ครีมทาฝ้าแบบไหนเป็นครีมทาฝ้าที่ใช้แล้วหายจริง
ฝ้า กระ และจุดด่างดำ เป็นปัญหาผิวพรรณที่พบได้บ่อยในคนไทยทำให้ส่งผลต่อความสวยความงาม ทำให้มีความมั่นใจในภาพลักษณ์น้อยลง ครีมทาฝ้ามีจำหน่ายหลากหลายยี่ห้อ หลายราคา สูตรที่เหมาะกับสภาพผิวที่แตกต่างกัน ควรจะเลือกซื้อครีมทาหน้าลดฝ้า กระ แบบไหนให้เหมาะสมกับความต้องการ และครีมทาฝ้าที่เห็นผลจริงมีหรือไม่ บทความนี้นำวิธีการเลือกใช้ครีมทาฝ้าให้ปลอดภัยมาฝาก
วิธีการเลือกใช้ครีมทาฝ้าให้ปลอดภัย
เทคโนโลยีด้านเวชสำอางค์ถูกคิดค้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีการค้นพบสารออกฤทธิ์ใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า ทำให้ครีมทาฝ้าในปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ปลอดภัยต่อผิว และมีรูปแบบที่หลากหลาย ครีมทาฝ้ามีหน้าที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น ควรจะเลือกครีมทาหน้าลดฝ้า กระ สูตรไหนจึงจะเหมาะสมกับสภาพผิว มาดูข้อมูลกัน
ครีมทาฝ้าแบบไม่มีปรอท ทำให้ผิวขาวเร่งด่วนจริงไหม
ครีมทาฝ้า กระแบบไม่มีปรอท ไม่สามารถทำให้ผิวขาวขึ้นโดยตรง ซึ่งหน้าที่หลักคือช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น แต่ครีมทาฝ้าแบบไม่มีปรอท มีความปลอดภัยต่อผิวมากและมีข้อดีหลายประการดังนี้
- ครีมทาฝ้ามีความปลอดภัยต่อผิวเพราะปราศจากสารปรอทซึ่งเป็นสารเคมีอันตรายสะสมในร่างกายส่งผลต่อระบบประสาท ไต และสารก่อมะเร็ง
- สามารถลดเลือนฝ้า ครีมทาฝ้าแบบไม่มีปรอทมีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใสขึ้น จึงทำให้ครีมทาฝ้าแบบไม่มีปรอทได้ชื่อว่าเป็นครีมทาฝ้าหน้าขาวใส
- มีความเหมาะสมกับผิวแพ้ง่าย ครีมทาฝ้าแบบไม่มีปรอท มีสารที่อ่อนโยนต่อผิวระคายเคืองน้อยเหมาะกับผิวแพ้ง่าย
- มีประสิทธิภาพ ครีมทาฝ้าแบบไม่มีปรอท มีหลายยี่ห้อ หลายสูตร ที่มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ เมื่อใช้เป็นประจำ
- หาซื้อง่าย ครีมทาฝ้า กระแบบไม่มีปรอท หาซื้อได้ทั่วไปตามร้านขายยา ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า และช่องทางออนไลน์
ครีมทาฝ้าแบบไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ดีอย่างไร
ครีมทาแก้ฝ้าสูตรไฮโดรควิโนน เป็นสารเคมีที่ใช้ในครีมทาฝ้า มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ โดยออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ซึ่งเป็นสาเหตุของฝ้ามีกลไกการออกฤทธิ์โดยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) เอนไซม์นี้ทำหน้าที่เปลี่ยนกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) กลายเป็นเม็ดสีเมลานิน ไฮโดรควิโนนจะยับยั้งการทำงานของเอนไซม์นี้ ส่งผลให้มีการสร้างเม็ดสีเมลานินน้อยลง ข้อดีของครีมทาฝ้าแบบไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) คือ
- มีประสิทธิภาพแบบเห็นผลลัพธ์ชัดเจนภายใน 4 - 6 สัปดาห์ เนื่องจากไฮโดรควิโนนเป็นหนึ่งในสารทาฝ้าที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
- ครีมทาฝ้าราคาไม่แพง
อย่างไรก็ตามเมื่อครีมทาฝ้าแบบไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) มีประสิทธิภาพสูงและเมื่อใช้แล้วเห็นผลลัพธ์เร็วก็อาจมีข้อเสีย คือ ใช้แล้วอาจมีความระคายเคืองผิว เพราะไฮโดรควิโนนอาจทำให้ผิวแห้ง แดง คัน แสบร้อน โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ ให้นมบุตร และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ไฮโดรควิโนนอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ และเด็กเล็ก และทำให้ผิวไวต่อแสงแดด ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 ขึ้นไป สวมหมวก กางร่ม และสวมเสื้อผ้ามิดชิดเมื่อออกแดด
อาจเลือกสูตรที่ผสมสารกันแดดอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี
ครีมทาแก้ฝ้าสูตรผสมสารกันแดดเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการรักษาฝ้าเพราะช่วยทั้งลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำ และปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของฝ้า มีข้อดีคือ หาซื้อสะดวกและมีประสิทธิภาพครบจบในหนึ่งเดียวโดยไม่ต้องทาครีมกันแดดแยกต่างหาก มีประสิทธิภาพปกป้องผิวจากแสงแดดช่วยป้องกันฝ้าใหม่เกิดขึ้นและช่วยให้ฝ้าจางลงเร็วขึ้น แต่ครีมทากันฝ้าอาจมีสารที่ระคายเคืองผิว โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย อาจเกิดอาการผิวแห้ง แดง คัน แสบร้อน
ครีมทาฝ้าสูตรที่มีความปลอดภัยสังเกตได้จากอะไร
ครีมทาฝ้า กระสูตรปลอดภัย มีหลายสูตรซึ่งอาจสังเกตจากส่วนผสมหลักที่นิยมใช้ในครีมทาฝ้า ได้แก่
- กรดอะเซลิก (Azelaic acid) ช่วยลดการสร้างเม็ดสี ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
- กรดโคจิก (Kojic acid) : ช่วยลดการสร้างเม็ดสี ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
- กรดไกลโคลิก (Glycolic acid) : ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการสร้างเม็ดสี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะสำหรับผิวที่ต้องการผลัดเซลล์ผิว
- อาบูติน (Arbutin) : ช่วยลดการสร้างเม็ดสี ปลอดภัยสำหรับผิวแพ้ง่าย
- วิตามินซี (Vitamin C) : ช่วยลดการสร้างเม็ดสี กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ต้านอนุมูลอิสระ เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว
ครีมทาแก้ฝ้าสูตรปลอดภัย ควรมีส่วนผสมดังต่อไปนี้
- ปราศจากสารเคมีอันตราย: เช่น ปรอท ไฮโดรควินิน สเตียรอยด์ผ่านการทดสอบการแพ้: เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
- มี อย. : รับรองความปลอดภัยจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
วิธีเลือกครีมทากันฝ้าสูตรปลอดภัย
- เลือกครีมทาฝ้าที่มีส่วนผสมที่เหมาะกับสภาพผิว
- เลือกครีมทาฝ้าที่มี อย.
- เลือกครีมทาฝ้ายี่ห้อที่เชื่อถือได้
- ทดสอบครีมทาฝ้าก่อนใช้จริง
- ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร ก่อนใช้ครีมทาฝ้า
ครีมทากันฝ้าสูตรปลอดภัย สามารถช่วยลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส เรียบเนียน แต่ควรใช้ครีมทาฝ้าอย่างสม่ำเสมอควบคู่กับการป้องกันแสงแดดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
วิธีรักษาฝ้า นอกจากการใช้ครีมทาฝ้ามีอะไรบ้าง
ปัจจุบันปัญหาฝ้าเป็นปัญหาที่มักเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า มีสาเหตุหลักจากรังสียูวี ฮอร์โมน และพันธุกรรมส่งผลต่อความมั่นใจในตนเองได้หลายประการ เช่น ทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส เมื่อมีฝ้าเกิดขึ้นแล้ว อาจทำให้มีความกังวล และขาดความมั่นใจ การรักษาฝ้าที่ได้รับความนิยมนอกจากวิธีการใช้ครีมทาฝ้าแล้ว ยังมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มีความปลอดภัยในการรักษาฝ้ามาฝาก
รักษาฝ้าด้วยการทำเมโสดีกว่าการทาครีมทาฝ้าอย่างไร
การทำเมโสรักษาฝ้าเป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นการฉีดสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และยาบางชนิดเข้าสู่ชั้นผิวหนังโดยตรง ตัวยาจะซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยลดการทำงานของเซลล์เม็ดสี ทำให้ฝ้ากระจางลง เห็นผลไวกว่าการทาครีมรักษาฝ้าลึก
ข้อดีของการทำเมโสรักษาฝ้ามีดังนี้
- เห็นผลไวกว่าการใช้ครีมทาฝ้า
- สามารถรักษาฝ้าได้อย่างตรงจุด
- ช่วยให้ผิวหน้าขาวใส เรียบเนียน
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวหน้าเต่งตึง
- ลดริ้วรอย
- รูขุมขนกระชับ
ผลลัพธ์ของการรักษาฝ้าด้วยการทำเมโสจะเริ่มเห็นผลประมาณ 1 - 2 สัปดาห์หลังฉีด และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 1 - 2 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ชนิดของฝ้า และการดูแลหลังทำ แต่ข้อเสียบางประการคือ อาจมีอาการปวดแสบ บวมแดง หรือเขียวช้ำหลังฉีด อาจมีผลข้างเคียง เช่น การติดเชื้อ อาการแพ้ยา ดังนั้นก่อนตัดสินใจทำเมโสรักษาฝ้าควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังก่อน
รักษาฝ้าด้วยการกรอผิวดีอย่างไร
การรักษาฝ้าด้วยการกรอผิว หรือที่เรียกว่า การผลัดเซลล์ผิว เป็นวิธีการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่เสื่อมโทรมและเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป กระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส ฝ้ากระจางลง รอยแผลเป็นดูตื้นขึ้น และริ้วรอยดูจางลง เป็นวิธีหนึ่งที่สามารถรักษาฝ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเห็นผลเร็วว่าการใช้ยาทาฝ้า ซึ่งโดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลประมาณ 1 - 2 สัปดาห์หลังทำ และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 1 - 2 เดือน
วิธีการกรอผิวรักษาฝ้ามีหลายวิธี แต่ที่นิยมใช้กันทั่วไป ได้แก่
- การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี การกรอผิวด้วยเครื่องมือ (Dermabrasion) เป็นการใช้เครื่องมือขัดผิว ช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ลึกกว่าการกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี
- การกรอผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peel)
- การกรอผิวด้วยเลเซอร์ (Laser Resurfacing)
ข้อควรระวังสำหรับการรักษาฝ้าด้วยการกรอผิว คือ ไม่ควรทำการกรอผิวในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคเลือด หรือกำลังตั้งครรภ์
รักษาฝ้าด้วยการทำเลเซอร์ เหตุใดจึงได้รับความนิยมสูง
การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์เป็นวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม เป็นการใช้พลังงานแสงเลเซอร์ยิงไปที่ผิว ช่วยทำลายเซลล์เม็ดสีที่ผิดปกติ ทำให้ฝ้ากระจางลง เห็นผลไว และมีประสิทธิภาพ
ข้อดีของการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์ คือ
- เห็นผลไว ฝ้ากระจางลงเร็ว
- ไม่ต้องพักฟื้นนาน
- มีประสิทธิภาพสูง
- สามารถรักษาฝ้าได้หลายชนิด
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน
ข้อเสียของการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์ คือ
- อาจมีอาการแสบร้อน บวมแดง หรือแสบผิวหลังทำ
- ผิวอาจไวต่อแสงแดด
- ผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
- จำเป็นต้องมีการดูแลหลังทำอย่างเคร่งครัด
- ราคาค่อนข้างสูง
โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลประมาณ 1 - 2 สัปดาห์หลังทำ และจะเห็นผลเต็มที่ประมาณ 1 - 2 เดือน อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ชนิดของฝ้า และการดูแลหลังทำ
รักษาฝ้าด้วยการใช้ครีมกันแดดสม่ำเสมอช่วยเรื่องอะไรบ้าง
การใช้ครีมกันแดดสม่ำเสมอเป็นวิธีง่าย ๆ แต่ได้ผลดีในการป้องกันฝ้า และช่วยให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์
การใช้ครีมกันแดดสม่ำเสมอ ช่วยป้องกันฝ้าได้หลายประการ ดังนี้
- ป้องกันรังสียูวี รังสียูวีจากแสงแดดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้า โดยเฉพาะรังสียูวีบี ครีมกันแดดจะช่วยดูดซับ หรือสะท้อนรังสียูวี ไม่ให้รังสียูวีแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนัง กระตุ้นให้เซลล์เม็ดสีสร้างเมลานินมากขึ้น เป็นสาเหตุของฝ้า
- ลดเลือนฝ้าการใช้ครีมกันแดดสม่ำเสมอ ช่วยลดการกระตุ้นเซลล์เม็ดสี ทำให้ฝ้าจางลง เห็นผลชัดเจนในระยะยาว
- ป้องกันฝ้ากระจายการใช้ครีมกันแดด ช่วยป้องกันไม่ให้ฝ้ากระจายหรือเกิดฝ้าใหม่
- ป้องกันมะเร็งผิวหนังรังสียูวีเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนัง การใช้ครีมกันแดด ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนังได้
- บำรุงผิวครีมกันแดดบางชนิด มีส่วนผสมของสารบำรุงผิว ช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้น เรียบเนียน และกระจ่างใส
วิธีการใช้ครีมกันแดด คือ
- ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และค่า PA +++
- ทาครีมกันแดดก่อนออกแดด 15-20 นาที
- ทาครีมกันแดดให้ทั่วใบหน้า ลำคอ และบริเวณที่สัมผัสแสงแดด
- ทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง หรือหลังว่ายน้ำ หรือหลังออกเหงื่อ
- เลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิว
ครีมทาฝ้า และวิธีการรักษาฝ้าที่มีความปลอดภัย
จากข้อมูลครีมทาฝ้าแบบต่าง ๆ ที่กล่าวไปแล้ว ไม่สามารถบ่งบอกได้โดยตรงว่าแบบไหนเป็นครีมทาฝ้าที่ดีที่สุด เพราะการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ มีปัจจัยที่หลากหลาย เช่น ชนิดของฝ้า จึงต้องอาศัยเวลาและความอดทน หากต้องการครีมทาฝ้าที่ใช้แล้วหายจริงควรต้องเริ่มจากการปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม และนอกจากวิธีการใช้ครีมทาฝ้าแล้วปัจจุบันยังมีนวัตกรรมการรักษาฝ้าที่ปลอดภัยอีกมากมาย เช่น การทำเมโส การกรอผิว การทำเลเซอร์ เป็นต้น
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้