อังซูเรย์ ยะรีกอ เขี้ยวเพชรฆาตรวิญญาณอสูร

10.0

เขียนโดย DANTE07

วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.51 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,851 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 20.11 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) สัตว์สัมพันธ์

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

พิทักษ์สรุปง่ายๆ สาวน้อยนั้น ประคองอังซูเรย์ เดินนำหน้าโดย ถอดรองเท้าแบบชนเผ่าของหล่อนให้ พิทักษ์ลอบสังเกตการณ์กระทำเงียบๆ เสือดาวที่น่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงของหล่อน ทำหน้าที่เบิกทางคือนำลิ่วไปไกล พิทักษ์ อยู่กลาง ถัดมาคือ มะอีซา ปิดท้ายด้วยไอ้หนุ่มชาวเผ่ารูปร่างกำยำ ทั้งหมด ตัดทางลัดเลาะขึ้นหลังภูเขา ที่พิทักษ์พักอยู่ ทั้งหมดเดินดุ่มๆในความมืด ไม่ฉายแม้แต่ไฟ อังซูเรย์ ลื่นจะล้มหลายครั้ง แต่ก็ได้พิทักษ์ประคองอยู่ตลอดทาง 
“เธอพึ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ เดินอีกไม่ไหวแน่”
เขาพูดกับหญิงชาวเผ่าปริศนาผ่านมะอีซา 
“เราหยุดไม่ได้ถ้าหยุดนักล่าจะตามเราทันแน่นอน”
“แต่เธอไม่ไหวแล้วนะ”
หล่อนดูท่าขัดใจแต่ก็เป็นห่วงอาการของอังซูเรย์เช่นกัน
“ เชกี ” หล่อนเรียกเบาๆ ร่างกำยำของ ไอ้หนุ่มผมยาวก็ก้าวฉับเข้ามา มันตรงเข้ามาช้อนอังซูเรย์ขึ้น หล่อนไม่ขัดขืนเลยเพราะหญิงสาวชาวเผาได้ พูดคุยกับเธอแล้ว “ เห้ย” พิทักษ์ขมวดคิ้วเข้ม เพราะไอ้หมอนั้นก้าวเข้ามาแทรกกลางเขาพอดี 
“เชกี จะทำหน้าที่จะอุ้ม เธอไป”
หล่อนพูดยิ้มๆเมื่อเห็นหน้า มุ้ยๆ ของพิทักษ์ มะอีซาผู้ทำตัวเป็นล่ามอยู่ แอบสบตานายจ้างแล้วยิ้ม แล้วทั้งขบวนก็จ้ำอ้าวในความมืดอีกครั้ง ไม่เกิน 4 ชั่วโมงหลังจากนั้นเข็มนาฬากาพรายน้ำที่ข้อมือของพิทักษ์บอกเวลา ตี 2 พอดีทั้งหมด เดินเข้ามาอยู่ใจกลางหุบแห่งหนึ่ง เสียงน้ำตกกระแทกพื้นดังอื้ออึง ยิ่งทางใกล้น้ำ ละอองหมอกก็เปียกชื้นไปทั่ว เสียงคลื่นกระแทกดูสะเทือนเลื่อนลั่นกลบทุกสรรพสำเนียง หญิงสาวชาวเผ่า พาคณะเดินลัดเลาะลำห้วยที่เย็นเฉียบหลายครั้งบางหนแห่งก็ต้องลอดถ้ำสั้นๆตอนนี้คบไฟถูกจุดขึ้นมาใช้แล้ว เส้นทางสับสนวกวนเวียน ประเดี๋ยวลงห้วยประเดี๋ยว ลอดถ้ำบางขณะ เฉียดกรายน้ำตกใหญ่บางขณะคล้ายผนังถ้ำฉาบเคลือบไปด้วยผืนน้ำ มะอีซาสอบถามเส้นทางกับหล่อนหล่อนตอบว่า เป็นเส้นทางที่เลี่ยงหลบการติดตามของพวกนักล่าที่สามารถใช้สุนัขตามกลิ่นได้ การเกินสลับลำห้วยจะช่วยลดกลิ่นตามรอยยากทั้งเส้นทางนี้ ยังเป็นทางลำที่พวกนั้นไม่สามารถหาเจอได้ง่ายๆ ชั่วโมงกว่าพิทักษ์ พบว่าตัวเองอยู่บนไหล่เขาตอนหนึ่งซึ่งบ่ายหน้าขึ้นสูง หล่อนจะนำไปถึงยอดเขาเลยรึไง เขาคิด กอเฟิร์นขึ้นตามรายทางมากมาย หินบางก้อนคะไคร่น้ำขึ้นจับเขียว เดินไม่ดีมีหวังลื่นร่วงลงมากระแทงพื้นเบื้องล่างแหลกเละ แล้วทั้งหมดก็มาถึงลานผาราบเรียบตอนหนึ่ง ด้านติดชิดในเป็นถ้ำ พิทักษ์ไม่ทันได้สังเกตอะไรมากเพราะความมืดและเหนื่อยอ่อน พอหญิงชาวเผ่าบอกว่าเราจะพักที่นี่ เขารีบเข้าไปสำรวจอาการของอังซูเรย์ทันที หล่อนไม่เป็นอะไรมากแค่เหนื่อยและตกใจ พิทักษ์โอบไหล่หล่อนไว้ หล่อนซุกหน้าลงกับแผงอกของเขา อกที่อบอุ่นและแข่งแกร่งปานกำแพงเหล็ก ทั้งคู่ต่างคุยกันเบาๆ การกระทำทั้งหมดล้วนอยู่ในสายตาของ ชนชาวเผ่าทั้งสอง แล้วทั้งคณะก็ม่อยหลับไป อังซูเรย์กับพิทักษ์นอนชิดติดกันที่ผนังถ้ำด้านขวา หญิงชาวเผ่านอนอีกฝั่งหนึ่งมีเสือดาวขดตัวอยู่ข้างๆถึงแม้เธอจะแข็งแรงทรหดขนาดให้เธอก็เป็นแค่เด็กสาว เชกี ผู้กำยำ นอนขวางปากถ้ำ มะอีซา นอนปิดถ้ำด้านในทั้งหมดล้วนเหนื่อยอ่อนจากการบุกบั่นเส้นทางในยามดึก แม้อากาศจะค่อนข้างเย็นแต่ก็ไม่ถึงกับหนาวเกินไปที่จะนอนหลับ
..............................................................................................
แสงแดดยามเช้าส่องลอดถ้ำเข้ามากลิ่นหอมของละอองไม้ป่าปนกับความชื้นของอากาศสูง อังซูเรย์ ลืมตาขึ้นหล่อนนอนซุกอยู่ใต้วงแขนของพิทักษ์ ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของหล่อน จ้องมองดูชายที่หล่อนนอนเกยอยู่ หนวดเคราสากครึ้มทำให้หน้านั้นดุเข้มแต่ใครจะรู้หน่อว่าชายคนนี้จิตใจดีเพียงใด แต่หล่อนนั้นหยั่งได้ลึกแน่นนอนถึงแก่นแท้ เช้าวันนี้ความทรงจำและสติของหล่อนกลับมาเป็นตัวของตัวเองจนครบแล้ว หล่อนยิ้มแล้วแกล้งเอามือไปจับคางเขาเขย่าๆเบาๆ ดวงตาสีเข้มนั้นก็ลืมขึ้น แล้วรอยยิ้มแรกของวันก็ปรากฎให้แก่กันและกันไม่รู้ทำไมเหมือนกันช่วงเวลาที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันแค่เพียงสองวันกว่าๆทำให้บุคคลทั้งสองรู้สึกผูกพันกันได้ขนาดนี้ เมื่อพิทักษ์ชันกายขึ้นเขาก็พบว่า มะอีซานั่งอยู่ปากถ้ำ กำลังก้มๆเงยๆกับอะไรบางอย่างอยู่ โดยมี เชกี นั่งกอด อกอยู่ข้างๆ สองคนนั้นดูเข้ากันได้ดีในสถานการตอนนี้ พิทักษ์เหลือบสายตาไปมุมผนังฝากโน้น ก็พบร่างน้อยๆนอนอยู่ แม่หญิงชนเผ่านั้นเอง หล่อนนอนตะแคงคุดคู้โดยมีเจ้าเสือดาวตัวนั้นนอนข้างๆ ดวงตาสีอำพันของมันจ้องเขม็งมาที่เขา 
อังซูเรย์ ค่อยๆลุกขึ้นบิดกาย แล้วเดินออกมาข้างนอก พิทักษ์สปริงตัวยืนขึ้นตามเธอออกมา ลมยามเช้าพัดพาผมยาวของหล่อนให้ปลิวไสว ดอกเอื้องป่าที่ประดับมุมหินเบื้องบนและรอบๆขอบลานด้านนอกนั้นดูงดงามราวสวนสวรรค์ เบื้องล่างต่ำลงไปไกลลิบๆม่านสีขาวของน้ำตกใหญ่ สาดละอองรุ้งเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์ยามเช้า ทั้งคู่ยืนชมภาพเบื้องหน้าที่สุดประทับใจ “สวยใช่ไหม” พิทักษ์ถาม หล่อนยิ้มแล้วพยักหน้า “ไปดู มะอีซากันหน่อย นั่งทำอะไรกัน” พิทักษ์กล่าวชวน “ไป” อังซูเรย์ตอบสั้นๆแล้วจูงแขนเขามาตรงที่มะอีซากับเชกีนั่งอยู่ เมื่อเข้ามาได้ระยะพิทักษ์ก็เห็นได้ ถนัดมะอีซากำลังนั่งถลกหนังชำแหละสัตว์บางชนิดอยู่ รูปร่างไม่ใหญ่นัก “เอ เก้งนิ ได้มายังไงกัน” พิทักษ์ทักทาย แล้วชวนอังซูเรย์นั่งลงบนขอนไม้ไม่ห่างมะอีซานัก มะอีซาหยุดมือแล้วยิ้มตอบจนเห็นฟันสองแถว “เชกี เป็นคนหามานะนาย หมอนี้มันไวดีแท้ มันเป็นคนปลุกชวนมะอีซาออกมาทำ ไม่รู้หมอไปได้มาแต่ตอนไหน” “แล้วทำไมมะอีซาไม่ถาม” เขาซัก ผมว่าจะถามเหมือนกันนาย แต่มันก็นั่งลงหลับตาซะงั้น แล้วบอกห้ามกวน เลยยังไม่ได้คุยกันเลย” พิทักษ์ทำหน้างง แล้วครุ่นคิด “อืมห์มันอาจเป็นพิธีกรรมของพวกคนเผ่าละมั้งพวกนี้ มีวิธีจัดการหรือเคารพกับเหยื่อด้วยวิธีแปลกๆ” พิทักษ์ลูบคางตอบตาก็ชำเลืองไปยังร่างกำยำนั้น “นายรู้ได้ยังไงครับ” มะอีซาซักต่อ “ฉันเคยเห็นพวกชนเผ่ามาเหมือนกันแต่เป็นที่ แอฟริกานะ ชาวเผ่าตัวดำๆพวกนั้นมีวิธีอะไรแปลกๆเสมอด้านพฤติกรรมหรือความเชื่อ” “อ๋อ” มะอีซา ทำหน้าเหมือนเข้าใจแล้วค่อยๆพูด “แต่มะอีซาว่า เชกี มันคงจะนั่งหลับหรือไม่ก็บริกรรมคาถาอะไรอยู่กะมังนาย มันคงไม่เคารพอะไรเหมือนพวก ฟริก้า ที่นายเล่าดอก เมื่อกี้เห็นมันโยนเก้งลงมาตุ๊บ ไม่เห็นเหมือนคนที่จะมีความเคารพอะไรเลย” พูดแล้วก็แอบยิ้มชำเลืองดู เชกีนิดนึ่ง มะอีซาพูดพลาง ชำแหละพลาง “นั้นเก้งหม้อใช่รึไม่” พิทักษ์หยิบส่วนหัวของเก้ง ซึ่งขนาดเท่าหัวสุนัขไทย ขึ้นมาพลิกดู ขนสีดำขึ้นเป็นทางตามแนวเขาทำให้มันดูชัดเจน “ครับนาย” มะอีซาตอบ “หลังๆนี้แถวพื้นราบไม่ค่อยมีมันหลบคนขึ้นมาที่สูงหมด แล้วไอ้พวกนี้ฟันมันคมนัก มีพรานเก่าถูกพวกเก้งกัดเอาเหวะก็มีนานาย เพราะว่ายิงแล้วมันล้มลงแต่ไม่ตาย จับจังหวะมันลุกขึ้นทั้งขวิดทั้งกัด ”
พิทักษ์เบ้ปากพยักหน้ารับ แล้วเอานิ้วแยงฟันเก้งที่ยาวเป็นนิ้วให้อังซูเรย์ดู หล่อน ผลักออกเบาๆแล้วส่ายหัว ดวงตาคมโตคู่นั้นเปล่งประกายงดงาม พิทักษ์วางหัวเก้งลง แล้วหันมาสำรวจบาดแผลให้หล่อนแทนโดยใช้วิธีกดคลำตรวจสอบอาหารบาดเจ็บ เชกี ที่นั่งนิ่งอยู่ พลับก็ผลุดลุกขึ้นไปก่อ กองไฟ พิทักษ์ รีบส่งภาษาผ่านมะอีซาว่า “จะก่อได้หรือ จะเป็นการบอกเปิดเผยตำแหน่งรึไม่” เชกี โบกมือ ตอบมาเสียงแทบห้าว “ไม่เป็นไร เราอยู่สูงและเป็นตำแหน่งที่ปิดบัง นักล่าพวกนั้นไม่มีทางจะเห็นตำแหน่งเราได้ อีกทั้งตอนนี้พวกนักล่าอยู่ห่างจากพวกเราไปไกล” เชกีพูดพลางตีหินไฟจนเป็นประกาย “เขารู้ได้ไง” พิทักษ์ ขมวดคิ้วซักต่อ มะอีซารีบแปลข้อความอย่างชำนาญ เชกี ทำท่าทางอึดอัดใจอยู่จึงตอบสั้นๆว่า “สัตว์เลี้ยงของ เชกี เฝ้ามองพวกมันอยู่ทุกความเคลื่อนไหว หากมันจะมุ่งหน้ามาทางเรา เราจะต้องรู้ตัวก่อน” ทุกคนงุนงงกับคำตอบ “สัตว์เลี้ยงของเชกีคืออะไร” เขาถามต่อเนื่อง เชกีผู้พูดคุยไม่ค่อยเก่ง ลุกขึ้นเต็มสัดส่วน “เชกีจะให้พวกนายเห็น ฮัคจา สัตว์สัมพันธ์ของเชกี” เชกีพูดอย่างเข้มแข็ง แม้จะไม่ค่อยเข้าใจอะไรนักทุกคนก็ตั้งหน้ารอดู เชกี เดินออกไป ใกล้เชิงผา แผงอกอันกำยำสูดอากาศขึ้นแล้วเปาลมออกจากปาก วี๊ดยาว เขายกแขนข้างที่หุ้มด้วยหนังสัตว์ขึ้นโบก พลันทุกคนสดับสำเนียงเสียงลมตีอากาศจากพื้นเบื้องล่างดังพึบผับ แล้วร่างสีน้ำตาลร่างใหญ่ก็พุ่งพรวดขึ้นมาจากขอบผานั้นมันพุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้าเบื้องบน มันบินวนเวียนฉวัดเฉวียนอยู่ ลมจากปีกใหญ่ที่ตีอากาศอยู่รุนแรงปานพายุบุแคมฝุ่นผงคลีฟุ้งกระจาย มันคืออินทรีทองขนาดยักษ์ มันส่งเสียงแหลมยาวดังสนั่น แรงลมจากปีกใหญ่นั้น ทำเอา ทุกคนต้องเอามือป้องหน้า แล้วอินทรีทองตัวนั้นก็โฉบลงมาเกาะกับก้อนหินหยาบเบื้องหน้าของ เชกี เมื่อมันลงมาอยู่บนพื้นความสูงใหญ่ของมันแทบจะเท่ากันกับมนุษย์เบื้องหน้า เชกี โยนหนูที่ซ่อนไว้ในในซองหนังให้เจ้า ฮัจจา หรืออินทรียักษ์ มันฉกงับแล้วขยอกกลืนอย่างว่องไว เชกี เข้าไปกอดและลูบหัวของมัน ดวงตาขนาดใหญ่นั้น กระพริบมองไปรอบๆ มันดูแข็งแรงและดุดันขนที่หัวถึงคอสีขาว ปากและขาเหลือง ขนลำตัวสีน้ำตาลอ่อน ปลายปีกแซมดำ หางขาว มันดูเหมือนอินทรีที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศอเมริกันแต่ ทว่าแตกต่างออกไป
“นี้คือ ฮัจจา”
เชกีพูดห้าวขึ้น 
“ฮัจจา คอยอยู่บนทองฟ้าเกือบตลอดเวลา มันคอยกันพวกนักล่าจากพวกเรา และคอยหาหารในบางครั้ง ฮัจจาอยู่กับเราเสมอ แม้ว่าบางครั้งเราจะไม่เห็นตัวมันก็ตาม มันจะคอยเตือนเวลามีพวกนักล่ามาใกล้ๆ หรือเวลาที่เราต้องการสอดส่องใครสักคน”
เชกี พูดอธิบายช้าๆ ผ่านมะอีซา แม้จะยังทึ่งกับอินทรียักษ์ พิทักษ์ก็พยายามถามคำถามออกไป “แล้วฮัจจาอยู่บนฟ้า หากมีพวกศัตรูมาใกล้ๆเรา เมื่อมันเห็นมันจะเตือนยังไงละร้องเตือนหรือ” มะอีซาแปลให้เชกีฟัง เชกี ส่ายหัวโบกมือตอบไม่ทันที่ เชกี จะตอบหรืออธิบายต่อเสียงเล็กๆก็ดังมาจากปากถ้ำ “สัตว์สัมพันธ์เห็นอย่างไรเจ้านายก็เห็นอย่างนั้น” ทุกคนหัวขวับไปมอง หญิงสาวชาวเผ่านั้นเอง หล่อนก้าวอาดๆออกมา ตรงไปที่ ฮัจจา ฮัจจา มันก้มหัวลงยอมให้หล่อนลูบคลำแต่โดยดี หล่อนพูดกับทุกคนโดยไม่หันหลับมามอง มือก็ยังคงลูบไล้พญาอินทรีอยู่ “นี้คือ สัตว์สัมพันธ์ พวกมันเกิดและตายพร้อมกับเรา จิตสัมพันธ์ของเราผูกพันกัน เมื่อการผูกจิตสมบูรณ์ ทุกอย่างที่พวกสัตว์เห็น ทุกความรู้สึกที่มันสัมผัสได้ ผู้เป็นนาย จะสามารถรับรู้ได้เช่นกัน” มะอีซาแปลทุกถ้อยคำอย่างละเอียด พิทักษ์ฟังแล้วถึงกับคอแข็งเพราะ เรื่องราวมันช่างพิลึกกึกกือ พิสดารยิ่ง เขาแทบไม่เชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง เสียงเล็กๆของหล่อนยังเล่าต่อมาเรื่อยๆ “คนกับสัตว์จะต้องใกล้ชิดและฝึกฝนจนหยั่งรู้ถึงจิตใจแต่ละฝ่ายได้ เชกีกับฮัจจา สามารถเชื่อมจิตใจหากันได้อย่างอิสระ เมื่อฮัจจาอยู่บนฟากฟ้าหากมันมองเห็นสิ่งใด เชกีก็สามารถมองเห็นได้อย่างนั้น” หล่อนหยุดพูดแล้ว กวักมือเรียกอังซูเรย์ ด้วยภาษาเผ่าของเธอ อังซูเรยย์ผละจาก อ้อมแขนของพิทักษ์ตรงไปที่ พญาอินทรี เมื่อมันมองเห็นเธอ มันทรุดตัวต่ำลงยื่นหัวต่ำทำอาการคารวะ “จับดูซิ มันจำพี่ได้” หญิงสาวชนเผ่าพูด อังซูเรย์ยิ้ม แล้วค่อยๆยื่นมือออกไปลูบหัวเจ้านกยักษ์ มันหลับตาพริ้มให้หล่อนลูบแต่โดยดี 
อังซูเรย์ ยิ้มหันกลับมาโบกมือเรียกพิทักษ์ เขารีบโบกมือตอบแล้วส่ายหน้า
“เสือดาวตัวนั้น ก็เป็นสัตว์สัมพันธ์ของคุณใช่หรือไม่” พิทักษ์ถามผ่าน มะอีซา
หล่อนหันกลับมามอง “ถูกต้อง ร็อบโค่ เป็นสัตว์สัมพันธ์ของข้า มันเป็น ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งตระกูลพยัคฆ์ หล่อนอธิบายอย่างภูมิใจ แต่ข้ากับ ร็อบโค่ ยังไม่สามารถสัมพันธ์จิตได้เท่ากับ เชกี ข้ายังต้องฝึกฝนอีกยาวไกล” พิทักษ์พยักหน้ารับ เขากอดอกแน่น แววตาสีน้ำตาลเข้มส่องแววจริงจังพยายามหาข้อมูลชนป่าปริศนากลุ่มนี้ให้มากที่สุด “คนในหมู่บ้านของคุณมีสัตว์ เลี้ยงแบบนี้ทุกคนเลยหรือไม่” พิทักษ์ค่อยๆถาม
“ไม่ การมีสัตว์สัมพันธ์ต้องขึ้นกับอะไรหลายอย่าง เจ้าเป็นคนนอก รู้ไว้แต่เพียงว่า มีเพียงผู้ได้รับเลือกเท่านั้นที่จะสามารถมีสัตว์สัมพันธ์ และมีเพียงผู้ครอบครองสัตว์สัมพันธ์เท่านั้น ถึงจะได้รับเลือกเป็นนักล่าของชนเผ่า และนักล่าของชนเผ่าล้วนแต่มีฝีมือเก่งกาจ พวกที่ เจ้าปะทะด้วยเมื่อยามเย็นเป็นเพียงแต่พวกสะกดรอยค้นหาเท่านั้น หากเป็นพวกนักล่า วันนี้จะไม่มีเจ้าอีกแล้ว หล่อนตอบฉะฉาน 
“หมาป่ายักษ์พวกนั้นก็เป็นสัตว์สัมพันธ์สินะ” 
“ถูกต้องมีอะไรหรือไม่” 
“ป่าวไม่มีอะไร ผมเราไปทานอาหารกันก่อนเถอะ ยังมีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ”
พิทักษ์พูดตัดบท เมื่อมะอีซแปลเสร็จเขาก็ชวนหมอมาที่กองไฟที่เตรียมเนื้อไว้
ทั้งสองสาวอ้อยอิ่งกับ ฮัจจาอยู่สักครู่ก็จูงมือกันกับกลับเข้ามา พิทักษ์มองเห็นเชกี สวมกอดฮัจจา แล้วโบกมือขึ้น อินทรียักษ์ก็ยืดตัวขึ้นสูง มันทะยานตัวตบปีกอันใหญ่พุ่งตัวลงสู่น้ำตกด้านล่างแล้วบินโฉบขึ้นไต่ระดับขึ้นสูงจบลับเมฆ 
“มันต้องกลับไปทำหน้าที่ของมัน”
มะอีซาแปลข้อความให้เขาฟังทีหลัง แล้วทั้งคณะก็มาพร้อมกันที่ กองไฟกองเล็ก มะอีซาและเชกี ช่วยกันย่างเนื้อเก้งหม้อตัวนั้น มันตกน้ำมันหอมกรุ่น เสียงไฟแลบเลียน้ำมันบนขาเก้ง ดูน่าทาน อาหารเช้านี้จะให้พลังงานแก่ทั้งคณะเป็นอย่างดีทุกคนก็เริ่มทานอาหารมื้อแรกของวัน หัวหน้าคณะและมะอีซามาทราบถึงบางอ้อว่า เก้งตัวนี้ก็เป็นฝีมือของ ฮัจจา มันโฉบเอา เก้งมาทิ้งไว้ตอนเช้ามืด แล้วก็บินลับหายไปส่วนที่ เชกีนั่งหลับตาอยู่ก็เพราะ เขาต้องการสมาธิย้ายจิตไปกับมัน เพื่อสอดส่องพวกนักล่า เช้านี้หลังจากรับประทานอาหาร พิทักษ์ตั้งใจจะหารือปรึกษา ว่าทางพวกชนเผ่าจะทำยังไงต่อไปเขาต้องการหาข้อยุติที่ดีที่สุดเพราะยังไงเขาก็ไม่ยอมที่จะทอดทิ้งอังซูเรย์ไว้กับพวกนี้โดยลำพังแน่ เช้านี้สองสาวดูสนิทกันและพูดคุยกันตลอด พิทักษ์พึ่งสังเกตเอาในตอนนี้เองว่าอังซูเรย์ พูดคุยภาษาเผ่าพวกนี้ได้คล่องแคล่ว นั้นหมายถึงพวกนี้น่าจะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับหล่อน มีหลายครั้งที่อังซูเรย์ พูดคุยกับ มะอีซา ทั้งๆที่พึ่งเคยเจอกันมาไม่นานทั้งคู่ดูคุยเข้าใจกันได้ดี มีแค่เขาคนเดียวหรือที่ตอนนี้ที่ยังไม่ได้พูดคุยกับหล่อนแบบจริงจัง ทั้งๆเขาเป็นคนอยากจะพูดคุยกับหล่อนมากที่สุด พิทักษ์นั่งแทะเนื้อเก้งปล่อยความคิดต่างๆล่องลอยในหัว แล้วเขาก็ตื่นจากภวังค์เมื่อมีมือเล็กๆ เอื้อมมาสะกิด “เป็นอะไรคะ” หล่อนถามพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ เป็นยิ้มที่เผยให้เห็นฟันเขี้ยวคู่หน้านั้น ช่างงดงามพิทักษ์บอกกับตัวเอง “เปล่าครับ” เขาตอบ พลางชำเลืองสายตาไป มองสาวน้อยชาวเผ่าที่ข้างๆอังซูเรย์ พิทักษ์พึ่งมีเวลาสำรวจ พิเคราะห์ใบหน้าและทรวดทรงของหล่อน ร่างน้อยนั้นผิวขาวแต่กร้านแดด ร่างน้อยดูบอบบางแต่ทว่าแข็งแรงปราดเปรียว อยู่ในชุดชนเผ่าที่เหมือนกับพวกคนเถื่อนยุคก่อน ดูรัดกุมและสวยงามสวมเสื้อแขนสั้นบางๆเสื้อนั้นสั้นจนเอวลอยเผยให้เห็นเนื้อสาวที่เนียนบาง กางเกงครึ่งแข้ง มีหนังสัตว์ ทำเป็นรูปคล้ายกระโปรง ติดอยู่ที่สะโพกทั้งสอง เว้นกลางแต่เชื่อมต่อด้วยเข็มขัดหนังเส้นใหญ่ มันดูเหมือน แซป ของพวกคาวบอย เขาคิด บนไหล่อันบางของหล่อนคลุมด้วยขนสัตว์สีสดใส ที่คอห้อยเครื่องประดับต่างๆจำพวกหินสี เขี้ยวเล็บเสือ กระดูกสัตว์ และยังสวมใส่กำไลแบบต่างๆทั้งมือและเท้า หน้าตาหล่อนสะสวยดูละม้ายกับอังซูเรย์ แต่ทว่าดูเด็กกว่า ไม่สวยหวานแต่สวยคมโฉบเฉี่ยว ผมซอยสั้นที่ประบ่าทำให้ ดูเก๋ไปอีก ดูเหมือนหล่อนจะจับสังเกตได้ว่าพิทักษ์แอบจ้องมองอยู่ แววตาคมคู่นั้นจ้องกลับมา แล้วเอ่ยเป็นภาษาชาวเขากับมะอีซา 
“เขาว่านายจ้องเขาทำไม” มะอีซาแปลออกมาสั้นๆยิ้มๆ
“บอกไปว่าฉันไม่ได้ตั้งใจแค่อยากจะสอบถามว่าวันนี้จะเอายังไงเท่านั้น”
พิทักษ์ตอบเปลี่ยนเรื่อง หล่อนเบ้ปากไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็หันไปพูดคุยกัน เชกี หมอนั้น ได้แต่ทำไม้ทำมือและส่ายหน้า ทั้งคู่คุยกันหน้าเคร่งก่อนที่ หล่อนจะหันมาทางเขาอีกครั้ง หล่อนจ้องมองเขาสลับกับอังซูเรย์แล้วส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้จะวางแผนอย่างไรเหมือนกัน” หล่อนเอ่ยคำแรกผ่านมะอีซา “เรื่องนี้มันซับซ้อนเกินที่คนนอกอย่างเจ้าจะเข้าใจ ตอนนี้เราเปรียบเสมือนก้อนหินที่ขึ้นกลางสายน้ำเชี่ยว เราไม่อาจจะทำอะไรได้มากกว่านี้” 
หน้าของหล่อนดูขรึมลง พิทักษ์สูดหายใจเข้าพยามทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดนัก “มีเรื่องอะไรที่ผมพอจะรับรู้ได้หากคุณไม่รังเกียจที่จะเล่า ผมและคนของผมพร้อมให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่” สาวชนเผ่าผู้มีดวงตาคม เงยหน้าขึ้นสบตาเขา แล้วมองไปที่อังซูเรย์ แสงแดดยามเช้าสองประกายเมื่อต้องกับผมของหล่อน “ข้าจะเล่าให้เรื่องราวทั้งหมด รวมถึงสถานการเกิดขึ้นในตอนนี้ด้วยแต่ไม่ใช่ตรงนี้ อีกหน่อยพื้นที่โล่งตรงนี้จะต้องกับแสงแดดแรง สถานที่นี้เบื้องหลังถ้ำสามารถทะลุออกเป็นป่า ไม้สูงและแอ่งน้ำมันจะปลอดภัยที่สุด” หล่อนพูดพลางชี้มือบอก พิทักษ์พยักหน้าลง “เข้าใจแล้ว เราควรจะเดินทางกันเลย” หล่อนรับคำ ก่อนจะก้าวเกินไปหล่อนหันกลับมา “อ่อ ลืมบอกไป ข้าชื่อ ลีอา” เพียงเท่านั้นก่อนจะยิ้มแล้วหันหลังเดินไป 
ทุกคนล้วนเข้าใจสถานการณ์ดี มะอีซาและเชกี รวมรวมเสบียงที่เหลือและสัมภาระ ที่จำเป็น ก่อนจะพร้อมเดินทาง อังซูเรย์ เหนี่ยวแขนพิทักษ์ออกมาตรงซุ้มกล้วยไม้แล้วพูดช้าๆว่า “ให้พรานของคุณสอนภาษาฉันได้หรือไม่ ฉันอยากเก่งขึ้นจะได้คุยกับคุณบ้าง” เขายิ้มแล้วจับไหล่ที่บอบบางนั้นตอบ 
“ทีแรกผมก็คิดแบบนั้น มะอีซาจะชวยสอนทุกเรื่องที่คุณอยากรู้ ผมก็อยากจะคุยกับคุณเหมือนกัน”
หล่อนพยักหน้าขอบคุณ 
พิทักษ์ ขอให้ เชกี คอยสอดส่องคณะเดินป่าของเขาด้วย โดยอธิบายว่า คณะเดินป่าของพิทักษ์ มีหลายคนแต่เนื่องจากการต้องแยกทางกันอย่างบังเอิญ พิทักษ์ปิดเรื่องที่พวกตนแยกออกมาล่าเสือไว้ เขาขอให้เชกี คอยเฝ้าดูว่า พวกนักล่าชาวป่า จะตระเวนลงไปจนถึงเขตพักของ ณรงค์หรือไม่เพราะหากเกิดการปะทะกันขึ้นความสูญเสียก็จะบังเกิดจนไม่อาจประเมินค่าได้ มะอีซาเป็นคนระบุพิกัดกำแหน่งที่พวกนั้นตั้งแคมป์อยู่คร่าวๆให้เชกี เชกี รับปากว่าจะทำให้ตามที่พิทักษ์ขอ ส่วนการติดต่อกันระหว่างพิทักษ์ และคณะฝ่ายโน้นพิทักษ์ยังคิดไม่ตก คณะเดินทางฉุกเฉินมาพร้อมกันในถ้ำที่ใช้นอนเมื่อคืน ทุกคนได้รับแจกคบไต้ คนละอัน โดยได้นัดแนะกันว่าจะค่อยๆทยอยกันจุดทุกคนยืนเรียงเดี่ยวพร้อมเดินทาง ลีอา ผู้อยู่หน้าขบวนสุด จ้องฝ่าเข้าไปในความมืด เดาะลิ้นเบาๆ พลันดวง ตาสีเขียวเรืองรองคู่หนึ่งสะท้อนแสงคบออกมาวาววับ ร็อบโค่ นั้นเอง มันก้าวอาดๆเข้ามา ในปากคาบกระต่ายภูเขาตัวเขื่องมาตัวหนึ่ง ลีอารับกระต่ายตั้วนั้นไว้แล้ว โยนไปให้ เชกี ผู้อยู่หลังสุดรับไว้ใส่ซองหนังที่สะพายอยู่ “ร็อบโค่ ไปสำรวจพื้นที่มาก่อนตั้งแต่เช้าแล้ว ทุกอย่างปลอดภัยดี เอาหละทุกคนเดินทางได้” หล่อนประกาศเบาๆ แล้วเริ่มก้าวนำ ทุกคนค่อยๆทยอยตาม คู่แรกที่ตามหล่อนคือ อังซูเรย์ และพิทักษ์ ทั้งสองจูงมือกันค่อยๆก้าวเดิน พิทักษ์ใช้ไฟฉาย ที่ติดมาสาดส่องเป็นบางครั้ง ต่อมาคือ มะอีซา ปิดท้ายด้วยชนเผ่าร่างยักษ์ เชกี เช้านี้ เชกี เปียผม และเอาสีฟ้า มาทา คาดอกตามรอยนิ้วห้าแฉก อันเป็นธรรมเนียมของเผ่า คณะเคลื่อนที่ผ่านไปอย่างสะดวก “นี้เราต้องเดินลอดถ้ำอุโมงค์นี้ลึกไกลเท่าไหร่” พิทักษ์ถามขึ้นรวมๆ “ราวๆสัก สองชั่วโมงนาย แต่อากาศถ่ายเทดี และหนทางสะดวกมากไม่มีหุบเหว” มะอีซาเป็นคนตอบ เพราะหมอนั้นคุยกันเชกีผู้อยู่เบื้องหลัง “ถามพวกนี้ว่าเคยใช้ทางนี้บ่อยหรือไม่” เขาสั่ง มะอีซาหันไปส่งข้อความอยู่ครู่ แล้วก็ให้คำตอบที่พิทักษ์ใจชื้น “ไม่เคยสักครั้งครับนาย แต่เป็นทางเก่า ที่เคยมีนักล่าเข้ามาเมื่อหลายสิบปีก่อน”
“เยี่ยมไปเลย” พิทักษ์ตอบยิ้มแห้งๆ
คณะเดินทาง เดินมะงุมมะหรากันมาได้เกือบสองชั่วโมง ผ่านทางอันคดเคี้ยวของโพรงถ้ำ หลายครั้งที่เป็นจุดสามแพ่งเป็นซอกหลืบโพรงคูหาลึกเข้าไป แต่ด้วยการนำของ ร็อบโค่ ทั้งหมดก็สามารถผ่านมาได้อย่างสบายไม่เสี่ยงต่อการหลง ระนาบการเดินทางดูเปลี่ยนไปคือ บางครั้งพื้นเอียงเหมือนต่ำลง และชันขึ้นเป็นครึ่งวงกลม ชั่วไม่นานหลังจากนั้น ทางก็บีบเล็กลง ขนาดกว้างไม่เกินสองเมตร สูงเท่ากัน ลมป่าก็พัดโกรกสวนเข้ามา นำเอาความหอมชื่นของอากาศเบื้องนอกเข้ามา กลิ่นดอกไม้ป่าหอมรวยริน แล้วทั้งหมดก็พบตัวเองอยู่ ที่ปากถ้ำ แมกไม้สูงใหญ่ขึ้นรอบๆแอ่งน้ำขนาด ประมานหนึ่งร้อยตารางวา น้ำนั้นดูลึกขนาดอกแต่ใสจนเห็นหินสีๆเบื้องล่าง มีปลาเล็กๆแหวกว่ายอยู่ นกหลายชนิดสีสดใส ต่างขับขานอยู่ริมสระนั้น พวกมันบินวนเวียนฉวัดเฉวี่ยน ไปมาอาจเพราะไม่เคยเห็นคนมาก่อน ทุกคนล้วนแต่ประทับใจกับภาพเบื้องหน้า โดยเฉพาะสองสาว ที่ยิ้มจนแก้มแดง อังซูเรย์บีบมือพิทักษ์แน่น เขาก็บีบตอบ ไม่น่าเชื่อ ที่บนภูเขาจะมีแอ่งที่เป็นป่าอยู่แถมสระน้ำที่สวยราวสวนสรรค์ เพราความสูงที่อันเป็นที่ตั้งของป่าลับนี้อยู่สูงกว่าภูเขาเล็กๆบางลูกเสียอีก คณะเลือกเอาใต้ร่มไม้ใหญ่ ข้างๆโขดหินเป็นที่พัก ทุกคนล้วนแบ่งกันทำหน้าที่ของตัวเอง 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา