โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ภัยเงียบที่คร่าชีวิตคนโดยไม่ทันตั้งตัว

GUEST1660817967

ขีดเขียนเต็มตัว (163)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:153
เมื่อ 13 มีนาคม พ.ศ. 2568 17.16 น.

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบป็นโรคที่เกิดจากการสะสมของไขมันและคราบหินปูนในผนังหลอดเลือดหัวใจ ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง ส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่เพียงพอ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด หรือหัวใจวายได้

ความอันตรายของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

  • ภาวะหัวใจขาดเลือด : หัวใจได้รับเลือดและออกซิเจนไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอก
  • หัวใจวาย (Heart Attack) : หากหลอดเลือดอุดตันอย่างสมบูรณ์ อาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ : ส่งผลให้หัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว
  • ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure): หัวใจทำงานไม่สามารถสูบฉีดเลือดได้เพียงพอ ทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย บวมที่ขาและเท้า

อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

  • เจ็บหน้าอก (Angina) – อาจรู้สึกแน่นหรือปวดบริเวณกลางหน้าอก ลามไปที่แขน คอ หรือกราม
  • เหนื่อยง่าย – โดยเฉพาะเมื่อทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง
  • หายใจลำบาก – รู้สึกเหมือนหายใจไม่ทั่วท้อง
  • เวียนหัว หรือหน้ามืด – อาจเกิดจากภาวะหัวใจสูบฉีดเลือดไม่เพียงพอ
  • เหงื่อออกมากผิดปกติ – แม้ไม่ได้ออกแรงมาก
  • คลื่นไส้ หรืออาเจียน – พบได้ในบางกรณี โดยเฉพาะในผู้หญิง

วิธีป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

ควบคุมอาหาร : ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ เช่น ของทอด อาหารแปรรูป

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ : อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เช่น เดินเร็ว วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน

ควบคุมน้ำหนัก : ลดความเสี่ยงของโรคอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคนี้

เลิกสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่ : บุหรี่ทำให้หลอดเลือดตีบและแข็งตัวเร็วขึ้น

ควบคุมความดันโลหิต : หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ

ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด :  โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวาน

จัดการความเครียด :  ใช้วิธีผ่อนคลาย เช่น โยคะ หรือการทำสมาธิ

ดื่มน้ำให้เพียงพอ :  ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น

วิธีรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต – ปรับปรุงการกิน ออกกำลังกาย และควบคุมความเครียด
  • การใช้ยา – เช่น ยาลดไขมัน ยาลดความดัน ยาต้านเกล็ดเลือด (Aspirin) และยาไนโตรกลีเซอรีน (ช่วยขยายหลอดเลือด)
  • การทำบอลลูนขยายหลอดเลือด (Angioplasty) – ใช้สายสวนเข้าไปขยายหลอดเลือดที่ตีบ
  • การใส่ขดลวด (Stent) – เพื่อช่วยเปิดหลอดเลือดให้กว้างขึ้น
  • การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือด (Bypass Surgery) – ใช้หลอดเลือดจากส่วนอื่นของร่างกายมาเชื่อมแทนหลอดเลือดที่ตีบ

สรุป

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นโรคร้ายแรงที่สามารถป้องกันได้หากดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม หากมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา