ฝั่งแสงฝัน

8.7

เขียนโดย ฮางมะ

วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 18.56 น.

  1 ตอน
  6 วิจารณ์
  3,256 อ่าน
แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

ฝั่งแสงฝัน

 

 

          ผมนั่งจ้องหน้าจออยู่เป็นนาน นิ้วมือเกร็งอยู่เหนือแป้นพิมพ์ ยังนึกไม่ออกว่าจะตอกอักษรตัวใดให้ออกไปโชว์ตัวในโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดเป็นตัวแรก ครั้นมาคิดถึงต้นกำเนิดที่ทำให้ผมมาอยู่ตรงหน้าจอตรงนี้ก็ทำให้ผมแปลกใจ

                           

          ผมลืมไปแล้วว่าผมมีมีความสามารถด้านนี้ ความสามารถด้านการเขียน(อันหมายถึงเขียนได้เป็นเรื่องเป็นราวเป็นคุ้งเป็นแคว) ผมลืมไปแล้วจริงๆ เหมือนกาลเวลาที่ผันผ่านมานานทำให้เราหลงลืมตัวเราเองในอดีต

                           

          พอมานั่งย้อนอ่านงานของตัวเองเก่าๆที่ยังทิ้งซากเรื่องราวเน่าตายในเว็บการเขียนแทบทุกเว็บ เน่าตายโดยที่ผมไม่ไปไยดีหลายปี กลับมาอ่านงานของตัวเองตอนนี้รู้สึกแปลกใจจริงๆ เราเขียนไปได้อย่างไร มันช่างตลก สมเพช และอนาถเหลือเกิน แต่นอกเหนือจากความรู้สึกเหล่านั้นแล้ว ที่ได้อีกอย่างก็คือ ความทึ่ง ทึ่งในความสามารถผสมอักษรเกิดเป็นเรื่องราวหลายร้อยตอน ตัวอักษรเป็นหมึ่นเป็นแสนคำผุดพรายอยู่หน้าจอ ผมตกใจจริงๆ ที่ตกใจยิ่งกว่าคือ ผมหยุดเขียนทำไม?

                           

          ไม่น่าเชื่อว่าผมเขียนมาหลายเรื่อง ยาวหลายร้อยหน้าผมจะหยุดมันไปง่ายๆ ผมแปลกใจ ความทรงจำเก่าเก็บเกินกว่าจะนึกขึ้นได้ประเดี๋ยวนั้น แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าผมเคยแลกชีวิตเพื่อเขียนมันอยู่ช่วงหนึ่งแต่สาเหตุการเลิกทิ้งไปผมจำไม่ได้แล้ว

                           

          หรือผมผิดหวังเกินกว่าจะอยากจำ?

                           

          ผมคงลืมไปแล้ว ทุกคนบนโลกออนไลน์บนเว็บการเขียนต่างๆก็ก็คงลืมไปแล้ว ว่าเคยมีนามปากกานักเขียนออนไลน์ชื่อว่า ‘แสงฝัน’ อยู่ด้วย แต่กระนั้นแม้ผมจะลืมทุกคนจะลืม แต่ผมและทุกคนก็ลืมไปว่าเรื่องที่เขียนไว้ในเว็บก็ยังอยู่ มันตายอยู่ในซอกหลืบของเว็บก็จริง แต่มันจะตื่นขึ้นมายามใครสักคนเปิดอ่านมัน

                           

          เรื่องทั้งอันมันเริ่มต้นขึ้นตรงนี้แหละ เมื่อจู่ๆมีผู้หญิงทักมาทางช่องแชทในเฟซบุ๊กของผม เราเป็นเพื่อนกันเมื่อไหร่ผมก็ไม่รู้ ผมกดรับส่งๆเสมอยามใครสักคนมาขอเป็นเพื่อน ไม่ได้ใส่ใจไปไลค์หรือสนใจหาที่มาว่าเขาหรือเธอเป็นใคร อันที่จริงแล้วผมไม่ค่อยได้ใช้สักเท่าไหร่ หญิงสาวคนนั้นเธอเข้ามาทักผม แต่เป็นการทักที่ยาวเหยียด

                           

          เธอพูดถึงนิยายแฟนตาซีของผมทั้งเจ็ดเรื่อง ที่เขียนไว้ในเว็บลงนิยายเว็บหนึ่ง เธอบอกเธอชอบมากมันเป็นนิยายภาคต่อที่ยาวระดับแฮรี่พอตเตอร์ เธอตามอ่านตั้งแต่ภาคแรกร่วมผจญภัยไปกับตัวละครมาตั้งแต่ต้น แต่เธอเสียใจ เสียใจที่ผมเขียนไม่จบ เสียใจที่ผมปล่อยมันค้างคา

                           

          “ทำไมพี่ไม่เขียนมันจนจบล่ะคะ หนูรอ…รอแล้วก็รอว่าสักวันพี่จะมาต่อแต่ไม่เลย โชคดีนะคะที่ข้อมูลของพี่มีเฟสอยู่ด้วย หนูถึงมาทวงบทจบของเรื่อง เฟราเนียร์พิภพอัศวินมังกร”

                           

          ผมจองหน้าจอนิ่งยอมรับอย่างจริงใจว่าผมไม่คิดว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้เลย ผมนึกว่าใครจะทักมาคุยเรื่องงานเสียอีก แต่กลับมาเจอเรื่องทวงนิยายแฟนตาซีไปเสีย ทวงนิยายแฟนตาซีในตอนนี้เนี่ยนะ

                           

          ก็จะไม่ให้ผมตกใจได้อย่างไรเรื่องที่ผมเขียนนี่มันตั้งแต่สมัยมอปลายแล้ว พอพ้นวัยเลยผ่านจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้ผมเลิกเขียนไป แต่ผมก็ลืมไปแล้วห้าปีผ่านผมเรียนจบปริญญาตรีมีงานทำไปเรียบร้อยแล้ว ผมลืมไปแล้วว่าผมเคยเขียนมันด้วยซ้ำ!

                           

          ผมกับนิยายของตัวเองมันเป็นคนแปลกหน้าต่อกันและกันไปเรียบร้อยแล้วผมบอกกับเธอไปแบบนี้ (ผมลืมบอกไปว่าเธอคงยังเด็กอายุก็คงประมาณสิบหกสิบเจ็ด เธอจึงอ่านนิยายเน่าๆของผมได้อย่างสนุก) เธอกลับบอกว่า                           

 

          “พี่คะ…พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ พี่จะทิ้งคนอ่านแบบนี้ไปไม่ได้นะ”

                           

          “พี่ทิ้งมันไปห้าปีแล้วครับห้าปีที่พี่ทิ้งไปไม่เห็นมีใครจะมาสนใจสักคน” ผมพิมพ์บอกรู้สึกตลกมากกว่า

                          

          “แสดงว่าพี่ไม่ได้ไปดูเรื่องนานแล้วใช่ไหมคะ พี่ไปดูสิมันยังมีคนอ่านของพี่อยู่นะและยังมีคนยังรอเรื่องของพี่อยู่เลย  และที่พี่ว่าไม่มีใครมาสนก็หนูนี่ไงคะที่ยังอยากอ่านอยู่”

                           

          “พี่ว่าน้องไปอ่านเรื่องอื่นในเว็บเถอะนะมันมีเยอะแยะไม่ใช่เหรอ”

                           

          “พี่ไม่เข้าใจ พี่ไม่เข้าใจว่ามันอ่านค้างคาหนูขอแค่ให้พี่มาแต่งตอนจบเท่านั้นเองนะคะและเดี๋ยวนี้มันมีแต่แฟนตาซีปลอมๆเป็นแนวเกมหนูไม่ชอบด้วย”

                

          ผมเผลอถอนหายใจ หากคุยกันซึ่งหน้าเด็กสาวคนนี้คงจะรู้ว่าผมรำคาญเพียงใด อะไรกันจะมาเซ้าซี้เอาอะไรตอนนี้ การเขียนเป็นยังไงตลอดห้าปีนี้ผมลืมมันไปหมดแล้ว

                           

          “พี่คงเขียนไม่ได้นะครับ พี่ลืมเนื้อเรื่องลืมอะไรทุกอย่างไปหมดแล้ว” ผมบอกเธออย่างสื่อถึงการตัดขาดแล้วก็ปิดแชทลง แต่เธอก็ยังส่งมาอีก

                           

          “พี่คะ หนูจะบอกพี่ว่าหนูเสียดายค่ะ หนูอยากให้พี่กลับมาเขียนอีกนะคะ กลับมาเล่นให้จบเกม”

                           

          ผมเปิดดูข้อความของเธอ ผมสะดุดและสะอึกใจกับประโยคๆหนึ่ง ‘เล่นให้จบเกม’ ประโยคนั้นมันทิ้งแทงโพลงสมองคอยกระตุ้นให้ผมคิดถึงมันอยู่ตลอดเวลา มันเป็นประโยคที่แฝงไว้ด้วยนัยแห่งความท้าทาย เล่นให้จบเกม

                           

          ผมทานทนกับประโยคนั้นได้ไม่นานจึงกลับเข้าไปหานิยายของตัวเองในเว็บอีกครั้ง ผมอ่านเรื่องของตัวเองตั้งแต่ภาคแรกยาวไปถึงภาคสุดท้ายที่ไม่จบ หนึ่งอาทิตย์พอดิบพอดีที่ผมอ่านจบ ความรู้สึกเดิมๆคล้ายดั่งได้เจอเพื่อนเก่าที่เราทำหล่นหายไปตามรายทางแห่งกาลเวลา มันกลับมาแล้ว ทุกอักษรทุกประโยคมันก่อตัวกันเป็นรูปร่างของผมเมื่อวัยเยาว์!

                           

          ผมเจอตัวเองในสมัยเรียนมอปลายแล้ว ผมเขียนเจ็ดภาคในเวลาสี่ปี ผมจำได้แล้วมันเริ่มต้นขึ้นที่ผมชอบอ่านหนังสือแฟนตาซีชื่อดังหลายต่อหลายเล่มตอนเด็กๆจนถึงมอต้น ผมอยากเขียนบ้าง ผมบอกกับเพื่อนถึงเรื่องการแต่งนิยายแฟนตาซีของตัวเอง พล็อตนั้นไหลเวียนในสมองอยู่นานแล้วเห็นภาพชัดในจิตนาการ แต่ถูกเพื่อนดูถูกว่าผมคงทำไม่ได้หรอก มันเกิดแรงฮึดมากมายเอ่อท้นในจิตใจผมใช้เวลาว่างๆก่อนเปิดเทอมมอสี่ ผมลุยเขียนเรื่อนี้ทันที ทั้งๆที่ไม่รู้จเขียนอย่างไรด้วยซ้ำ แต่ผมก็เขียน เขียนจนจบภาคหนึ่งก่อนเปิดเทอม ให้เพื่อนดูพวกเขากลับไม่สนใจผมเลยเอาไปลงในเว็บเขียนนิยายแล้วจากนั้นมันก็ไหลไปเป็นเจ็ดภาค

                           

          เจ็ดภาคที่ตัวผมเองก็ไม่รู้ว่าเขียนไปได้อย่างไร แต่ก็เขียนไปด้วยความสนุกทั้งนั้น เพียงแต่ระยะหลังๆเรื่องของผมไม่มีใครอ่านอีกแล้วในเว็บ และที่เจ็บไปกว่านั้นคือเรื่องของคนอื่นที่ลงพร้อมๆกันหรือลงไปทีหลังมันได้กลายเป็นหนังสือนิยายจริงๆ ขณะที่เรื่องของตัวผมเองมันกลับไม่ได้โบยบินไปไหน ผมส่งไปที่สำนักพิมพ์แต่ก็ได้รับคำตอบกลับมาด้วยความผิดหวัง

                           

          ในยุคนั้นการเขียนลงเว็บแล้วเรื่องได้เป็นหนังสือมันเหมือนง่ายมาก ผมคุยกับคนอื่นไว้เยอะว่าสักวันผมจะได้เป็นนักเขียนบ้าง ผมทุ่มเทเขียนเพียรพยายามอย่างหนักแต่มันกลับไม่ไม่ถึงฝั่งฝัน นั่นแหละคือสาเหตุที่ผมเลิกเขียน ผมท้อ ท้อจนไม่อยากจะแต่งเรื่องต่อไป ประจวบกับการที่ต้องสนใจเรื่องสอบทำให้ผมทิ้งฝันของตัวเองไป…

                

                

          ผมนั่งจ้องหน้าจออยู่เป็นนาน นิ้วมือเกร็งอยู่เหนือแป้นพิมพ์ ยังนึกไม่ออกว่าจะตอกอักษรตัวใดให้ออกไปโชว์ตัวในโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดเป็นตัวแรก ในใจคิดว่ามันต้องเริ่มใหม่ เหมือนผมในอดีตมาบอกตัวเอง

                           

          ใช่มันต้องเริ่มใหม่ และต้องเล่นให้จบเกม  เฟราเนียร์พิภพอัศวินมังกรกำลังจะกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง ผมขอบคุณเธอเด็กสาวที่ช่วยปลุกฝันของผมให้ตื่น ฝันอดีตที่หายไปแล้วมันพลาดไปแต่เรายังรักมันทำด้วยความรักมันจะไม่มีวันเลิกเขียน

 

          ผมช่างเสียดายเวลาเหลือเกินที่ปล่อยมันล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ แต่มาคิดอีกทีจะเสียดายเวลาอดีตไปทำไมควรเสียดายเวลาในตอนนี้สิ ใน ณขณะนี้ !

                           

          ผมตอกตัวอักษรตัวแรก ถ้อยคำเมือนถูกปลุกให้ฟื้นตื่นมีชีวิตขึ้นอีกครั้ง แสงฝันอาบฉายในใจผมอีกหน!!

 

 

 

 

 

 

ด้วยความปารถนาดีจากผู้เขียนหากคุณหรือใครได้มาอ่านเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องที่ผมอยากจะสื่อให้ทุกคนได้รู้ ผมเชื่อว่าทุกคนมีฝัน อย่าทิ้งมันไปง่ายๆนะ (เรื่องราวในเรื่องนี้คือเรื่องแต่งอันมีส่วนเสี้ยวที่ได้มาจากเค้าโครงความจริง) ขอบคุณครับ ผมเร่งเขียนภายในหนึ่งชั่วโมง เพื่อให้ทันลงในวันนี้นะเนี่ย ^^

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา