ดอกลิลลี่...ในความทรงจำ

9.3

เขียนโดย ตัวกลม

วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.05 น.

  1 ตอน
  15 วิจารณ์
  3,559 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2557 13.10 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1) ดอกลิลลี่เมื่อวันวาน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          'คุณแม่ขา เราปลูกมันไว้ที่หน้าบ้านเลยดีมั้ยคะ' เสียงของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆผู้ถักผมเปียยาวสลวยถามคุณแม่ของเธอด้วยความตื่นเต้น ในมือเธอถือกระถางต้นลิลลี่สีขาวเอาไว้ในขณะที่แม่ของเธอกำลังเตรียมอุปกรณ์สำหรับการทำสวนอยู่ ทั้งสองคนวางแผนที่จะปลูกต้นไม้กัน

          'เท่านี้เราก็จะมีดอกลิลลี่สวยๆไว้ปักแจกันทุกวันแล้วนะลูก' คุณแม่ของเธอยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนเมื่อทำการปลูกต้นลิลลี่สีขาวจนเสร็จ เด็กผู้หญิงคนนั้นชื่อว่าชลิดา เธออาศัยอยู่กับแม่แค่สองคนเนื่องจากคุณพ่อของเธอประสบอุบัติเหตุเสียไปตั้งแต่เธอยังเด็ก เธอจึงรักและผูกพันธ์กับคุณแม่มาก ทั้งสองมักจะทำกิจกรรมร่วมกันเสมอ เช่นเดียวกับวันนี้พวกเขาได้ปลูกดอกลิลลี่สีขาวซึ่งเป็นดอกไม้ที่คุณแม่ชอบมากที่สุด เด็กน้อยคนนั้นบอกกับคุณแม่ว่า เธอจะดูแลคุณแม่และแปลงดอกไม้เอง เธอรักคุณแม่มากที่สุดกว่าใคร เพราะเธอรู้ว่าคุณแม่รักเธอมากแค่ไหน

          วันเวลาได้ทำให้เด็กน้อยคนนั้นเติบโตกลายเป็นสาววัยรุ่น ในขณะนี้เธอกลายเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารักและเธอเองไม่ได้สนิทสนมกับคุณแม่เท่าเมื่อก่อน เธอกลายเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูงและค่อนข้างจะเจ้าอารมณ์ แต่คุณแม่ก็เข้าใจดีเพราะนั่นเป็นธรรมดาของวัยรุ่นทั่วไป ตอนนี้เธอเรียนอยู่มหาลัยแล้ว ได้เรียนในคณะที่เธอชอบ คุณแม่เองก็สนับสนุนเต็มที่ไปรับส่งเธอทุกวัน แต่ถึงกระนั้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน ลูกสาวก็เอาแต่เก็บตัวคุยโทรศัพท์อยู่ในห้อง ทำให้คุณแม่รู้สึกปล่าวเปลี่ยวเป็นอย่างมาก แม้ในตอนเช้าที่ขับรถไปส่ง ลูกสาวก็จะพูดแค่เพียงคำว่าสวัสดีเท่านั้น

          คุณแม่เองถึงแม้จะไม่ได้ทำงานหนักเท่าเมื่อก่อน แต่เมื่อกลับมาที่บ้านก็ยังมีหน้าที่รับผิดชอบเยอะแยะ ร่างกายก็เริ่มจะต้านทานไม่ไหว คุณแม่เริ่มมีอาการผิดปกติ มักจะมีอาการไออยู่ตลอดเวลา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ลูกสาวถามไถ่อาการแต่อย่างใด แต่กลับรู้สึกรำคาญหงุดหงิดเมื่อได้ยินเสียงไอรบกวน จนวันหนึ่งคุณแม่ไอออกมาเป็นเลือด จึงแอบไปพบแพทย์ตามลำพัง แพทย์วินิจฉัยว่าคุณแม่เป็นโรควัณโรค ซึ่งจะมีอาการไอเรื้อรัง และสามารถติดต่อกันได้เหมือนไข้หวัดทั่วไป...

          ตอนนี้คุณแม่ไม่สามารถจะกอดลูกสาวได้อีกแล้ว เพราะเธอเองกลัวว่าลูกจะติดโรค เธอไม่สามารถไปรับไปส่งลูกสาวได้อีกต่อ เธอได้แต่อ้างว่าเธอต้องรีบไปทำงานแต่เช้าและกลับมาดึกคงจะไปรับไม่ทัน นั่นยิ่งทำให้ความห่างเหินของแม่ลูกมีมากขึ้น ลูกสาวเองก็คุยกับแม่น้อยลง ส่วนคนเป็นแม่ก็ได้แต่ทำตัวอยู่ห่างจากลูกทั้งที่อยากจะอยู่ใกล้

          คุณแม่ไม่ได้บอกกับลูกสาวว่าตนกำลังป่วย เธอยังคงทำหน้าที่ของแม่ที่ดีและทำตัวเป็นปกติราวกับว่าเธอเป็นคนที่มีความสุขดี เช้าวันหนึ่งเธอได้พยายามพูดคุยกับลูกสาวในขณะทำอาหาร เป็นบทสนทนาของแม่ลูกที่ไม่ได้ยินมาเนิ่นนานแล้ว

     'หนูดา ลูกช่วยซื้อดอกลิลลี่มาให้แม่ทุกวันได้มั้ย แค่เพียงวันละดอกเท่านั้น' เมื่อลูกสาวได้ยินดังนั้นก็เกิดความสงสัย รีบถามกลับไปทันที

     'จะเอามาทำอะไร แม่อยากได้ก็ซื้อเองสิ มาใช้หนูทำไมล่ะ' ลูกสาวเริ่มทำท่าทีหงุดหงิด

     'แม่ไม่ค่อยมีเวลาน่ะ แม่รบกวนหนูแค่เรื่องนี้จริงๆนะ'คุณแม่ตอบเสียงเรียบ

     'เอาเถอะ หนูจะซื้อมาให้ล่ะกัน น่ารำคาญจริง' ลูกสาวพูดทิ้งท้ายไว้และออกไปเรียน ทิ้งให้คนเป็นแม่นั่งซึม คิดถึงภาพเด็กน้อยในวัยเยาว์ผู้ที่อ่อนโยนบริสุทธิ์เหมือนดอกลิลลี่ที่ผลิบานยามเช้า

          วันเวลายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ชลิดาก็ยังคงซื้อดอกลิลลี่สีขาวมาให้คุณแม่ทุกวันโดยที่เธอไม่ได้รับรู้ถึงความหมายเหล่านั้นเลย เธออาจจะลืมไปแล้วดอกไม้ในความทรงจำ จนในที่สุดวันนี้ก็มาถึงวันแห่งความสำเร็จของชลิดา เธอเรียบจบและกำลังจะได้รับปริญญา เธอรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเตรียมตัวออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ และได้กำชับให้คุณแม่ของเธอแต่งตัวสวยๆแล้วตามออกไป ผู้เป็นแม่เองก็ตื่นเต้นมากเธอรักและภูมิใจกับลูกสาวเป็นที่สุด แต่แม้ว่าใจของเธออยากจะไปร่วมงาน แต่ร่างกายของเธอมันไม่ไหว อาการของเธอเริ่มกำเริบมากขึ้น คุณแม่ที่สวมชุดสีขาว ตอนนี้ชุดเต็มไปด้วยเลือดที่เธอไอออกมา คุณแม่ได้โทรหาคนข้างบ้านให้แม่ช่วย และคุณแม่ก็ถูกหามตัวไปส่งโรงพยาบาลแถวนั้นในทันที

          ฝ่ายด้านลูกสาวเองเมื่อได้รับปริญญาออกมาแล้วไม่พบหน้าคุณแม่ ก็รู้สึกโกรธและน้อยใจเป็นอย่างมากเพราะพ่อแม่ของคนอื่นเขามารอกันหมดแล้ว ในขณะที่เธอกำลังจะโทรไปต่อว่าคุณแม่ที่มาช้า ก็มีสายเข้าจากโทรศัพท์ของเธอ นั่นเป็นสายจากเพื่อนบ้านซึ่งโทรมาบอกอาการของคุณแม่ วินาทีนั้นใจของเธอแทบสลาย เธอรีบนั่งแทกซี่ไปยังโรงพยาบาลทันที เธอได้แต่ภาวนาอย่าให้คุณแม่เป็นอะไรเลย

          เมื่อมาถึงหน้าห้องที่แม่เธออยู่ ชลิดาได้พบกับคุณหมอและถามถึงอาการ นั่นยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิดมากกว่าเดิม เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยได้สังเกตถึงอาการป่วยของคนที่สำคัญที่สุดเลย และไม่เคยได้มีโอกาสดูแลเลยสักนิด เธอเปิดประตูเข้าไปเห็นคุณแม่ของเธอนอนไออยู่บนเตียง รอบๆเตียงถูกรายล้อมไปด้วยดอกลิลลี่หลายดอก ทุกดอกมีกระดาษเล็กๆติดไว้ที่ก้าน กระดาษใบนั้นเขียนวันที่ที่ซื้อดอกไม้ บางดอกก็เหี่ยวแห้งไปแล้ว มีเพียงดอกของเมื่อวานเท่านั้นที่ยังดูสดอยู่ คุณแม่ของเธอเก็บดอกไม้ที่เธอซื้อให้ทุกดอกแม้มันจะเหี่ยวไปแล้วก็ตาม

     'ว่าอย่างไรคนเก่งของแม่ ดอกไม้นี่แม่ให้คนข้างบ้านเขาเอามาไว้ที่นี้เอง ขอโทษนะในเวลาสำคัญแบบนี้ แม่ช่วยลูกไม่ได้ แถมยังเป็นตัวถ่วงให้ลูกเสมอเลย' คุณแม่พูดด้วยเสียงแหบๆ บัดนี้ตัวคุณแม่ถูกโยงระยางไปด้วยสายน้ำเกลือและสายต่างๆมากมาย

     'ทำไมแม่ไม่บอกหนูว่าแม่ป่วยล่ะคะ?' ชลิดาถามด้วยเสียงสั่นครือ

     'ก็เพราะแม่เป็นโรคติดต่อไงจ้ะ แค่เราอยู่ใกล้กันมันก็เสี่ยงมากแล้ว ถ้าหนูมัวแต่เป็นห่วงแม่ หนูก็จะเรียนได้ไม่เต็มที่นะลูก' คนเป็นแม่ตอบอย่างอ่อนโยน คำตอบนั้นทำให้ลูกสาวนั่งนิ่งเงียบ

     'แม่ไม่อาจที่จะกอดลูกได้ ทั้งที่ความจริงแม่อยากอยู่ใกล้ลูกเป็นที่สุด ลูกรู้มั้ยทำไมแม่ถึงให้ลูกซื้อดอกลิลลี่มาให้แม่ทุกๆวัน'

     'เพราะอะไรหรือคะ?' ลูกสาวเดินเข้าไปจับมือคุณแม่อย่างแผ่วเบา นานแค่ไหนแล้วนะที่แม่ลูกไม่ได้จับมือกันแบบนี้

     'เพราะในชีวิตนี้แม่มีเพียงลูกเท่านั้น เมื่อเราสองคนไม่ได้คุยกันและแม่เองก็ล้มป่วย แม่รู้สึกโดดเดี่ยวผิดหวังในชีวิต แต่เมื่อแม่ได้เห็นดอกลิลลี่เหล่านั้น ก็ทำให้แม่นึกถึงความรู้สึกในสมัยก่อนที่ลูกสาวของแม่ชอบดอกลิลลี่ ความรู้สึกที่ลูกบอกว่าจะดูแลแม่ ความรู้สึกที่เราได้ทำอะไรร่วมกัน มีเพียงแค่ความรู้สึกนั้นที่มันช่วยเยียวยา จนทำให้แม่รู้สึกว่าแม่ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แม่ยังมีลูกอยู่ข้างๆเสมอ ทุกครั้งที่แม่คิดถึงและอยากจะกอดลูก แม่ทำได้แค่ยิ้มให้ดอกลิลลี่เหล่านี้ แต่วันนี้แม่มีโอกาสที่จะอยู่ข้างๆลูกแล้ว แม่ดีใจจริงๆ' เมื่อคุณแม่พูดจบ ชลิดาก็ได้เข้าโอบกอดคุณแม่ของเธอ     

     'หนูไม่เคยรังเกียจแม่เลยสักนิดเดียว หนูขอโทษที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา หนูมัวแต่สนใจกับอะไรที่มันอยู่ตรงหน้า จนลืมคิดถึงคนข้างหลัง หนูไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของแม่เลย แม่ช่วยอยู่กับหนูไปนานๆเถอะนะ ไม่มีใครในโลกนี้อีกแล้วที่หวังดีกับหนูเท่าแม่ หนูรักแม่นะ' ผู้เป็นแม่ได้โอบกอดลูกสาวอย่างแน่นและลูบที่ผมของลูกสาวเบาๆ คิดถึงภาพสาวน้อยผมเปียที่เฝ้าบอกรักแม่เมื่อครั้นวันวาน

     'คนเราถ้าอยู่ตัวคนเดียวจะไม่เห็นค่าของชีวิต แต่เพราะมีคนที่อยู่ด้วยและไม่อยากทำให้เสียใจอยู่ คนเราถึงเห็นค่าของมัน แม่เองมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ได้ก็เพราะหนูนะ แท้จริงแล้วแม่ไม่ได้ชอบดอกลิลลี่เท่าไหร่ แต่แม่ชอบความรู้สึกตอนปลูกมันกับลูกมากกว่า แม่รักลูกเสมอ'

           เมื่อคุณแม่พูดจบ อาการของเธอก็ทรุดลงไปอีก เธอไอออกมาเป็นเลือดสองสามครั้ง ชีพจรก็เริ่มลดต่ำลง ในที่สุดเมื่อสิ้นเสียงไอสุดท้าย คุณแม่ก็สิ้นใจอยู่ในอ้อมอกลูกสาว ท่ามกลางดอกลิลลี่ดอกไม้แห่งความทรงจำของสองแม่ลูก ลูกสาวทำได้เพียงร่ำไห้อ้อนวอนขอให้แม่เธอกลับคืนมา บัดนี้ดอกลิลลี่สีขาวที่เคยบานอยู่กลางใจของทั้งคู่ได้โรยราลงแล้ว ถึงแม้วันนึงมันจะต้องเหี่ยวเฉาโรยราไป แต่เราสามารถดูแลทำให้ทุกวันที่มันยังอยู่สวยงามได้ เสมือนกับชีวิตคนเราที่มีจำกัด หากเราทำทุกวันให้มันดี หมั่นดูแลเอาใจใส่คนสำคัญ ถ้าถึงวันหนึ่งต้องมีการจากลา นั่นจะเป็นการจากลาที่มีคุณค่ามากที่สุด เพราะที่ผ่านมาเราได้ทำมันอย่างดีที่สุดแล้ว บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ความรู้สึกนี้คงจะตราตรึงอยู่ในใจของผู้พบเห็นอีกนาน...     

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา