แด่เธอ...สุดที่รัก
เขียนโดย littlepoint
วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 21.59 น.
แก้ไขเมื่อ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2565 01.03 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) การจากลา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากวันนั้น ฉันกับเจมส์ยิ่งสนิทกันมากขึ้นไปอีก ส่วนกายดูเหมือนจะถอยห่างจากฉันได้อย่างชัดเจน ทำไมลึกๆ รู้สึกว้าเหว่พิกล ปกติกายจะต้องมาวอแว ใส่เราตลอด อย่างน้อยก็วันละครั้ง เดี๋ยวนี้กลับบ้านก็ไม่กลับพร้อมกันเลย หรืออยากเปิดทางให้เรากับเจมส์ แต่ฉันรู้จักกายดีด้วยความที่เราคบกันมา 10 ปี กายมันมีปัญหาอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มันก็ไม่มาโรงเรียน
-ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก-
ปิดเครื่อง อะไรกันเนี่ย ผิดปกติเกินไปแล้ว
“เจมส์ ช่วงนี้กายหายไปเลย โรงเรียนก็ไม่มาพรุ่งนี้จะสอบปลายภาคแล้วด้วย”
“โทรหาหรือยังครับ”
“โทรแล้วแต่ไม่ติด มันปิดเครื่อง มันโกรธอะไรเราหรือเปล่า”
“แล้วแพรวคิดว่ามีอะไรที่กายควรโกรธบ้างละ”
“นั่นนะสิ แต่มันหายไปเลย ปกติมันต้องมากวนประสาทเราเป็นประจำ”
“ชอบให้มีคนกวนประสาทหรือ”
ว่าแล้วเจมส์ก็เอามือมาขยี้หัวของฉัน ดึงแก้ม ฉันฝืนยิ้ม และหัวเราะไป เพราะในใจเริ่มกังวลแปลกๆ ว่ากายหายไปไหนและเป็นอะไร
“เราไม่ใช่คนนั้นสินะ ทำไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น”
เจมส์พูดแบบน้อยใจ
“ไม่ใช่เจมส์ แต่มันน่ากังวลจริงๆ นะมันผิดวิสัยกายปกติไม่ใช่คนแบบนี้ เคยโกรธกันแค่ไหนมันก็รับโทรศัพท์เราตลอด ไม่เคยปิดเครื่องเลย”
“งั้นไปหาที่บ้านดีไหม”
“ดีเหมือนกัน เย็นนี้จะแวะไป”
ตกเย็นวันนั้นฉันกับเจมส์รีบไปที่บ้านของกาย ปรากฏว่ากายและครอบครัวไม่อยู่บ้าน แม่บ้านแจ้งมาว่าคุณกายกับคุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่ไปต่างประเทศ ปกติจะไปต่างประเทศก็บอกเราตลอดนี่นา แล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน ฟ้ายังบอกว่ากายมันดูอยู่ตลอด นี่นึกว่าแค่โดดเรียน ไม่นึกว่าหนีหายไปต่างประเทศ กลับมาแม่จะจัดการให้หนักเลย
“แต่พรุ่งนี้ จะมีสอบปลายภาคแล้วนะคะ”
“ค่ะ คุณท่านก็แจ้งว่าจะกลับมาภายในวันนี้”
กลิ่นไม่ค่อยดีเลย เรื่องนี้มันต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ ปกติมันกับพ่อแม่ ไม่ค่อยจะลงรอยกัน แต่วันนี้กลับไปต่างประเทศกับครอบครัว
“คิดอะไรอยู่ครับ”
“เอ่อ...คือ...ไม่มีอะไร คิดว่ากายกลับมาจะด่ามันว่าอะไรดีโทษฐานที่ทำให้เพื่อนเป็นห่วง”
“ถ้าเราหายไปบ้าง จะเป็นห่วงแบบนี้ไหมครับ”
“พูดอะไรแบบนั้น เรื่องแบบนี้ไม่ล้อเล่นนะ เจมส์”
“เราถามจริงๆ ครับ”
“ก็ต้องห่วงสิ เราไม่อยากให้ใครหายไปเลย”
“จำไว้นะครับ ถ้าต้องมีคนที่รักหายไป มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลกใบนี้ แพรวต้องอยู่กับความเจ็บปวดเนื่องจากความสูญเสียให้ได้ ต้องคุมสติดีๆ แล้วดำเนินชีวิตต่อไป ให้คนที่จากไปไม่ต้องเป็นห่วง”
ทำไมเจมส์พูดแบบนี้ ใจยิ่งไม่ดีอยู่ กลัวจะเกิดเรื่องร้ายๆ กับกาย
“อย่าพึ่งคิดอะไรมาก เดี๋ยวจะไม่สบายเอานะ เราว่าเย็นนี้เดี๋ยวกายกลับมาก็โทรหาแพรวแล้ว”
“ค่ะ”
“เดี๋ยวเราไปส่งนะ”
วันนี้การเดินทางกลับบ้านของเราค่อนข้างเงียบ ตราบใดที่กายยังติดต่อไม่ได้ฉันก็ยังคงเป็นกังวล ความกังวลของฉันมันปิดเจมส์ไม่มิดจริงๆ
“ดูท่าเราจะไม่สามารถทำให้แพรวคลายกังวลได้เลยนะครับ”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะเจมส์ แต่กายก็เป็นเพื่อนที่สำคัญมากๆ คนหนึ่งของเรา เจมส์ก็รู้ และก็อย่างที่บอก กายไม่เคยหายไปแบบนี้ เราคงเป็นเพื่อนที่แย่มาก เป็นอาทิตย์แล้วที่กายห่างจากเรา แต่เราก็ไม่ได้สนใจจะโทรแต่แรก ไม่ได้สนใจว่ามันจะเจอปัญหาอะไรอยู่หรือเปล่า เราเอาแต่มีความสุขอยู่กับเจมส์ จนลืมกายเลย”
“อย่าคิดมากครับ”
วันนี้ฉันรู้สึกแย่จริงๆ ช่วงที่กายหายไป ตรงกับช่วงที่ฉันกำลังมีความสุขกับการที่เจมส์เข้ามามีบทบาทในชีวิตฉันมากขึ้น ฉันมันแย่ที่สุด แกก็ด้วยกายจะไปถึงต่างประเทศทำไมไม่โทรหากันบ้าง
สามทุ่ม ฉันผู้ซึ่งอยู่บนบ้าน กดโทรศัพท์รัวๆ หากาย เพื่อฟังเสียงผู้หญิงปลายทางพูดว่า -ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก- อยากจะลากนังผู้หญิงที่พูดประโยคนี้มาตบให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย (พาลไปทั่ว) เปิดเครื่องสักทีสิวะไอ้กาย หรือโทรศัพท์หาย กำลังอยู่บนเครื่องบิน หลงทาง ประสบอุบัติเหตุ โอ๊ย... ยิ่งคิดยิ่งเครียด
ปิ๊งป่อง…ปิ๊งป่อง…. ยิ่งหงุดหงิดอยู่ใครมาเอากดออดป่านนี้เนี่ย ว่าแล้วก็กดโทรศัพท์อีกสักรอบ -ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก-
ปิ๊งป่อง…ปิ๊งป่อง…ปิ๊งๆๆๆๆ ปิ๊งป่อง เอ๊ะ! ฉันเริ่มเอะใจเสียงกดออดที่ไม่เกรงใจชาวบ้านแบบนี้มีคนเดียวเท่านั้นฉันแทบพุ่งจากเตียงวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อไปดูว่าใช่คนที่ฉันคิดไหม
“เปิดประตูให้หน่อย....โย่...” ใช่จริงด้วย น้ำตาฉันแทบไหลออกมาเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่…
“เปิดช้าจังวะ” ถึงเสื้อผ้าที่ปกคลุมกับโครงร่างที่สูงใหญ่จะไม่ได้ทำให้กายตัวบางลงมากนัก แต่ฉันรู้สึกว่าคนตรงหน้าผอมลงไปมาก
“มึงไปไหนมา”
“ไปเที่ยวต่างประเทศ กับ ครอบครัว” เสียงพูดและแววตาค่อนข้างอิดโรย
“มึงดูเหนื่อยนะ” วันนี้แปลกไปหมดทั้งสีหน้ากาย และคนขับรถที่มาอยู่ข้างๆ กายตลอดเวลา ปกติถ้ากายจะมาหาฉันก็แค่ขี่มอเตอร์ไซค์ มา
“เข้ามาคุยก่อนสิ”
“ไม่ล่ะ...แค่แวะมาบอกว่ากูจะไปอยู่ต่างประเทศสักพัก”
“มีอะไรวะ”
“ไม่มี”
“ไม่...มึงต้องมี กูรู้จักมึงดีถ้ามึงปกติ มึงไม่หายไปแบบนี้ มึงจะมาลากูแค่นี้แล้วก็ไป มึงปิดเครื่อง มึงไม่มากวนประสาท อีกหลายอย่างที่มันเปลี่ยนไป” น้ำตาของฉันเริ่มเอ่อล้น
“มึงอย่าร้องสิ ไปเรียงประโยคมาก่อนไหม กูฟังแล้วกูงง” คนพูดเสียงเครือไม่แพ้กัน แต่ฝืนพูดปกติไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความเจ็บปวด
“กูขอบคุณ 10 ปีที่ผ่านมามึงเป็นเพื่อนที่ดีของกูมาโดยตลอด”
“มึงพูดอะไรของมึง มึงเป็นอะไร มาขอบคุณทำไม แล้วทำไมมึงผอมแบบนี้”
กายยิ้มให้ฉันแบบไม่มีท่าทีกวนประสาทอีกต่อไป แล้วดึงฉันเข้าไปกอดฉันไม่เคยรู้เลยว่าอ้อมกอดของคนคนนี้จะอบอุ่นถึงเพียงนี้ และรับรู้ได้ทันทีถึงกระดูกของกายที่แนบเนื้อของฉัน ทำไมผอมลงแบบนี้ ฉันว่ามันหายไปแค่อาทิตย์เดียวเองนะ
“มึงจะร้องทำไม กูมีเหตุผลที่ต้องไป กูเลี่ยงไม่ได้จริงๆ”
“อยู่กับกูก่อน” ฉันเริ่มพูดไม่เป็นคำ
“เดี๋ยวกูต้องไปขึ้นเครื่องต่อ อยู่นานไม่ได้”
“พรุ่งนี้สอบปลายภาคแล้วนะ มึงจะไปไหน”
“กูทำเรื่องลาออกแล้ว”
“ไอ้กาย!!! มึงไม่เห็นกูเป็นเพื่อนเลยหรอวะ มึงทำบ้าอะไรมึงไม่บอกกูเลย” ฉันเริ่มโวยวายโดยไม่แคร์ว่านี่มันกี่โมงแล้ว
“มึงเบาๆ นี่มันดึกแล้ว มึงรับปากกับกูนะว่าจะดูแลตัวเองดีๆ ตอนนี้มึงก็มีเจมส์แล้วมันจะดูแลมึงเอง”
“มีเจมส์แล้วยังไง กูต้องการแค่มึง” ฉันเริ่มโวยวายไร้เหตุผล
“ก็มึงคบกันแล้วนี่”
“ยังไม่ได้คบ ยังไม่มีการคุยเรื่องนี้เลย กูเห็นเจมส์เป็นเพื่อนเหมือนมึงนั่นแหละ”
“แต่กูรู้ว่ามึงชอบมัน และมันก็ชอบมึง”
“มึงจะมารู้อะไรมึงอยู่กับกูไม่ได้เหรอ เรียนที่เดิมให้จบ ม.6 ก่อน ค่อยไปก็ได้นี่”
“เดี๋ยวกูต้องไปแล้วนะ” คนพูดมีน้ำตาอาบหน้าไม่แพ้กับคนฟัง
“ไม่เอากาย” เสียงสะอื้น พร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทำเอาฝ่ายตรงข้ามใจสลายไม่แพ้กัน
“มึงต้องรักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ กูรักมึงมากนะ อย่าเจ็บป่วย กูไม่ได้อยู่ดูแลมึงเหมือนแต่ก่อนแล้วนะ”
“กาย กูรั้งอะไรมึงไม่ได้เลยใช่ไหม”
“อืม ทุกอย่างมันกำหนดไว้หมดแล้ว”
“กูทำใจไม่ได้ กูยังทำใจไม่ได้”
“อาทิตย์ที่แล้วมึงอยู่มายังไง มึงคิดว่ากูอยู่กับมึงตลอด แค่ไม่ได้มากวนมึงใช่ไหม”
“มึงรู้ได้ยังไง”
“แพรว กูรู้จักมึงมากกว่าที่แม่มึงรู้จักมึงอีก” คนพูด พูดพลางเอามือทั้งสองจับหน้าฉันอย่างอ่อนโยนแล้วยกหน้าฉันให้สบตากับคนพูด “มึงก็แค่คิดว่ากูอยู่กับมึงตลอดเวลา แค่กูโดดเรียนเป็นเรื่องปกติ แล้วสักวันมึงจะดีขึ้น มึงจะมีเจมส์คอยดูแลมึงแทนกู คอยอยู่กับมึง มึงมีเพื่อนสนิทชื่อฟ้า มันจะรับฟังมึงทุกเรื่อง มึงจะมีงานกิจกรรมของโรงเรียนให้ทำอีกเยอะแยะ สุดท้ายมึงก็จะไม่ได้คิดถึงกูซักเท่าไหร่ สุดท้ายกูก็จะถูกลืมไปเอง จริงไหม”
“ไม่จริง!!” วันนี้ฉันหาเหตุผลให้ตัวเองรับเรื่องนี้ให้ได้ไม่ได้เลย
“มึงเป็นคนเก่ง มึงสามารถอยู่ได้โดยไม่มีใครโดยเฉพาะคนแบบกูไม่ได้มีความจำเป็นในชีวิตของมึงเลยด้วยซ้ำ" ทำไมล่ะ ทำไมถึงคิดแบบนั้นไปได้ เพราะอะไรกัน "มึงเสียใจก็เพราะกูมาลามึงไง มึงแค่รู้ว่ากูจะไปมึงเลยเสียใจ จริงๆ กูน่าจะไปแบบไม่ลาอย่างน้อยให้มึงโกรธกูน่าจะดีกว่าให้มึงมารู้สึกแบบนี้ กูเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่กูมาลามึงกูทำถูกไหม”
“ต้องไปแล้วนะครับคุณชาย” กายยกมือ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ บอกให้คนขับรถถอยออกไปก่อน
“มึงต้องติดต่อกูทุกวัน อย่าปิดเครื่องแบบนี้ ได้ไหม ไลน์ก็ได้ เฟสก็ได้ อย่าหายไปเลยได้ไหม”
“ได้ จะให้กูส่งนกพิราบสื่อสารมาหามึงก็ได้”
ฉันยิ้มเล็กน้อยทั้งที่น้ำตายังอาบหน้า สถานการณ์แบบนี้มันก็ยังคงกวนประสาทไม่เปลี่ยน กายเอามือ 2 ข้างเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มฉันอย่างอ่อนโยน
“คนดีของกู เงียบซะนะ” พอได้ยินประโยคนี้ก็พาลเอาน้ำตาไหลอีกรอบ แต่ฉันพยายามควบคุมสติให้ไม่สะอึกสะอื้นมากจนเกินไป
“จะกลับมาอีกไหม”
“ถ้ากูกลับมาได้ จะรีบมาหามึงทันที”
“สัญญาแล้วนะ”
"ครับผม" คนพูดทำท่าตะเบ๊ะแบบทหาร
"สัญญาว่าจะโทรหา และเปิดมือถือด้วย”
“ครับผม เปิดให้ทันทีเลยครับ”
กายขึ้นรถลับตาออกไป ฉันร้องไห้โฮออกมาทันทีและหนักกว่าเดิม ความรู้สึกเหมือนกับว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ทั้งที่กายก็บอกว่าเราโทรหากันได้ตลอดหรือส่งข้อความหากันก็ได้ แต่ทำไมหัวใจของฉันมันเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แบบนี้
เช้าที่แสนจะหม่นหมองวันนี้เป็นวันแรกของการสอบปลายภาค ฉันไม่เห็นเจมส์ที่หน้าบ้านแบบทุกครั้ง อย่าบอกนะว่าหายไปอีกคน ฉันเลยรีบโทรหาเจมส์ทันที
ตู๊ดดดดด…ตู๊ดดดดด….
“ฮาโหล ไปช้าหน่อยครับกำลังเข้าไป”
“นึกว่าหายไปซ่ะแล้ว”
“ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณอะไร”
“ขอบคุณที่กลัวว่าผมจะหายไป”
“....” อารมณ์ฉันตอนนี้ไม่พอให้ใจเต้นแรง ฉันเลยกล้าถามกลับไปตรงๆ "หยอดทุกวัน จีบเราหรือไง"
“ครับ”
ตู๊ด…ตู๊ด….
เอ้า เมื่อกี้เขาว่าไงนะ จีบเราเหรอ ยอมรับออกมาชัดเจนแล้วเหรอ แต่อารมณ์ดีใจของฉันมันน้อยลงไปมากเพราะเหนื่อยกับเหตุการณ์เมื่อคืนและความเศร้าที่ยังไม่หายไปไหน เมื่อรู้ว่ากายไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ฉันอีกแล้ว แต่อยู่ไกลกว่านั้น แถมเมื่อคืนฉันว่าฉันมองไม่ผิดกายผอมและหน้าซีดมากด้วย เกิดอะไรขึ้นกันแน่ กายเวลาปากแข็งให้ตายยังไงก็ไม่ยอมบอก เรื่องนี้มันแปลกเกินไป
“สรุปว่าติดต่อกายได้ไหมครับ”
“อื้อ” ฉันที่พยายามพูดน้อยๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะรู้ดีว่าถ้ามีใครมาสะกิดเรื่องนี้ ต่อมน้ำตาแตกแน่
“เป็นอะไรหรือเปล่า ร้องไห้มาเหรอ”
ปิดเจมส์ไม่มิดสินะพ่อนักสังเกต
“เมื่อวานเกิดอะไรขึ้น”
“....” ฉันมองเจมส์พร้อมน้ำตาที่เอ่อล้น
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องพูดนะ เอาไว้อยากเล่าค่อยเล่าดีไหม”
น้ำตาไหลอาบแก้ม ฉันกลั้นไม่ไหวอีกแล้ว เจมส์ดึงฉันเข้าไปเพื่อกอดปลอบและลูบหัวเบาๆ อย่างอ่อนโยนแต่ตัวของฉันในวันนี้ กลับไม่รู้สึกอบอุ่นเลย ทำไมกันนะ ปกติเราก็ไม่ได้ตัวติดกันชนิดขาดกันไม่ได้ แต่ครั้งนี้ทำไมกายมาลาแล้วต้องรู้สึกไกลกันขนาดนี้ ก็แค่ไปต่างประเทศ หรือลางสังหรณ์ของฉันมันจะถูกต้อง เกิดเรื่องร้ายแรงกับกาย แล้วกายไม่อยากให้เรารู้ ไม่งั้นร่างกายที่ซูบผอมขนาดนั้น หน้าที่ซีดอย่างเห็นได้ชัด และการมาลาอย่างกะทันหัน ไม่มีซักเหตุผลที่ฉันจะคิดในแง่ดีได้เลย
ณ ที่ตรงนั้น ไม่มีใครทันสังเกตว่ามีสายตาคู่หนึ่งแอบดูอยู่เงียบๆ ด้วยแววตาที่เจ็บปวดไม่แพ้กัน
“กลับเถอะครับ เราออกมานานแล้ว”
“ขออยู่ดูอีกแปป เดี๋ยวกลับ”
“ดูพวกเขา เราก็เจ็บเอง”
“ไม่เป็นไรเจ็บก็ดี จะได้รู้ว่าตอนนี้เรายังหายใจอยู่ ผมมีเวลาเจ็บปวดแบบนี้ได้อีกไม่นานนักหรอก”
“จะไม่บอกเธอสักหน่อยหรือครับ เธอเองก็ดูไม่มีความสุข คุณก็ไม่มีความสุข”
“เดี๋ยวผู้ชายตรงหน้าเธอก็ทำให้เธอดีขึ้นเอง”
คนฟัง ส่ายหน้าให้กับความคิดของคุณชายที่ตัวเองเห็นมาตั้งแต่เล็ก ลึกๆ นึกเสียใจว่าตนน่าจะสอนให้คุณชายรู้จักเห็นแก่ตัวเองมากกว่านี้สักนิดก็คงดี
“ร้องพอหรือยัง วันนี้สอบวันแรกนะ เดี๋ยวจะไม่สบายนะครับร้องขนาดนี้”
สุดท้ายก็ปล่อยโฮ จนได้ ฉันยังต้องดำเนินชีวิตทางนี้ต่อไป ตั้งแต่เมื่อคืนฉันก็ยังไม่ได้ทักไลน์ไปหากายเลย
เสียงไลน์ดัง
-สอบวันแรก อย่าลืมจำเนื้อหาที่กูติวให้ด้วยล่ะ-
ข้อความจากกายข้อความแรก ฉันหัวเราะแห้ง ถ้าอยู่ด้วยแม่จะเขกหัวให้ 1 ที ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด ยังจะมาพูดเรื่องติวสอบให้อีก
-ตลกละ ถึงอเมริกาละหรอ-
-อืม ถึงก็บ้าละ อเมริกานะ ไม่ใช่ศรีลังกา-
ได้ข้อความจากกายแล้วเหมือนจิตใจฉันดีขึ้นมาหน่อยหนึ่งแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ได้หายไปไหนขนาดนั้น ยังไลน์หากันได้อยู่นี่เนอะ
“ต้องเป็นคนนั้นสินะ ที่ทำให้ดีขึ้นได้”
เสียงของเจมส์ไม่เข้าหูฉันเลยแม้แต่น้อย ฉันยังพิมพ์รัวๆ พร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเล็กน้อย เพราะปลายทางกวนประสาทจนไม่ได้ฟังว่าเจมส์พูดอะไร
“เจมส์ว่าอะไรนะ”
“เปล่าครับ ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ เราไปสอบกันเถอะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ