แด่เธอ...สุดที่รัก
เขียนโดย littlepoint
วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 21.59 น.
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2565 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
15) สู้ไปด้วยกัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ"กาย"
"กาย นั่นเสียงอะไร เปิดประตูหน่อยกาย" ฉันที่ตกใจกับเสียงดังโครมคราม ไม่ต้องเดาอะไรมากเลย กายกำลังอาละวาดขว้างปาข้าวของอยู่เบื้องหลังประตูบานนั้นแน่
"ออกไป!!! อย่าเข้ามา ออกไปให้หมด!!!" จะเรียกว่าครั้งแรกก็ได้ที่เห็นกายอาละวาดแบบนี้ แต่ฉันกลับไม่กลัวเลยสักนิด ในสมองคิดแค่ว่าต้องช่วยกายให้ได้ ต้องทำให้กายอารมณ์เย็นลงโดยเร็ว ไม่งั้นแย่แน่
เสียงจากห้องกายดังจนหมอและพยาบาลต้องวิ่งเข้ามาควบคุมสถานการณ์ แต่ประตูห้องกลับล็อกอยู่บุรุษพยาบาลกำลังรีบไปหยิบกุญแจสำรองเพื่อนำมาใช้เปิดประตู "ถ้าใครกล้าเปิดเข้ามา กูจะตายให้ดู กูจะอยู่ไปทำไมวะ สมเพชตัวเองฉิบหาย" กายเสียสติไปแล้ว ฉันเลยบอกให้ทุกคนถอยออกไป รวมถึงพ่อของกายก็ด้วย ทุกคนรวมถึงฉันเริ่มกังวลกับอาการเสียสติของกาย แต่ใจของฉันกังวลว่ากายจะช็อกไปซะก่อนเพราะอารมณ์ที่บีบคั้นขนาดนั้น
"กาย" พ่อของกายพยายามจะเดินเข้าไปใกล้ประตูเพื่อคุยกับกาย
"คุณลุง ถอยค่ะ ไม่มีประโยชน์หรอก" ทั้งสีหน้าและแววตาของฉันไม่พอใจพ่อของกายชัดเจนมาก มันเรื่องอะไรต้องไปคุยเรื่องพรรค์นี้ที่หน้าห้องของลูกที่นอนป่วยอยู่ "หนูทำได้ เดี๋ยวหนูคุยกับกายเอง"
ทุกคนดูเหมือนจะฟังสิ่งที่ฉันพูดเพราะพ่อของกายก็หันไปพยักหน้ากับหมอและพยาบาลเป็นเชิงอนุญาตให้ฉันจัดการอารมณ์ของกายด้วยตัวเอง ทำให้ต่างฝ่ายต่างอยู่นิ่งๆ เพื่อให้ฉันได้จัดการกับสถานการณ์ที่เลวร้ายตรงหน้า ในวันหนึ่งต้องเจอเรื่องอะไรมากขนาดนี้ ฉันเข้าใจกายจริงๆ ถ้ารับไหวก็ไม่ใช่คนแล้ว ฉันรวบรวมสติและเดินเข้าไปใกล้ประตู แทนที่จะเคาะแต่ฉันกลับเอามือสัมผัสที่ประตูแทน
"กาย นี่กูเองนะ"
ไม่รู้มีใครได้ยินเสียงสะอื้นเหมือนฉันไหม แต่ฉันรู้ว่ากายนั่งร้องไห้อยู่หลังประตูบานนี้
"ขอกูเข้าไปนะ เปิดให้กูเถอะ"
"..."
"จะไม่มีใครเข้าไปนอกจากกู กูสัญญา" ฉันหันไปส่ายหน้ากับหมอและพยาบาลเชิงห้ามอย่าบุกเข้ามาเด็ดขาด จังหวะนั้นเองที่ประตูเปิดออกมาแบบกะทันหันและฉันก็ถูกลากเข้าไปในห้องเมื่อประตูถูกปิดลงกายก็ล็อกประตูทันที
"หนูแพรว... กาย...อย่าใจร้อนนะ" เสียงดังพ่อของกายดังลอดเข้ามาจากนอกห้อง ภาพที่ฉันเห็นคือ มอนิเตอร์ แก้วน้ำ หมอน ของเยี่ยมทั้งหลายกองระเนระนาดเต็มพื้น ฉันรีบเดินเข้าไปดูกายที่ตอนนี้นั่งชันเข่าอยู่ข้างเตียงของตัวเอง
ฉันไม่ได้พูดอะไรสักคำ ได้แต่เดินเข้าไปหากายและสำรวจร่างกายว่ามีบาดแผลหรือไม่ โรคนี้ถ้ามีบาดแผลจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายกว่าคนปกติหลายเท่า ขณะนั้นเอง กายจับมือของฉันเอาไว้และดึงฉันให้นั่งข้างๆ ฉันควรจะอยู่แบบนี้เงียบๆ หรือพูดอะไรกับกายดีนะ จากนั้นกายก็เอาหัวมาหนุนตักฉันทั้งยังเอาหน้าซุกบนตักพร้อมปล่อยโฮออกมา ฉันลูบหัวเป็นเชิงปลอบ ความรู้สึกข้างในใจของฉันจะส่งถึงกายไหม ความรู้สึกเข้าใจในความเจ็บปวดจากการได้ยินสิ่งที่ผู้ใหญ่เขาคุยกันเมื่อครู่นี้มันส่งไปถึงกายได้ไหมนะ ถ้าความรู้สึกของฉันส่งไปถึงนายได้นายจะได้รู้ว่าเมื่อยามนายเจ็บปวดฉันก็เจ็บปวดเป็นเพื่อนนาย
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ฉันอยู่ในห้องกับกายแบบเงียบๆ ตอนนี้อาการร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อครู่นี้ลดลงบ้างแล้ว ฉันรู้ว่าคนด้านนอกคงกำลังรอฉันอยู่ฉันต้องรีบให้แพทย์ พยาบาล เข้ามาตรวจกายโดยเร็วว่ามีอะไรผิดปกติไหม
"กูเกิดมาทำไมวะ" กายเริ่มพูดก่อน เริ่มคำถามแรกมาก็ยากเลยนะกาย
"เกิดมาเพื่อเจอกูมั้ง"
"กูเกิดมาเป็นภาระคนทั้งโลกเลย"
"มึง..."
"แม้กระทั่งมึง กูก็เกิดมาเป็นภาระของมึง" ไม่นะกายไม่ใช่แบบนั้น
"มึงไม่เคยเป็นภาระของกู ถ้าเป็นภาระของกูจริงกูต้องไม่มีความสุขไปนานแล้ว แต่มึงคือคนที่ทำให้ทุกวันนี้กูมีความสุขนะ"
"มึงพูดจริงใช่ไหม มึงจะหลอกกูไหม" ยิ่งกว่าจริงอีกกาย ลึกๆแล้วกูไม่เคยรู้สึกว่ามึงเป็นภาระกูเลย จะมีก็แค่กูกวนประสาทแกล้งพูดใส่มึงก็แค่นั้น
"กูไม่มีทางหลอกมึง"
"กูไม่เหลือใครเลย"
"เหลือกูไง ถึงคนทั้งโลกจะทอดทิ้งมึง แต่กูคนนี้จะไม่มีทางทอดทิ้งมึงกาย"
"..." เสียงสะอื้นหายไปก็จริง แต่ความอุ่นของน้ำตาคนที่หนุนตักยังชัดเจน
"คนดีของกู" คำพูดติดปากของกายเวลาที่ฉันร้องไห้ วันนี้ฉันได้เอามาใช้กับกายเหมือนกัน "ลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วให้หมอเข้ามาตรวจหน่อยนะ" สิ้นเสียงฉันกายค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างว่าง่าย ดูสิน่ารักขนาดนี้ เกลียดกันลงได้ยังไง ผู้หญิงคนนั้นใจร้ายชะมัด อย่างน้อยก็อยู่กันมาตั้ง 17 ปี ไม่มีความรักให้เด็กคนหนึ่งที่เห็นมาแต่เล็กแต่น้อยเลยหรือไง
"ไหน ดูหน้าหน่อย ยังหล่อเหมือนเดิมไหมนะ" ฉันพูดหยอกแบบเอาใจคนตรงหน้า ฉันรู้ว่ากายอยากได้ยินอะไรในช่วงเวลาแบบนี้ มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏบนใบหน้าของกายเล็กน้อย
"กูหล่อเหมือนเดิมแหละ" จ้าพ่อคุณเรื่องชื่นชมตัวเองเนี่ยไม่เป็นสองรองใคร แล้วสายตาก็เห็นบริเวณหมอนที่กายใช้หนุนนอน มีผมร่วงมากผิดปกติ น่าจะเป็นอาการข้างเคียงจากคีโม ตัวฉันเองก็ไม่ทราบว่ากายได้รับคีโมมากี่ครั้งแล้ว แต่ดูจากร่างกายที่ผอมลงไปขนาดนั้นวันนี้คงไม่ใช่ครั้งแรกแน่
ฉันเดินไปเปิดประตูให้แพทย์เข้ามาตรวจอาการของกาย และก็นึกขึ้นได้ว่าฉันวางของทิ้งไว้ตรงกำแพง หายหมดแล้วมั้ง
"เจมส์..." เจมส์ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นที่ดูสบายๆ แต่ยังไม่ทิ้งความดูดี ยืนอยู่ตรงหน้าฉันพร้อมหอบของที่ฉันวางกองเอาไว้ตรงกำแพง ก็ไหนว่าจะมาพรุ่งนี้ไง
"นี่หายไปไม่กี่ชั่วโมง แข็งแรงจนเขวี้ยงของได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ยาเขาดีจริงๆ" เจมส์เข้าห้องมาถึงก็กวนประสาททันทีพร้อมทั้งก้มลงเก็บของที่กายได้ออกฤทธิ์อาละวาดไปเมื่อประมาณชั่วโมงที่แล้ว "ได้เชื้อกวนประสาทจากกายมาหรือไงฮะ" ฉันกระซิบถามคนตรงหน้า
กายหันมามองเจมส์ด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ ถ้าทำสีหน้าแบบนี้ได้ฉันยังพอคลายกังวลได้บ้างว่าไม่ใช่อาการของคนเศร้าแต่เป็นอาการของคนที่อยากงัดข้อกับผู้ชายที่พึ่งเดินเข้าประตูมาเมื่อสักครู่นี้มากกว่า แต่ว่าฉันก็ยังงงว่าสองคนดูจะสนิทกันมากกว่าเก่า แล้วไปสนิทกันตอนไหน
45 นาทีก่อนหน้านั้น
เจมส์นอนอยู่ภายในที่พักของตนเอง ซึ่งถูกจัดเตรียมโดยคนที่เจมส์เรียกว่าคุณลุง แท้จริงแล้วคุณลุงคนนี้ก็คือเพื่อนสนิทของพ่อเจมส์ เมื่อครั้งที่พ่อเจมส์ยังมีชีวิตได้ฝากเจมส์ไว้กับคุณลุง "ถ้าหากกูและเมียกูเป็นอะไรขึ้นมาช่วยดูแลเจมส์ด้วย แค่เป็นผู้ปกครองเวลาเจมส์ต้องการดำเนินการทางกฎหมายก็พอ เรื่องเงินทอง กูเตรียมให้ลูกกูมีไว้ใช้สบายยันเรียนจบ ป.ตรี ไม่เป็นภาระมึงแน่นอน แค่จนกว่าเจมส์จะ 18 ก็พอกูฝากด้วย" ไม่คิดเลยว่าการพูดคุยครั้งนั้นจะเหมือนเป็นลาง เพราะในเวลาไม่นานก็ได้ยินข่าวการเสียชีวิตของสองสามีภรรยานักธุรกิจใหญ่ระดับประเทศ ขณะที่กำลังขับรถเดินทางกลับกรุงเทพหลังจากไปประชุมที่ระยอง
ตึ๊ด...ตึ๊ด... หน้าจอโทรศัพท์แสดงชื่อคนที่นอกจากวันเข้าเรียนวันแรก เจมส์ก็ไม่เคยจะได้เจออีกเลย
"สวัสดีครับ"
"ช่วยมาที่โรงพยาบาลหน่อยได้ไหม"
"ใครเป็นอะไรครับ"
"กายลูกของลุงอาละวาดใหญ่เลย หนูแพรวเข้าไปหากายในห้องพักหนึ่งแล้วเสียงเงียบเชียว ลุงเห็นว่ารุ่นเดียวกันน่าจะคุยกันได้ดีกว่าลุง"
"ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้ครับ"
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ