Skip ความจนทะลุมิติ (Poor boy & Dogs)

9.0

เขียนโดย January13

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.37 น.

  7 บท
  1 วิจารณ์
  8,598 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2563 20.45 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

7) ปุ่ม​ Refresh

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ผมเดินไปตามซอยเล็กๆ ที่คุ้นเคย แถวนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก บ้านเรือนส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นสังกะสี แต่ถูกแซมด้วยบ้านไม้สภาพดีเพิ่มขึ้น ถนนแคบๆ ในซอยเป็นดินแดงและมีสะพานไม้เล็กๆ สภาพค่อนข้างผุพังใช้ข้ามคลองเหมือนเดิม ในคลองก็มีจอกแหน ถุงพลาสติก ขวดเครื่องดื่ม ขอนไม้ หมาเน่า ฟูกที่นอนลอยปนกันอยู่ประปราย ขยะอย่างอื่นก็พอเข้าใจแต่ฟูกที่นอนนี่ลงไปอยู่ในนั้นได้ยังไง

 

          ผู้คนที่เดินสวนผมลักษณะก็คล้ายๆ กับที่เคยเห็นเมื่อก่อน ซึ่งมีอยู่ไม่กี่ประเภทหรอก พวกขี้ยาดมกาวแต่งตัวมอซอท่าทางหลุกหลิก สาวรุ่นๆ ใส่เสื้อผ้าวาบหวิวสภาพดูเหมือนอ่อนเพลียหรือไม่ก็เมาค้าง คนบ้าเสื้อไม่ใส่ ใส่แต่กางเกงเก่าๆ ขาดๆ แอบโชว์ร่องก้นนิดๆ ผมเผ้ารุงรังนึกว่าถักเดทร็อค กลุ่มเด็กเกเรชอบลักเล็กขโมยน้อย ไม่ไปเรียนหนังสืออาจเป็นเพราะขี้เกียจหรือไม่ก็พ่อแม่ไม่มีกำลังส่งเรียนเหมือนกับผมเมื่อก่อน แต่โชคดีที่ผมมีครอบครัวและเพื่อนที่ดีจึงทำให้ผม ซึ่งหมายถึงทองตอนอายุ 17 ไม่หลงทางไปสู่อบายมุขทั้งปวง

          

          ผมเดินมาถึงจุดที่คิดว่าน่าจะเป็นหน้าบ้านของตัวเองแต่ว่ามันเปลี่ยนไป บ้านสังกะสีชั้นเดียวกลายเป็นบ้านไม้ 2 ชั้นขนาดกระทัดรัดบนที่ดินผืนน้อยผืนเดิม หน้าบ้านมีหมานอนอยู่ 3 ตัว มีตัวสีดำ ตัวสีขาวลายดำ และตัวสีขาวล้วน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกมันคือ 3 หมาผู้พิทักษ์ของผมนั่นเอง แต่ทำไมดูเหมือนเป็นหมาปกติ เจ้าดำลุกขึ้นมาเดินสี่ขาสังเกตการณ์ผู้คนที่เดินผ่านไปมา เจ้าด่างเลยต้องพลอยลุกตาม แต่ขอหาวและเหยียดตัวบิดขี้เกียจซักหน่อย ส่วนนังนวลก็ไม่รอช้า มันใช้เท้าหลังเกาหูสองสามทีก่อนจะเดินตามตูดพี่ๆ ไป พวกมันไม่มีอาวุธด้วย ที่จริงผมไม่เห็นต้องแปลกใจ เพราะหมาที่ไหนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น

 

          “ดำ ด่าง นวล โม่ๆๆ” ผมทำปากส่งเสียงเรียกแต่ดูเหมือนว่าพวกมันจะมองไม่เห็นผม อยากบอกนะว่าที่ตกจากต้นไม้เมื่อกี้ผมคอหักตายไปซะแล้ว คำถามนี้ยังไม่ทันจะได้คำตอบคำถามใหม่ก็ตามมา ผมเห็นผู้หญิงมีอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันเดินออกมาจากบ้าน ในมือถือถาดสแตนเลสที่มีอาหารและน้ำจัดเป็นชุดๆ พร้อมกับดอกกล้วยไม้สีม่วงสำหรับไหว้พระ หน้าตาเธอผู้นี้คุ้นมากแต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก ผมจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ให้ถนัดตา

 

            “มะลิ!!!” ผมอุทานเรียกอย่างประหลาดใจ แม้เธอจะกลายเป็นผู้หญิงวัย 50 ตอนปลายแต่ผมก็จำได้ ว่าแต่มะลิมาทำอะไรหน้าบ้านผม ผมยืนคิดหาคำตอบอยู่ครู่หนึ่งก็มีพระสงฆ์ 3 รูปเดินมาหยุดอยู่หน้าเธอ มะลิยกถาดท่วมหัวอธิษฐานก่อนจะค่อยๆ บรรจงใส่บาตรอย่างสำรวม

 

            “อ๋อ มาใส่บาตร” ผมได้คำตอบแล้ว ว่าแต่ทำไมต้องมาใส่บาตรหน้าบ้านผมด้วยหละ คำถามใหม่ผุดขึ้นมา ผมยืนคิดต่อจนพระสงฆ์ 3 รูปเดินจากไป แต่ยังไม่ทันเท่าไหร่ก็มีเรื่องให้ประหลาดใจอีก ผมเห็นผมเดินออกมาจากบ้าน!!!??? หมายถึงทองอีกคนที่หน้าตาดูแก่กว่านิดหน่อยอาจเป็นเพราะไม่ได้เข้า คอร์สดึงหน้า แต่สีหน้าของเขาก็ดูสดใสดีเหมือนคนมีความสุขผิดกับผมตอนนี้ เขาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตลายตารางหมากรุกสีน้ำเงินซีดๆ และกางเกงขายาวสีดำซีดๆ เช่นกัน ทองคนนั้นยกโต๊ะพับออกมากางหน้าบ้าน ส่วนมะลิหายไปในบ้านครู่หนึ่งก็กลับออกมาพร้อมกระจาดใส่ขนมไทย สองคนนั้นช่วยกันจัดเรียงขนมวางบนโต๊ะพอเสร็จทองก็กลับเข้าไปในบ้าน ส่วนมะลินำเก้าอี้กลมมานั่งเฝ้าขนม ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูเหมือนว่าสองตายายนี้จะเป็นผัวเมียกัน ถ้าผมไม่ถูกลอตเตอรี่มะลิกับผมจะได้ครองรักกันจนแก่เถ้าอย่างงั้นหรอ??? ไม่อยากจะเชื่อเลยทำไมมะลิถึงเลือกผม แล้วไอ้เด็กช่างขับบิ๊กไบค์คนนั้นหละ

 

            “ป้าขนมชั้นขายยังไงจ๊ะ” หญิงสาวในชุดข้าราชการครูเดินเข้ามาถาม

 

            “กล่องละ 15 บาทจ๊ะ” มะลิตอบ

 

            “งั้นเอาสองกล่องจ๊ะ” ผู้หญิงคนนั้นบอก มะลิหยิบขนมใส่ถุงก่อนส่งให้พร้อมรับเงินมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ลูกค้าเดินจากไปได้ไม่นานก็มีชายวัยกลางคนจากบ้านตรงข้ามเดินอุ้มพัดลมตั้งโต๊ะเข้ามาหา

 

            “แม่มะลิ ทองอยู่ไหมจ๊ะ ฉันจะเอาพัดลมมาซ่อม” ชายคนนั้นพูด

       

            “อยู่จ๊ะ เดี๋ยวแป๊บนึงนะ พ่อๆ ตาสมเอาพัดลมมาซ่อม” มะลิตอบก่อนจะตะโกนเรียก มะลิเรียกผมว่าพ่อด้วย รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ทองอีกคนเดินออกมาพูดคุยเรื่องอาการของพัดลมกับลูกค้า ผมพึ่งสังเกตเห็นว่าหน้าบ้านมีป้ายแขวนอยู่เขียนว่า ‘ทอง การช่าง’ นี่ผมเป็นช่างตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่จำได้ตอนผมอายุ 17 เห็นพัดลมสายหัวมีเสียงดังแก๊กๆ ยังได้แต่นั่งดู

 

            “เท่าไหร่หละทอง” ตาสมถาม

 

            “ไม่เป็นไรหรอกคนกันเอง” ทองบอก ห๊ะ!!! อะไรนะ??? ซ่อมฟรีหรอ เขาคิดอะไรของเขา

 

            “ไม่เป็นไรได้ยังไงทอง เอ็งจะใจดีไปไหนเนี่ย” ลูกค้าแย้ง

 

            “ไม่เป็นไรจริงๆ อาทิตย์ก่อนที่ขโมยขึ้นบ้านตอนไม่มีใครอยู่ ถ้าไม่มีเอ็งเป็นหูเป็นตาให้คงแย่เลย ขอบใจเอ็งมากนะ”

 

            “เอ็งขอบคุณเป็นร้อยรอบแล้ว ข้าเบื่อจะฟังแล้วเนี่ย” ตาสมว่าพรางหัวเราะ สุดท้ายลูกค้าก็ต้องเป็นฝ่ายยอมให้ซ่อมฟรี ผมตามทองคนนั้นเข้าไปในบ้าน เขาหยิบกล่องเครื่องมือช่างมาจัดการซ่อมพัดลมเก่าๆ นั่นทันที ผมเดินสำรวจเห็นที่ข้างฝาบ้านมีประกาศนียบัตรวิชาชีพจากวิทยาลัยเทคนิคแห่งหนึ่งใส่กรอบแขวนอยู่  

 

          “นายทอง มากบุญมี” ผมอ่านชื่อในใบประกาศนั้น มันเป็นของผมเอง ข้างๆ กันคือรูปถ่ายของผมที่ยืนถือเจ้ากระดาษแผ่นนั้น มีพ่อกับแม่ประกบซ้ายขวา ผมมองแววตาของพวกท่านทั้งสองในรูป ดูจะภูมิใจในตัวลูกชายมาก ทองคนนั้นซ่อมพัดลมเสร็จโดยใช้เวลาไม่นาน เขาเดินเอามันไปส่งที่บ้านตาสมฝั่งตรงข้ามก่อนจะกลับเข้ามาแล้วก็ออกไปอีก ผมสงสัยจึงเดินตามไปติดๆ

 

          “ไปแล้วนะแม่” เขาบอกมะลิที่นั่งอยู่หน้าบ้าน 

 

            “จ๊ะ” มะลิตอบกลับ ทองคนนั้นตรงมาที่ซาเล้งเก่าๆ ที่จอดอยู่ข้างบ้าน ผมรีบกระโดดขึ้นไปนั่งทันทีเมื่อเขาขับซาเล้งออกมาพ้นเขตบ้านเจ้าหมา 3 ตัวก็รีบตามมาอารักขา โดยมีเจ้าดำเดินนำหน้าเพราะเป็นจ่าฝูง เขาพาผมมาถึงวัดเล็กๆ ประจำชุมชุนก่อนจะจอดซาเล้งไว้แล้วเดินไปยังที่เก็บกระดูกหลังวัด ที่นั่นมีเจดีย์เก็บกระดูกเรียงรายเต็มไปหมด ทองเดินมาหยุดอยู่ที่เจดีย์องค์หนึ่ง เขาจุดธูป 1 ดอก ยกมือไหว้ท่วมหัวก่อนจะปักไว้ในกระถางธูปแล้ววางดอกไม้ที่ติดมือมาไว้ใกล้ๆ

 

            “พ่อ แม่” ผมเห็นรูปพ่อกับแม่ที่เจดีย์นั่น ท่านทั้งสองจากไปแล้วเป็นความจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ทุกคนหนีไม่พ้นแต่ก็รับไม่ได้อยู่ดี พอไหว้กระดูกพ่อแม่เสร็จเขาก็เดินมาที่ลานอุโบสถหยิบเอาไม้กวาดทางมะพร้าวแถวนั้นมากวาดเศษใบไม้ที่ร่วงอยู่ตามพื้นใบหน้าอิ่มเอมใจ

 

            “อ้าวโยมทอง ไม่ต้องมาทุกวันก็ได้นะ พักผ่อนอยู่บ้านบ้างก็ได้” พระรูปหนึ่งเดินผ่านมาคุยด้วย

 

            “อยู่บ้านเฉยๆ ก็เบื่อน่ะหลวงพี่” เขาบอก

 

          “เอ้าๆ ตามใจเอ็งแล้วกัน” พระรูปนั้นพูดแล้วเดินจากไป พอเสร็จจากตรงนี้ทองคนจนก็ไปนั่งพักที่ร่มโพธิ์ใหญ่ กระพือเสื้อไล่ระบายความร้อนเบาๆ สักพักชายหนุ่มลักษณะเหมือนมัคทายกก็เดินเข้ามาหา เอาอาหาร นมกล่อง ขนมและผลไม้มาให้ถุงใหญ่ น่าจะเป็นของที่ชาวบ้านใส่บาตรเมื่อเช้า

 

          “อ่ะลุงทอง หลวงพี่ให้เอามาให้”

 

          “ไม่เป็นไรทิต” เขาปฏิเสธ

 

          “รับไปเถอะจ๊ะ” คนชื่อทิตบอกพรางยัดเยียดใส่มือ เขาจึงต้องรับมา

 

          “ขอบใจนะ” เขาบอกอย่างจริงใจ ทิตยิ้มและยักหน้าให้ก่อนจะเดินจากไป ทองใช้เวลาพักเหนื่อยอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก็กลับมาที่ซาเล้งเอาถุงของกินที่ได้มาห้อยแฮนด์รถไว้ แล้วขับออกมาจากวัดตรงไปยังท้ายหมู่บ้าน ในที่สุดเขาก็พาผมหยุดอยู่ที่กองขยะ ที่มีขยะหลากหลายประเภทกองรวมปนกันอยู่เป็นภูเขาขนาดย่อม เขาเดินสำรวจรอบๆ บริเวณนั้น คัดเลือกพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าๆ ที่พังแล้ว ชิ้นส่วนเหล็ก อะไหล่เครื่องยนต์ต่างๆ อย่างเพลิดเพลินอย่างกับกำลังช็อปปิ้งอยู่โดยมีผู้อารักขา 3 ตัวเดินตามอยู่ไม่ห่าง

 

          “ให้ตายเถอะ ถ้าฉันไม่ถูกลอตเตอรี่ ฉันต้องมาเก็บขยะอย่างนี้หรอเนี่ย” ผมถามตัวเองอย่างรับไม่ได้ ทองคนนั้นใช้เวลากับกองขยะนานพอสมควร เมื่อได้สิ่งของต่างๆ จนเป็นที่พอใจแล้ว เขาก็กลับมาที่ซาเล้งเอาของพวกนั้นมาใส่ไว้เยอะแยะเต็มไปหมดจนผมแทบไม่มีที่นั่ง เขาพาผมมาแวะต่อที่ร้านกาแฟโบราณที่ขายปาท่องโก๋ด้วยของพ่อไอ้จืด ผมดีใจที่มันยังไม่เปลี่ยนชื่อร้าน ตอนนี้จืดก็แก่แล้วเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่ายังมีความคิดแผลงๆ อย่างเดิมอยู่หรือเปล่า ทองอีกคนและจืดนั่งคุยกันที่โต๊ะตัวเดิม โดยมีผม ทองคนรวยแอบฟังอยู่ จะเรียกว่าแอบฟังก็ไม่เชิง พวกเขามองไม่เห็นผมเองนี่นา ส่วนเจ้าหมา 3 ตัวก็นอนเฝ้าเจ้านายอยู่ไม่ห่าง

 

          “ทองลูกชายเอ็งก็เรียนจบได้งานได้การดีๆ ทำแล้ว ทำไมเอ็งต้องไปเก็บขยะด้วยวะ” จืดถาม

 

          “หาอะไรทำน่ะ คนมันเคยทำงานมาตลอดชีวิตให้นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านเฉยๆ มันก็เบื่อ” เขาตอบ

 

          “เออ ก็จริงนั่นแหละนะ ขนาดลูกๆ ข้ามาช่วยดูแลร้านแล้ว ข้ายังไม่วายต้องลุกขึ้นมาหยิบนั่นหยิบนี่ทำอยู่เรื่อย” จืดว่า

 

          “เผลอแป๊บเดียวแก่กันหมดแล้วเนอะ เอ็งจำตอนนั้นได้ไหมที่เอ็งแอบเอาแป้งปาท่องโก๋ของพ่อมาเล่นน่ะ” เขาถาม

 

          “จำได้สิ ฮ่าๆๆ ข้าบอกเอ็งเป็นร้อยรอบพันรอบแล้วไงว่าข้าไม่ได้เอามาเล่น ข้าตั้งใจจะดัดแปลงให้มันแปลกใหม่” จืดเถียง

 

          “ปาท่องโก๋มี 2 ขาเหมือนเดิมมันก็ดีอยู่แล้ว” ทองคนนั้นบอกก่อนจะหยิบปาท่องโก๋ในจานมาฉีกแบ่งให้เพื่อนซี้กินข้างหนึ่งและตัวเองกินข้างหนึ่ง พวกเขาสองคนนั่งคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ทองก็ขอตัวกลับ เมื่อมาถึงบ้านเห็นมะลิกำลังเก็บของอยู่พอดีเขาจึงรีบเข้าไปช่วย

 

          “กลับมาแล้วหรอพ่อ เป็นยังไงบ้างแดดร้อนไหม” มะลิถาม

 

          “ก็ร้อนดีจ๊ะ” เขาตอบพรางเก็บข้าวเก็บของเข้าบ้าน พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เอาขยะที่ได้มาคัดแยก สงสัยว่าเขากำลังจะทำอะไร ดูเหมือนไม่ใช่การซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า ผมจึงนั่งดูอย่างสนอกสนใจก่อนที่จะเผลอหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เย็นแล้ว ผมเห็นทองคนนั้นกำลังชื่นชมกับผลงานของตัวเองอยู่ เขานำมันไปเก็บไว้ที่ตู้โชว์ ผมเลยเดินตามไปดู

 

          “โอ้โห!!!” ผมอุทานเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในตู้กระจกนั้น มันคือโมเดลหุ่นยนต์ที่ทำจากเศษอะไหล่ต่างๆ สวยงามมาก มีซุปเปอร์ฮีโร่ที่ผมเคยเห็นในภาพยนต์ ไม่ว่าจะเป็นไอรอนแมน กัปตันอเมริกา สไปรเดอร์แมน แบทแมนและอื่นๆ อีกมากมาย นี่คืองานอดิเรกของตาทองคนจนหรอเนี่ยน่าสนใจไม่น้อย ผมค่อยๆ กวาดตามองโมเดลจากเศษอะไหล่เครื่องใช้ไฟฟ้าในตู้โชว์อย่างเพลิดเพลิน แล้วก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นโมเดลเซตหนึ่งซึ่งมีตัวละครที่ไม่เคยเห็นในภาพยนต์เรื่องไหนมาก่อน

 

          “นั่นมัน!!! บอดี้การ์ดสมุนของเล้ง สาวใช้นักฆ่า ซอมบี้พนักงาน หุ่นยนต์มือสังหาร เครื่องบินรบรุ่นเทอราโนดอน เจ้าดำ เจ้าด่าง นังนวลที่ยืนสองขาและอาวุธครบมือ ทองคนนี้ก็รู้จักเจ้าพวกนั้นเหมือนกันหรอเนี่ย!?” ผมประหลาดใจมากแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามาที่นี่ทำไม

 

          “หาปุ่มรีเฟรชๆ” ผมบอกตัวเองพรางเดินหาปุ่มรีเฟรชที่ว่านั่นทั่วบ้านทุกซอกทุกมุม แต่จนแล้ว จนรอดหายังไงก็หาไม่เจอ หรือผมต้องยอมแพ้แล้วกลับไปเผชิญหน้ากับใครหรืออะไรไม่รู้ที่ต้องการจะฆ่าผม เพราะเคยไปเอาเปรียบหรือทำอะไรไม่ดีกับเขาไว้ ที่สำคัญตอนนี้ผมไม่มีคนคุ้มครองแล้วด้วย หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือผมไม่มีหมาคุ้มครองแล้ว ผมคงต้องตายอย่างอเนจอนาถ

 

          มื้อค่ำวันนั้นผมเห็นสองตายายแกะกับข้าวที่ได้มาจากวัดนั่งกินกันที่โต๊ะสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ มะลิตักกับข้าวให้ทองคนนั้นด้วย อาหารบนโต๊ะนั่นก็ไม่ได้หรูหราอะไรแต่ทำไมดูเหมือนพวกเขาดูมีความสุขนัก แล้วลูกชายของพวกเขาหละหายไปไหน ทำไมถึงได้ปล่อยให้พ่อแม่กินข้าวกัน 2 คน

 

          “พ่อครับ แม่ครับ” เสียงเรียกดังมาจากหน้าบ้าน ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินเข้ามา ชายวัยทำงานในชุดหมีเหมือนช่างในโรงงานผลิตรถยนต์สภาพค่อนข้างมอมแมมตรงเข้ามาหอมแก้มมะลิ

 

          “เหนื่อยไหมลูก แล้วนั่นซื้ออะไรมาเยอะแยะ แม่บอกแล้วไงว่าไม่ต้องซื้ออะไรมา เก็บเงินไว้เยอะๆ ดีกว่า” มะลิบ่นลูกชาย

 

          “พอดีว่าวันนี้โบนัสออกน่ะแม่ ชาติเลยอยากซื้อเสี้อผ้าใหม่ให้พ่อกับแม่บ้าง ที่มีอยู่มันเก่ามากแล้ว” ลูกชายพูดนัยน์ตาเป็นประกาย ก่อนจะหยิบเสื้อเชิ้ตผู้ชายแขนสั้นลายตารางสีน้ำเงินเข้มโชว์ให้ทองคนนั้นดู

 

          “ชอบไหมพ่อ” ชาติถาม

 

          “ขอบใจมากนะลูก จริงๆ ไม่น่าต้องลำบากซื้อมา” ทองว่า

 

          “ไม่ลำบากหรอกพ่อเรื่องแค่นี้เอง ที่ฉันมีงานดีๆ ทำอย่างทุกวันนี้ก็เพราะพ่อกับแม่ทำงานหนักหาเงินส่งเสียฉันเรียนจบป.ตรีลำบากกว่าตั้งเยอะ ฉันก็อยากทำอะไรให้พ่อกับแม่บ้าง”

 

          “ชาติเองก็ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยตั้งแต่อยู่ม.4 พ่อยังรู้สึกผิดอยู่เลย ขอโทษนะลูกที่พ่อไม่ได้มีเงินทอง ทรัพย์สมบัติมากมายเหมือนพ่อแม่คนอื่นเขา”

 

          “พ่ออย่าพูดอย่างนั้นสิครับ ถึงพ่อจะไม่ได้ร่ำรวยแต่พ่อก็สอนชาติให้เป็นคนดี นั่นถือเป็นสมบัติ ที่ล้ำค่าที่สุดแล้วสำหรับชาติ” ชาติบอก มะลิลูบหัวลูกชายเบาๆ อย่างเอ็นดู ผมยืนดูแล้วก็สะท้อนใจ ทำไมทองคนจนถึงได้น่าอิจฉาขนาดนี้ เขามีเพื่อนซี้ที่ดีไว้พูดคุยรำลึกเรื่องราวในอดีต มีภรรยาที่น่ารักดูแลเอาใจใส่และยอมลำบากมาด้วยกัน มีลูกชายที่แสนประเสริฐ คนรอบข้างต่างก็มีน้ำใจกับเขา ช่างต่างจากผมทองที่แสนจะร่ำรวย มีคฤหาสน์หลังโต มีเรือยอร์ช เครื่องบินส่วนตัว เฮลิคอปเตอร์ รถลีมูซีน มีบริษัทและโรงงานใหญ่โตแต่กลับหาความสงบสุขในชีวิตไม่ได้

 

          ผมเคยคิดว่าเงินจะสามารถทำให้ชีวิตผมดีขึ้น แต่เปล่าเลย เงินทองพวกนั้นยิ่งมีมากยิ่งทำให้ผมโลภและลุ่มหลง มันเปลี่ยนผมกลายเป็นอีกคนที่ชั่วร้าย ผมกลายเป็นคนชอบเอาเปรียบ ขี้โกง บ้าอำนาจ แล้วก็อะไรอีกหลายอย่างซึ่งทำให้ทุกคนรอบข้างเกลียดและอยากจะฆ่าผมไม่เว้นแต่เพื่อนสนิท ภรรยา และลูกในไส้ของตัวเอง เงินมันกลับกลายเป็นอาวุธมาทำร้ายตัวผมเอง ผมเข้าใจแล้วเข้าใจทุกอย่าง เงินซื้อความสุขไม่ได้

 

          “เข้าใจแล้วใช่ไหม” เสียงหนึ่งถามขึ้น ผมหันมามองต้นเสียงที่ยืนอยู่ข้างๆ

 

          “ลุง!!! ลุงมาได้ยังไงเนี่ย” ผมร้องทักอย่างตกใจ ลุงตาบอดขายลอตเตอรี่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

 

          “ข้าถามว่าเอ็งเข้าใจแล้วใช่ไหม” เขาถามย้ำ

 

          “ขะขะเข้าใจแล้วจ๊ะ เข้าใจแล้ว”

 

          “อืมก็ดี” พูดจบก็เดินออกจากบ้านไปอย่างเย็นชา

 

          “อ้าวลุงจะไปไหนหละ แล้วปุ่มรีเฟรชที่ว่าน่ะอยู่ที่ไหน ผมหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ” ผมรีบวิ่งตามออกมาถาม

 

          “มันอยู่ไหนไม่มีใครรู้หรอก นอกจากเอ็ง” เขาหันมาตอบ

 

          “แต่ว่าผมหาทั้งบ้านทุกซอกทุกมุมแล้วนะ เหลือก็แต่รูหนูมันเล็กเกินไปมือยังเข้าไม่ได้เลย เอ๊ะหรือว่าจะอยู่ในนั้น ลุงมียาย่อขนาดร่างกายไหมฉันขอยืมหน่อยสิ” ผมถาม เห็นอยู่ๆ เขาแวบตัวมาหาผมได้ เลยคิดว่าน่าจะมีของวิเศษอะไรทำนองนั้น

 

          “เอ็งจะบ้าหรอ ของแบบนั้นมันมีที่ไหน” ลุงขายลอตเตอรี่พูดอย่างเอือมระอาทำท่าจะเดินหนีไป

 

            “เดี๋ยวสิลุง ฉันไม่รู้จริงๆ ลุงช่วยบอกฉันหน่อยเถอะนะ ใบ้นิดนึงก็ยังดี” ผมวิ่งเข้ามากอดขาเขาเอาไว้ ซุกหน้าแนบขาอย่างอ้อนวอน

 

          “ทอง กิเลสเกิดที่จิตก็ดับที่จิต จิตของใครของมัน กิเลสเกิดที่จิตของเราใช่ว่าจะไปดับที่จิตของผู้อื่นได้ ไม่มีหรอก” นาทีนั้นผมอึ้งมากไม่ใช่เพราะคำพูดที่ฟังดูซาบซึ้งแต่เข้าใจยากพวกนั้นนะ แต่เป็นเพราะลุงตาบอดขายลอตเตอรี่ที่ผมคุยด้วยเมื่อกี้ อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นหลวงตาศรีบุญที่พ่อแม่ผมเลื่อมใสและเป็นผู้ตั้งชื่อให้ผม ร่างกายของท่านผุดผ่องอย่างกับเรืองแสงได้

 

          “จงหาคำตอบด้วยตัวเจ้าเองเถิด” พูดจบท่านเดินจากไป ไกลออกไปเรื่อยๆ แล้วก็หายไปในความมืด ผมยืนอึ้งครู่หนึ่ง ไม่รู้เป็นอะไรช่วงนี้มีแต่เรื่องให้ประหลาดใจอยู่เรื่อย ว่าแต่เมื่อกี้หลวงตาใบ้อะไรนะผมจำไม่ได้แล้ว

 

          “จิตๆ อะไรนะ จิตของใครใช่จิตของเรา” ผมจำประโยคนั้นเต็มๆ ไม่ได้ รู้แต่ว่ามันดีมาก

 

          “จิตใจกับหัวใจนี่มันเหมือนกันไหมนะ” ผมพรึมพรำอยู่คนเดียวอย่างครุ่นคิดก่อนจะก้มลงมองที่หน้าอกด้านซ้าย

 

          “ห๊ะ!!! นี่มัน...ปุ่มรีเฟรช!!! เจอแล้ว ฉันเจอแล้ว ไชโยๆ ในที่สุดก็เจอ” ผมเห็นปุ่มสีฟ้าเล็กๆ มีตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนว่า Refresh อยู่เหนือกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกข้างซ้าย มันส่องแสงสว่างวาบๆ เหมือนไอคอนที่เคยเห็นในเกมส์ ผมเข้าใจที่หลวงตาพูดแล้ว เข้าใจแจ่มแจ้งและผมจะกดมันเดี๋ยวนี้ ติ๊ด!!! ทันทีที่ผมกดปุ่ม Refresh นั่น ทองคนจน มะลิ และลูกชายของเขาก็แวบหายไป บ้านเรือนละแวกนั้นก็ด้วย อยู่ๆ ท้องฟ้ามืดมิดก็กลายเป็นสีขาวโพลนเหมือนกระดาษ พื้นที่ผมยืนอยู่ก็เช่นกัน จู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนตกลงมาจากที่สูง

 

          “เอาอีกแล้วหรอเนี่ย!!!” ผมเหมือนถูกกดลงชักโครกอีกครั้งเหมือนตอนแรกที่กดปุ่ม Skip มา แต่ต่างกันตรงที่รอบข้างผมเป็นสีขาวสว่างไสวจนแสบตาก่อนที่ภาพคฤหาสน์แสนหรู ออฟฟิศตึกสูงใจกลางเมือง โรงงานและคลังสินค้าขนาดใหญ่จะปรากฏขึ้นและแวบหายไป แทนที่ด้วยเรือยอร์ช เครื่องบินส่วนตัว เฮลิคอปเตอร์ รถลีมูซีนไม่นานก็แวบหายไปอีก

 

          “ทองไม่ไปเที่ยวด้วยกันอีกหรอ อีหนูแซบๆ รออยู่เพียบเลย ฮ่าๆๆ” ภาพเล้งกับสาวๆ ในชุดบิกินี่ประกบซ้ายขวา พร้อมกับบอดี้การ์ดลูกสมุนของเขาปรากฏขึ้นทำผมตกใจเล็กน้อย

 

          “ทอง กลับบ้านเราเถอะนะคะ ฉันเตรียมซุปไก่ของโปรดคุณเอาไว้ให้ หึๆๆ” วิภาดาและสาวใช้นักฆ่าแสนสวยเป็นโหลมองผมด้วยแววตาอำมหิต อันนี้ทำผมผวาจริงๆ

 

            “พ่อครับ ยกบริษัทให้ผมเถอะนะครับ ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่องอีกผมจะให้คุยกับสมุนของผมนะครับ” สุพร ลูกชายสุดที่รักของผมครับ

 

          “โบนัส โอที ปรับเงินเดือน ลาพักร้อน สวัสดิการ” ส่วนเสียงยานๆ นี้ลูกจ้างผมเองครับ ทำผมสยองขวัญเป็นที่สุดเลย ตามด้วยหุ่นยนต์มือสังหารและเทอราโนดอน

 

            “ทอง ผมชอบเล่นเกมส์กับคุณนะ” นั่นเจ้าด่าง

 

            “ทอง ฉันไม่ได้เตรียมตัวมาสู้กับอะไรพวกนี้นะเนี่ย ให้ตายเถอะ” นังนวล ไดร์เวอร์ของผม

 

            “ทอง คุณเป็นคนจิตใจดีนะ คุณต้องกลับไปเป็นทองคนเดิมให้ได้” เจ้าดำจ่าฝูงขององครักษ์พิทักษ์ผม มันเท่ห์มากๆ เลยหละ พอภาพเจ้าดำจางหายไปแสงสว่างเจิดจ้าก็เข้ามาแทนที่ ผมแสบมากตาจึงหลับตาลง ตอนนี้ทุกอย่างมืดสนิทไปหมด อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรอุ่นๆ เปียกๆ มาสัมผัสที่แก้มหลายทีจนทนไม่ไหวเลยต้องลืมตาขึ้นมาดู

 

          “เห้ย!!! ไอ้ดำ ไอ้ด่าง นังนวล” ลูกหมา 3 ตัวที่แย่งลูกชิ้นผมกินเมื่อตอนเที่ยงมันรุมเลียแก้มผมนี่เอง

 

            “เห้ย!!! ฉันกลับมาแล้วๆ ไอ้ทองเด็กเข็นผักคนเดิม โธ่ฉันคิดถึงนายจังเลย” ผมดีใจมากเมื่อเห็นเงาตัวเองในประตูกระจกร้านค้า ดีใจจนเผลอกอดตัวเอง คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นมองเหมือนผมเป็นคนบ้า เพราะว่าดีใจเกินไปหน่อยเลยทำอะไรเพี้ยนๆ แต่ใครจะคิดยังไงก็ช่าง ผมไม่สนใจหรอก ผมได้ชีวิตเดิมกลับคืนมาก็พอแล้ว

 

            “ลอตเตอรี่จ้าลอตเตอรี่ เหลือใบสุดท้ายแล้วเอาไหมจ๊ะ” หญิงแก่ตาดีถือแผงลอตเตอรี่เข้ามาถาม

 

            “มะมะไม่เอา ไม่เอาจ๊ะ ไม่เอาแล้ว ไม่เอาเด็ดขาด จริงแท้และแน่นอน” ผมตอบแล้วรีบเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ผมจะไม่ยอมให้เรื่องที่พึ่งไปผจญภัยมาเมื่อกี้เกิดขึ้นจริงเด็ดขาด แค่คิดก็อยากจะบ้าแล้ว ระหว่างที่กำลังเดินกลับบ้าน ผมชะงักฝีเท้ากะทันหันเพราะคิดอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะหันมามองลูกหมา 3 ตัวที่เดินตามหลังมาติดๆ

 

            “เห้ย พวกเอ็งน่ะพูดได้ใช่ไหม” ผมถามอย่างจับผิด เจ้าลูกหมา 3 ตัวยิ้มลิ้นห้อยหายใจแฮกๆ เอียงคอมองผมตาแป๋วอย่างไร้เดียงสา

 

          “พวกเอ็งไม่ต้องมาแอ๊บ” ผมทำท่าตั้งการ์ดพรางใช้เท้าเขี่ยพวกมันเล่นๆ จนนังนวลล้มลงไปนอนแอ้งแม๊งพุงกลม ส่วนเจ้าด่างก็ล้มขาแบะกับพื้น มีแต่เจ้าดำที่สู้ มันใช้เขี้ยวเล็กๆ ขบรองเท้าตราช้างดาว ของผมอย่างเมามัน สงสัยจะคันเหงือก

 

          “อืม น่าเอ็นดูขนาดนี้คงไม่ใช่หรอก” ผมพรึมพรำ นี่คงเป็นไอ้ดำ ไอ้ด่างและนังนวลเวอร์ชั่นปกติ ผมคลายความสงสัยจึงหันกลับไปเดินต่ออย่างสบายใจที่ได้กลับมาเป็นไอ้ทองคนเดิม ผมไม่คิดอยากจะร่ำรวยอีกแล้ว มีเงินทองมากมายก็ใช่ว่าจะมีความสุข จากวันนี้สิ่งที่ผมจะต้องเริ่มทำเป็นสิ่งแรกคือเก็บเงินค่าแรงที่แบ่งกับแม่คนละครึ่งเอาไว้เป็นทุนการศึกษา 

 

- จบ -

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา