บังเอิญ ต่างแต่รักเหมือนกัน

10.0

เขียนโดย นายน่าเบื่อ

วันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 เวลา 17.50 น.

  1 บท
  5 วิจารณ์
  4,347 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2556 17.57 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) บังเอิญ ต่างแต่รักเหมือนกัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

       

                บังเอิญ ต่างแต่รักเหมือนกัน

แสงจันทร์สีนวลสะอาดของคืนวันข้างขึ้น สาดส่องลงมากระทบกับระเบียงชั้นสองของบ้าน  เสียงจิ้งหรีดร้องขับขาน ฟังแล้วชั่งชวนน่าหลับใหล เป็นเสียงธรรมชาติที่ฟังแล้วก็เพลิดเพลินไปอีกแบบในห้วงอารมณ์แบบนี้  สายลมเอื่อยเย็นสบายพัดผ่านบานประตูระเบียงเข้ามาในห้องกระทบร่างของผม ที่ลุกขึ้นมากลางดึกสงัด ผมนอนไม่หลับ เพราะอารมณ์ความคิดถึงวันวานและปลายนิ้วที่เรียกร้องหาปากกากับสมุด ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเพราะความอยากในสิ่งที่ชอบมันช่างน่าหลงใหลและยากจะต่อต้านเหลือเกิน   ไม่ได้มีมานานแล้วสินะอาการอยากจนนอนไม่หลับแบบนี้ ต้องขอบคุณ เธอ คนนั้นที่นอนเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสุขสมมีผ้าห่มคลุมกายอยู่บนเตียงจริง ๆ

                จะว่าไปการที่คนอย่างผมมาเจอกับเธอได้มันช่างเป็นเรื่องที่แปลกและคาดไม่ถึงเรื่องหนึ่งในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้ จุดเริ่มต้นมันคงจะเป็นเมื่อตอนนั้น วันที่เปิดเทอม ม.6 เทอม แรกของปีสุดท้ายในรั้ว ของโรงเรียน จุดเริ่มของความแตกต่าง ของผมและเธอ ของ ฟ้า กับ ดิน

          

                ผมเดินเอื่อย ๆ ไปตามทางเดินของโรงเรียนใหม่ ที่ย้ายมากระทันกันอย่างช่วยไม่ได้  ถึงเหตุผลของผู้เป็นแม่ และ พ่อ เรื่องครอบครัวอย่าสนใจมันเลยเป็นเรื่องที่ผมปล่อยวางมาตั้งแต่ ม.4 แล้ว  ขณะที่เดินฮัมเพลงเบา ๆ หาห้องปกครองอย่างเบื่อ ๆ อยู่นั้น

               

“ปึก”

“อะ” “โอ๊ย” เสียงร้องของคนสองคนที่เดินชนกันก็ดังขึ้นเบา ๆ พร้อมกันในโรงเรียนใหญ่แห่งนี้ และแน่นอน  หนึ่งในคนร้องขึ้นคือผม

 

“ขอโทษครับ” “ขอโทษนะ” และยังมีเสียงประสานของสองหนุ่มสาวดังพร้อมกันอีกครั้ง  แล้วเธอตรงหน้าก็หัวเราะออกมาด้วยความร่าเริงและผมก็ยังคงหน้านิ่งเหมือนเดิม  เมื่อนึกขึ้นได้ถึงจุดประสงค์ที่เดินหาอยู่นานก็ต้องถามขึ้น

 

“ห้องปกครองอยู่ไหนคะ” “รู้ที่อยู่ห้องปกครองมั้ย” ผมกับเธอถามขึ้นพร้อมกันอีกครั้ง อยากไม่ได้นัดกันเอาไว้ เธออมยิ้มน้อย ๆ ให้ผม และผมมองเธอหน้านิ่ง ๆ เช่นเดิม  ตามประสาคนยิ้มยาก

 

แล้วประตูของห้องที่เรายืนคุยกันอยู่หน้าห้องนั้น ก็เปิดออก เราหันไปมองพร้อมกัน  แล้วคำตอบของคำถามที่ถามพร้อมกัน แต่แตกต่างกัน  ก็กระจ่างขึ้นพร้อมกัน  เรายืนถามกันหน้าห้องปกครองนั้นเอง 

 

“เธอสองคนคือเด็ก ม.6 ที่ย้ายมาใหม่ใช่มั้ย” หญิงสูงวัยผู้เปิดประตูถามขึ้น และมารู้ที่หลังว่าเป็นครูปกครองประจำห้อง

 

ไม่มีเสียงตอบจากเราสองคน  มีแต่เสียงระเบิดหัวเราะอย่างร่าเริงของเธอ  และร้อยยิ้มน้อย ๆ ของผมเท่านั้น และนั้นก็เป็นเรื่องบังเอิญที่เราเจอกันครั้งแรก  และหลังจากนั้นเราก็ไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก  และเริ่มเรื่องราวบทชีวิตอีกบทในรัวโรงเรียนปีสุดท้ายต่อไป

               

ผมยังคงใช้ชีวิตอย่างเอื่อยเฉื่อยและน่าเบื่ออย่างไรสีสัน ไม่สมกับเป็นเด็ก ม.6 ปีสุดท้ายเลย ส่วนเธอเป็นเหมือนแสงตะวันของห้องไปแล้ว เธอสดใส ร่าเริงและเป็นกันเอง  เธอเข้ากับทุกคนได้ดีตั้งแต่วันแรกที่แนะนำตัว  แถมยังเสนอตัวเองเป็นหัวหน้าห้องอย่างไม่มีคนโต้แย้ง

                ส่วนผมเหมือนอยู่คนละโลกกับเธอสิ้นเชิงแต่นั้นก็เป็นแค่ความรู้สึกที่มีในเวลาเท่านั้นเอง  ผมไม่ค่อยมีคนมาทัก จะมีก็แต่เพื่อนกลุ่มเด็กหลังห้องสี่ห้าคน  ในวันแรกและนี่แหละสิ่งที่ผมคิดว่าดีแล้วสำหรับปีสุดท้าย ในโรงเรียนของผมแล้วผมก็กลายเป็นเด็กหลังห้องไปในที่สุด

                และเธอก็กลายเป็นหัวหน้าห้องตามความประสงค์ของเธอและตามความชื่นชอบของคนในห้อง

…..

..

.

การสอบกลางภาคจบไป  ด้วยความวิตกและความชื่นมื่นหลังสอบเสร็จของห้อง  ผมยังคงหน้านิงและใช้ชีวิตในเฉื่อย ๆ ในแบบของตัวเองต่อไปและเธอก็ยังสดใสร่าเริงเสมอ ต้นเสมอปลายไม่สิเหมือนจะดูมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยซ้ำ

สองสัปดาห์หลังการสอบประทานนักเรียนก็ประกาดบอกถึงงานวัฒนธรรมที่จะมีในอีกสามอาทิตย์ข้างหน้า  นักเรียนทุกคนส่งเสียงเฮดีใจกันทั่ว แม้กลุ่มเด็กหลังห้องอย่างพวกเพื่อนผม  แต่ก็เว้นผมไว้เหอะ ในตอนนั้นผมยังคิดว่ามันน่าเบือและยังหน้านิ่งตามเคย และงานนี้การเปลี่ยนแปลงของผมกับเธอก็เกิดขึ้นอย่างแตกต่าง  แต่มันกลับเข้ากันได้เพียงเพราะสิ่งเดียว

 

ห้องของเรา ม.6/2 และม.6/1  ให้ดูแลงานด้านเวทีทุกอย่างในงาน  ตั้งแต่การจัด การตกแต่งเวที ไปจนการแสดง บนเวที ดีหน่อยตรงที่ไม่ต้องไปตกแต่งทั่วโรงเรียนเหมือนห้อง 3,4,5

เธอได้เป็นนางเอกแสดงละครเวทีในรอบเช้าซึ้งผมไม่แปลกใจเลยเพราะเธอสดใสและกล้าแสดงออกแถมยังอยู่ในชมรมการแสดงอีกด้วย ผมที่คิดว่าตัวเองจะรอดอยู่แล้วก็ไม่รอดเมื่อเธอเดินเข้ามา

 

“ดินช่วยร้องเพลงให้วงหลังห้องหน่อยนะ นะ”แล้วกอขอร้องให้ผมไปช่วยร้องเพลงให้วงหลังห้อง หรือก็คือเพื่อนผมแหละ

 

“คนอื่นหละ ฟ้าไม่ว่างเหรอ” ผมตอบคำถามด้วยคำถามกลับไป เธอยิ้มให้และก็พูดออกมาอย่างเด็ดขาด

 

“ไม่ว่าง และดินต้องทำไม่งั้นเจอ ห้อมแก้มนะ” ทุกคนในห้องอึ้งเงียบในทันที รวมถึงผมด้วย ใครจะไปคิดว่าคำขู่ของเธอจะน่ารักได้ขนาดนั้น  นี้อาจจะเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดแต่สำหรับผม  มันน่ากลัว  -0-!

แล้วเธอก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมเลื่อย ๆ 

 

ตึง !

เสียงเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่ล้มลงพร้อมกับผมที่นอนหงายหลังไปกับมัน  “ยอมแล้ว ๆ ร้องครับร้อง”  เกิดความอึ้งขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงหัวเราะใส ๆ ของฟ้า  และตามด้วยเสียงหัวเราะของทุกคน   ผมยิ้มออกมาด้วยความเขินอายให้ทุกคน แต่มันกลับเกิดความเงียบอีกครั้ง  ทุกคนเงียบ รวมถึงฟ้าด้วย 

 

“อะ ลุกได้แล้วสุดหล่อ” เธอยิ้มแล้วส่งมือมาให้ผมจับ  ผมจับมือนุ่ม ๆ ของเธออย่างเขินนิด ๆ แล้วปล่อยให้เธอดึงผมลุกขึ้น  

ฮึ๊บ เธอตั้งท่าออกแรงดึงสุดชีวิตแต่ผมก็ยังอยู่ที่เดิมไม่กระดิก ทั้งห้องกลับมาหัวเราะอีกครั้งกับท่าทีน่ารักของเธอ

“ลุกเลยนะ อย่าแกล้งดิ” เธอบ่นผม แก้มเธอป่องนิด ๆ  ในตอนนั้นผมค้างไปสามวิ  ด้วยความคิดในหัวว่า ภาพนี้  น่ารักดี

ผมลุกขึ้นและใช้มือข้างหนึ่งปัดตัวข้างหลังลวก ๆ ผมกลับไปหน้านิ่งตามเดิม  ทุกคนมองมาที่เราสองคนแล้วอมยิ้มแปลก ๆ

 

“นี้ฟ้า ปล่อยมือ ดินของเค้าเลยนะ เค้าหึงนะรู้ป๊ะ” ไอ้ปอดเพื่อนที่ผมคิดวาสนิทมากที่สุดทำเสียงเล็กเสียงน้อย

บอกแล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่า มือเรายังคงจับกันอยู่ ดินหันไปมองฟ้า ฟ้าหันมามองดิน แล้วก้มลงมองที่มือจับกันอยู่ สีแดงและความร้อนแต้มอยู่บนหน้าของสองคน  และก็ปล่อยมือพร้อมกัน แล้วจุดเปลี่ยนก็เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากความพร้อมกัน

                และแน่นอนเสียงล้อเลียน ก็ดังขึ้นจากเพื่อนในห้อง  และลามไปข้างห้อง ในที่สุด

....

...

..

.

สายลมเย็น ๆ จากเครื่องปรับอากาศพัดผ่านกระทบตัวผมและทุก ๆ คนในหอประชุมโรงเรียนที่ใช้เป็นเวทีการแสดงในช่วงเช้าของชมรมการแสดงซึ้งแน่นอนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย ของงานวัฒนธรรมโรงเรียน  และวันนี้ฟ้า ก็แสดงเป็นนางเอก

ตั้งแต่วันนั้นวันที่ฟ้ามาขอให้ผมช่วยร้องเพลงให้ วงหลังห้อง ก็เหมือนกับว่ามีเพื่อนเข้ามาคุยกับผมมากขึ้น  และฟ้าก็เข้าหาผมมากขึ้นเช่นกัน  ผมมีความรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้แย่มากเท่าไหล หลอกสำหรับงานนี้

               

ผมที่นั่งหาวอยู่ตรงมุมหลัง ของหอประชุมแห่งนี้เรือกมุมมืดที่สุด  โดยมีเสียงของปอดเพื่อนสนิทนั่งบ่นอยู่ข้าง ๆ เป็นเสียงกล่อมอย่างดี

 

“อยากไปนั่งหน้าชิดติดขอบเวที  ทั้ง ๆ ทีมาก่อนเพื่อนแท้ ๆ ทำไมมึงมานั่งตรงนี้วะ อุส่าลากมาดูด้วยกันเสือกมานั่งมุมมืดซะ”  ปอดบนไปเรื่อย ขณะรอ ใช่ผมถูกลากมาเพราะบอกกับปอดว่าจะไม่มาดูเป็นเพื่อนมัน แต่ที่จริงในใจก็อยากจะมาดูไม่น้อยมาดูฟ้า

 

“ก็มันง่วงนิ  เมื่อวานก็ช่วยกันทำเวทีจนดึก ไหนวันนี้จะต้องร้องเพลงอีกไม่รู้จะกล้าขึ้นเวทีรึเปล่าไม่รู้ เฮ้อคิดแล้วเบื่อ”ผมบ่นบาง  และมันทำให้ปอดหัวเราะออกมาเบา ๆ

 

“555+ เดี๋ยวเจอเซอร์ไพรส์ มึงก็มีกำลังใจแล้ว วันนี้สงสัยวันดีวะมึงพูดประโยคยาว ๆ 555” ผมมองมันงง เซอร์ไพรส์อะไร ประโยคยาวอะไร ?

ขณะที่ผมงงอยู่นั้น การแสดงบนเวทีก็เริ่มขึ้น  ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วหอประชุมขณะที่ม่านค่อย ๆ เปิดออก พิธีกรค่อย ๆ เดินหลบหายไป  ผมนั่งมองอย่างเบื่อ ๆ ด้วยความง่วงอยู่นั้น เมื่อถูกลมเย็น ๆ เข้าภาพตรงหน้าก็ค่อย ๆ พร่าเลือนและเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหลไม่รู้ zzZ

 

“โป๊ก!  ดิน ๆ ตื่น ๆ จะจบแล้วนะตื่นเว้ย ตื่น ๆ” และผมมารู้ตัวอีกทีตอนที่ปอดสะกิดเบา ๆ ด้วยด้วยฝ่ามือใหญ่ตบลงเต็มหัว  ยำว่าเบา ๆ ฮึยย

 

ผมลูบหัวเบา ๆ ด้วยความรู้สึกเจ็บจี๊ดอย่างตื่นเต็มตา  แล้วกำลังจะหันไปเอาคืนจากปอดก็ต้องตาค้างอีกครั้ง เมื่อมองเห็นคนที่ยืนอยู่บนเวทีซะก่อน ฟ้าที่มีแสงไฟส่องมาที่เธอเพียงคนเดียวในขณะที่ทั้งหอประชุมมืดมิด ผมตื่นเต็มตามากกว่าเต็มตาในความคิดตอนนั้น เธอช่างดูสง่าหน้าดึงดูดสายตามาก  “สวยแฮะ” คำ ๆ นี้หลุดออกมาอยางไม่ตั้งใจ

 

“ใช่มะกูอุส่าปลุกมาดูนะเว้ย อย่าเอาคืนหละ 555” ในขณะนั้นเสียงของปอดไม่ได้ผ่านประตูหูของผมเข้ามายังห้องประมวล ความในสมองของผมเลย ผมยังคงจ้องมองฟ้าที่สว่างในความมืดอยู่กลางเวทีจนผ้าม่านปิดลงและไฟเปิดออก  อ่าแสบตาแฮะ

 

นักแสดงออกมายืนเรียงกันหน้าเวที ที่ผมไม่รู้เลยว่าเค้าแสดงเรื่องอะไรกันแน่ละผมได้ดูเพียงฉากเริ่ม และฉากจบเท่านั้น พิธีกรบรรยายอีกนิดหน่อยและทุก ๆ คนบนเวทีก็กล่าวขอบคุณ ผู้ชม

แล้วก็มีเรื่องที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มีเด็กหญิง  ม.5 ห้องอะไรไม่รู้ผมถามมาได้แค่นั้น วิ่งเอาช่อดอกไม้สีสวยขึ้นไปให้กับฟ้าบนเวที แล้วชีมาทางผม  เกิดเสียงซุบซิบและการมองหาคนส่งดอกไม้ของพองชน และเสียงหัวเราะของปอด แล้วจากนั้นไม่นานทุกคนก็มองมาที่ผมเป็นตาเดียว ฟ้าก็ด้วยเธอมองมาด้วยหน้าที่อมยิ้มนิด ๆ   เกิดความงงขึ้นกับผมและคำถามว่า  กูทำอะไรผิดวะ?

“เซอร์ไพรส์ไง555” ปอดบอกผมแล้วทั้งหอประชุมก็เกิดเสียงโห่ล้อเลียนขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ผมกลับมาหน้านิ่งเหมือนเดิมในทันที  แล้วความคิดที่หายไปซักพักก็เกิดขึ้น

 

“โป๊ก!”   “โอ๊ย มึงตบกูทำไมวะ ห่า”

 

“กูเอาคืนมึงไง เซอร์ไพรส์มะ” แล้วคนก็เริ่มทยอยกันออกจากหอประชุมเพื่อกลับไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ และมันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ทำใจขึ้นเวทีเลย = =  

ก่อนที่ผมจะเดินออกมาจากหอประชุม ฟ้าวิ่งมาหาผม ด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม เธอวิ่งมาหยุดอยู่ตรงห้าผมพร้อมช่อดอกไม้ที่ได้ 

 

“ขอบใจนะ สำหรับดอกไม้”  ผมยืนเป็นหมางงไปสามวิ  แล้วก็เดินออกมาจากตรงนั้นทันทีโดยไม่ได้ตอบอะไรไปพร้อมกับคำถาม กูซื้อให้เมื่อไหรวะ ? = =

….

..

.

ในตอนนี้ผมกำลังนั่งกังวลตัวเย็นอยู่หลังเวทีกลางแจ้งที่มาตกแต่งกันจนดึกเมื่อวาน  มันเป็นอะไรที่ไม่เคยทำเลยจริง ๆ สำหรับการขึ้นไปร้องเพลง แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมกังวลอยู่  ผมกลัวการที่ต้องยิ้มให้คนมากมายบนนั้น  นั้นแหละที่ผมกังวง

               

“นั่งเหม่อ อะไรอยู่ดิน” ผมตกในเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงใส ๆ นั้น แล้วก็เห็นฟ้ายืนอมยิ้มอยู่หน้าผม “ปะ เปล่า” ผมตอบได้แค่นั้น

               

“ กลัวเหรอ หรือตื่นเวที ? หละ” ฟ้าถามขึ้นอีกครั้ง คำถามนั้นทำให้ผมมองหน้าเธออย่างจริงจังมากขึ้น ด้วยสายตาที่เบื่อ ๆ ตามเคย

               

“เปล่าหลอกแค่ไม่รู้จะยิ้มให้คนมาก ๆ ได้มั้ยนะ”  ผมบอกความจริงกับฟ้าไป  เธอยังคงยิ้มสดใสให้ เธอยิ้มได้ตลอดจริง ๆ

               

“งั้นอะนี่” เธอถอดแว่นตากลมหนาออกมา แว่นที่ฟ้ามักใส่ประจำซึ่งเธอใส่ตั้งแต่เมื่อไหล เพราะวันที่ชนกันเธอยังไม่ได้ใส่มันเลย

               

“หลับตาก่อนจะใส่ให้” ผมทำตามอย่างว่าง่าย ผมรู้สึกถึงขาแว่นที่ฟ้าใส่เข้ามาให้ แล้วก็สัมผัสอุ่นหอมที่แกมของตัวเอง ผมตกใจเล็กน้อยและลืมตาขึ้นมองฟ้า   พร้อมกับเอามือลูบแก้มตัวเองเบา ๆ

 

 “ใส่ไว้แล้วยิ้ม อย่างไม่ต้องสนใจใครสินี้เป็นไอเทมจากฟ้าเลยนะ”  ฟ้าพูดพร้อมกับใบหน้าที่อมยิ้มและแต้มไปด้วยสีแดงจาง ๆ

 

“ไปนะ แล้วจะรอฟัง” แล้วฟ้าก็วิ่งจากไปทิ้งไว้แต่กำลังใจให้ผมและแว่นตาไม่มีเลนส์ของเธอ  ผมยังคงลูบแก้มตัวเองอยู่ด้วยใบหน้านิ่งเบื่อ เมื่อกี้มัน  หอม ?

 

“ดิน ขึ้นเวทีได้แล้วมึง” ปอดเรียกผมให้ขึ้นไปเตรียมพร้อมผมก้าวขึ้นเวทีอย่างมั่นใจและไม่มีความกังวลใด ๆ เหลืออยู่เลย

                เมื่อเราเตรียมตัวพร้อมและถึงเวลาเย็นของวันสุดท้าย  เสียงดนตรีจากวงหลังห้องก็เริ่มขึ้น เสียงเพลงดึงดูดผู้คนและนักเรียนที่มาเที่ยวงานให้เข้ามามุงอย่างรวดเร็ว ผมยืนมองพวกเค้า อยู่บนเวทีด้วยสนุกและลอยยิ้ม  ในวันนั้นไม่มีใครคาดคิดเลยว่าคนอย่างผมจะยิ้มได้ตลอด  บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นผม = =

                เสียงร้องเพลงดังขึ้น  ทุกคนโยกไปตามจังหวะเพลงที่สนุกและมัน  ตั่งแต่เพลงแรกจนมาถึงเพลงสุดท้าย 

“ขอมอบเพลงนี้ให้ใครหนึ่งคนคับ” ผมพูดขึ้น แล้วมองลงมาเห็นฟ้ายืนยิ้มอยู่ ผมก็ยิ้ม ใช่ครั้งนี้ผมยิ้มกลับให้เธอแล้วผมก็แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า  “ให้ฟ้าคับ” ผมหลุดพุดออกไป เสียงโห่ล้อดังขึ้นแล้วผมก็ขัดขึ้น

“อยากมีเธออยู่ตรงนี้คับ” เสียงดนตรีขึ้นอีกครั้งตามทำนองเพลง

เวลาที่ฟ้าเป็นสีชมพูอ่อน เวลาที่ฉันเดินทาง

ไปกับความเหงา ความเดียวดาย

เวลาที่ท้องทะเลเป็นสีคราม เวลาที่ฉันเดินทาง

พบกับความสวยงาม... สักวันนึง...

 

อยากมีเธออยู่ตรงนี้ ด้วยกัน...

ในดินแดนดั่งความฝัน ข้างกาย...

อยากมีเธออยู่ตรงนี้... ข้างกัน...

อาบละอองแห่งความรัก ร่วมกัน...

ลำธาร ภูเขา แผ่นฟ้าที่กว้างใหญ่

ดวงดาวส่องแสงแพรวพราว

เกินกว่าความสวย จะบรรยาย

เวลาที่สายลมหนาวพัดโชยเอื่อย

เวลาที่ฉันเดินทาง

สู่ดินแดนที่สวยงาม ภาพที่มองอยู่

 

อยากมีเธออยู่ตรงนี้ ด้วยกัน...

ในดินแดนดั่งความฝัน ข้างกาย...

อยากมีเธออยู่ตรงนี้... ข้างกัน...

อาบละอองแห่งความรัก ชั่วนิรันดร์...

 

มีท้องทะเลสวยงาม

รอเพียงเธอ...มาอยู่เหมือนเดิม...

ยิ่งใหญ่... ฟ้าที่มันกว้างไกล

เธออยู่แห่งไหน จะได้ยินไหม...

 

ผมมองเธออีกครั้ง ด้วยความเขินนิด ๆ ไม่สิเขินมากเลย ใบหน้าของเธอแต้มไปด้วยสีชมพูจาง ๆ เสียงดนตรีจบลง เสียงโห่ชมดังขึ้นทั่วลานหน้าเวที

 

“ขอบคุณมากครับ”  ทุกคนในวงหลังห้อง ตะโกนบอกพร้อมกัน

               

เมื่อผมลงจากเวทีมาก็เจอกับฟ้า ยืนยิ้มอยู่ใบหน้าของเธอยังคงแต้มสีแดงจาง ๆ ผมมองเข้าไปในตาของเธอแล้วก็เหมือนเธอจะพูดอะไรออกมา 

               

“ฟ้าเป็นแฟนเรามั้ย” ผมพูดขึ้นด้วยใบหน้านิ่ง ๆ ตามเดิมแต่แต้มไปด้วยความเขินนิด ๆ  เธอมีสายตาตกใจ  ก่อนที่จะพยักหน้าเบา ๆ

               

 

ผมเขียนมาถึงตรงนี้ก็ต้องหยุดลง เมื่อได้ยินเสียงของฟ้า พลิกตัวเบา ๆ  แต่ก็ยังคงหลับสนิทตามเดิม เรื่องมันช่างยาวจริง ๆ สำหรับชีวิตคนหนึ่งคนที่กลายเป็นสอง เรื่องต่อจากนั้นผมไม่ขอเล่าแล้วกันเพราะนี้ก็ดึกมากแล้ว ผมหันไปมองดูนาฬิกาบนผนังอีกครั้ง  เข็มสั้นชี้เลข 12 เข็มยาวชี้ก่อนถึงเลขสิบสองประมาณ 1 นาที ส่วนเข็มวินาทียังคงวงไปข้างหน้าอย่างไม่พัก  ยังไม่ถึงเที่ยงคืนดีสินะ

 

ผมเงยหน้าขึ้น หลับตา แล้วนวดเปลือกตาเบา ๆ ลมเย็น ๆ พัดเข้ามาในห้องอีกครั้ง ผมมองไปทางระเบียง ผมลุกขึ้นแล้วเดินเอื่อย ๆ ตรงออกไปรับลมที่ระเบียง แสงจันทร์นวลส่องกระทบหน้าตั้งแต่ก้าวแลกที่ออกมาจากห้อง  สายลมเย็นพัดผ่านกระทบล่างอย่างเอื่อย ๆ เย็นสบาย  ผมเงยหน้าขึ้นมองหมู่ดาวเรียงลายที่เห็นเลือนรางเพาะแสงจันทร์ที่ไม่เต็มด้วงแต่ก็สวาง ของคืนข้างขึ้น  ภาพแบบนี้มันช่างดีกว่าตึกระฟ้า ใจกลางกรุงฯจริง ๆ 

 

ในขณะที่ผม กำลังตกไปในห้วงความคิดของตัวเองนั้น ก็ต้องหลุดออกมาและตกใจเล็กน้อย  เมื่อมีมือของหญิงสาวมากอดรอบเอวจากด้านหลังและเอาหน้ามาซุกแผ่นหลังของผม ฟ้านั้นเอง ผมไม่รู้เธอตื่นเมื่อไร  ผมยกมือขึ้นจับมือเธอไว้แล้วมองไปยังฟ้ากว้างต่อ  ไม่มีใครพูดอะไร และในตอนนั้นมีเพียงความรู้สึกเดียว   อุ่นจัง

ไออุ่นจากฟ้า สู่ดิน

 

ขอบคุณผู้อ่านมากมายคับผม  โค้งตัวลงงาม ๆ

 

               

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา