วิธีเก็บรักษาผักและผลไม้ให้สดได้นานขึ้น ตามคำแนะนำจากเกษตรกรและนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหาร

วิธีเก็บรักษาผักและผลไม้ให้สดได้นานขึ้น ตามคำแนะนำจากเกษตรกรและนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหาร

"ยอดรวมของคุณคือ... อะไรนะ!?" หากคุณออกจากร้านขายของชำด้วยความไม่เชื่ออยู่เสมอว่าคุณเพิ่งจ่ายเงินไปเท่าไหร่กับของใช้จำเป็นรายสัปดาห์ มันอาจจะเจ็บปวดยิ่งกว่าเมื่อคุณเห็นราขึ้นบนสตรอว์เบอร์รีออร์แกนิกของคุณ หรือผักโขมของคุณเหี่ยวเฉาก่อนที่คุณจะมีโอกาสได้ใช้มัน และกล้วยของคุณเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาลข้ามคืนได้อย่างไร?

แม้ว่าจะไม่มีผลิตผลใดคงอยู่ตลอดไป แต่คุณสามารถฉลาดในการจัดเก็บเพื่อยืดอายุของผักและผลไม้เหล่านั้นได้ (และประหยัดการวิ่งไปซื้อของกลางสัปดาห์) เราได้ขอคำแนะนำจากเกษตรกร พร้อมด้วยนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารหลายคน เกี่ยวกับวิธีใช้ประโยชน์สูงสุดจากผลิตผลอันมีค่าของคุณ

เลือกซื้ออย่างชาญฉลาด

คุณอาจจะทำแบบนี้อยู่แล้ว แต่การย้ำเตือนก็ไม่เสียหาย ขั้นตอนแรกในการทำให้แน่ใจว่าผักและผลไม้ของคุณจะอยู่ได้นานคือการเลือกผลิตผลที่ดี Joy Dubost นักโภชนาการ นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหาร และผู้ก่อตั้ง NJOY Health & Nutrition กล่าวกับ Yahoo Life นั่นหมายถึงการตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีรอยช้ำ จุดอ่อน หรือรอยเหี่ยวเฉาที่เห็นได้ชัดเจน มิฉะนั้น คุณจะเริ่มต้นอย่างผิดวิธี

โปรดทราบว่าหากคุณใช้บริการจัดส่งของชำ คุณกำลังมอบภาระหน้าที่สำคัญนี้ให้กับผู้อื่น นอกจากนี้ หากผลิตผลของคุณนำเข้า (และส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น) ก็เป็นเวลานานพอสมควรแล้วนับตั้งแต่การเก็บเกี่ยว หากคุณสามารถซื้อในประเทศหรือแม้กระทั่งจากเกษตรกรในท้องถิ่น คุณมักจะได้รับอายุการเก็บรักษาผักและผลไม้ที่ยาวนานกว่าการขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ

เก็บหลักการทางวิทยาศาสตร์อาหารเล็กน้อยไว้เบื้องหลัง

ผลไม้บางชนิด เช่น กล้วย แอปเปิล และมะเขือเทศ ปล่อยก๊าซเอทิลีน Lisa R. Young ศาสตราจารย์สมทบด้านโภชนาการแห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก กล่าวกับ Yahoo Life "ก๊าซนี้เร่งการสุก" เธอกล่าว เป็นผลให้ Young กล่าวว่าสิ่งสำคัญคือต้องเก็บผลไม้เหล่านี้แยกกัน นั่นหมายความว่าคุณไม่ควรใส่กล้วยและแอปเปิลไว้ด้วยกันในชามผลไม้

คุณยังต้องเก็บผลไม้ที่ปล่อยก๊าซเหล่านี้ให้ห่างจาก "ผักที่ไวต่อก๊าซ" เช่น ผักใบเขียว แครอท และแตงกวา Nicole Avena นักวิจัยด้านโภชนาการและผู้เขียนหนังสือ Sugarless: A 7-Step Plan to Uncover Hidden Sugars, Curb Your Craving, and Conquer Your Addiction กล่าวกับ Yahoo Life มิฉะนั้น ผักเหล่านั้นก็จะสุกเร็วเช่นกัน

ทราบเงื่อนไขการจัดเก็บล่วงหน้า

คุณอาจมีแนวคิดที่ชัดเจนอยู่แล้วว่าคุณวางแผนที่จะเก็บผลิตผลของคุณไว้ที่ไหนก่อนที่คุณจะมุ่งหน้าไปยังร้านค้าหรือตลาดเกษตรกร และสิ่งสำคัญคือต้องใส่ใจในเรื่องต่างๆ เช่น การไหลเวียนของอากาศและภาชนะจัดเก็บที่คุณวางแผนจะใช้ Michael Robinov ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Farm to People กล่าวกับ Yahoo Life

การไหลเวียนของอากาศมีความสำคัญ ตามที่ Avena กล่าว "ผลิตผลที่เก็บไว้ในถุงที่ระบายอากาศได้ดี หรือมีการไหลเวียนของอากาศ เช่น ถุงตาข่ายหรือกระดาษ มักจะอยู่ได้นานกว่า" หากผักและผลไม้ของคุณมาในถุง ให้พิจารณาเปิดถุงและปล่อยให้พวกมันหายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาหารที่มีก๊าซเอทิลีนสูง เช่น แอปเปิลหรือกล้วย

ผลิตผลส่วนใหญ่จะดีในสภาพแห้งเช่นกัน ดังนั้น ในขณะที่ภาพตู้เย็นที่จัดเรียงอย่างสวยงามทั่ว TikTok ดูดี การจัดเรียงหน่อไม้ฝรั่งของคุณอย่างประณีตในเหยือกน้ำจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีหากเป้าหมายของคุณคืออายุการเก็บรักษาที่ยาวนาน "ความชื้นที่มากเกินไปมักนำไปสู่เชื้อราหรือการเน่าเสีย" Avena กล่าว

ปรับการจัดเก็บให้เข้ากับผลิตผลของคุณ

"การจัดเก็บที่เหมาะสมจะสร้างความแตกต่างอย่างมากในระยะเวลาที่ผลิตผลของคุณจะอยู่ได้นาน" Robinov กล่าว แต่สิ่งที่เหมาะกับผลิตผลประเภทหนึ่งอาจไม่เหมาะกับอีกประเภทหนึ่ง และไม่ใช่ทุกอย่างจะดีในตู้เย็น

ด้วยเหตุนี้ นี่คือรายละเอียดของวิธีที่ดีที่สุดในการจัดเก็บผักและผลไม้ที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งมีแนวโน้มที่จะอยู่ในครัวของคุณ

ผลไม้รสเปรี้ยว

"ผลไม้รสเปรี้ยวสามารถเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้องได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ และสามารถนำไปแช่ตู้เย็นหลังจากนั้นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษาได้" Dubost กล่าว "ส้มและเกรปฟรุตไม่ไวต่อก๊าซเอทิลีน ดังนั้นควรเก็บแยกจากผลไม้ที่ผลิตก๊าซเอทิลีน เช่น มะนาวเหลืองหรือมะนาวเขียว" เพียงแต่คุณมีเวลาพอสมควรกับผลไม้เหล่านี้ "ฉันเคยมีส้มและเกรปฟรุตอยู่ในตู้เย็นเป็นเวลาสามถึงสี่สัปดาห์" Robinov กล่าว "พวกมันสามารถอยู่ได้นาน ซึ่งทำให้ฉันประหลาดใจเสมอ"

แอปเปิล

คุณสามารถใส่แอปเปิลในตู้เย็นในถุงพลาสติกหรือกล่องสุญญากาศได้ Dubost กล่าว (วิธีนี้ช่วยป้องกันไม่ให้ก๊าซของแอปเปิลเร่งการสุกของผลไม้และผักอื่นๆ) แม้ว่าในทางเทคนิคแล้วคุณจะสามารถวางแอปเปิลไว้บนเคาน์เตอร์ได้ แต่มันจะไม่อยู่ได้นานเท่ากับการแช่ตู้เย็น Robinov กล่าว

พีชและลูกแพร์

ผลไม้ที่ผลิตก๊าซเอทิลีนเหล่านี้มีแผนการจัดเก็บสองขั้นตอน "ซื้อลูกแพร์และพีชที่ยังไม่สุก และเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง" Dubost กล่าว "เมื่อสุกแล้ว ให้เก็บไว้ในตู้เย็น แต่แยกจากผลิตผลที่ไวต่อก๊าซเอทิลีน"

เบอร์รี

ผลไม้เหล่านี้ยอมรับว่าเป็นผลไม้ที่บอบบาง แต่คุณยังสามารถยืดอายุการเก็บรักษาได้อีกเล็กน้อย "อย่าล้างจนกว่าคุณจะพร้อมรับประทาน" Robinov กล่าว (เป็นปัญหาเรื่องความชื้นและการเน่าเสีย) "สำคัญมากที่จะไม่เก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท" เขากล่าวต่อ มิฉะนั้น ความชื้นที่มีอยู่ในเบอร์รีตามธรรมชาติจะซึมออกมาและทำให้เบอร์รีเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว

ควรเก็บเบอร์รีไว้ในตู้เย็น Robinov กล่าว "เป็นความคิดที่ดีที่จะมีกระดาษทิชชูรองไว้ข้างใต้เพื่อดูดซับความชื้นเมื่ออยู่ในตู้เย็น" เขากล่าว "คุณยังต้องแน่ใจว่าพวกมันระบายอากาศได้ดี แต่พวกมันจะมีความสุขมากในสภาพแวดล้อมที่เย็น" ชาม ถาดใส่ผักและผลไม้ หรือกล่องพลาสติกแบบมีบานพับพร้อมช่องระบายอากาศน่าจะใช้ได้ดี ตราบใดที่มีกระดาษทิชชูรองอยู่ด้านล่าง

กล้วย

กล้วยจะอยู่ได้ดีที่อุณหภูมิห้อง ห่างจากผลไม้อื่นๆ Avena กล่าว "เพื่อชะลอการสุก ให้ห่อขั้วด้วยพลาสติกแรป" เธอกล่าว (บางครั้งคุณจะเห็นวิธีนี้กับกล้วยในร้านขายของชำด้วย) Robinov ยังแนะนำให้เก็บกล้วยของคุณให้พ้นจากแสงแดด

ผักกาดหอมและผักใบเขียวอื่นๆ

ผักเหล่านี้ควรเก็บไว้ในตู้เย็น แต่หากผักใบเขียวของคุณมาในถุงหรือภาชนะสุญญากาศ ความชื้นตามธรรมชาติของพวกมันจะทำให้เสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว Robinov กล่าว

เขาแนะนำให้นำออกจากถุงหรือภาชนะ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าบรรจุภัณฑ์แบบฝาพับมีช่องระบายอากาศ แต่ Robinov ยังกล่าวอีกว่าคุณไม่ต้องการให้ใบผักสัมผัสกับตู้เย็นโดยตรง เพราะอาจทำให้แห้งได้ "มันเป็นความสมดุลที่ละเอียดอ่อน" เขากล่าว "เก็บไว้ในภาชนะที่ปูกระดาษทิชชูเพื่อดูดซับความชื้น" Avena กล่าว เช่นเดียวกับเบอร์รี คุณไม่ควรล้างผักเหล่านี้จนกว่าคุณจะพร้อมรับประทาน เธอกล่าว

มันฝรั่ง หัวหอม และกระเทียม

แม้ว่าผักเหล่านี้จะอยู่ได้ดีในที่เย็นและมืด แต่จริงๆ แล้วควรเก็บไว้นอกตู้เย็นจะดีกว่า Young กล่าว "อุณหภูมิที่เย็นสามารถเปลี่ยนแปลงรสชาติหรือเนื้อสัมผัส และอาจทำให้งอกได้" เธอกล่าว เธอแนะนำให้หาที่เย็นๆ ในตู้กับข้าวหรือตู้เก็บของแทน

มะเขือเทศ

Robinov แนะนำให้เก็บมะเขือเทศไว้บนเคาน์เตอร์และรับประทานให้เร็วที่สุด "พวกมันจะอยู่บนเคาน์เตอร์ได้ไม่นานนัก แต่รสชาติจะดีกว่ามาก" เขากล่าว แต่ Robinov ชี้ให้เห็นว่าเมื่อเก็บไว้ในตู้เย็น พวกมันจะกลายเป็นเนื้อทรายและจืดชืดในไม่ช้า ดังนั้น วางแผนที่จะรับประทานมะเขือเทศของคุณเร็วๆ นี้หลังจากที่คุณซื้อมา

สควอช

โดยปกติแล้ว สควอชสามารถเก็บไว้ในที่เย็นและมืด เช่นเดียวกับมันฝรั่ง หัวหอม และกระเทียม Robinov กล่าว "หากคุณหาที่เย็นและมืดในครัวไม่ได้ การเก็บไว้ในช่องเก็บผักในตู้เย็นจะดีกว่า" เขากล่าว อย่างไรก็ตาม ซูกินี (และแตงกวา) ควรเก็บไว้ในตู้เย็น

กะหล่ำปลี บรอกโคลี และกะหล่ำดอก

Dubost แนะนำให้เก็บหัวผักเหล่านี้ที่ยังไม่ได้หั่นไว้ในตู้เย็นโดยไม่ต้องใส่ถุงหรือภาชนะ "แต่หัวที่หั่นแล้วควรเก็บไว้ในภาชนะหรือถุงที่ปิดสนิท" เธอกล่าว "ผักเหล่านี้ไวต่อก๊าซเอทิลีน ดังนั้นควรเก็บให้ห่างจากผักและผลไม้ที่ผลิตก๊าซเอทิลีน เช่น หัวหอมและแอปเปิล" บรอกโคลีและกะหล่ำดอกสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นานถึงสองสัปดาห์ ในขณะที่กะหล่ำปลีสามารถเก็บได้นานถึงสามสัปดาห์ Dubost กล่าวเสริม

อะโวคาโด

ความแน่นของเนื้อสำคัญ "หากคุณวางแผนที่จะทานอะโวคาโดในวันรุ่งขึ้นหรืออีกสองวัน ให้เลือกอะโวคาโดที่นิ่มแล้ว" Dubost กล่าว "หากคุณวางแผนที่จะทานในอีกไม่กี่วัน ให้เลือกอะโวคาโดที่แข็ง และเก็บไว้ในถุงกระดาษที่อุณหภูมิห้อง เมื่อสุกแล้ว ให้เก็บไว้ในตู้เย็น"

คุณยังมีทางเลือกหากผลิตผลของคุณเลยช่วงเวลาที่ดีที่สุดไปแล้ว

หากผักโขมของคุณเหี่ยวเฉาจนกลายเป็นของเหลวที่ก้นภาชนะ ก็ถึงเวลาทิ้งแล้ว แต่ถ้าเบอร์รีของคุณสุกเกินไป หรือกล้วยของคุณเริ่มเป็นสีน้ำตาล Robinov แนะนำให้แช่แข็ง

"ก่อนที่มันจะเสีย แต่เมื่อมันเริ่มถึงจุดที่ใกล้จะหมดอายุ ให้แช่แข็ง" เขากล่าว "ผู้คนมักจะลืมไปว่าพวกเขาสามารถใช้ผลิตผลแช่แข็งในสมูทตี้และขนมอบได้ มันถูกใช้น้อยเกินไปจริงๆ"

สำหรับสิ่งต่างๆ เช่น มะเขือเทศหรือแครอท เขาแนะนำให้นำไปทำซอสหรือใช้ในซุป ผลไม้รสเปรี้ยวก็สามารถนำไปคั้นน้ำได้เช่นกัน Robinov กล่าว คุณไม่จำเป็นต้องทิ้งผลิตผลเสมอไปเมื่อมันเลยช่วงเวลาที่ดีที่สุดไปแล้ว

"มันเป็นความรู้สึกที่น่าหงุดหงิดที่ต้องทิ้งอาหารที่น่าจะอร่อยได้" Robinov กล่าว "สิ่งสำคัญคือต้องคิดเสมอว่าคุณจะยืดอายุของผลิตผลของคุณได้อย่างไร และการจัดเก็บที่เหมาะสมก็เป็นส่วนสำคัญของเรื่องนั้น"

สาระความรู้จาก

https://www.yahoo.com/lifestyle/how-to-keep-your-fruits-and-vegetables-fresh-for-longer-according-to-a-farmer-and-food-scientists-100022324.html