพี่บาสแล้วเดินเข้าไปยืนประจันหน้ากับเขา
“หึ นี่ขู่? น่ากลัวจริงๆ แต่ฉันมีทนายประจำตระกูลคอยแก้ปัญหาให้น่ะ”
เกลียดไอ้พวกรวยยย!
“เพราะงั้นฉันจะไม่ยอมเสียเงินไปฟรีๆ หรอกนะ แล้วแขนขาน้องชายเธอก็ไม่มีประโยชน์กับฉันด้วยเพราะฉะนั้นเอาเงินมาเอารถไป” เขาพูดอย่างลื่นไหลเหมือนการตกลงทางธุรกิจทำให้ฉันอยากจะบ้าตายเพราะไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าต้องมาสู้รบปรบมือกับไอ้หล่อหน้าเลือดนี่ด้วย
เอาวะ...หน้าด้านตีมึนไว้ก่อนยังไงก็ต้องได้รถคืน
“ทำไมฉันต้องรับผิดชอบด้วยล่ะ นายไม่ตรวจสอบให้ดีก่อนแล้วจะให้รับผิดชอบแทนไอ้ปอร์ได้ไง”
“ก็เพราะว่าฉันบอกไง”
o_O
“ไร้สาระ! ฉันต้องการรถคืนเดี๋ยวนี้เลย” ฉันตีมึนเอื้อมมือไปจะฉวยกุญแจรถจากมือของคนตรงหน้าแต่หมอนี่กลับชูมันให้สูงกว่าเดิมจนสุดแขน
ฮึ่ย! ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรู้สึกเตี้ยเท่านี้มาก่อนเลยอะ
“นี่! ฉันไม่อยากมีเรื่องหรอกนะ”
“เธอเพิ่งมีเรื่องกับไอ้โยชิไปเมื่อกี้นะ”
(-_-;;
“เฮ้อ...นี่คุณเอากุญแจคืนมาเหอะ ยังไงคุณก็ต้องคืนอยู่ดีเพราะมันไม่ใช่ของพวกเราที่จะยกให้คุณได้”
“ผมก็อยากให้พวกคุณออกไปจากงานของผมเร็วๆ เหมือนกัน แต่จะออกไปโดยที่ไม่มีอะไรเป็นประกันเลย มันคงจะง่ายไปหน่อยนะครับ”
“พวกผมก็ไม่อยากอยู่นานหรอกนะเพราะไม่นานตำรวจก็คงจะบุกเข้ามาในงานแล้ว พวกผมก็ไม่อยากติดร่างแหไปกับคุณด้วยหรอก”
“ฮะ!? ตำรวจ?”
โอ๊ะโอ ดูเหมือนพวกนี้คงยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองสินะเพราะพอพี่บาสบอกเรื่องวุ่นวายด้านนอกให้รู้เหล่าไทยมุงทั้งหลายก็เริ่มแตกฮือกันออกไปทำอย่างกับพี่บาสเพิ่งขว้างลูกน้อยหน่าใส่อย่างนั้นแหละ
“เฮ้ย...ใจร่มๆ ไม่มีอะไรหรอกนิกซ์ พวกการ์ดมาบอกแล้วน่ะ ฉันก็กำลังจะไปบอกแกว่าจะเคลียร์เรื่องนี้เองแต่มาเจอพวกนี้เข้าซะก่อน” นายโยชิพูดถึงตำรวจด้วยหน้าตายิ้มแย้มอย่างไม่วิตกกังวลเพื่อให้ทุกคนได้สบายใจแต่ฉันเห็นนะว่าเขายังจับข้อมือตัวเองอยู่เลยอะ สงสัยฉันจะแรงควายไปหน่อย...โซซอรี่นะโอปป้า
ปัง!
ว้ากกก!! พ่อผดุงช่วยลูกด้วย!
จู่ๆ เสียงปืนก็ดังลั่นมาจากอีกฝั่งของสนามแข่งและเพียงไม่กี่วินาทีคนในงานก็เริ่มแตกฮือกันออกไปอย่างกับซีรีส์วอร์คกิ้งเดธ เหตุการณ์ชุลมุนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วผู้คนมากมายในงานพากันส่งเสียงกรีดร้องแล้ววิ่งหนีออกไปจนฉันที่เอามือขึ้นบังหัวไว้โดยสัญชาตญาณก็เกือบวิ่งหนีตามไปด้วยแล้ว แต่ฉันตาดีเห็นไอ้ปอร์เช่กำลังวิ่งหนีไปอีกทางเสียก่อนจึงได้สติเบรกขาตัวเองไว้ได้ทันและหันไปบอกพี่บาสที่อยู่ใกล้ไอ้ปอร์เช่
“พี่บาส! ไอ้ปอร์หนีไปแล้วอะ ไปตามมันมาทีเดี๋ยวเปอร์เอารถกลับเอง เร็วเข้า!” ฉันกระตุกแขนพี่บาส หลายทีเพื่อกระตุ้นให้วิ่งตามไอ้น้องตัวแสบไป
“เออๆ เดี๋ยวพี่ตามมันเอง” พี่บาสรับคำแล้ววิ่งเบียดเสียดฝูงคนตามปอร์เช่ออกไป
“ใครก่อเรื่องวะ! บอกแล้วไงให้คุมเข้มห้ามมีอาวุธเข้ามาน่ะ” นายออร่าหันไปว้ากใส่การ์ดที่วิ่งมาหาเขาหลังจากเกิดเสียงปืนเมื่อครู่
“ผมดูดีแล้วครับแต่มีคนที่มากับคุณติณณ์ที่ผมตรวจไม่ได้”
“ไอ้ติณณ์? สรุปสนามนี้เป็นของฉันหรือของไอ้ติณณ์ นายถึงต้องกลัวพวกมัน! บอกแล้วไงว่าห้ามละเว้นแม้แต่คนเดียว! แล้วยังปล่อยให้คนบ้าเข้ามาในงานอีก”
(-_- -_-)
อ๊ากกก! ไอ้บ้านี่มันชี้นิ้วใส่หน้าฉันอะ! เดี๋ยวกัดนิ้วให้ติดเชื้อบ้าซะเลยนี่! แล้วแกมองอารายยยไอ้มนุษย์หินฟลิ้นท์สโตนส์ ฮือออ ToT ฉันไม่ได้เป็นคนบ้านะเว้ย...แม้ว่าสภาพตอนนี้อาจจะดูไม่ค่อยปกติเท่าไรแต่ก็ยังพูดจารู้เรื่องอยู่นะยะ
“เอ่อ...ขอโทษครับคุณฟีนิกซ์ ผมวิ่งตามมาห้ามแล้วแต่ตามไม่ทัน”
“ดูจากขนาดตัวยัยนี่แล้วก็ไม่น่าวิ่งไวหรอกนะ”
TOT สองดอกเต็มๆ แล้วฉันมายืนให้ไอ้ออร่านี่มันด่าทำไมฟ่ะ! ทั้งบ้าทั้งอ้วน! ปวดใจโฮกกกก
“นี่นาย! ฉันไม่ได้บ้าแล้วก็ไม่ได้อ้วนด้วยพูดให้มันดีๆ หน่อย” ฉันไม่ได้อ้วนนะเขาเรียกว่ามีน้ำมีนวลต่างหากย่ะ -_-^ “แล้วก็เอาของๆ ฉันคืนมาด้วย” หลังจากยืนเป็นใบ้ให้ไอ้หน้าหล่อมันด่าอยู่ตั้งนานฉันก็เลยได้โอกาสทวงของคืนตามที่ตั้งใจไว้
“เออจะพูดยังไงก็ตามใจเหอะ ไอ้โยไปเคลียร์เรื่องตำรวจเลยเดี๋ยวแม่งก็แห่กันเข้ามาจนได้เพราะไอ้เสียงปืนนั่นน่ะ พี่วินช่วยไปดูว่าใครเป็นคนก่อเรื่องทีเถอะ...นายไปกับพี่วินด้วย ส่วนยัยนี่ผมจัดการเอง”
เขาหันไปสั่งอีตาการ์ดมนุษย์หินกับเพื่อนแก๊งหล่ออีกสองคนหลังจากนั้นก็เหลือเพียงแค่ฉันกับเขาที่ส่งสายตาหยั่งเชิงกันอยู่ท่ามกลางเสียงวุ่นวายรอบตัว
“นาย --”
“อยากได้รถคืนใช่ไหม” จู่ๆ เขาก็ชิงถามขึ้นมาก่อน ฉันจึงรีบพยักหน้าหัวแทบหลุด
“เธอจะเอาอะไรมาประกันว่าปอร์เช่มันจะรับผิดชอบเงินที่ฉันเสียไป”
“นายนี่มันห่วงแต่เงินสินะ” ขนาดมีเสียงปืนดังขนาดนี้ยังสามารถห่วงเงินได้อีกไม่หน้าเลือดจริงทำไม่ได้นะ -_-^
“แม้แต่คนที่มีเงินมากที่สุดในโลกก็ยังต้องห่วงเศษเงินของตัวเองทั้งนั้นแหละ”
ตรรกะอะไรของมันฟ่ะ!
“เฮอะ...ฉันไม่มีอะไรมาเป็นประกันให้ทั้งนั้นแหละ นายเป็นคนให้มันมางานเองก็ไปตามล่ามันเองแล้วกัน” ฉันบอกอย่างจริงใจว่าไม่สนว่าเขาจะเสียหายหรือจะทำยังไงกับปอร์เช่เพราะนี่มันเกินความรับผิดชอบของฉันแล้ว ฉันจึงใช้จังหวะที่เขาเผลอโดยอาศัยความยาวของแขนรีบคว้ากุญแจที่มือเขาแล้วดึงสุดแรง
หมับ!
ฟึ่บ!
ปึก!
โอ๊ะ!
O///O
ทำไมมันถึงกลายเป็นสถานการณ์แบบนี้ไปได้นะ...แบบที่ฉันถลาเข้าไปหาเขาทั้งตัวและเพราะความสูงที่ห่างกันไม่มากนักทำให้หน้าฉันอยู่ใกล้เขาจนเห็นขนตายาวเป็นแพ โครงหน้ายาวได้รูป จมูกโด่งๆ ที่แทบจะทิ่มหน้าฉันและดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ดูอบอุ่นขัดกับนิสัยแบบสุดๆ แม้จะอารมณ์เสียแค่ไหนแต่พอใกล้เขาขนาดนี้ฉันก็รู้สึกแปลกพิกล ทำไมไอ้บ้านี่ต้องดูดีขนาดนี้ด้วยเนี่ยแม้ว่าฉันจะไม่ได้เป็นสาวสายฝอแต่มันก็ยังรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องใกล้ชิดความหล่อสายฝอระดับนี้
“เธอ...” เสียงนุ่มๆ ของเขาดึงสติฉันกลับมาหลังจากที่พินิจพิจารณาความหล่ออย่างใกล้ชิดไปแล้ว
“หืม?”
“...ขี้เหร่จริงๆ”
O[]O อ๊ากกกก! สติกลับคืนมาร้อยเปอร์เซ็นต์ก็คราวนี้
ทำไมฉันถึงไปชมมันว่าหล่อนะ! รู้สึกเสียหน้าอย่างบอกไม่ถูกเล่นด่ากันซึ่งหน้าไม่ให้เกียรติกันเลยสักนิด! ถึงมันจะเรื่องจริงก็เหอะ ฮืออออออ
ฟึ่บ~
เขาดันหน้าผากฉันให้ออกห่างจากหน้าของเขาราวกับกลัวว่าจะติดเชื้อขี้เหร่อย่างนั้นแหละ ฮึ่ย! อยากแปลงร่างเป็นไฟแช็กแล้วพ่นไฟใส่หน้ามันให้เละไปเลย โฮฮฮฮ Y_Y ทำไมฉันต้องมาโดนไอ้หน้าหล่อนี่ทำท่ารังเกียจใส่ขนาดนี้ด้วยเนี่ย
“ฮึ่ย! หล่อตายแหละ” ฉันว่าพลางส่งสายตารังเกียจสุดพลังไปให้เผื่อเขาจะได้รู้สึกเสียความมั่นใจบ้าง
“ก็เห็นๆ อยู่ว่าหล่อ”
ไม่ได้ผลสินะไอ้หลงตัวเอง =_=^
“เธอควรเล่นแบบแฟร์ๆ นะ ปล่อยกุญแจออกจากมือเดี๋ยวนี้เลย แล้วมาตกลงกันแบบผู้ใหญ่”
อื้อฮือออ...เหมือนโดนหลอกด่าดอกที่สามยังไงไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ฉันเพิ่งรู้ว่าแม้จะตกตะลึงกับความหล่อของหมอนี่ไปชั่วครู่ แต่ไอ้เปอร์คนนี้ก็ยังรักษาเป้าหมายไว้ยิ่งชีพเพราะฉันยังกำกุญแจอีกส่วนไว้แน่น
“ไม่! ไม่มีอะไรต้องตกลงเพราะฉันช่วยอะไรนายไม่ได้อยู่ดี” ฉันปฏิเสธอย่างหนักแน่นแล้วเริ่มดึงกุญแจมาจากเขา (ครั้งนี้ตั้งหลักแล้วไม่พลาดแน่นอน) แต่ไอ้มือกาวนี่ไม่ยอมปล่อยง่ายๆ งานนี้เลยเกิดสงครามชักเย่อของแท้และโชคดีที่ฉันไม่ใช่ผู้หญิงร่างบอบบางที่จะแพ้แรงผู้ชายง่ายๆ หรอกนะ
ฟึ่บ ~ ฟั่บ ~ ฟึ่บ ~ ฟั่บ ~
เรายื้อแย่งกันอยู่อย่างนั้นเหมือนเด็กๆ แย่งขนมกันแต่งานนี้ใครดีใครได้ มาถึงขนาดนี้ฉันไม่ยอมให้หลุดมือไปหรอก (เพราะหน้าเฮียแขกลอยเข้ามาในความคิดของฉันเหมือนภาพหลอน)
ฟึ่บ ~ ฟึ่บ ~ กึก
เฮ้ย! ได้แล้วววว~
หมับ!
เอ๋!?
=[]=
“กะ -- กรี๊ดดด!!!”
ผัวะ!
ตุ้บ!
“โอ๊ย!”
อยากจะบ้าตาย! แม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วมากแต่ฉันแน่ใจว่าเมื่อกี้ไอ้หรั่งโรคจิตมันจับหน้าอกฉันอะ ฉันก็เลยต่อยหน้าเขาไปแบบอัตโนมัติสุดแรงเกิดส่งผลให้ตอนนี้เขาลงไปนอนโอดโอยอยู่บนพื้น
“เธอ! จะบ้าเหรอต่อยมาได้ยังไง!”
“ก็...ก็นายจับหน้าอกฉันนี่ไอ้โรคจิต!” เขาเงยหน้าที่มีเลือดกำเดาไหลเปรอะเปื้อนขึ้นมาให้ฉันเห็นและส่ายหัวอย่างมึนงงกับรสชาติหมัดเมื่อครู่นี้
“ฉันดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าหน้าอกเธออยู่ตรงไหน! เธอต่างหากที่แรงควาย! ดึงแรงขนาดนั้นฉันก็ต้องยันตัวไว้น่ะสิ ไม่งั้นก็ชนเธอล้มไปด้วยกันแล้ว...ให้ตายเหอะ!”
“อย่ามาโทษฉันนะ! ใครจะอยากให้คนอื่นมาจับหน้าอกกันยะ!” ฉันพูดเร็วปรื๋อทั้งช็อกทั้งอายแล้วรีบหันไปเปิดประตูรถเพื่อชิ่งหนี
กึก!
“เฮ้ยยย!” ฉันเกือบจะล้มหน้าทิ่มฟาดกับประตูรถก็เพราะไอ้โรคจิตที่นอนอยู่บนพื้นเอาขายาวๆ มาขัดขาฉันไว้ ดีนะที่ฉันเอื้อมมือคว้าประตูรถไว้ได้ทันน่ะ
“ก่อเรื่องขนาดนี้แล้วคิดจะไปง่ายๆ เหรอ ยัยถึก!” =_=++
ดูจากสายตาอาฆาตที่ส่งมาให้แล้ว ฉันคงจะไม่ได้กลับไปอย่างสวัสดิภาพเป็นแน่แท้...ขอโทษทีนะอีตามือกาวไหนๆ ก็เจ็บขนาดนี้แล้วเจ็บอีกหน่อยแล้วกัน
ปั่ก!
“อ๊ากกกก!!!”
ฉันไม่สนใจเสียงร้องโหยหวนของไอ้หน้าหล่อที่นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นแบบหมดสภาพเพราะโดนฉันเตะหน้าแข้งอย่างแรงจนเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น จากนั้นฉันจึงรีบฉวยโอกาสยัดตัวเองเข้าไปในรถแล้วรีบบึ่งออกไปยังทางออกซึ่งตอนนี้คนเริ่มน้อยลงไปเยอะเพราะเหตุวุ่นวายเมื่อครู่ เมื่อมองผ่านกระจกหลังภาพสุดท้ายที่เห็นก็คือหมอนั่นพยายามลุกขึ้นมาจากพื้นและแน่นอนว่าคงกำลังสาปแช่งฉันอยู่เป็นแน่ แต่ช่างเหอะ...ด่าไปยังไงฉันก็ไม่ได้ยินหรอกย่ะ ถือว่ามิสชั่นคอมพลีท! แม้ต้องเสี่ยงตายอยู่หลายหนก็เถอะ แล้วฉันจะกลับไปคิดบัญชีกับไอ้ปอร์เช่ทีหลัง...ที่ต้องห่วงตอนนี้ก็คือพี่บาสกับอาร์มฉันคงต้องโทรหาใครสักคนก่อน
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด...
“ฮัลโหลพี่บาส!”
“เปอร์! เป็นไงบ้าง” เสียงพี่บาสตอบกลับมาอย่างดีใจทำให้ฉันโล่งใจว่าอย่างน้อยเขาก็ปลอดภัยดี
“ไม่เป็นไรพี่...เปอร์ได้รถคืนมาแล้วนะ พี่กับอาร์มอยู่ไหนจะให้เปอร์ไปรับไหมหรือไปเจอกันที่อู่”
“ไปอู่ก็ไม่เจอใครหรอกเปอร์...เพราะพวกพี่อยู่โรงพักอะ”
“ฮะ!! แล้วไม่บอกให้เร็วกว่านี้วะพี่ เออๆ เดี๋ยวไปประกันตัวให้ รอเดี๋ยวนะ”
เฮ้อ! ซวยซ้ำซวยซ้อนคิดว่ารอดแล้วเชียวเพราะไอ้หล่อหน้าเลือดนั่นแท้ๆ ที่มัวยึกยักไม่ยอมคืนกุญแจรถให้สักที ไม่อย่างนั้นป่านนี้พวกฉันก็กลับบ้านไปเรียบร้อยแล้วแถมไม่ต้องเปลืองตัวขนาดนี้ด้วยถึงหมอนั่นจะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ (รู้งี้ซัดให้ร่วงซะตั้งแต่ทีแรกก็ดีหรอก) คิดแล้วก็โคตรหงุดหงิดแต่อย่างน้อยพวกฉันก็รอดชีวิตจากพ่อและเฮียแขกละนะ
ฉันรีบสงบอารมณ์ตัวเองลงแล้วเหยียบคันเร่งสุดพลังเพื่อไปเอาพวกนั้นออกจากคุกเพราะเมื่อเหลือบมองเวลาที่หน้าปัดรถก็เห็นว่าใกล้เช้าเต็มทีแล้ว ฉันต้องจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเพื่อกลับไปให้ทันก่อนที่พ่อจะตื่นและทำเหมือนว่าเรื่องวุ่นวายคืนนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
ชอบก็กดไลน์ :)
อยากแชร์ก็ทางนี้



คะแนนโหวต
แนวเรื่อง/น่าสนใจ
การใช้ภาษา/การบรรยาย
การดำเนินเรื่อง/น่าติดตาม