i'm not&you don't [Yaoi NC18+] END หนังสือถามได้คะ

9.2

เขียนโดย Pierre

วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 02.28 น.

  49 chapter
  69 วิจารณ์
  251.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559 22.56 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

47) 32 - Two families

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

็32 - Two families

 

หลับเป็นตาย

 

ผมว่าผมเข้าใจคำนี้แล้วล่ะ แต่ไม่ใช่จากตัวผมเองนะ

 

จากไอ้พวกรุ่นพี่ปี3ต่างหาก...

 

“เอ่อ...พี่แซค ผมว่าพี่ไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีมั้ย?”

“ทำไมวะ?” ลุงรหัสผมถามขณะที่รถทัวร์ปรับอากาศตามธรรมชาติแล่นเข้ามาจอดหน้าคณะเป็นคันแรก

“อุ๊บ...ฮ่าๆๆๆ คือ...ฮ่าๆๆๆ”

“จะขำอีกนานมั้ยไอ้แกนไอ้ทัชไอ้แทน” งะ เสียงเข้มเลย

“อ่ะ ครับๆ ไม่ขำแล้ว...คือพี่แซคจะได้สดชื่นไงครับ” ไอ้ทัชตอบพลางกลั้นขำ “เอ้อ พี่เติ้ลกับพี่โอด้วยนะครับ”

 

ซึ่งพวกรุ่นพี่ปี3นี้ก็ได้แต่ทำหน้างง มึนๆเบลอๆเนื่องจากเพิ่งตื่นนอนหลังจากที่หลับมาตลอดทาง แล้วสาเหตุที่พวกผมบอกให้พวกลุงๆแกไปล้างหน้านั่นก็เพราะ...

 

“เชี่ยยยยยยยยยย!! หมาตัวไหนมันบังอาจมาทำร้ายหนังหน้าสุดหล่อของกูวววววววววววว!!!”

 

โอยยยย แหกปากลั่นรถเลยครับพี่เติ้ล

 

“อย่าให้กูรู้นะว่าใคร! กูจะสั่งซ่อมแม่งทั้งรุ่นตัดสายรหัสตัดเกียร์แม่ม!”

 

ก็อย่างที่ได้ยิน ปากกาเคมีซึ่งปกติไว้เขียนบนไวท์บอร์ดแต่ตอนนี้มันถูกใช้งานโดยการนำมาเขียนบนใบหน้าของพวกพี่เขาทั้ง3เนี่ยแหละครับ...ถามว่าใครเป็นคนร้าย?

 

นู่นนนนนนนน คู่รักประธานค่ายหมูหนอยออยแต่เซาโน่นไง ขำคิกๆๆๆกันอยู่2คน ไอ้ที่พี่แซคขู่ว่าจะสั่งซ่อมเห็นทีคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อคนร้ายดันเป็นรุ่นพี่ซะนี่ ส่วนที่เหลือทั้งรถเมื่อได้เห็นใบหน้าอันเต็มไปด้วยศิลปะก็...ฮาแตกสิครับท่าน

 

แล้วปี3อีกคนละ? ไม่โดนรึไง?

 

ตอบ ไม่โดนครับ เพราะมันนั่งหน้าหล่ออยู่ข้างผมนี่ไง กวนใจผมมาตลอดทาง คนจะหลับก็ไม่ได้หลับ (ซึ่งนับว่าเป็นข้อดี) แถมมีส่วนรู้เห็นกับขบวนการละเลงศิลปะบนใบหน้าในครั้งนี้อีกด้วย

 

เอาละครับ เมื่อไปล้างหน้าล้างตากันเรียบร้อยแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน

 

“เจอกันเปิดเทอมเว้ยยยยยยยย”

 

มีเวลาพักประมาณ1สัปดาห์ก่อนที่จะกลับเข้ามาสู่วงเวียนชีวิตอีกครั้ง

 

ผมสะพายกระเป๋าเดินตรงไปยังหน้าประตูทันทีที่ร่ำลากับเพื่อนๆพี่ๆในค่ายจนเกือบครบทุกคน ผมคงไม่กลับหอ ตอนนี้อยากเจอหน้าสุดสวยมากกว่า เลยเดินออกมาคนเดียว ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง กลับถึงบ้านคงขอนอนหลับยาวๆ

 

“จะไปไหน?”

 

ทำไมกูหนีไม่พ้นมันสักทีวะ? ว่าแอบหลบๆออกมาแล้วนะ...

 

“กลับบ้านสิวะ”

“งั้นกูกลับด้วย”

 

ห๊ะ?

 

เอ่อ...ไอ้เหี้ยพอสมันคงเข้าใจผิด คิดว่าผมจะกลับไปนอนหอสินะ

 

“กูจะบ้าน ไม่ได้กลับหอ” ผมหันไปบอกมันอย่างเซ็งๆ

“นั่นแหละ ก็บ้านมึงไง”

 

เชี่ยนี่พูดไม่รู้เรื่องรึไงวะ!?

 

“บ้านมึงไม่มีให้นอนเหรอไง?”

“มี แต่ไปบ้านมึงก่อนแล้วค่อยไปบ้านกู”

“ตลกละสัด” ผมด่ามัน แต่มันกลับยิ้มหน้าระรื่น หมั่นไส้จริงๆ เดี๋ยวก่อนเถอะมึง ใช่ว่ากูคุยด้วยแล้วกูจะลืมเรื่องงานหมั้นนะ

“ก็ไม่ได้ให้ขำ กูพูดจริงๆ กูบอกแล้วว่าจะพามึงไปเปิดตัวในฐานะ...”

“หยุด!!!!” ผมรีบเบรกมันไว้เลยครับ ก่อนที่มันจะได้พูดคำแสลงหูออกมา “พอเลยมึง นี่กูจะกลับบ้านไปอยู่กับพ่อแม่กู มึงเข้าใจมั้ย?”

 

นี่กูพูดภาษาไทยแล้วนะ อย่าให้กูต้องพูดภาษาอังกฤษเลย เพราะกูพูดไม่เป็น

 

“เออน่า....ไม่เป็นไรหรอก แค่ไปสวัสดีนิดๆหน่อยเอง” มันยังคงตื้อจะขอไปด้วยให้ได้ “อีกอย่างกูสั่งกรอบรูปร้านมึงไว้”

 

สั่งกรอบรูป?

 

ผมหรี่ตาลงอย่างสงสัย

 

มันสั่งตั้งแต่เมื่อไหร่?

 

“ไปเถอะ เย็นแล้ว มึงอยากนอนไม่ใช่เหรอไง?” สุดท้ายแล้วมันก็ลากผมไปที่รถมันจนได้

 

เอาเถอะ มันไปในฐานะรุ่นพี่ คงไม่มีอะไรมั้ง...

 

 

 

โอเคผมคิดผิด....ว่ามันไม่มีอะไร....แต่แท้จริงแล้ว....มันมีเต็มๆเลยต่างหาก!!!

 

“สุดหล่อ ลงมากินข้าวได้แล้วจ้า” เสียงม๊าผม แต่...ไม่ได้เรียกผม! เรียกไอ้คนที่กำลังเดินลงบันไดนั่นมาต่างหาก แถมมันไม่ได้มีสายเลือดเกี่ยวข้องใดๆกับครอบครัวผมทั้งสิ้น!

 

ซึ่งปกติแล้ว ‘สุดหล่อ’ ม๊ามักจะใช้เรียกผม...แต่นี่มันไม่ปกติไง สุดหล่อเลยกลายเป็นคำเรียกของอีกคนที่หล่อ(จริงๆ)ไปซะได้

 

“ครับผม”

 

เดินมาหน้าระรื่นเชียวนะมึง! ไม่รู้ว่าม๊าผมเห็นดีเห็นงามอะไรในตัวมันถึงได้เอาใจมันอย่างกับลูกชายคนโตของบ้านแบบนี้

 

พอมาถึงบ้านผมก็รีบวิ่งเข้ามาสวัสดีป๊ากับม๊าแล้วรีบวิ่งขึ้นห้องนอนเพราะมันง่วงมาก แบบว่าตาจะปิดให้ได้ กะว่าทิ้งให้คนข้างหลังเคลียร์กับม๊าและป๊าเอาเอง แต่...มันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น คนที่ผมว่าโดนไล่ตะเพิดไปแล้วกลับมานอนอยู่ข้างๆ

 

ให้ตายเถอะ! สุดสวยผมยอมให้มันนอนค้างอย่างง่ายดายแถมยังหาข้าวหาปลาให้กินอีกต่างหาก

 

แล้วห้องนอนที่มันนอน...ก็ห้องผมนั่นแหละ แต่ยังดีที่มันรู้จักกาลเทศะ ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการกอดเฉยๆ ทว่าผมชักหวั่นใจ ในเมื่อเมื่อคืนมันกระซิบบอกกับผมว่า

 

‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’

 

หึ ระวังเถอะ เปรี้ยวก็ไม่ได้กิน หวานก็ไม่ได้แดก!

 

“อ้อ คุณพ่อผมถูกใจกรอบรูปแต่งงานของพี่ชายผมมากๆเลยครับ ท่านเพิ่งโทรมาบอกผมเมื่อสักครู่นี่เอง” คนที่คนก็รู้ว่าใครพูดขึ้นขณะนั่งลงบนโต๊ะกินข้าว โดยมีผมยืนตักข้าวให้มันอยู่!

 

นี่ถ้าม๊าไม่สั่งก็อย่าหวังเลยว่าผมจะตักให้น่ะ

 

และจากคำบอกเล่าของ ‘สุดหล่อ’ ทำให้ป๊าผมที่กำลังคีบไก่จ้อเข้าปากถึงกับชะงักและรอยยิ้มน้อยๆก็เผยอขึ้นก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็ว

 

“แถมยังบอกว่าจะสั่งอีก แต่คราวนี้ขอเป็นรูปแต่งงานของคุณพ่อกับคุณแม่ผมแทนน่ะครับ”

 

โว๊ยยยยยยยยยยยยยย! ป๊ากู! จะยิ้มทำไมวะนั่น!!

 

ให้ตายเหอะ ร้อยวันพันปีป๊าแทบไม่ยิ้ม แต่ดันมาเผยไต๋ให้ไอ้คุณชายบ้านหล่อรวยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับครอบครัวผมเลยสักนิด

 

ผมยื่นจานข้าวให้มัน กระแทกลงแรงๆให้รู้ว่าไม่พอใจ ซึ่งมันก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากมองผมแบบเป็นต่อ

 

เกลียดแม่งจริงๆ

 

แต่ที่เกลียดยิ่งกว่าก็คือ...ทำไมม๊ากับป๊าต้องเห็นดีเห็นงามไปกับมันด้วยฟ่ะ? แค่มันบอกว่าจะมาค้างสัก2-3คืน เพื่อที่จะช่วยผมให้ลงทะเบียนเรียนได้ถูกต้อง ไอ้ตัวผมน่ะลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท แต่ถึงยังไงก็เดี๋ยวโทรถามไอ้ทัชไอ้แทนไม่ก็เมฆเอาก็ได้ พวกมันลงเรียนไรกันผมก็ลงตามหมดนั่นแหละ

 

แต่สำหรับคนเก่งอย่างมันที่แต่ละเทอมไม่เคยได้เลี้ยงหมาเลี้ยงแมว มีแต่เลี้ยงนกเลี้ยงหมดอย่างมันก็สามารถหาข้ออ้างได้อีก

 

“ผมว่าเกรดของแกรนด์เทอมนี้ก็อยู่ในระดับพอใช้นะครับ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้าเทอม2แกรนด์ทำได้มากกว่า เพราะปี2ปี3ขึ้นไปเนี่ย ผมบอกตามตรงเลยว่าหืดขึ้นคอ ตัวผมยังแทบเอาไม่รอด” มันเริ่มแล้วครับ

 

“อ้าวแล้วทีนี้ต้องทำไงล่ะ?” ป๊าขมวดคิ้วถามทันที

 

“ต้องมีคนช่วยติวครับ ที่บ้านผมมีหนังสือไว้สำหรับอ่านวิชาเฉพาะโดยตรงและแม่นมากครับ ผมจะเอามาให้แกรนด์ แต่...”

 

“แต่อะไรเหรอจ๊ะ?” ม๊าผมถามบ้าง

 

“คือมันเยอะน่ะครับ ครึ่งหนึ่งอยู่ที่บ้าน อีกครึ่งหนึ่งอยู่ที่ห้องผมครับ” คนหวังดีทำหน้าหนักใจก่อนจะคลายสีหน้า “แต่ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมทยอยเอามาให้แกรนด์ก็ได้”

 

“หืม? งั้นเอางี้สิ เดี๋ยวม๊าจ้างพอสเป็นติวเตอร์ให้กับแกรนด์ดีมั้ย?”

 

ไม่ดีครับ!!!!!! .. ผมกำลังจะตอบออกไปแบบนั้น เพียงแต่ว่ามันยังไม่เร็วพอ

 

“ไม่ต้องจ้างหรอกครับ ผมเต็มใจ เพียงแต่ผมอยู่ปี3แล้ว ไม่ค่อยมีเวลาว่างตรงกับแกรนด์เค้าเท่าไหร่ จะว่างจริงๆก็คือเสาร์-อาทิตย์กับช่วงค่ำเลยน่ะครับ”

 

ผมว่าผมได้กลิ่นทะแม่งๆ

 

“คือมันจะสะดวกกว่ามั้ยครับถ้าให้แกรนด์ย้ายมาอยู่กับผม...”

“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!” ผมร้องขึ้นมาทันที ไอ้บ้านี่จู่ๆมันก็ขอให้ผมย้ายไปอยู่กับมันเนี่ยนะ ใช้หัวสมองหรือหัวเข่าคิดวะ

“อยู่บนโต๊ะทานข้าว ทำตัวให้ดีๆหน่อยแกรนด์” เวง โดนป๊าดุเลย แต่ช่างเถอะ ไงป๊ากับม๊าผมก็ไม่ยอมอยู่แล้ว...

“เอ่อ..ครับ...ผมเห็นว่ามันสะดวกดีน่ะครับ แต่ถ้าแกรนด์เค้าไม่สบายใจที่จะอยู่กับผม...ก็ไม่เป็นไรครับ” ทำไมมึงทำน้ำเสียงได้น่าสลดใจแบบน้านนนนนนนนนนนนน

“แกรนด์ไม่อยากเรียนเก่งขึ้นเหรอลูก? พี่พอสเค้าอุตส่าห์หวังดีขนาดนี้” ม๊าหันมาทางผม

 

อ่าว กูผิดอีก-*-

 

ไม่ได้การละ ต้องแก้ตัวบ้าง ขืนนั่งเงียบอยู่แบบนี้เข้าแผนไอ้เหี้ยพอสแน่ๆ

 

“คือผมเกรงใจพี่พอสครับ ไหนจะค่าน้ำค่าไฟค่าหอ ไหนพี่เค้าจะต้องสละเวลามาติวให้ผมอีก มันวุ่นวาย อย่าดีกว่าครับ ไปหาติวเตอร์ข้างนอกก็ได้” ป๊ากับม๊าเริ่มมีทีท่าลังเล

“แต่พวกที่สอนข้างนอก ส่วนใหญ่มัน...เอ่อ..คือยังไงดีละครับ...เพื่อนผมหรือรุ่นน้องผมที่เรียนๆกันมาบอกว่าไม่ค่อยดีเลย แบบว่าไม่มีใจจะสอน คิดจะงดสอนก็งด แถมยังสอนไม่รู้เรื่อง เสียเงินเสียเวลาเปล่าๆครับ”

“อืมมมมมมมมมม”

“ส่วนเรื่องค่าน้ำค่าไฟค่าห้องก็หารครึ่งก็ได้ครับ อีกอย่างแกรนด์เคยบ่นว่าอยู่หอคนเดียวมันเหงาน่ะครับ”

 

เชี่ยพอสสสสสสสสสสส!! กูเคยบ่นแบบนั้นเมื่อไหร่วะ!?

 

“จริงเหรอลูก อยู่คนเดียวเหงาเหรอ?”

“ไม่...”

“อืม งั้นตกลงตามนี้แหละ ย้ายไปอยู่กับพี่เค้าซะ ให้พี่เค้าติว อีกอย่างจะได้ช่วยให้พี่เค้าคุมความประพฤติลูกด้วย”

“แต่...”

“พรุ่งนี้ก็สิ้นเดือนพอดี งั้นไปทำเรื่องย้ายออกเลยแล้วกัน ไหนๆก็เสียค่ามัดจำครบ3เดือนแล้วนี่”

“เดี๋ยว...”

“ครับ ผมจะดูแลแกรนด์ให้ดีที่สุด”

 

ว๊ากกกกกกกกกกกก กูจะพ่นไฟ!! มีใครฟังความเห็นของผมบ้างมั้ยเนี่ยยยยยยยยยยยยยย

 

ผมหันไปทางคนที่ต้องเป็นติวเตอร์และต้องไปอาศัยอยู่ด้วย....

 

ยิ้มแก้มแทบแตกเลยนะมึง เดี๋ยวก่อนๆ...ชำระแค้นปีหน้าก็ยังไม่สาย!!

 

 

 

 

วันนี้มันพาผมมาที่หอครับ ไม่ใช่มาอยู่นะ แต่เป็นย้ายออกต่างหาก เห้ออออ คิดแล้วก็แค้น แต่ก็ทำไรมันไม่ได้ ในเมื่อทั้งป๊าและม๊าเห็นดีเห็นงามซะขนาดนั้น ตลอดทางผมเลยนั่งนิ่ง ไม่พูดไม่จา

 

ให้มันรู้ซะบ้างว่าผมไม่พอใจ!

 

คิดอยากจะทำไรก็ทำ บังคับคนโน้นคนนี้ให้เชื่อฟังได้ แต่ไม่ใช่ผมคนหนึ่งล่ะ

 

“เป็นอะไร?”

“...”

“โกรธเหรอ?”

 

เออ!

 

แต่ผมไม่ได้ตอบออกไปนะครับ สายตาผมมองออกไปนอกรถตลอดเวลา ผิดกับคนขับที่คอยมองผมเป็นระยะๆ

 

เมื่อมาถึงหอผมก็จัดการทำเรื่องย้ายออกตามพระประสงค์ของใครบางคน เก็บข้าวของทั้งหมดที่มีไม่มากเท่าไหร่ ยกเว้นคอมลูกรักผมที่มันบอกว่าเดี๋ยวมันให้คนที่บ้านมาเอา

 

เป็นครั้งแรกที่ผมกับมันได้มาอยู่ห้องนี้อีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้มาอยู่ก็เถอะ ไอ้เหี้ยพอสเองก็คงรู้ตัวเพราะผมเห็นมันเงียบๆไป ขณะที่ผมสำรวจห้องนี้เป็นครั้งสุดท้ายว่ามีอะไรหลงเหลือมั้ยมันก็ถามขึ้นมาเบาๆว่า

 

“มึงไปอยู่ไหนมาวะ”

“ก็หอนี่แหละ” ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไม่ตอบ

“ทำไมกูไม่เคยเจอมึง”

 

มันคงมาหาผมช่วงที่ผมไปอยู่กับไอ้ทัชสินะ

 

“ช่วงแรกๆกูไปอยู่กับเพื่อนที่อื่น”

“ใคร?”

“เพื่อนสมัยม.ปลาย มึงไม่รู้จักหรอก” ที่ผมโกหกเพราะไม่อยากให้ไอ้ทัชโดนด่า ผมเดินมานั่งลงบนเตียงที่ปูผ้าคลุมไว้อย่างเรียบร้อย ในมือกำสิ่งหนึ่งที่ผมหลีกเลี่ยงมาตลอด “กูบอกตรงๆว่าไม่อยากอยู่ห้องนี้...ห้องที่มีแต่เงามึงเต็มไปหมด คอยหลอกหลอนกูให้คิดถึงแต่มึง...”

 

ผมกำแหวนแน่นขึ้นไปอีก

 

“วันที่กูกลับมา กูเห็นกุญแจห้องอีกชุดสอดไว้ใต้ประตู...มึงรู้มั้ยกูรู้สึกยังไง...” ผมลุกขึ้นเดินไปหามัน รู้สึกว่าขอบตามันร้อนๆ แต่ก็พยายามฝืนไว้ “อะนี่ กูคืนให้ มันไม่เหมาะกับกูจริงๆวะ” ผมยื่นแหวนให้มัน แต่มันไม่รับ ผมเลยจับยัดใส่มือมันซะเลย

 

“...ไหนบอกจะให้โอกาส...”

 

“แต่มึงเล่นมัดมือชกโดยการไปหาพ่อแม่กูแล้วบอกให้กูย้ายมาอยู่กับมึงเนี่ยนะ?”

“กูแค่อยากอยู่กับมึง อยากชดเชยเวลาที่หายไป อยากทำตัวดีๆให้มึงเห็น” มันจ้องหน้าผม “แต่ถ้ามึงไม่เต็มใจก็ไม่เป็นไร กูกลับไปบอกป๊ากับม๊ามึงให้”

 

เห้อออออออออออ คนหล่อทำหน้าหงอยแล้วทำไมดูน่าสงสารน่าเห็นใจแบบนี้ฟะ?

 

ไอ้เหี้ยพอสกำลังเดินหันหลังกลับไปที่ประตู มันคงทำตามอย่างที่พูดจริงๆ

 

“ไม่ต้องเลยสัด น้อยใจเป็นผู้หญิงไปได้..แม่งงง” มันชะงัก “ที่กูให้แหวนคืนเพราะกูไม่อยากนึกถึงเรื่องหมั้น เรื่องที่มึงเคยโกหกกู และอีกอย่างกูอยากให้มึงนึกถึงความผิดของตัวมึงเองว่าครั้งหนึ่งมึงเคยทำกูเสียใจ” ผมพูดไปตามที่คิด คนฟังเดินกลับมาหาผมอีกครั้ง

 

“ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาส” วงแขนกว้างโอบรอบตัวผม

 

รู้สึกได้เลยว่ามันอบอุ่น ถึงแม้ผมจะไม่ได้กอดตอบก็ตาม

 

เราอยู่ในท่านั้นกันสักพักแล้วมันก็คลายออกไป

 

“กูถามไรหน่อย...หมอน เอ่อ ไม่เสียใจแย่เหรอวะ กูรู้สึกผิดวะที่ไปทำงานหมั้นของผู้หญิงคนหนึ่งพัง”

“ก็เสียใจ แต่หมอนเค้าก็เข้าใจดี ที่ผ่านมากูก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่คิดอะไรเกินเลยและไม่คิดที่จะกลับไปเป็นเหมือนเก่าด้วย...แต่เดี๋ยวก็มีบางคนบินไปดามใจหมอนช่วงปีใหม่นี้แหละ”

“ไอ้พี่ฮาร์ทอะนะ?”

“อืม มันนั่นแหละ...มันรักหมอนมากนะไม่งั้นคงไม่มาบอกความจริงมึงแบบนั้นหรอก ขนาดสาวๆมาตามจีบมันตั้งเยอะแยะ มันเล่นด้วยก็จริง แต่คนที่มันมั่นคงคนเดียวก็คือหมอน” มันพูดให้ฟัง “มีอะไรจะถามอีกมั้ยครับ?”

 

มีสิ...เพียงแต่กู....ยังไงดีวะ...ครอบครัว กลัวรับไม่ได้จริงๆ

 

มันคงเห็นผมเงียบไปเพราะสับสนมันเลยเอ่ยปากออกมาเอง

 

“เรื่องพ่อแม่กูสินะ”

 

หวังว่าพ่อมึงคงไม่มีอาการช๊อคส่วนแม่มึงคงไม่ได้หัวใจวายตายนะ ไม่งั้นกูคงรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตเลยวะ แม้ว่าที่ค่ายมันจะเกริ่นๆบอกไว้แล้วว่าพ่อกับแม่มันรับได้

 

แต่..จะรับได้จริงๆหรอ? ลูกชายตัวเองมาหลงผู้ชายด้วยกัน แถมยังยกเลิกงานหมั้นแบบกะทันหันอีกเนี่ยนะ?

 

ผมคิดว่าจะได้เห็นหน้าเครียดๆของมัน แต่เปล่าเลย มันยิ้ม

 

“เก็บของเสร็จยัง”

 

อ่าว พูดเรื่องเก็บของเฉยเลย เดี๋ยวดิเห้ย ยังไม่เคลียร์ๆ

 

ผมกำลังจะอ้าปากด่ามันแต่มันก็สวนขึ้นมาแบบยิ้มๆก่อนว่า

 

“ถ้าเสร็จแล้วก็ถึงคิวบ้านกูมั่งละทีนี้”

 

ว่าไงนะ?

 

บ้านมึง?

 

กูไม่ป๊ายยยยยยยยยยยยยยยยย!!

 

 

 

 

นี่คือสถาน แห่งบ้านทรายทอง ที่ฉันปองมาสู่ ฉันยังไม่รู้เขาจะต้อนรับขับสู้เพียงหน๊ายยยย ♪

 

เพลงนี้เลยดังเข้ามาในหูทันทีที่เห็นประตูบ้านมัน ย้ำ ว่าแค่ประตูบ้าน BMW สีดำคันงามไม่ต้องรอให้คนรับใช้มาเปิดเพราะประตูบ้านมันกำลังแหวกออกเป็น2ฝั่ง โดยรีโมทควบคุมในมือ

 

อยากมีแบบนี้บ้างงะ T^T

 

แต่...ตอนนี้ กูถอยทัพกลับทันไหมเนี่ยยยยยย

 

ผมหันไปมองหน้าคนขับที่กำลังนำเจ้ายานยนต์เข้าสู่โรงจอดรถก่อนจะมองบ้านมันโดยรอบ แต่เมื่อเข้าสู่โรงจอดรถผมเป็นอันต้องหยุดสายตาที่...

 

เหยดดดดดดดดดดดดดด จากัวร์ กูอยากด้ายยยยยยยย

 

“อยากได้เหรอ?” มันถาม ผมพยักหน้างึกงัก นึกว่ามันตอบสุขเสี่ยวๆประมาณว่าก็มาเป็นลูกสะใภ้บ้านนี้สิ แต่เปล่าเลย มันตอบว่า “นั่นของพ่อกู เปิดประตูรถลงไปดีๆนะมึง เกิดไปโดนแล้วเป็นรอยแม้แต่นิดเดียวกูโดนพ่อสวดยับแน่”

 

ขอประทานโทษครับ กระผมจะเปิดประตูลงอย่างระมัดระวังที่สุด

 

“Mercedes Benz SLK 250 ของแม่กู Porche CAYMAN สีดำนั่นของพี่พีท .. เลิกมองรถได้แล้ว ตามกูมา” แล้วมันก็หันไปถามลุงคนนึงซึ่งท่าทางจะเป็นคนจัดสวน “ทำไมพ่อแม่พี่ชายพร้อมใจทิ้งรถไว้แบบนี้ล่ะเนี่ย”

 

“อ่อนายท่านเอารถแวนไปส่งนายหญิงที่โรงพยาบาลแล้วตอนเย็นจะรับกลับพร้อมกันครับ ส่วนคุณพีทเห็นว่าคุณเนยขับรถมารับครับ”

 

อื้อหืออออ ดีแล้วละครับที่พร้อมใจกันไม่ใช่รถของตัวเองไม่งั้นผมคงไม่มีโอกาสได้ยลโฉมรถที่ชาตินี้ทั้งชาติกูคงไม่มีวันได้ครอบครอง ลาก่อนน้องเบ๊นซ์ น้องปอเช่และน้องจากัวร์

 

ว่าแต่...โรงรถบ้านมึงนี่ถ้ามีพริตตี้สวยๆยืนขนาบข้างกูว่ามันก็มอเตอร์โชว์ขนาดย่อมดีๆนี่เอง เล่นเอาบีเอ็มสีดำของมันกลายเป็นของธรรมดาไปเลยเมื่อมาจอดกับรถพวกนี้

 

“เอ้า ไม่เลิกมองอีก เห้ออ มึงนี่นะ เดี๋ยวก็ได้นั่งแลมเบอกินี่แล้ว”

 

ห๊ะ!!!!!!!!!!!

 

“นั่ง..อะไรนะ?”

“Lamborghini กูว่าจะซื้อตอนเรียนจบ แต่กำลังชั่งใจอยู่ว่าหรือจะเปลี่ยนเป็น BMW Z4 ดี” ไอ้เหี้ยพอสหน้านิ่งมากครับ มันพูดเหมือนกำลังเลือกซื้อเนื้อหมูสันในหรือสันนอกดี

 

เอ่อ...คันไหนก็ได้ เอามาเถอะครับ แค่กูได้นั่ง BMW มึงก็เป็นบุญตูดกูแล้วครับ

 

และตอนนี้ผมกำลังย่างก้าวเข้าสู่ตัวบ้าน มีแม่บ้านออกมาคุยกับมันเรื่องไรไม่รู้แป๊บนึงแล้วหายไปอีกทาง ส่วนมันเดินนำผมไปยังห้องรับแขก

 

“เดี๋ยวกูมา”

 

งะ อย่าทิ้งกูไว้คนเดียวสิวะ

 

แต่คราวนี้มันอ่านใจผมไม่ออก (หรือตั้งใจทำเป็นไม่รู้กันแน่) พูดจบมันก็เดินตรงไปยังบันไดแล้วหายขึ้นไปชั้น2อีกคน

 

“ขอบคุณครับ” แม่บ้านคนเมื่อกี้นำน้ำมาเสิร์ฟผม เกรงใจอะ เกิดมาไม่เคยเห็นคนรับใช้นอกจากในละครทีวี เมื่ออยู่คนเดียวแล้วผมก็ทำการสังเกตรอบๆอีกครั้ง บ้านมันก็เหมือนกันหรูหรา ไฮโซ จนคิดว่าอาจจะหลุดออกมาจากในทีวี เฟอร์นิเจอร์ต่างๆดูก็รู้ว่าราคาไม่ใช่เล่นๆ จอพลาสม่าขนาดใหญ่ที่ติดอยู่กับผนังขนาบข้างด้วยเครื่องเสียงสเตอริโอครบชุดผมคิดว่าเวลาเปิดดูมันคงเป็นโรงหนังขนาดย่อม แผ่นหนังเยอะมาก วางเรียงเป็นตับ

 

นั่นมันแว่น3มิตินี่หว่า อื้อหืออออออ

 

ตอนเดินเข้ามาผมว่าผมเหลือบไปเห็นสระว่ายน้ำนะ แต่คงไม่ใช่มั้ง...

 

ผมเลิกสำรวจเมื่อลูกชายเจ้าของบ้านเดินลงมา

 

“เย็นนี้อยู่กินข้าวด้วยกันนะ พ่อกูไปทำงาน แม่ไปหาหมอที่รพ.สักพักคงกลับ พี่พีทไม่อยู่ไปต่างจังหวัดกับแฟน”

 

รู้มั้ยครับว่าพอมันบอกผมอย่างนั้น ผมนี่ถอนหายใจเฮือกเลย ไอ้อาการใจเต้นตุ้มๆต่อมๆก็ดูเหมือนจะลดลงด้วย บอกตามตรงว่าผมยังไม่พร้อมที่จะเผชิญกับครอบครัวมันจริงๆ ให้มาในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้อง (เหมือนที่มันไปหาป๊ากับม๊าผม) ยังดีกว่าให้มาในฐานะ...เอ่อ...ตัวการที่ทำให้งานหมั้นต้องยุติลง

 

ถึงมันจะบอกว่าพ่อแม่มันใจดี แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะคิดมาก ผมเริ่มจิตตกตั้งแต่ตอนที่ออกจากหอ ท่านทั้ง2จะรับได้มากแค่ไหนก็ไม่รู้ ผมจะโดนเหมือนในละครรึเปล่าที่แบบว่าพ่อแม่สามีไม่ยอมรับแล้วกลั่นแกล้งสารพัด...

 

เฮ้ยยย พ่อแม่สามี!!! ไม่ใช่แล้วววววววววววว

 

ขณะที่ความคิดผมกำลังตีกันยุ่ง มันก็พูดขึ้นมาว่า

 

“ปะ ขึ้นห้องกัน”

 

แย๊กกกกกกกกกกกกก

 

“ขะ ขะ ขึ้นไปทำไรวะ?”

“หึหึ”

 

โอ๊ยยย เกลียดการหัวเราะในลำคอของมันแบบนี้จริงๆ

 

“เถอะน่า...กูไม่ทำไรหรอก แค่จะพาเดินสำรวจบ้าน”

 

โหยยยยยย ต้องพาเดินด้วย แต่บ้านมันก็ใหญ่จริงครับ ไม่เหมือนบ้านผมที่จากหน้าบ้านสู่หลังบ้านเดินไม่ถึง50ก้าวด้วยซ้ำ แล้วที่ผมกำลังสงสัยว่าสระว่ายน้ำนั่นใช่ของจริงหรือไม่ ผมก็ได้พิสูจน์แล้วครับ กลิ่นคลอรีนอ่อนๆทำให้ผมเริ่มคิดหนักจนหน้านิ่วคิ้วขมวด

 

มันบอกว่ามีบ้านเล็กๆไว้ให้แม่บ้านกับคนสวนคนขับรถพักอาศัย ไหนจะรถยุโรปราคาแพงทั้งหลาย ตัวบ้านที่ใหญ่โอ่อ่า...

 

“เป็นอะไร?” มันเห็นผมหยุดเดิน แสงกระทบจากผิวน้ำสีฟ้าขึ้นมาบนตัวเป็นลูกคลื่นเล็กๆ เนื่องจากสระว่ายน้ำมันอยู่ในร่มก็จริง แต่มันก็คิดกับสวนด้านนอก แสงแดดสามารถส่องเข้าถึงได้

 

“อยากลงเล่นน้ำเหรอไง?”

“สัด ไม่ใช่โว๊ยย” ถึงในใจลึกๆผมอยากลงเล่นก็เถอะ แต่ความอยากนั้นเก็บไว้ก่อน ตอนนี้ผมอยากรู้อะไรบางอย่างมากกว่า

“แล้วหยุดเดินไมอะ?”

“เอ่อ..กูแค่กำลังสงสัยว่า...”

“...”

“ครอบครัวมึงค้ายาเหรอวะ?”

 

ไม่งั้นมันจะรวยขนาดนี้ได้ไง นี่ถ้ามีบอดี้การ์ดหรือพวกมือปืนยืนรอบๆนะ โหยยย โป๊ะเช๊ะเลย!

 

ไอ้เหี้ยพอสหน้าเครียด

 

“มึงรู้ได้ไง?”

 

หา!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

 

“เห้ยยยยยยยยยยยย”

“กูอุตส่าห์ปิดไว้ตั้งนาน นี่สินค้าล๊อตใหม่ก็อยู่ใต้สระเนี่ยแหละ ต้องซ่อนดีๆ ไม่งั้นตำรวจมาตรวจเจอกูได้ไปกินข้าวแดงแน่...ว่าแต่มึงนี่จมูกดีเน๊อะ กูอุตส่าห์เอากลิ่นคลอรีนมากลบ หรือมึงจะเคยฝึกเป็นสุนัขตำรวจมาก่อน”

 

เอาละไง ผมแค่ล้อเล่นเองนะ เห็นว่ามันรวยเกินอะ หมั่นไส้ เลยแซวว่าค้ายาซะหน่อย ไม่คิดว่า....

 

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ ดูทำหน้าเข้า ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ” มันหัวเราะใหญ่เลยครับ

 

นี่สรุปว่าหลอกกูสินะ แม่งงงงง เจ็บใจวะ เจ็บใจตัวเองเนี่ยแหละที่หลงโง่ไปเชื่อมัน สาดดดดดดด

 

“กูล้อเล่นนน เห็นมึงเล่นมากูก็เลยเล่นกลับ มึงเสือกทำท่าจะเชื่อจริงๆ” มันยังหัวเราะครับโดยที่ผมยืนเป็นตัวตลกให้มันขำ แต่ถ้าอีก5วิมันยังไม่หยุดขำ ตัวตลกตัวเนี่ยจะไปถีบคนขำให้ตกน้ำเลยแม่ม

 

“เชี่ย หยุดขำเลยมึง”

“โอเคๆ ไม่ขำละ ปะๆ เดินต่อ คราวนี้จะพาขึ้นชั้น2แล้วนะ หึหึ”

 

มันนำผมเหมือนเดิม ผมก้าวขึ้นบันไดแต่ละขั้น ขนาดราวบันไดยังสวยเลยอะ ถ้าผมลูบมันจะเป็นรอยมั้ยเนี่ย

 

“นั่นห้องพ่อแม่กู ตรงข้ามเป็นห้องพี่พีท ถัดไปห้องพี่เพลย์ที่นานๆทีจะกลับมานอน แล้วนั่น..ห้องกูครับ” ผมมองตามไปยังห้องริมสุด มันเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่ผมเห็นคือเตียงขนาดคิงไซส์ที่ตั้งอยู่กลางห้อง

 

ก็เหมือนห้องผู้ชายธรรมดาๆเนี่ยแหละครับ เพียงแต่ว่าจะเรียบร้อย ไม่รกเพราะมีแม่บ้านมันคอยขึ้นมาเก็บและทำความสะอาด รูปครอบครัวตั้งอยู่บนหัวเตียง แต่ที่ผมชอบที่สุดก็คือนาฬิกาครับ ไม่ใช่นาฬิกาโบราณแต่อย่างใด เป็นนาฬิกาผนังที่ไม่ได้แขวนติดกับผนัง แต่ติดกับผนังจริงๆเพราะไม่มีกรอบ มีเพียงแต่ตัวเลขกับเข็มที่ยื่นออกมา

 

“ตั้งแต่เข้ามหาลัยกูก็แทบไม่ค่อยได้กลับมานอนหรอก ส่วนใหญ่จะอยู่ที่คอนโดมากกว่า” มันบอกผมขณะที่เดินไปนั่งบนโต๊ะทำงาน หนังสือมันเยอะจริงๆครับ อัดแน่นเต็มทุกชั้น เห็นแล้วตาลาย

 

“เออเรื่องที่กูจะไปอยู่กับมึงที่คอนโด..เอาจริงเหรอวะ?”

“จริงดิ เนี่ยเดี๋ยวกูจะบอกพ่อกับแม่ตอนกินข้าว”

 

ชิบหาย แล้วท่านจะกินข้าวลงมั้ยนั่น

 

“เอ่อ..”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า กล้าทำต้องกล้ารับดิวะ” แล้วทำไมมึงพูดเหมือนกับทำกูท้องอย่างนั้นแหละ

 

ผมทำเป็นมองนู่นมองนี่ แต่ในใจก็อดกังวลไม่ได้ ทั้งฐานะ ทั้งสังคม แถมไม่ใช่ผู้หญิงอีก ครอบครับมันรับได้จริงๆเหรอวะ? แต่ไม่ว่าพ่อกับแม่มันจะเป็นคนแบบไหน ผมก็ต้องพร้อมรับมือ ไม่วันนี้ก็วันหน้า สักวันมันก็ต้องลากผมให้มาเจอท่านทั้ง2อยู่ดี สู้เจอๆให้เคลียร์จะได้จบๆไปเลยดีกว่า จะไม่ต้องมานั่งกังวลกันอีก

 

“มึงอย่าเครียด พ่อแม่กูก็เหมือนพ่อแม่มึง สบายๆอย่างเกร็ง เป็นตัวมึงเองนั่นแหละ กูเห็นคิ้วมึงขดจะเป็นเลข8ตั้งแต่อยู่บนรถแล้ว”

“สาดดดด มึงไม่เป็นกูมึงก็พูดได้สิ”

“เหอะน่า มีกูให้กำลังใจอยู่ข้างๆ จะกลัวอะไรครับ หืม?”

 

กลัวมึงนั่นแหละ...อย่าลุกเดินตรงมาหากูแบบนั้นสิ สายตาและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ไม่ได้เห็นนาน มันกลับเผยบนใบหน้าของไอ้เหี้ยพอสอีกครั้ง

 

ทางออกห้องมันมีทางเดียวเหรอไงฟะ? แถมเป็นทางที่ดูแล้วคงไม่สามารถออกไปได้ถ้าหากเจ้าของห้องยังเดินเข้ามาหาแบบนี้

 

“ไม่คิดจะทดสอบความแข็งแรงของเตียงกูหน่อยเหรอ”

“ไม่!”

 

ผมเดินถอยหลังจนหมดทางหนี ผนังปูนแข็งๆผมรู้สึกได้เต็มแผ่นหลัง ใบหน้าได้รูปเริ่มคล้อยต่ำและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ...

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“นายท่านกับนายหญิงกลับมาแล้วค่าคุณพอส”

 

ขอบคุณเสียงสวรรค์!

 

 

 

 

ผมเดินลงมากับไอ้พอส แม่บ้านบอกว่าท่านทั้ง2นั่งดูหนังอยู่ที่ห้องรับแขก ถึงตอนนี้มือผมเริ่มเย็น ใจเต้นตึกตัก ได้แต่มองพื้นที่ขัดถูเป็นมันวาว

 

“สวัสดีครับพ่อ สวัสดีครับแม่”

“เอ่อ...สวัสดีครับคุณน้า” ผมค่อยๆโผล่หน้าจากหลังคนตัวโต ยกมือไหว้ท่านทั้ง2

 

พ่อแม่ไอ้เหี้ยพอสดูไม่แก่เลยอะ พ่อมันก็เรียกได้ว่าหล่อในแบบคนมีอายุ เชื่อได้เลยว่าสมัยหนุ่มๆท่านต้องหล่อกว่าไอ้เหี้ยพอสแน่ๆ ส่วนทางด้านคุณแม่นั้นก็ยังสวย ดูเด็กมากๆ ไม่มีอาการของคนเป็นโรคออกมาให้เห็น ผมรู้แล้วละว่าไอ้เหี้ยพอสทำไมมันถึงหน้าตาดีได้ขนาดนี้

 

“จ้า มานั่งก่อนสิ” ผู้เป็นแม่เอ่ยชวน ผมกับมันนั่งลง มีความรู้สึกว่ามือไม้มันเก้ๆกังๆยังไงก็ไม่รู้ จะวางตรงไหนก็ดูเกะกะไปหมด

“นี่ครับ แกรนด์ เป็นทั้งรุ่นน้องที่มหาลัยและเป็นแฟนครับ”

 

แว๊กกกกกกก ไอ้เหี้ยพอสสสส มึงใจเย็นๆๆๆๆ

 

แต่ดูจากปฏิกิริยาตอบรับของคุณน้าทั้ง2แล้วดูเหมือนจะตกใจสักเท่าไหร่ คิดว่าคงทำใจมาก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งผมขอค้านอะไรนิดหน่อย

 

“อ่า...แค่รุ่นน้องครับ ยังเรียกแฟนได้ไม่เต็มปาก”

“เอ้า ทำไมวะ?”

“ก็มึง...เอ๊ย...เอ่อ...ก็พี่พอสมาหลอกผมอะ”

 

พ่อขุนรามครับ ผมขอไม่อนุรักษ์ภาษาท่านชั่วครู่นะครับ

 

“หืม? พอสมันไปหลอกอะไร?” คุณพ่อของมันถาม

“ก็พี่พอสไม่ยอมบอกผมตั้งแต่แรกว่ามีคู่หมั้นแล้ว” ผมตอบไปตามจริง แต่ขอไม่บอกเรื่องที่มันหมั้นผมนะ

“อ้าว ทำไมทำกับน้องแกรนด์เค้าแบบนั้นล่ะลูก” คราวนี้คุณแม่บ้าง

 

หึหึ สมน้ำหน้า

 

“ผมยังไม่พร้อมบอกนี่ครับ กลัวแม่กับพ่อเสียใจด้วย”

“เรียนเอกเดียวกับเจ้าพอสใช่มั้ย?”

“ครับ” ผมตอบพลางละสายตาจากหนังมาสบตากับคุณพ่อ ผมสังเกตว่าท่านมีผมหงอกแซมเล็กน้อย ถ้าไม่มองดีๆก็คงไม่เห็น

“เรียนเป็นไงบ้าง” ท่านถามอีกด้วยน้ำเสียงสบายๆ จนผมเริ่มผ่อนคลายและไม่รู้สึกกดดันเลยกล้าที่จะตอบมากขึ้น

“ยากครับ แต่ก็พอไหว แหะๆ”

“อืมมม ว่างๆก็ติวให้น้องสิลูก” คุณแม่หันมามองหน้าผม

“แน่นอนครับ”

“น่าจะเรียนการบินนะ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”

 

หืม?

 

“ทำไมเหรอครับคุณน้า”

“เรียกพ่อกับแม่เถอะจ้ะ คุณน้ามันฟังดูห่างเหินไงไม่รู้” คุณแม่บอกผมด้วยรอยยิ้ม

“ครับคุณแม่”

 

แหมมมม ถึงมึงจะแอบยิ้มมุมปากแต่กูก็เห็นนะสาดดดดดดด

 

“อืม ฟังแล้วลื่นหูขึ้นเยอะ” อ่าวคุณพ่อครับ แล้วคำถามผมเมื่อกี้ล่ะ? แต่ดูเหมือนท่านจะไม่ตอบจริงๆเพราะว่าท่านลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เจอกันมื้อเย็นนะ” แล้วคุณพ่อก็เดินออกไปเลยครับ

 

หรือว่าท่านจะไม่พอใจอะไรผมรึเปล่า?

 

แต่ผมก็ไม่อยากคิดอะไรมาก ถ้าท่านไม่ชอบผมจริงๆผมจะไปทำไรได้

 

เรา3คนนั่งดูหนังและคุยเล่นไปเรื่อยครับ คุณแม่ดูใจดี ท่านเปิดอกคุยเลยครับช่วงที่ไอ้พอสลุกไปหาคุณพ่อ ผมถามถึงเรื่องานหมั้นของมันกับหมอน ก็ได้คำตอบที่คอนเฟิร์มฟันธงแน่นอนแล้วว่ายกเลิกจริงๆ

 

“พูดกันตรงๆนะลูกแกรนด์...”

“ครับแม่”

“แม่บอกตามตรงว่าแม่ทำใจไม่ได้ที่พอสเค้า..เอ่อ..ชอบผู้ชาย”

“ครับ ผมเข้าใจครับ ผมยังรับตัวเองไม่ได้เลย ฮ่าๆๆๆๆๆ” ผมหัวเราะ “ผมเองยังเครียดเลยช่วงแรกๆ ไม่คิดว่าจะรักผู้ชายแบบพี่พอสได้ แต่ถึงอย่างนั้น...ต่อให้ผมเห็นผู้ชายคนอื่นผมก็เฉยๆนะครับ ไม่ได้รู้สึกพิศวาสอะไรเลย”

“จ้ะ แม่ก็พยายามศึกษาและเข้าใจกับสิ่งที่ลูกเป็นนะ ไม่ใช่ว่ารังเกียจ ไม่มีแม่คนไหนรังเกียจลูกตัวเองได้ลงคอหรอกจ้ะ” ได้ฟังแม่ไอ้พอสพูดแบบนี้แล้วผมซึ้งเลยครับ มีหลายๆอย่างทั้งการพูดคุยและความคิดบางอย่างที่คล้ายคลึงกับมะม๊าของผม

“คุณแม่ก็ไม่รังเกียจผมใช่มั้ยครับ?”

“ก็แม่บอกแล้วไงว่าไม่มีแม่คนไหนรังเกียจลูกตัวเองได้ลงคอหรอก” ท่านยิ้ม “ตั้งแต่นี้ไปแกรนด์คือลูกชายของแม่อีกคนนะครับ”

“ขอบคุณครับแม่” ท่านโอบกอดผมเหมือนลูกท่านอีกคนหนึ่ง ส่วนความรู้สึกผมตอนนี้ก็อบอุ่นมากๆครับ มีแม่ที่เข้าใจและรักลูกมากๆอีกคน เราคลายอ้อมกอดเมื่อลูกชายที่แท้จริงเดินมาถึง มันมองผมแล้วยิ้มน้อยๆ

“โหยยยย ได้ลูกสะใภ้แล้วลืมลูกชายเลยนะครับ” โอดครวญมาแต่ไกล

“อะไรๆๆ กูลูกชายโว๊ยย ไม่ใช่สะใภ้ มั่วละ ใช่มั้ยครับแม่ ผมเป็นลูกชายเนอะ”

“จ้าๆ ไม่ต้องเถียงกัน ลูกชายทั้งคู่แหละ แมนซะขนาดนี้ อิอิ”

“ไม่ทันไรก็เข้าข้างกันซะแล้ว รักลูกไม่เท่ากันนี่ครับแม่”

“หืมม ใครบอก แม่รักลูกทั้ง2เท่ากันแหละจ้า” วงแขนเล็กๆโอบกอดทั้งผมและมันไว้ แต่ใครจะรู้ว่าภายในอ้อมกอดที่เล็กแต่ยิ่งใหญ่ของคนที่เป็นแม่มันปลอดภัยและมีความสุขมากแค่ไหน

 

 

RRRRRRRRRRRRRR

 

“โทรศัพท์ของพ่อนิลูก เอาไปให้พ่อเค้าเร็ว เผื่อติดต่อเรื่องงาน”

 “งั้นเดี๋ยวผมเอาไปให้เองครับ” ปล่อยให้แม่ลูกได้คุยกันบ้าง ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะลุกเดินตาม ผมมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็น ท่านเดินไปที่ไหนผมก็ไม่รู้ บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ แถมมาครั้งแรก ไม่น่าหาเรื่องใส่ตัวเล๊ยยยย แต่พอดีที่ว่ามีแม่บ้านเดินผ่านมา ผมไม่รีรอที่จะเข้าไปถาม

 

“ขอโทษนะครับ เอ่อ เห็นคุณพ่อมั้ยครับ?”

“อ๋อ ท่านเดินไปที่ห้องทำงานด้านซ้ายมือค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ผมก้มหัวเป็นการขอบคุณเล็กน้อยก่อนจะรีบไปห้องที่แม่บ้านบอก โทรศัพท์ในมือยังคงสั่นและมีเสียงเรียกเข้า เมื่อมาถึงหน้าห้องผมเคาะประตูเล็กน้อยก่อนจะเปิดเข้าไป

 

“โทรศัพท์ครับ” ผมยื่นโทรศัพท์ให้ แต่มันก็พอดีกับที่เสียงเรียกเข้าตัดไป ท่านมองดูเล็กน้อย

“ช่างมัน เดี๋ยวค่อยโทรกลับ นั่งก่อนสิ” ผมนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับท่าน โดยมีโต๊ะทำงานขวางกั้นอยู่ ในห้องนี้เรียบหรูครับ ส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือและแฟ้มเอกสาร บนโต๊ะมีสิ่งของแค่ไม่กี่อย่าง แต่ปากกาที่วางอยู่นั่น...สวยดีนะครับ ท่าทางจะเซ็นลื่น ฮ่าๆๆๆ

 

“ที่เดินออกมาเมื่อกี้ไม่ใช่อะไรหรอก ฉันรีบมาเคลียร์งานนี่แหละ ตอนตี3ต้องเดินทางไปต่างประเทศ”

“อ่อครับ”

 

คุณพ่อนี่เก่งเนอะ รู้หมดเลยว่าผมคิดอะไรอยู่

 

“ทำงานหนักเหรอครับ?” เพราะอะไรไม่รู้ทำให้ผมโพล่งคำถามนี้ไป ชายสูงอายุตรงหน้าถึงกับเงยหน้าจากกองเอกสาร

“ก็นิดหน่อย”

“เอ่อ...น่าจะให้พี่พอสช่วยนะครับ”

“ก็รอมันเรียนจบนั่นแหละ ตอนนี้ก็ได้พี่ชายของพอสช่วยอยู่” ท่านก้มลงทำงานต่อ “พอสมันเรียนดีก็จริงแต่ก็ทำตัวไม่ได้เรื่อง ไม่ค่อยเข้ามายุ่งกับกิจการหรือเอกสารพวกนี้สักเท่าไหร่หรอก”

 

ผมว่าผมเห็นเงาเลือนลางๆของมรดกที่ไอ้เหี้ยพอสจะได้รับแล้วล่ะครับ

ต้องบอกให้แม่งมาช่วยงานคุณพ่อบ้างซะแล้ว เอ๊ะ หรือผมจะเสนอตัวเองช่วยดี เผื่อจะได้อู่รถสักอู่ ฮ่าๆๆๆๆ เห็นว่ากิจการของครอบครัวมันมีทั้งสายการบินที่เป็นกิจการหลัก ส่วนกิจการรองคือเปิดอู่รถ ว้าวๆๆ ผมชอบรถนะครับ แต่ซ่อมไม่เป็น แหะๆ แล้วก็เหมือนจะเล่นหุ้นด้วย

 

“รู้จักกับพอสได้ยังไงล่ะ?”

 

กรรม คำถามนี้ จะให้พูดตรงๆก็กลัวจะตรงเกินไป งั้นอ้อมๆหน่อยละกัน

 

“ก็เป็นรุ่นพี่อะครับ พี่พอสเค้าเป็นพี่ว๊าก ตอนแรกๆก็ไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไหร่ เจอกันทีไรก็กัดตลอด”

“หึหึ แล้วพอสอยู่ที่มหาลัยเป็นไงบ้าง?”

“ก็เป็นรุ่นพี่ที่ดี(มั้ง)ครับ ช่วยกิจกรรมเยอะแยะเลย พี่พอสเค้าป๊อปมากครับ” โอยยยยย พี่พอสพี่พอสพี่พอส กูเอียนคำนี้จัง แต่ก็ต้องทนพูดต่อไปละนะ ให้เรียก ‘ไอ้เหี้ยพอส’ แบบปกติต่อหน้าพ่อเค้าคงไม่ดีเท่าไหร่

“สาวเยอะสิท่า”

“เยอะมากครับ กรี๊ดกันทั้งมหาลัยจนผมหมั่นไส้มัน”

“งั้นนี่ก็เป็นสาเหตุที่ไม่ชอบกันตั้งแต่แรกสินะ”

“เอ่อ...ก็ประมาณนั้นครับ แหะๆ”

 

คุณพ่อถามผมไปเรื่อยครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของลูกชายท่านทั้งนั้นหรือไม่ก็ความเกี่ยวข้องของผมกับมัน จนหลายครั้งที่เผลอพูดไม่สุภาพออกไปบ้าง แต่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร จนใกล้ถึงเวลามื้อเย็นของบ้านนี้มีแม่บ้านเคาะประตูเรียกให้ไปทานอาหารเพราะคุณแม่กับไอ้เหี้ยพอสนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

 

ท่านปิดแฟ้มงาน หลับตา นวดขมับและระหว่างคิ้วเล็กน้อย

 

“ขอบคุณมาก”

 

หืม?

 

“ที่มานั่งคุยเป็นเพื่อน”

“อ๋อครับ ผมเต็มใจครับ”

“แล้วก็เรื่องที่ช่วยดูแลพอส...ฉันจะถือซะว่าเธอเป็นลูกชายคนสุดท้องของบ้านนี้ก็แล้วกัน ยังไงๆพีทมันก็แต่งงานไปแล้ว อีกหน่อยยัยเพลย์ก็คงแต่งตามไป มีเหลืออยู่บ้านสักคนก็ดีจะได้ดูแลคนแก่อย่างฉันได้”

“ขอบคุณครับคุณพ่อ” ท่านยิ้มรับ

 

ขอบคุณที่ให้โอกาสผมกับพอสได้มีที่ยืน อย่างน้อยในสังคมเล็กๆที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’

 

 

 

Talk

หายไปนานเพราะติดสอบจ้า

ไม่โกรธกันเนอะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา