ฤาบุปผาลิขิตชะตารัก

-

เขียนโดย ณรีนิน

วันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 16.26 น.

  44 ตอน
  2 วิจารณ์
  12.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน พ.ศ. 2565 22.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19) ศึกชิงหญิงงาม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ทุกคืนค่ำในความฝัน ฉันเห็นคุณ ฉันรู้สึกถึงคุณได้...
รับรู้อยู่ในใจ ว่าคุณยังไม่หายไปไหน...
แม้หนทางไกลแสนไกล และมีสิ่งกั้นขวางระหว่างเรา...
แต่ภาพของคุณยังคงแจ่มชัดทำให้ฉันรู้ว่าคุณไม่หายไปไหน...
ใกล้หรือไกล ไม่ว่าคุณจะอยู่แห่งหนใดก็ตาม… 
ฉันเชื่อว่าหัวใจรักของเรายังคงอยู่เสมอ...
หากคุณได้ลองเปิดประตูบานนั้นอีกครั้ง คุณได้เข้ามาอยู่ในหัวใจของฉัน...
และใจของฉันดวงนี้จะคงอยู่ตลอดไปจนนิรันดร์...
สิ้นเสียงขลุ่ยบรรเลงเพลงอันอ่อนหวานและแสนไพเราะงดงามตั้งแต่ต้นจนจบ ความเงียบงันยังคงโอบล้อมหญิงสาวอยู่ชั่วอึดใจ มือเรียวบางลดระดับลงอย่างช้าๆ ดวงตาคู่งามเปิดขึ้นก่อนที่จะกวาดสายตามองผู้คนรอบข้างด้วยความสับสนหวาดหวั่น
“เคร้งงงง!” เสียงวัตถุหล่นลงพื้น...เหม่ยหลินสะดุ้งหันขวับไปมองต้นเหตุของเสียงดังนั้น
เสี่ยวถิงเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงเป่าขลุ่ยของเหม่ยหลินแล้วยืนนิ่งงัน จนมือไม้อ่อนปล่อยให้ขลุ่ยหลุดมือร่วงลงพื้นอย่างไม่รู้ตัว หน้าของนางซีดขาวด้วยกลัวความผิดที่กำลังจะถูกเปิดเผยในไม่ช้า
นอกจากเหม่ยหลินแล้วดูเหมือนไม่มีใครใส่ใจหันไปมองเสี่ยวถิงอีกต่อไป...
เพราะตอนนี้เสียงปรบมือเบาๆบังเกิดขึ้นจากกลุ่มคนที่อยู่เบื้องหน้า จนมีเสียงปรบมือตามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากทั้งสองฝั่งซ้ายขวาอีกคนานับ ราวกับว่าผู้คนเหล่านั้นเพิ่งตื่นจากภวังค์
“ไพเราะอะไรเช่นนี้...นี่มันเพลงอะไรกัน”
“ไม่เคยได้ยินท่วงทำนองเพลงที่ไพเราะแปลกหูเช่นนี้มาก่อนเลย...”
“นางเป่าขลุ่ยได้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ...”
เสียงเซ็งแซ่พร้อมเสียงปรบมือดังไม่หยุด เหม่ยหลินเห็นสายตาชื่นชมของผู้ฟังจำนวนมากที่มองมายังตัวเธอเป็นจุดเดียวทำให้หญิงสาวขนลุกขึ้นมาดื้อๆ เธอไม่ลืมที่จะเหลือบตามองไปยังหวางชุนเทียนผู้ฟังเพียงคนเดียวที่พูดให้กำลังใจเธอตั้งแต่ต้น ชายหนุ่มส่งยิ้มน้อยๆให้เป็นคำชมเชยและถอนหายใจออกมาราวกับโล่งใจ เมื่อเหลือบไปเห็นสีหน้าของซุนถงฉีที่ยิ้มและพยักหน้าอยู่เนืองๆ ก็พอจะรู้แล้วว่าคำตอบที่ได้คืออะไร
“เสียงขลุ่ยของเจ้าฟังดูประหลาดก็จริงแต่ก็ช่างไพเราะมากเช่นกัน เพลงนี้มีความหมายหรือไม่?” ท่านอ๋องไม่เพียงตรัสชมเชยแต่ยังต้องการรู้ความหมายของเพลงทำนองหวานปนเศร้าที่เพิ่งบรรเลงจบลงไปนี้  
 “เพลงนี้แสดงถึงความรัก ความคิดถึง ห่วงหาของคนรักที่อยู่ห่างกันแสนไกลและไม่มีทางมาเจอกันอีกเลยเพคะ” เหม่ยหลินอธิบายความหมายอย่างฉะฉาน ใจจริงอยากจะบอกว่านี่คือเพลงประกอบภาพยนต์อันโด่งดังในยุคของเธอแต่คนที่นี่ไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่เธอพูดอย่างแน่นอน
ท่านอ๋องพยักหน้าน้อยๆพลางลูบเคราไปมาคิดในใจว่าหญิงผู้นี้สื่ออารมณ์เพลงได้อย่างกินใจจนอยากจะฟังใหม่อีกสักรอบ แต่ตอนนี้ต้องค้นหาความจริงเสียก่อน จึงหันไปทวงคำตอบกับจิตรกรหลวงซุนถงฉี
“ซุนถงฉี…ในเมื่อเจ้าได้ฟังเสียงขลุ่ยจากการบรรเลงของทั้งสองนางแล้ว ทีนี้บอกหรือยังว่าผู้ใดคือเหม่ยหลิน”
จิตรกรหลวงผู้ถูกถามที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆ และรับฟังสถานการณ์อย่างใจจดใจจ่ออยู่ตลอดเวลาได้ยืนขึ้นช้าๆ และตอบไปว่า
“เพลงที่กระหม่อมได้ยินตอนอยู่หมู่บ้านหนิงอัน คือเพลงที่เพิ่งบรรเลงจบไปเมื่อครู่พ่ะย่ะค่ะ”
คำตอบนี้ทำให้รู้ว่ามีหญิงที่พูดโกหกคือใคร!
ทุกคนหันไปมองเสี่ยวถิงเป็นตาเดียว รวมทั้งพระชายาที่กำลังคิดหาทางออกให้แก่เสี่ยวถิงแต่ก็ยังนึกทางออกนั้นไม่ได้
“เจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่” คำถามจริงจังจากเจ้าผู้ครองแคว้นดังขึ้น
“หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ!” เสี่ยวถิงคุกเข่าลงก้มหน้าโขลกพื้นรับความผิด
“ที่แท้เจ้าก็คือเสี่ยวถิงไม่ใช่เหม่ยหลิน! และเจ้าก็ขโมยตราหยกของท่านแม่ทัพมาด้วยใช่มั้ย! ทหารจับตัวนางไว้!” เสียงพระชายาแทรกขึ้นก่อนที่ท่านอ๋องจะตรัสอะไรมากไปกว่านี้ นางยืนขึ้นแสร้งทำทีท่าโมโห สั่งการให้ทหารสองนายเข้าไปกำกับอยู่ข้างกายของเสี่ยวถิงโดยทันที
“เสด็จพ่อเพคะ หญิงผู้นี้อยู่ในความดูแลของหม่อนฉัน ดังนั้นหม่อมฉันขอเป็นผู้ลงโทษนางเองเพคะ” คำพูดรวบรัดเพื่อให้เรื่องราวจบลงง่ายๆ ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดด้วยกลัวความจะแตกเสียก่อน
ท่านอ๋องเห็นว่านี่คงจะเป็นเพราะความอิจฉาริษยากันเองภายในเหล่าหญิงบรรณาการกระมัง ในเมื่อความจริงปรากฏแล้วก็เท่ากับว่าเรื่องที่รับปากต่อแม่ทัพหวางลุล่วงไปได้
“แม่ทัพหวางเล่า ท่านจะว่าอย่างไร”
คำถามหยั่งเชิงราวกับโยนหินถามทางของท่านอ๋อง ทำให้หวางชุนเทียนจำเป็นต้องตอบ
“กระหม่อมไม่ถือสาพ่ะย่ะค่ะ ขอพระชายาโปรดอย่าลงโทษนางสถานหนักเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านแม่ทัพช่างมีจิตใจเมตตา ข้าขออภัยที่เกิดเรื่องไม่ถูกต้องเช่นนี้...เสด็จพ่อเพคะหม่อมฉันจะนำนางผู้นี้ไปลงโทษที่ตำหนักเฟิ่งหวง หม่อมฉันทูลลาเพคะ” อย่างไงก็ต้องรีบพาเสี่ยวถิงออกไปจากลานพิธี แล้วค่อยไปว่ากันใหม่ที่ตำหนักเฟิ่งหวง
หลังจากท่านอ๋องพยักหน้าทรงอนุญาต ทหารสองนายจูงกึ่งลากตัวเสี่ยวถิงไปจากลานพิธี ไม่สนใจคำร้องขออภัยจากหญิงผู้กระทำผิด “ได้โปรดให้อภัยหม่อมฉันด้วยเพคะ!”
ในขณะที่กำลังจะก้าวออกจากที่ประทับ พระชายาหันไปมองหน้าองค์ชายรองเพราะคิดว่าพระสวามีจะตามนางกลับตำหนักเช่นกัน แต่เมื่อเห็นว่ายังทรงทำหน้านิ่งและไม่ขยับเขยื้อนแม้สักนิด แสดงให้เห็นว่ายังอยากอยู่ต่อ... นางจึงสะบัดหน้าไปทางนางกำนัลคนสนิท “ซูปี้! พาหญิงงามทุกนางกลับตำหนักเดี๋ยวนี้!”
“เพคะ…พระชายา” ซูปี้รับคำเสียงอ่อยได้แต่ก้มหน้างุดเดินตามไปติดๆ
พระชายานำพากลุ่มเหล่าหญิงบรรณาการเดินผ่านประตูออกไปพร้อมสีหน้าบึ้งตึง ปล่อยให้เรื่องราวที่หน้าลานพิธีดำเนินต่อไป
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกอย่างกระจ่างชัดแล้วเช่นนี้ แม่ทัพหวางคงไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแล้ว” ท่านอ๋องหันไปพูดกับหวางชุนเทียนเพื่อคืนคำขอให้แก่เขา
แต่อยู่ๆ องค์ชายรองก็ลุกขึ้นทูลบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้หวางชุนเทียนถึงกับนั่งไม่ติด
“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าแคว้นตงเยว่ของเรามีหญิงงามที่มีความสามารถเช่นแม่นางเหม่ยหลิน น่าเสียดายที่ต้องส่งนางกลับสู่หมู่บ้านหนิงอันที่ห่างไกลเช่นนั้น หนำซ้ำนางเป็นหญิงงามขนาดนี้อาจมีภัยมาถึงตัวเข้าสักวัน ลูกเห็นว่าแม่นางเหม่ยหลินผู้นี้เหมาะสมที่จะพำนักอยู่ในเมืองหลวงมากกว่านะพ่ะย่ะค่ะ” ดูเหมือนองค์ชายรองจะไม่สนใจคำขอที่แม่ทัพหวางเอ่ยขึ้นก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว
“หือ...เจ้าหมายความว่าอย่างไรหรือองค์ชายรอง”
“ลูกหมายความว่าให้นางอยู่ตำหนักเฟิ่งหวงตามเดิมจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
หวางชุนเทียนเริ่มตะขิดตะขวงใจที่จู่ๆองค์ชายรองก็ออกความเห็นอะไรที่แปลกเช่นนี้ ส่วนเหม่ยหลินเองก็เริ่มกระวนกระวายเช่นกัน จนแล้วจนรอดยังจะต้องกลับไปอยู่ตำหนักเฟิ่งหวงอีกหรือนี่ อย่างไรก็ตามขอให้เราได้พูดบ้างเถอะ!
“หม่อมฉันยินดีกลับสู่หมู่บ้านหนิงอันมากกว่าเพคะ ขออย่าเป็นห่วงหม่อมฉันเลยเพคะ”
แต่ท่านอ๋องที่เห็นด้วยกับความคิดขององค์ชายรองพยายามพูดเกลี้ยกล่อม “แม่นางเหม่ยหลิน คิดดูเถิดหากเจ้าเกิดอันตรายอันใดแม่ทัพหวางก็คงรีบไปช่วยเจ้าเช่นเดิม ข้าคงไม่อาจอนุญาตให้เจ้ากลับไปอยู่ในที่ห่างไกลเช่นนั้น”
“ทูลฝ่าบาทวันนี้แม่นางเหม่ยหลินเกือบจะถูกสลับตัว ข้าไม่วางใจหากนางอยู่ตำหนักเฟิ่งหวงต่อไปพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรับนางเข้าสู่จวนของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
“หญิงงามสมควรอยู่ในความดูแลของบุรุษที่ปกป้องนางได้ ขอเสด็จพ่อทรงอนุญาตให้ลูกแต่งตั้งนางเป็นสนมและสร้างเรือนให้แก่นางใหม่ ทีนี้นางก็อยู่ในความดูแลของข้ารับรองว่าไม่มีใครรังแกนางได้อีก” ใครๆก็รู้ว่าการรับสนมใหม่ขององค์ชายรองไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก เพราะสนมขององค์ชายรองที่พำนักในตำหนักเฟิ่งหวงก็มีไม่น้อย แต่ที่น่าแปลกใจก็คือทรงให้ความสำคัญกับเหม่ยหลินถึงขนาดคิดจะปลูกเรือนใหม่ให้นางโดยเฉพาะเชียวหรือ
หวางชุนเทียนสะดุดในคำพูดขององค์ชายรอง ไม่คิดว่าจะรีบร้อนพูดเอาแต่ได้ถึงเพียงนี้ และนี่คงเป็นอีกครั้งที่องค์ชายรองคิดจะเอาชนะหวางชุนเทียนให้ได้
เหม่ยหลินทำหน้าเลิ่กลั่ก นึกไม่ถึงว่ายังมีอุปสรรคเพิ่มมาอีก ผู้ชายยุคนี้ช่างมีข้ออ้างมากมายที่อยู่เหนือผู้หญิง แล้วผู้หญิงจะปฏิเสธอะไรไม่ได้เลยอย่างนั้นรึ ยิ่งชายผู้มีอำนาจเช่นองค์ชายรองเป็นผู้ทูลขอด้วยตัวเองเช่นนี้ แม่ทัพหวางจะช่วยเธอได้อีกครั้งหรือไม่!
‘เป็นหญิงบรรณาการก็ว่าแย่แล้ว นี่ยังจะให้เป็นสนมขององค์ชายรองอีก อย่างนี้พระชายาฟางซินไม่แหกอกเราแย่รึ!’
“ทำเช่นนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” เสียงของแม่ทัพดังขึ้นทันที
องค์ชายรองหันขวับ “ทำไมจะไม่ได้เล่า ในเมื่อนางอยู่ในความดูแลของพระชายาฟางซินตั้งแต่ต้น ก็ถือว่าเป็นคนของตำหนักเฟิ่งหวงเช่นกัน ตอนนี้นางก็ไม่ได้เป็นเครื่องบรรณาการแล้ว หมดหน้าที่ของท่านแล้วมิใช่หรือ? อีกอย่างนางไม่ได้เป็นสมบัติของท่านเสียหน่อย”
“กระหม่อมมีเรื่องสำคัญกราบทูลท่านอ๋องเป็นการส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงอนุญาต”
ท่านอ๋องได้ยินดังนั้นก็บอกให้ขันทีประกาศให้ทุกคนที่อยู่ในลานพิธีกลับออกไปก่อน จากนั้นคนที่เหลือจึงพากันเดินเข้าไปยังท้องพระโรง
เหม่ยหลินจำเป็นต้องก้าวเข้าสู่ท้องพระโรงไปพร้อมกันด้วยในฐานะที่เป็นเหตุของข้อถกเถียงระหว่างชายหนุ่มทั้งสอง โดยมีนางกำนัลพาเหม่ยหลินไปยืนในตำแหน่งที่ห่างออกไปเล็กน้อย
ทันทีที่ท่านอ๋องนั่งบัลลังก์ภายในท้องพระโรงจึงเรียกหวางชุนเทียนเข้ามาใกล้ๆ
“ไหน...ท่านต้องการกล่าวสิ่งใด เหตุใดจึงกล่าวต่อหน้าผู้อื่นมิได้เล่า”
“กระหม่อมขออภัยที่ไม่ได้บอกเรื่องสำคัญ กระหม่อมเกรงว่าจะทำให้ชื่อเสียงของนางเสียหาย จึงไม่ได้ทูลต่อท่านอ๋องต่อหน้าคนมากมาย ในตอนแรกกระหม่อมคิดจะจัดการเรื่องนี้หลังจากผ่านวันนี้ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบนี้ทำให้ท่านอ๋องถึงกับเลิกคิ้วในเชิงถามกลับ “ท่านคิดจะจัดการสิ่งใด”
หวางชุนเทียนขอให้ขันทีเตรียมพู่กันและกระดาษ จากนั้นเขาเขียนบางสิ่งบางอย่างลงในนั้นแล้วมอบให้แก่ท่านอ๋อง “ทรงทอดพระเนตรสิ่งที่กระหม่อมเขียนด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้อ่านข้อความ ท่านอ๋องเหลือบตามองแม่ทัพหวางแล้วยิ้มน้อยๆ พระองค์ทรงกวักมือเรียกนางกำนัลเข้าไปรับกระดาษและให้ดำเนินการตามสิ่งที่ถูกเขียนขึ้น
นางกำนัลผู้น้อมรับคำสั่งเดินตรงลงมาหาเหม่ยหลินแล้วพาไปด้านหลังฉากกั้นไม่ให้ใครได้เห็นการพิสูจน์บางอย่าง “เอ่อ...จะพาข้าไปไหน?”
“นี่มันอะไรกัน...เสด็จพ่อทรงสั่งให้นางกำนัลทำการใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” องค์ชายรองขมวดคิ้วอย่างรู้สึกขัดเคืองตั้งแต่เห็นแม่ทัพหวางส่งสารลับให้แก่ท่านอ๋อง
เพียงชั่วครู่ เหม่ยหลินถูกพาออกมาจากฉากกั้นแล้วมายืนจุดเดิม มีเพียงนางกำนัลที่ก้าวเดินตรงมาที่ท่านอ๋องและรายงานสิ่งที่ดำเนินการไปเมื่อครู่
“เป็นจริงดังที่เขียนในกระดาษเพคะ”
คำตอบของนางกำนัลทำให้ท่านอ๋องหัวเราะออกมา หันไปตรัสกับหวางชุนเทียน “เอาล่ะ...ท่านแม่ทัพหวางจงพาแม่นางเหม่ยหลินกลับจวนท่านเถิด...หมดเรื่องแล้ว”
“อะไรกันเสด็จพ่อ!” พอองค์ชายรองอ้าปากจะทักท้วง ท่านอ๋องก็ยกมือห้าม
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลา แม่นางเหม่ยหลินตามข้ามาเถิด”
 หันไปมองเหม่ยหลินที่ยืนทำหน้างงๆ แต่เมื่อถูกเรียกก็เดินตามออกไปโดยดี
แม้ทั้งสองจะเดินผ่านพ้นประตูออกไปแล้ว องค์ชายยังไม่ยอมแพ้พยายามให้ท่านอ๋องห้ามทั้งสองไว้ จนท่านอ๋องเอ็ดด้วยน้ำเสียงเอือมระอา
"เจ้าจะมีสนมสักกี่คนก็ย่อมได้ แต่เจ้าจะเลือกว่าที่ฮูหยินของผู้อื่นเป็นสนมไม่ได้ เข้าใจหรือไม่!"

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา