ครีมทาฝ้าแบบไหนเป็นครีมทาฝ้าที่ใช้แล้วหายจริง

GUEST1649747579

สุดยอดขีดเีขียน (554)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:993
เมื่อ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 12.56 น.

ครีมทาฝ้า

ฝ้า กระ และจุดด่างดำ เป็นปัญหาผิวพรรณที่พบได้บ่อยในคนไทยทำให้ส่งผลต่อความสวยความงาม ทำให้มีความมั่นใจในภาพลักษณ์น้อยลง ครีมทาฝ้ามีจำหน่ายหลากหลายยี่ห้อ หลายราคา สูตรที่เหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกัน ควรจะเลือกซื้อครีมทาหน้าลดฝ้า กระ แบบไหนให้เหมาะสมกับความต้องการ และครีมทาฝ้าที่เห็นผลจริงมีหรือไม่ บทความนี้นำวิธีการเลือกใช้ครีมทาฝ้าให้ปลอดภัยมาฝาก

 

วิธีการเลือกใช้ครีมทาฝ้าให้ปลอดภัย

ครีมทาหน้าลดฝ้า

เทคโนโลยีด้านเวชสำอางค์ถูกคิดค้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการค้นพบสารออกฤทธิ์ใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า ทำให้ครีมทาฝ้าในปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ปลอดภัยต่อผิว และมีรูปแบบที่หลากหลาย ครีมทาฝ้ามีหน้าที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น ควรจะเลือกครีมทาหน้าลดฝ้า กระ สูตรไหนจึงจะเหมาะสมกับสภาพผิว มาดูข้อมูลกัน

 

ครีมทาฝ้าแบบไม่มีปรอท ทำให้ผิวขาวเร่งด่วนจริงไหม 

ครีมทาฝ้า กระแบบไม่มีปรอท ไม่สามารถทำให้ผิวขาวขึ้นโดยตรง ซึ่งหน้าที่หลักคือช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น แต่ครีมทาฝ้าแบบไม่มีปรอท มีความปลอดภัยต่อผิวมากและมีข้อดีหลายประการดังนี้

  • ครีมทาฝ้ามีความปลอดภัยต่อผิวเพราะปราศจากสารปรอทซึ่งเป็นสารเคมีอันตรายสะสมในร่างกายส่งผลต่อระบบประสาท ไต และสารก่อมะเร็ง
  • สามารถลดเลือนฝ้า ครีมทาฝ้าแบบไม่มีปรอทมีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น จึงทำให้ครีมทาฝ้าแบบไม่มีปรอทได้ชื่อว่าเป็นครีมทาฝ้าหน้าขาวใส
  • มีความเหมาะสมกับผิวแพ้ง่าย ครีมทาฝ้าแบบไม่มีปรอท มีสารที่อ่อนโยนต่อผิวระคายเคืองน้อยเหมาะกับผิวแพ้ง่าย
  • มีประสิทธิภาพ ครีมทาฝ้าแบบไม่มีปรอท มีหลายยี่ห้อ หลายสูตร ที่มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ เมื่อใช้เป็นประจำ
  • หาซื้อง่าย ครีมทาฝ้า กระแบบไม่มีปรอท หาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยา ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า และช่องทางออนไลน์

 

ครีมทาฝ้าแบบไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ดีอย่างไร

ครีมทาแก้ฝ้าสูตรไฮโดรควิโนน เป็นสารเคมีที่ใช้ในครีมทาฝ้า มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ โดยออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ซึ่งเป็นสาเหตุของฝ้ามีกลไกการออกฤทธิ์โดยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) เอนไซม์นี้ทำหน้าที่เปลี่ยนกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) กลายเป็นเม็ดสีเมลานิน ไฮโดรควิโนนจะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์นี้ ส่งผลให้มีการสร้างเม็ดสีเมลานินน้อยลง ข้อดีของครีมทาฝ้าแบบไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) คือ

  • มีประสิทธิภาพแบบเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 4 - 6 สัปดาห์ เนื่องจากไฮโดรควิโนนเป็นหนึ่งในสารทาฝ้าที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด 
  • ครีมทาฝ้าราคาไม่แพง 

 

อย่างไรก็ตามเมื่อครีมทาฝ้าแบบไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) มีประสิทธิภาพสูงและเมื่อใช้แล้วเห็นผลลัพธ์เร็วก็อาจมีข้อเสีย คือ ใช้แล้วอาจมีความระคายเคืองผิว เพราะไฮโดรควิโนนอาจทำให้ผิวแห้ง แดง คัน แสบร้อน โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ ให้นมบุตร และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ไฮโดรควิโนนอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ และเด็กเล็ก และทำให้ผิวไวต่อแสงแดด ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 ขึ้นไป สวมหมวก กางร่ม และสวมเสื้อผ้ามิดชิดเมื่อออกแดด

 

อาจเลือกสูตรที่ผสมสารกันแดดอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี 

ครีมทาแก้ฝ้าสูตรผสมสารกันแดดเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการรักษาฝ้าเพราะช่วยทั้งลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ และปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของฝ้า มีข้อดีคือ หาซื้อสะดวกและมีประสิทธิภาพครบจบในหนึ่งเดียวโดยไม่ต้องทาครีมกันแดดแยกต่างหาก มีประสิทธิภาพปกป้องผิวจากแสงแดดช่วยป้องกันฝ้าใหม่เกิดขึ้นและช่วยให้ฝ้าจางลงเร็วขึ้น แต่ครีมทากันฝ้าอาจมีสารที่ระคายเคืองผิว โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย อาจเกิดอาการผิวแห้ง  แดง  คัน  แสบร้อน

 

ครีมทาฝ้าสูตรที่มีความปลอดภัยสังเกตได้จากอะไร

ครีมทาฝ้า กระสูตรปลอดภัย มีหลายสูตรซึ่งอาจสังเกตจากส่วนผสมหลักที่นิยมใช้ในครีมทาฝ้า ได้แก่

  • กรดอะเซลิก (Azelaic acid)  ช่วยลดการสร้างเม็ดสี ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
  • กรดโคจิก (Kojic acid) : ช่วยลดการสร้างเม็ดสี ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
  • กรดไกลโคลิก (Glycolic acid) : ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการสร้างเม็ดสี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะสำหรับผิวที่ต้องการผลัดเซลล์ผิว
  • อาบูติน (Arbutin) : ช่วยลดการสร้างเม็ดสี ปลอดภัยสำหรับผิวแพ้ง่าย
  • วิตามินซี (Vitamin C) : ช่วยลดการสร้างเม็ดสี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ต้านอนุมูลอิสระ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว

 

ครีมทาแก้ฝ้าสูตรปลอดภัย ควรมีส่วนผสมดังต่อไปนี้

  • ปราศจากสารเคมีอันตราย: เช่น ปรอท ไฮโดรควินิน สเตียรอยด์ผ่านการทดสอบการแพ้: เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
  • มี อย. : รับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

 

วิธีเลือกครีมทากันฝ้าสูตรปลอดภัย

  • เลือกครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมที่เหมาะกับสภาพผิว
  • เลือกครีมทาฝ้าที่มี อย.
  • เลือกครีมทาฝ้ายี่ห้อที่เชื่อถือได้
  • ทดสอบครีมทาฝ้าก่อนใช้จริง
  • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ก่อนใช้ครีมทาฝ้า

 

ครีมทากันฝ้าสูตรปลอดภัย สามารถช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส เรียบเนียน แต่ควรใช้ครีมทาฝ้าอย่างสม่ำเสมอควบคู่กับการป้องกันแสงแดดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

 

วิธีรักษาฝ้า นอกจากการใช้ครีมทาฝ้ามีอะไรบ้าง 

ครีมทาฝ้าที่ใช้แล้วหายจริง

ปัจจุบันปัญหาฝ้าเป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า มีสาเหตุหลักจากรังสียูวี ฮอร์โมน และพันธุกรรมส่งผลต่อความมั่นใจในตนเองได้หลายประการ เช่น ทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส เมื่อมีฝ้าเกิดขึ้นแล้ว อาจทำให้มีความกังวล และขาดความมั่นใจ การรักษาฝ้าที่ได้รับความนิยมนอกจากวิธีการใช้ครีมทาฝ้าแล้ว ยังมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มีความปลอดภัยในการรักษาฝ้ามาฝาก

 

รักษาฝ้าด้วยการทำเมโสดีกว่าการทาครีมทาฝ้าอย่างไร

การทำเมโสรักษาฝ้าเป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นการฉีดสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และยาบางชนิดเข้าสู่ชั้นผิวหนังโดยตรง ตัวยาจะซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยลดการทำงานของเซลล์เม็ดสี ทำให้ฝ้ากระจางลง เห็นผลไวกว่าการทาครีมรักษาฝ้าลึก

ข้อดีของการทำเมโสรักษาฝ้ามีดังนี้

  • เห็นผลไวกว่าการใช้ครีมทาฝ้า
  • สามารถรักษาฝ้าได้อย่างตรงจุด
  • ช่วยให้ผิวหน้าขาวใส เรียบเนียน
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหน้าเต่งตึง
  • ลดริ้วรอย
  • รูขุมขนกระชับ

 

ผลลัพธ์ของการรักษาฝ้าด้วยการทำเมโสจะเริ่มเห็นผลประมาณ 1 - 2 สัปดาห์หลังฉีด และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 1 - 2 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ชนิดของฝ้า และการดูแลหลังทำ แต่ข้อเสียบางประการคือ อาจมีอาการปวดแสบ บวมแดง หรือเขียวช้ำหลังฉีด อาจมีผลข้างเคียง เช่น การติดเชื้อ อาการแพ้ยา ดังนั้นก่อนตัดสินใจทำเมโสรักษาฝ้าควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังก่อน

 

รักษาฝ้าด้วยการกรอผิวดีอย่างไร

การรักษาฝ้าด้วยการกรอผิว หรือที่เรียกว่า การผลัดเซลล์ผิว เป็นวิธีการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่เสื่อมโทรมและเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป กระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส ฝ้ากระจางลง  รอยแผลเป็นดูตื้นขึ้น และริ้วรอยดูจางลง เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถรักษาฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลเร็วว่าการใช้ยาทาฝ้า ซึ่งโดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลประมาณ 1 - 2 สัปดาห์หลังทำ และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 1 - 2 เดือน 

 

วิธีการกรอผิวรักษาฝ้ามีหลายวิธี แต่ที่นิยมใช้กันทั่วไป ได้แก่

  • การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี การกรอผิวด้วยเครื่องมือ (Dermabrasion) เป็นการใช้เครื่องมือขัดผิว ช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ลึกกว่าการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี
  • การกรอผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peel) 
  • การกรอผิวด้วยเลเซอร์ (Laser Resurfacing)

 

ข้อควรระวังสำหรับการรักษาฝ้าด้วยการกรอผิว คือ ไม่ควรทำการกรอผิวในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคเลือด หรือกำลังตั้งครรภ์ 

 

รักษาฝ้าด้วยการทำเลเซอร์ เหตุใดจึงได้รับความนิยมสูง

การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์เป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม เป็นการใช้พลังงานแสงเลเซอร์ยิงไปที่ผิว ช่วยทำลายเซลล์เม็ดสีที่ผิดปกติ ทำให้ฝ้ากระจางลง เห็นผลไว และมีประสิทธิภาพ 

ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์ คือ

  • เห็นผลไว ฝ้ากระจางลงเร็ว
  • ไม่ต้องพักฟื้นนาน
  • มีประสิทธิภาพสูง
  • สามารถรักษาฝ้าได้หลายชนิด
  • กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน

 

ข้อเสียของการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์ คือ

  • อาจมีอาการแสบร้อน บวมแดง หรือแสบผิวหลังทำ
  • ผิวอาจไวต่อแสงแดด
  • ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
  • จำเป็นต้องมีการดูแลหลังทำอย่างเคร่งครัด
  • ราคาค่อนข้างสูง

 

โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลประมาณ 1 - 2 สัปดาห์หลังทำ และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 1 - 2 เดือน อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ชนิดของฝ้า และการดูแลหลังทำ

 

รักษาฝ้าด้วยการใช้ครีมกันแดดสม่ำเสมอช่วยเรื่องอะไรบ้าง

การใช้ครีมกันแดดสม่ำเสมอเป็นวิธีง่าย ๆ แต่ได้ผลดีในการป้องกันฝ้า และช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์

การใช้ครีมกันแดดสม่ำเสมอ ช่วยป้องกันฝ้าได้หลายประการ ดังนี้

  • ป้องกันรังสียูวี รังสียูวีจากแสงแดดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้า  โดยเฉพาะรังสียูวีบี  ครีมกันแดดจะช่วยดูดซับ หรือสะท้อนรังสียูวี ไม่ให้รังสียูวีแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนัง กระตุ้นให้เซลล์เม็ดสีสร้างเมลานินมากขึ้น เป็นสาเหตุของฝ้า
  • ลดเลือนฝ้าการใช้ครีมกันแดดสม่ำเสมอ ช่วยลดการกระตุ้นเซลล์เม็ดสี ทำให้ฝ้าจางลง เห็นผลชัดเจนในระยะยาว
  • ป้องกันฝ้ากระจายการใช้ครีมกันแดด ช่วยป้องกันไม่ให้ฝ้ากระจายหรือเกิดฝ้าใหม่
  • ป้องกันมะเร็งผิวหนังรังสียูวีเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนัง  การใช้ครีมกันแดด  ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้
  • บำรุงผิวครีมกันแดดบางชนิด มีส่วนผสมของสารบำรุงผิว ช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้น เรียบเนียน และกระจ่างใส

 

วิธีการใช้ครีมกันแดด คือ

  • ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และค่า PA +++
  • ทาครีมกันแดดก่อนออกแดด 15-20 นาที
  • ทาครีมกันแดดให้ทั่วใบหน้า ลำคอ และบริเวณที่สัมผัสแสงแดด
  • ทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง หรือหลังว่ายน้ำ หรือหลังออกเหงื่อ
  • เลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิว

 

ครีมทาฝ้า และวิธีการรักษาฝ้าที่มีความปลอดภัย

จากข้อมูลครีมทาฝ้าแบบต่าง ๆ ที่กล่าวไปแล้ว ไม่สามารถบ่งบอกได้โดยตรงว่าแบบไหนเป็นครีมทาฝ้าที่ดีที่สุด เพราะการรักษาฝ้า  กระ จุดด่างดำ มีปัจจัยที่หลากหลาย เช่น ชนิดของฝ้า จึงต้องอาศัยเวลาและความอดทน หากต้องการครีมทาฝ้าที่ใช้แล้วหายจริงควรต้องเริ่มจากการปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม และนอกจากวิธีการใช้ครีมทาฝ้าแล้วปัจจุบันยังมีนวัตกรรมการรักษาฝ้าที่ปลอดภัยอีกมากมาย เช่น การทำเมโส การกรอผิว การทำเลเซอร์ เป็นต้น

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา