เรื่องที่เจ็ด : นาวาบนผืนทราย

8.8

เขียนโดย larceta

วันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 09.29 น.

  8 ตอน
  2 วิจารณ์
  10.37K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.53 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

6) 6

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     ผมไม่รู้ว่า....ตัวเองจะเป็นพ่อที่ดีได้หรือเปล่า

     นับตั้งแต่รู้ว่าภรรยาของผมท้อง  เรากำลังจะมีลูก  ความรู้สึกนานาต่างประดังประเดเข้ามาที่ตัวผม  แน่นอนว่าในนั้นย่อมเป็นความยินดี  ผมจะได้เป็นพ่อคน เด็กน้อยผู้ที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขซึ่งถ่ายทอดจากตัวผมและภรรยา  ชีวิตน้อยๆกำลังจะถือกำเนิดเพื่อเติมเต็มครอบครัวของผมให้สมบูรณ์  เป็นความสุขที่ยากจะหาอะไรเปรียบได้

     แต่เช่นกัน  อีกด้านหนึ่งในตัวผม  สิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความยินดีก็คือความวิตกกังวล  เพราะนับแต่นี้ไป  ชีวิตของเราที่อยู่กันอย่างเรียบง่ายสองคนต้องเปลี่ยนไป  หนึ่งชีวิตที่เพิ่มขึ้นมาไม่ใช่การเพิ่มจำนวนสมาชิก  แต่หนึ่งชีวิตจะเกี่ยวพันกับพวกเรากันไปจนตราบวันสุดท้าย เป็นหนึ่งชีวิตที่เราจะต้องเลี้ยงดูเขาให้เติบโตทั้งร่างกายและจิตใจ  เด็กน้อยที่เราต้องอุ้มเมื่อเขาตื่น  ต้องให้ดื่มนมเมื่อเขาหิว  ต้องคอยร้องเพลงกล่อมเมื่อเขาจะหลับ ต้องคอยเปลี่ยนผ้าอ้อม ต้องสอนให้พูด ต้องหัดให้เดิน ต้องวิ่งพาไปหมอยามป่วยไข้ และมีอีกมากมายที่จะตามมาเป็นเท่าทวีคูณในทุกวัน ทุกเดือน และทุกปีที่เขาเติบโตขึ้น  มันไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน แต่ยังต้องใช้แรงกายและแรงใจเป็นมหาศาลในการเลี้ยงดูคนหนึ่งคนให้เติบโตและสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ด้วยตัวเอง

     เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น  หลายต่อหลายครั้ง  ผมไม่มีความมั่นใจเลยว่าตัวเองจะทำได้

     ตอนเด็กๆ น่าจะสัก 5 ขวบได้  ผมได้ลูกหมาตัวหนึ่งจากเพื่อนบ้าน  หมาพันธ์ทางลายสีน้ำตาลตัวเล็กๆ พูดไปอาจเป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ค่อยเหมาะนัก แต่ผม....  ตอนนั้น .....ผมก็เหมือนพ่อ คนที่มีหน้าที่ในการเลี้ยงดูมัน เจ้าหมาหน้าโง่ อ่อนแอ น้องตัวสุดท้ายของคอกที่ร่างกายไม่สมประกอบและอาจจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไรก็ได้  แต่กว่าผมจะรู้ว่ามันเป็นยังไงก็หลังจากรับปากเลี้ยงมันไปแล้ว

     ประสบการณ์ในตอนนั้นก็นับว่าแสนสาหัสทีเดียว กว่าจะสอนให้มันกินข้าวในจานได้  กว่าจะสอนให้มันถ่ายเป็นที่เป็นทาง สอนให้มันไม่เห่าคนในบ้าน สอนให้มันไม่กัดหรือวิ่งพล่านทำลายของ ยามที่มันเกิดป่วย เราก็ต้องลำบากพามันไปหาหมอ สำหรับผมในตอนนั้น มันคือสิ่งที่ทำให้ปัญหาใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน  จนในที่สุด ผมก็ทนไม่ไหว เลิกเลี้ยงเลิกดูแลมัน ใครจะทำก็ทำไป  ผมไม่ทำแล้ว

     แน่นอน  การทำแบบนั้นทำให้ผมถูกต่อว่าเรื่องการทิ้งความรับผิดชอบ แต่ด้วยความที่ผมเหนื่อยแล้วที่จะต้องรับมือกับปัญหาใหม่ทุกวัน จึงยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวว่ายังไงก็จะไม่เลี้ยงมันอีกแล้ว  และด้วยความโมโหที่ถูกต่อว่า  ผมปลดเชือกที่ล่ามมันไว้ ขับไส่ไล่ส่งลงมันออกไปในฐานะตัวการที่ทำให้ชีวิตของผมมีปัญหา  ด้วยความที่ผมทั้งขูตะคอกและไล่เตะตี เจ้าหมาที่ไม่เคยเห็นผมโมโหร้ายมาก่อนตกใจวิ่งหนีเตลิดออกจากบ้าน  วิ่งข้ามถนนหลวงโดยไม่ได้เห็นรถพ่วงใหญ่ที่กำลังวิ่งมา

     ร่างของมันแบนติดพื้นถนนในสภาพที่แหลกเละเทะ

     หากกล่าวโดยสัตย์จริง  ตอนที่เจ้าหมาตัวนั้นตาย  ผมรู้สึกโกรธมากกว่าเสียใจ  เพราะมันทำให้ผมถูกดุและถูกตี  ซ้ำยังต้องเป็นแบกซากที่เละติดถนนนั้นออกมาแล้วนำไปฟัง ซากศพที่ผ่านมาหนึ่งเริ่มส่งกลิ่นเน่าเหม็น  ก้อนเนื้อของมันกำลังถูกหนอนแมลงวันกัดกิน  เจ้าหมาหน้าโง่ที่สร้างปัญหาให้ผมแม้กระทั่งตอนที่มันตายไปแล้ว

     นับแต่นั้น  ผมก็ไม่เคยคิดจะเลี้ยงตัวอะไรอีกเลย

     เมื่อคิดเรื่องนั้นในตอนนี้  ผมก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวผมในวัยเด็กนั้นช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน  แม้จะพูดได้ว่าเพราะความที่ยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าวุฒิภาวะทางอารมณ์ก็ตาม  แต่เมื่อมองดูจากมุมมองของผมในตอนนี้  ผมรู้สึกจริงๆนั่นอาจเป็นสันดานดิบที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดก็เป็นได้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสุขส่วนตัว  ผมขีดเส้น กั้นรัวลวดหนามในอาณาเขตส่วนตัวที่ตัวผมเท่านั้นที่รับรู้ได้  และพร้อมจะผลักดันทุกสิ่งที่เข้ามาในอาณาเขตนั้นออกไป  รวมการทำลายมันทิ้งไปเลยหากคิดว่าจำเป็นต้องทำ

     เพราะแบบนั้น  ในตอนที่รู้ตัวเองจะมีลูก ผมจึงรู้สึกกลัวขึ้นมา

     ทุกวัน  ผมเฝ้าบอกตัวเองเสมอ  ไม่ๆ กรณีนี้มันไม่เหมือนกัน เด็กคนนี้ไม่เหมือนลูกหมาที่นายขอมาเลี้ยงคราวนั้น  เด็กคนนี้เป็นลูกของนาย เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่ถือกำเนิดขึ้นได้จากน้ำเชื้อของผมและไข่ของภรรยา  เซลล์ทุกเซลล์  เลือดทุกหยด  เส้นขนทุกเส้นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ถ่ายทอดพันธุกรรมจากเราทั้งคู่ เช่นกันกับจิตวิญญานที่เป็นแก่นกลาง เด็กคนนี้คือร่างแบ่งภาคของนาย  เป็นนายอีกคนหนึ่งที่ถือกำเนิดใหม่ขึ้นบนโลกใบนี้  เพราะแบบนั้น เด็กคนนี้คือข้อยกเว้น  ไม่มีอาณาเขตหรือเส้นกั้นใดๆระหว่างนายกับเขา  อย่ากลัวไปเลย  ขอให้ตั้งสติให้ดีและคิดให้รอบคอบ  ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะผ่านไปได้เอง  นายยังมีโอกาสอยู่ที่จะไม่ทำผิดพลาดเหมือนในครั้งนั้น

     แต่โอกาสนั้นไม่เคยมาถึง....

     ในวันนั้น  วันที่นับแล้วเป็นเดือนที่ 8 ของเรา ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  เริ่มจากที่ผมได้รับโทรศัพท์ว่าภรรยาของผมเข้าโรงพยาบาลเพราะมีอาการผิดปกติ  ซึ่งเมื่อไปถึง  ผมก็ได้รับแจ้งว่าเธอมีอาการครรภ์เป็นพิษที่เป็นอันตรายมาก  จำเป็นจะต้องเอาเด็กออกไม่เช่นนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต และหลังจากเฝ้ารอหน้าห้องคลอดหลายชั่วโมง  ผมก็ได้รับแจ้งว่าภรรยาของผมปลอดภัย  แต่ว่าเด็ก.... ลูกของเราเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ครรภ์แล้ว

     ผมและภรรยาต้องสูญเสียลูกไปในวันนั้น

     หลังจากที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลจนฟื้นตัวกลับมาอยู่บ้านได้ พวกเราเอาเงินเก็บที่เตรียมไว้เดินท่องเที่ยว ไปในทุกที่ที่อยากไป  กินทุกอย่างที่อยากกิน ซื้อทุกอย่างที่อยากซื้อ โดยหวังว่ามันจะช่วยให้เราลืมเรื่องที่เกิดขึ้นได้  เราทั้งคู่ต่างพยายามจะหาความสุขใส่ตัวให้มากที่สุดเพื่อจะชดเชยสิ่งที่สูญเสียไป

     ทว่าสุดท้าย  นั่นก็เป็นแค่เพียงการบรรเทาความเจ็บปวด  ไม่ใช่การรักษา

     ไม่ว่าจะไปที่ไหนและรู้สึกสนุกสนานเพียงใด  แต่ทุกครั้งที่กลับมาในบ้าน สิ่งที่รอต้อนรับอยู่คือม่านควันแสนอึดอัด ความมึดอันหม่นทึบที่ทอดตัวปกคลุมบ้านทั้งหลังเอาไว้  มุมระเบียงที่เคยมีราวจับสำหรับเด็กหัดเดิน  ห้องนอนที่เคยเต็มไปด้วยเตียงและตุ๊กตา เสื้อผ้า หนังสือนิทานหลายสิบเล่มที่ตอนนี้เก็บใส่ลังและบางส่วนก็บริจาคไปแล้ว  เช่นกันกับ CD ที่สั่งซื้อมาจากโฆษณาชวนเชื่อว่ามันจะช่วยในเรื่องพัฒนาการทางสมองของเด็กในครรภ์   แม้ตอนนี้ทุกอย่างจะถูกนำออกไปจนเมื่อเหลือร่องรอยเดิม  ทว่าเงาของมันกลับไม่ได้หายไปไหน  มันยังอยู่ตรงนั้น และไม่ว่าเราจะปรับเปลี่ยนย้ายตำแหน่งของในบ้านสักกี่ครั้งก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

     นับแต่นั้น  แทบทุกคืน  ภรรยาของผมจะลุกขึ้นกลางดึกแล้วร้องไห้ และร้องไห้ทั้งคืนจนถึงเช้า  ไม่ว่าผมจะพยายามปลอบใจอย่างไรก็ไม่อาจทำให้เธอหยุดร้องได้  แรกๆ เพราะความเห็นใจทำให้ผมอดทน แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกวันก็ทำให้ทั้งเราทั้งคู่พักผ่อนไม่เพียงพอ จากนิดหน่อยก็สั่งสมเป็นความเหนื่อยล้า จากความรู้สึกที่เคยทนได้เพราะความเห็นใจก็เริ่มทนไม่ได้  ซึ่งนั่นเป็นชนวนที่ทำให้พวกเราเริ่มทะเลาะกัน จากแค่การมีปากเสียงเล็กๆน้อยๆก็กลายเป็นทะเลาะกันใหญ่โต  จากที่เคยใช้แค่คำพูดก็เริ่มเป็นการลงไม้ลงมือ  ครั้งหนึ่งภรรยาผมโกรธมากจนใช้มีดทำครัวแทงผม  และครั้งหนึ่งผมก็เคยซ้อมภรรยาจนหน้าบวมปูด  ทั้งๆที่พื้นฐานแล้ว....  ทั้งผมและภรรยาเป็นคนที่รักสงบ เรามาจากครอบครัวที่ไม่มีปัญหาเรื่องความรุนแรง  และที่ผ่านมา เราก็แก้ปัญหาต่างๆด้วยความคิดเสมอ  แม้กระทั่งตอนที่ผมทะเลาะกับเธอก่อนหน้าเรื่องการดื่มเหล้า ก็เป็นการพูดกันดีๆ แทบไม่มีการกระโชกโฮกฮากใส่กันเลย แต่ตอนนี้  ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผมกับเธอกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนที่พร้อมลงไม้ลงมือทำร้ายกัน  เหมือนสัตว์ป่าที่พร้อมจะเข้าขย้ำห้ำหั่นก็ได้ทุกเมื่อ

     ทว่าก่อนที่ทุกอย่างจะลุกลามไปมากกว่านี้  เราทั้งคู่ก็ตั้งสติได้ สิ่งแรกที่เราทำก็คือการตัดสินใจขายบ้านหลังนั้นทิ้งรวมถึงของทุกอย่างด้วย  บางอย่างที่ขายไม่ได้เราก็บริจาคไม่ก็จับใส่ถุงขยะโยนทิ้ง  พวกเราไม่เก็บอะไรไว้  แม้กระทั่งเสื้อผ้าก็ยังเอาไปบริจาคจนหมด เราปอกลอกทุกอย่างที่มีเงาหลอนจากบ้านหลังนั้นติดอยู่ออกไปเพื่อหนีจากมันให้พ้น  และเราก็ทำได้ในที่สุด

     แต่ถึงเราจะหนีจากเงามืดที่ตามหลอกหลอนนั้นได้สำเร็จ  แต่สิ่งที่แตกสลายไปแล้วก็ไม่อาจซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

     นับแต่ย้ายมาสู่บ้านหลังใหม่ ดั่งหวาดกลัวว่ามันจะกลับไปเป็นอย่างที่ผ่านมา ผมกับภรรยาเริ่มมีระยะห่างระหว่างกัน ผมเริ่มทำงานโอเว่อร์ไทม์มากขึ้น เช่นกันกับภรรยาที่ย้ายงานใหม่ที่ทำให้ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง จริงอยู่ที่ไม่ว่าจะเป็นทางนิตินัยหรือพฤตินัย พวกเราก็ยังเป็นสามีภรรยากัน  เราสองคนยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน  ทานอาหารด้วยกัน  นอนเตียงเดียวกัน และหากเกิดความต้องการ พวกเรากอดก่ายและเสพสัมพันธ์เพื่อปลดปล่อยมันออกมา  ทว่าทุกอย่างนั้นล้วนอยู่ในกรอบที่เราทั้งคู่พร้อมจะถอยก้าวหนึ่งเสมอ พวกเรามีระยะปลอดภัยของตัวเองซึ่งเป็นระยะที่พอใครคนเริ่มเข้ามา  อีกคนก็จะพยายามออกให้ห่างจากจุดนั้นเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เราทั้งคู่คล้ายจะพยายามถอยให้ห่างให้มากที่สุด การมีลูก

     แต่ตอนนี้  สิ่งที่ผมพยายามหลีกหนี  ผมกลับทำให้มันเกิดขึ้นกับคนอื่น

     คืนนั้น  ตัวผม หรือที่จริงคือร่างกายของผมที่อยู่นอกเหนือการรับรู้ของตัวผมเองได้ไปยังห้อง 504 พร้อมกับหญิงสาวที่เมามายไม่ได้สติ มือของผมที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของสมองถอดชุดซีฟองของเธอออก เช่นกันกับชุดชั้นใน  แขนทั้งสองอุ้มร่างเปลือยเปล่าของเธอไปบนเตียง จากนั้นก็หันมาที่ตัวเอง ถอดเสื้อ ปลดเข็มขัดกางเกงเลื่อนลง เป้ากางเกงในนูนโป่ง ผมถอดมันออกเพื่อปลดปล่อยองคชาติที่แข็งเกร็งและปูดบวมเต็มที่ให้เป็นอิสระ จากนั้นก็จับมันชำแรกเข้าไปในกลีบอันแน่นชื้น เสพสมย์รสแห่งความสุขที่ธรรมชาติใช้หลอกล่อให้เกิดการขยายพันธ์  ซึ่งมีถึงขีดสุดความหวานหอมของมัน น้ำเชื้อของผมถูกปล่อยเข้าไปในรังไข่ภายในมดลูกของเธอ หนึ่งในสิบล้านเจอทะลุรังไข่เข้าผสมพันธ์ ก่อเกิดเป็นตัวอ่อนที่มีชีวิต

     ร่างกายของผมทำเรื่องพวกนี้ โดยที่จิตใจของผมไม่รับรู้หรือบังคับให้มันเกิดขึ้นเลย

     หรือบางที  ...นี่อาจเป็นสิ่งที่เกิดจากสัญชาตญาน ความต้องการที่อยู่ในหลืบลึกของจิตใจ  เงามืดนั้น  จิตใจที่โหดเหี้ยมของผมไม่เคยหายไปไหน ความโหดเหี้ยมที่เกิดจากความโศกเศร้าในครั้งนั้น ชีวิตครอบครัวของผมพังทลาย  แม้ผมพยายามจะฟื้นฟูมันกลับมา  สภาพของมันในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับแก้วร้าวๆที่พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อแม้การสัมผัสเพียงแผ่วเบา ผมทำให้มันดีขึ้นกว่านี้ไม่ได้  

     เพราะอย่างนั้น  ผมก็เลยก็โกรธแค้น  และความโกรธแค้นนั้นก็เป็นสิ่งที่ปลุกสัญชาติญาณนี้ขึ้นมา  ในเมื่อทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้นไม่ได้  อย่างน้อยก็ขอทำให้ชีวิตของใครสักคนร่วงมาอยู่ในจุดเดียวกัน  ให้เขาคนนั้นได้รู้สึกเจ็บปวดและสูญเสียเช่นเดียวกับที่ผมเคยเจอ  เป็นสิ่งที่ทำไปเพื่อระบายความโกรธแค้นเพราะสิ่งที่ผมคิดและหวังนั้นถูกทำลายจนแหลกสลายไปอย่างไม่มีชิ้นดี  โดยที่เหยื่อของผมนั้นจะเป็นใครก็ได้  และเธอคนนี้ก็เป็นเพียงใครก็ได้ที่จะต้องมารับผลของการระบายความแค้นในครั้งนี้ของผมเท่านั้น

     มันเป็นสิ่งที่ผมต้องการจะให้เกิดขึ้น  ....และมันก็กำลังจะเกิดขึ้น

     "ฉันจะเอาเด็กออกจากตัวฉัน...ฉันไม่ต้องการเด็กคนนี้"

     จากร่างเนื้อที่กำลังหายใจและรับสารอาหารจากสายสะดือก็จะกลายเป็นเศษเนื้อที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด  ส่วนที่เป็นหัวซึ่งดวงตายังไม่เปิดนั้นจะหลุดขาดจากร่างเล็กๆที่ขนาดไม่เกินฝ่ามือ  หัวใจ  หากไม่ถูกหั่นให้ขาดก็ยังจะเต้นอยู่ในอกเล็กๆนั้นได้อีกหลายวินาที  หรือหากมีปาฏิหารย์เกิดขึ้น ร่างนั้นอาจจะส่งเสียงร้องได้อยู่หลายวินาทีก่อนจะสิ้นใจลงไป

     เธอกำลังจะเอาเด็กคนนั้นออกจากร่างกายตัวเอง ด้วยแรงผลักดันที่เกิดจากความโกรธแค้นของผม  เด็กที่อาจจะเป็นเด็กเลือดเนื้อเชื้อไขของผมเอง

     เมฆดำลอยห่างออกไป เหลือไว้เพียงเถ้าถ่านของไม้ใหญ่ที่มอดไหม้

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา