::+:: Mistake... ฉันขอโทษ ::+:: [Yuri]

9.7

เขียนโดย Noei95[Eunbi]

วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 19.56 น.

  8 ตอน
  3 วิจารณ์
  14.64K อ่าน
แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

2) ความผิดครั้งที่ 1 :: คือการที่ฉันได้รู้จักเธอ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ความผิดครั้งที่ 1 :: คือการที่ฉันได้รู้จักเธอ

เด็กสาวร่างสูงเจ้าของผิวกายสีน้ำผึ้ง เรียวหน้าคมเข้มและนัยน์ตาคมกริบ ผมยาวสีดำขลับ มือข้างหนึ่งกระชับสายสะพายของกระเป๋าเป้ไว้ตลอดเวลา ดวงตาที่ซ่อนอยู่ใต้แว่นจับจ้องเพียงเส้นทางตรงหน้าอย่างไม่มีท่าทีวอกแวก ทุกฝีก้าวย่ำเดินอย่างไม่รีบร้อน ขาคู่เรียวเดินเข้าตัวโรงเรียนมาหยุดอยู่หน้าอาคารสูงหกชั้น พลางกวาดตามองรอบตัวซึ่งไร้ผู้คน ก่อนจะก้มหน้าลงมองนาฬิกาดิจิตอลสีดำที่ข้อมือขวา นิ้วนางข้างเดียวกันสวมแหวนเงินสลักตัวอักษรภาษาอังกฤษ [Kwon] ซึ่งคือนามสกุลของเธอ

เจ็ดโมงห้านาที ก็ใช่ว่าจะเช้าเสียจนจำนวนนักเรียนหร่อยหรอเสียเมื่อไร แต่นี่ทั้งโรงเรียนกลับเงียบเชียบราวกับป่าช้า ท้องฟ้าโปร่งสว่างสดใสสมกับฤดูใบไม้ผลิ อากาศอุ่นสบายยิ่งทำให้เธออยากจะกลับบ้านไปล้มตัวลงนอนบนที่นอนนิ่มๆสบายๆอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมง

ร่างสูงก้าวเดินขึ้นไปยังบันไดของอาคารสองอีกครั้ง ห้องประจำของเธอนั้นอยู่ชั้นหก ซึ่งโรงเรียนนั้นก็มีลิฟต์ใช้อยู่สองถึงสามจุด หากแต่เด็กนักเรียนไม่ได้อภิสิทธิ์ในการใช้นอกจากเหตุจำเป็นเท่านั้น อาทิเช่น บาดเจ็บ หรือเจ็บป่วย และนั่นทำเอาเธอแทบหอบรับประทานเมื่อเดินขึ้นมาหยุดอยู่หน้าห้องหมายเลข 1-266-6

ควอน ยูริ ยกมือขึ้นแตะบริเวณประตูเลื่อนหน้าห้องเรียนเอียงคอเล็กน้อยเพื่อมองเข้าไปในห้องผ่านกระจกเขรอะไปด้วยคราบฝุ่น ภายในพบเด็กนักเรียนทั้งหญิงและชายจำนวนราวสิบกว่าคน โดยหนึ่งในนั้นเป็นผู้ชายร่างใหญ่เกินเกณฑ์มาตรฐาน นั่งอยู่บนโต๊ะด้วยท่าทีกร่างน่าดูเป็นหัวโจกของกลุ่มนักเรียนชายซึ่งนั่งล้อมรอบ เสตาไปมองอีกฝั่งหนึ่งก็น่าระอายิ่งนัก เมื่อพบเด็กผู้หญิงผมยาวสีจัดจ้านในชุดรัดติ้ว เสื้อสีขาวตัวเล็กรัดร่างบางกับเอวค่อนขอดแน่น กระโปรงสั้นจิ๋วกับท่านั่งไม่สงวนท่าที ปล่อยให้กลุ่มผู้ชายกลุ่มนั้นใช้สายคาแทะโลมจนแทบหมดตัว

เด็กสาวอีกสี่ถึงห้าคนที่นั่งล้อมแม่สาวผมสีแสบตาก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก ทั้งการแต่งตัวและกิริยา อีกทั้งยังทำท่าซุบซิบพยักพเยิดไปทางกลุ่มนักเรียนชายตัวโตให้สาวเอวเล็กหันไปมองพลางยิ้มยั่ว ขนทุกเส้นบนต้นแขนพลันลุกชันเมื่อคิดได้ว่าต้องอยู่ร่วมห้องกับพวกนี้ไปสามปีเต็มเชียวหรือ น้ำลายเหนียวๆกลืนลงคออย่างยากเย็นก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆเพราะรู้ว่ายังไงเสียก็ไม่มีทางที่คนข้างในจะได้ยินเป็นแน่ นึกแล้วก็เซ็งตัวเองที่ต้องมาเจอเพื่อนร่วมห้องท่าทางไม่ค่อยน่าคบหานักเช่นนี้

ขณะที่กำลังง่วงอยู่กับการคิดไม่ตกว่าจะหาเพื่อนสักคนในชั้นเรียนนี้ได้หรือไม่นั้น ฝ่ามือของใครบางคนก็วางทาบลงบนไหล่คนหน้าคมให้สะดุ้งเล็กน้อย เมื่อหันกลับไปก็พบเด็กนักเรียนหญิงผิวขาวสะอาด ใบหน้าเนียนใสคล้ายเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบ คิ้วบางๆเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเผยยิ้มออกมา

“เรียนห้องนี้เหรอ” คนถูกถามพยักหน้าตอบกลับไปก่อนจะยกยิ้มขึ้นบางๆบ้าง “ดีจัง เราเองก็อยู่ห้องนี้... แล้วทำไมไม่เข้าห้องเรียนล่ะ มีอะไรรึเปล่า”

“ป... เปล่าๆ แค่เดินมาดูห้องก่อนน่ะ นี่ยังไม่ถึงเวลาเข้าเรียนก็เลยกะจะไปเดินดูรอบๆโรงเรียนสักหน่อย” ยูริแก้ตัวพัลวันก่อนจะเป็นฝ่ายถามกลับไปบ้าง “เอ่อ เราชื่อยูริ เธอล่ะ”

คนตัวเล็กกว่าที่ทำท่าชะโงกมองเข้าไปในห้องเรียนหันกลับมาสนใจคนตรงหน้าอีกครั้งพร้อมยกยิ้มกว้างขึ้นพอคลายความประหม่าของร่างสูงให้ลดลงได้บ้าง “แทยอนน่ะ ว่าแต่ยูริไม่เข้าห้องเรียนเหรอ”

“อ่า... ไม่ล่ะ ตอนนี้ฉัน... เอ่อ อยากเดินดูรอบๆโรงเรียนสักหน่อยน่ะ” มือกระชับสายสะพายกระเป๋าเสตาหลบสายตาของเพื่อนใหม่ตัวเล็ก “งั้นฉันไปล่ะ...”

แทยอนมองคนตัวสูงกว่าเดินผ่านตัวเองไปอย่างงุนงง สลับกับมองเข้าไปในห้องเรียนอยู่สองสามครั้งก่อนจะหันมาเรียกคนผิวเข้มพร้อมทั้งวิ่งตามหลังไป “ฉันไปด้วยสิ!”

 

แล้วทั้งคู่ก็มาหยุดอยู่ที่ใต้อาคารเรียนที่สาม ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งบรรยากาศค่อนข้างทึบเล็กน้อยเพราะแสงส่องไปไม่ถึง เนื่องจากถูกบดบังด้วยตึกสองและตึกสามขนาบข้างกัน ลมอ่อนๆพัดผ่านให้อากาศถ่ายเท จึงเหมาะสำหรับใช้เป็นสถานที่ยามพักผ่อนเป็นอย่างดี

ยูริและแทยอนแวะสหกรณ์โรงเรียนเพื่อซื้อแซนวิชกันคนละชิ้นเพื่อมานั่งทานที่ใต้อาคารสามพร้อมรับลมเย็นๆก่อนขึ้นห้องเรียน ซึ่งเหลือเวลาอีกนานพอสมควร ทั้งคู่ใช้เวลายามว่างพูดคุยกันหลายเรื่อง ทำให้ยูริพอจะรู้ว่าแทยอนเป็นคนอัธยาศัยดี และมีอารมณ์ขันมากพอดู ทุกเวลาที่คนตัวเล็กพูดเรื่องของตัวเองให้เธอฟัง หรือแม้แต่เล่าเรื่องตลกมักจะมีการแสดงท่าทางประกอบจนเห็นภาพตามได้ไม่ยากนัก อีกทั้งมีอารมณ์ร่วมกับเรื่องที่เล่าจนแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน จึงทำให้ยูริแทบยิ้มไม่หุบนึกแปลกใจพิกลที่รู้สึกไว้วางใจคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงชั่วโมงอย่างคนตัวเล็ก

ขณะที่แทยอนเป็นฝ่ายพูดเสียส่วนใหญ่ ยูริก็จะเป็นฝ่ายนั่งรับฟังเงียบๆ อมยิ้มบ้างหัวเราะบ้างเบาๆ ด้วยความที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกอึดอัดอะไรเมื่อมีเพื่อนช่างจ้ออย่างแทยอน กลับดีใจเสียด้วยซ้ำ เพราะสมัยที่อยู่ประถมเธอไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ หาดีๆสักคนก็ยาก นี่ก็ไม่รู้หรอกว่าแทยอนเป็นคนไว้ใจได้แค่ไหน เพียงแต่ความรู้สึกมันบอกว่าเธอสบายใจและเป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่กับเพื่อนตัวเล็ก

“ยูริเนี่ย ไม่ค่อยพูดเลยเนอะ” แทยอนเอ่ยพลางเอียงคอเล็กน้อย “ลำบากใจมั้ยที่ฉันพูดอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้”

“ไม่นี่ ไม่เลย” ยูริแทบจะส่ายหน้าจนคอหลุดด้วยกลัวอีกคนจะพาลเข้าใจผิด “ฉันแค่ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไรดีเท่านั้นเอง อีกอย่าง ฉันชอบฟังที่แทยอนพูดนะ”

คนผิวขาวหัวเราะเล็กน้อยเมื่อได้ยินอีกคนพูดเช่นนั้น

“ขอบใจนะ ถ้ายูริว่างั้นฉันก็ค่อยสบายใจหน่อย...” เด็กสาวร่างสูงเม้มริมฝีปากเล็กน้อยพร้อมเหลือกตาขึ้นมองเพดานอาคารก่อนจะเอ่ยออกมา

“ยูล...”

“หือ?”

“เรียกฉันว่ายูลก็ได้ ไหนๆเราก็เป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่เหรอ” คนตัวเล็กกว่าทำตาปริบๆก่อนจะยกยิ้มกว้าง

“โอเคยูล งั้นยูลก็เรียกฉันว่าแทนะ” ว่าแล้วก็ยื่นมือเล็กๆมาตรงหน้า ยูริมองอย่างงงๆก่อนจะยื่นมือออกไปจับเบาๆพร้อมส่งยิ้มกลับไปบางๆ

ว้าย!

...ว้าย?...

ยูริและแทยอนเลิกคิ้วพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ก่อนจะชะโงกมองไปยังต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงก็พบกับเด็กสาวคนหนึ่งสะดุดขั้นบันไดล้มหน้าคว่ำนั่งอยู่ในท่าพับเพียบพร้อมสมุดสองสามเล่มหล่นกระจายอยู่ข้างๆ เด็กสาวทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้งก่อนที่ยูริจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปหาเด็กสาวผิวขาวอีกคนหนึ่งซึ่งกำลังลูบเข่าตัวเองเบาๆ โดยมีแทยอนเดินตามไปติดๆ

เด็กสาวร่างสูงก้มลงช่วยร่างบางเก็บสมุดขึ้นมาเรียงกับไว้ในมือก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“เป็นอะไรมั้ย เจ็บตรงไหนรึเปล่า” เด็กสาวร่างบางผมออกน้ำตาลส่ายหน้าทั้งยังไม่เงยหน้าขึ้นมามองยูริ ได้แต่ลูบหัวเข่าตัวเองอย่างเบามือซึ่งเมื่อยูริมองตามลงไปก็พบรอยช้ำเล็กน้อย “ลุกไหวรึเปล่า”

ครั้งนี้เด็กสาวพยักหน้าพร้อมตั้งท่าจะยันกายลุกขึ้น แต่ความปวดที่หัวเข่าพลันแล่นให้เจ็บแปล๊บจนถึงกับเซเล็กน้อย แต่ยังดีที่ยูริพยุงไว้ได้ทันไม่เช่นนั้นได้ล้มกลับลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอีกครั้ง

“แล้วจะรีบไปไหนล่ะ เธอน่ะ” แทยอนถามขึ้นบ้าง

“ห้อง 1-266-6 น่ะ” เสียงหวานตอบเบาๆให้ยูริและแทยอนหันมองหน้ากันอีกครั้ง ก่อนจะถามอีกครั้ง

“เธออยู่ห้องนั้นเหรอ” เด็กสาวพยักหน้ารับแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาเด็กสาวทั้งสองคนเป็นครั้งแรก ใบหน้าเรียวสวยของคนตัวเล็กกว่าทำเอายูริจ้องมองอยู่นานอย่างลืมตัวก่อนเสตาหลบไปอีกทางพร้อมทั้งผละจากอีกคนช้าๆ

“บังเอิญจังเลยนะ พวกเราก็อยู่ห้องนั้นเหมือนกัน” คนตัวเล็กว่า “ฉันชื่อแทยอน ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ฉันเจสสิก้า ยินดีที่ได้รู้จักนะแทยอน...” เด็กสาวว่าพร้อมยกยิ้มกว้างก่อนจะหันมามองคนตัวสูงด้วยสายตาเหมือนจะถามว่าแล้วเธอล่ะ

“ยูริ” ร่างสูงตอบกลับไปเพียงสั้นๆแล้วเงียบไป ทิ้งให้แทยอนและเจสสิก้าคุยกันตามลำพังขณะเดินมานั่งลงที่เดิมโดยมียูรินั่งฟังอยู่เงียบๆ

“เจสสิก้า? เธอเป็นลูกครึ่งเหรอ” แทยอนอดถามไม่ได้

“เปล่าหรอก แต่ฉันเกิดที่ซานฟรานซิสโกน่ะ เพิ่งกลับมาได้สองเดือนกว่านี้เอง แต่เห็นแบบนี้ฉันก็พอพูดเกาหลีคล่องนะ”

“เอ๋... งั้นอย่างนี้เธอก็เก่งอังกฤษน่ะสิ สงสัยเวลาเรียนคงต้องพึ่งเธอหน่อยแล้ว ว่ามั้ยยูล” คนตัวเล็กหันมาขอความเห็นเพื่อนร่างสูงที่ดูจะเงียบลงไปอีกแล้ว

“นั่นสินะ ฉันเองก็ไม่เก่งอังกฤษซะด้วยสิ” ยูริว่าแล้วก็ยกยิ้มขึ้นบางๆพอเป็นพิธี

“แหม ไม่หรอกๆ ถึงภาษาอังกฤษของฉันจะดี แต่พวกวิชาคำนวณฉันไม่เอาไหนเลย เรื่องนี้ก็คงต้องพึ่งแทยอนกับยูริด้วยล่ะ” เจสสิก้าเอ่ยพร้อมยกมือขึ้นโบกไปโบกมาในอากาศ

“อ่า ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ล่ะก็ฉันพอจะช่วยได้นะ” คนตัวเล็กตอบ

“ส่วนฉันถ้าเป็นคณิตก็โอเค” คนผิวเข้มเสริม

“งั้นก็ดีน่ะสิ! ฉันไม่ถูกกับพวกวิทย์หรือคณิตเอาซะเลย คะแนนก็ผ่านมาแบบเส้นยาแดงผ่าแปดทุกที” บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งเสียงออดซึ่งเป็นสัญญาณของการเข้าเรียนดังขึ้น ทั้งสามคนจึงยันกายลุกขึ้นเดินมุ่งหน้าขึ้นห้องประจำทันทีด้วยเพราะไม่อยากเข้าเรียนสายตั้งแต่วันแรกของการเปิดเทอม

โดยที่คาบโฮมรูมซึ่งต้องเข้าเรียนเป็นประจำทุกวันคาบแรกก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากครูที่ปรึกษาทั้งสองคนแนะนำตัว พร้อมทั้งให้เด็กนักเรียนแต่ละคนไล่ลำดับจากเลขที่ลุกขึ้นแนะนำตัวเช่นกัน นอกจากนั้นก็มีการโหวตเลือกนักเรียนมาห้าคนเพื่อเป็นหัวหน้าและรองหัวหน้าห้อง

ครูที่ปรึกษาของเธอเป็นชายหญิงวัยกลางคนท่าทางใจดี โดยคนหนึ่งคือคิม ชินยอง ครูสาวตัวป้อมที่แทบจะยิ้มไม่หุบเลยตั้งแต่เข้าห้องเรียนมา กับคัง โฮดง ชายร่างใหญ่ใบหน้ากว้างพร้อมรอยยิ้มเช่นเดียวกันกับครูชินยอง ครูที่ปรึกษาทั้งสองให้ความรู้สึกเป็นกันเองคล้ายพ่อกับแม่มากกว่าอาจารย์ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ยูริพอโล่งใจได้บ้างที่พบครูที่พอจะพึ่งพาและปรึกษาเรื่องต่างๆได้

ครูชินยองและครูโฮดงเขียนตัวเลขทั้งสิบเอ็ดตัวบนกระดานพร้อมทั้งเน้นย้ำว่าให้นักเรียนทุกคนบันทึกเบอร์ของพวกเค้าเอาไว้เผื่อมีเรื่องหรือต้องการปรึกษาอะไรสามารถโทรมาได้ ขณะที่ยูริกำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์ชื่อและจัดเก็บเบอร์ของครูที่ปรึกษาทั้งสองคนลงโทรศัพท์เพื่อนร่วมห้องก็เริ่มลุกขึ้นยืนและแนะนำตัวกันทีละคน

โทรศัพท์ถูกพับเก็บลงกระเป๋ากระโปรงอีกครั้งพร้อมทั้งยกมือขึ้นเท้าค้างและเบนสายตาคมขึ้นมองนักเรียนชายที่กำลังพูดแนะนำตัวอย่างไม่ใส่ใจอะไรมากนัก เรื่องที่เพื่อนร่วมห้องแต่ละคนพูดมาเธอก็ฟังผ่านๆแล้วจำเพียงแค่ชื่อไว้เท่านั้น แทยอนที่นั่งอยู่ข้างเธอเองก็เช่นกัน รายนั้นดูจะไม่สนใจเลยสักนิดเอาแต่ใช้สายตาสอดส่องไปทั่วห้องอย่างซุกซนแล้วจึงเบนสายตาออกไปมองนอกห้องราวกับว่าภายในห้องเรียนนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว

ยูริเหลือบไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าฝั่งติดประตูซึ่งนั่งอยู่ในท่าสัปหงกก็อดยกยิ้มขึ้นมาบางๆไม่ได้ ดูท่าสำหรับเจสสิก้าแล้วการแนะนำตัวของเพื่อนแต่ละคนในห้องเรียนจะไม่น่าสนใจเท่ากับการหลับสักงีบหนึ่งในห้องเรียนซะล่ะมั้ง แต่ทันทีที่ถึงตาเจ้าตัวต้องลุกขึ้นยืนและแนะนำตัวบ้างกลับไม่หลงเหลือคราบยัยคนขี้เซาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด

อีกทั้งใบหน้าและท่าทางนั้นอีกเล่า แทบทุกการกระทำเหมือนมีมนต์สั่งให้ทุกคนจดจ้องแต่เพียงเธอคนเดียวเท่านั้น ไม่ต่างจากตัวเอกในละครเวทีที่ครอบครองแสงไฟไว้เพียงผู้เดียว

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเจสสิก้า เรียกว่าสิก้าก็ได้นะจะได้ดูสนิทกันดี ฉันเพิ่งกลับมาจากซานฟรานซิสโกเมื่อสองเดือนที่แล้ว อ๊ะ ฉันไม่ใช่ลูกครึ่งหรอกนะเป็นคนเกาหลีแท้ๆ แต่ว่าฉันไปเกิดและโตที่ซานฟรานฯน่ะ แต่ฉันก็พูดเกาหลีได้นะเพราะเวลาอยู่กับครอบครัวฉันจะพูดเกาหลีตลอด ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

คำกล่าวที่แสนจะยาวเหยียดโดยไม่มีท่าทีเขินอายเพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่ถึงชั่วโมงเลยสักนิดชนิดที่แม้แต่ครูที่ปรึกษายังยกยิ้มรับ เพราะนักเรียนทั้งชายและหญิงที่ผ่านไปกว่าสามสิบคนเอ่ยแนะนำตัวเพียงสั้นๆเท่านั้น

“หืม... สิก้านี่ร่าเริงดีจังเลยนะ” แทยอนที่หันกลับเข้ามาสนใจเหตุการณ์ภายในห้องเรียนอีกครั้งยกยิ้มขึ้นพลางหัวเราะในลำคอเบาๆให้ยูริอดเห็นด้วยในใจไม่ได้

ให้ตายสิเจสสิก้า จอง... เธอเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจชะมัด

 

การเรียนวันแรก วิชาไหนๆครูสอนก็มักจะเช็คชื่อตรวจตรานักเรียนและคอยจดจำรูปพรรณสัณฐานลูกศิษย์หน้าใหม่ทุกคนทีละเล็กทีละน้อย พร้อมทั้งแนะนำตัวเองบอกที่อยู่ของห้องพักครูและโต๊ะทำงานของครูคนนั้นๆเพื่อให้หัวหน้าห้องซึ่งก็คือคิม ยูจิน เด็กสาวที่มีส่วนสูงกว่าร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร รวบรวมรายงานและการบ้านของเพื่อนร่วมห้องส่งให้ถูกที่

ซึ่งคาบเช้าทั้งสามวิชาก็หมดลงอย่างรวดเร็วโดยที่ครูแต่ละคนจะเดินออกจากห้องเรียนไปโดยไม่มีการเริ่มบทเรียนใดๆ เด็กนักเรียนค่อยๆทยอยกันลุกเดินออกจากห้องเรียนไปเป็นกลุ่มๆ แทยอนลุกขึ้นเหยียดแขนชูขึ้นสูงพร้อมทั้งบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยขบ พลางใช้กำปั้นทุบบริเวณต้นคอไล่ไปยังหัวไหล่เบาๆ

“รีบลงไปหาที่นั่งกันดีกว่ายูล เพราะนี่ก็เลยเวลาพักมาได้ห้านาทีแล้ว เดี๋ยวไม่มีที่นั่ง” ว่าแล้วคนตัวเล็กก็จัดแจงลากเพื่อนตัวยาวออกจากห้องเตรียมลงไปยังโรงอาหารทันที ซึ่งคนถูกถูลู่ถูกังก็ไม่ได้ว่าอะไรกลับเดินตามแต่โดยดี เพียงแต่อดถามปนเสียงหัวเราะในลำคอไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องรีบร้อนขนาดนั้น

“อะไรกัน ยูลไม่รู้เหรอว่าโรงเรียนพวกเราน่ะมีจำนวนเด็กนักเรียนสามพันกว่าคนเลยนะ โดยเฉพาะสายชั้นเราปีนี้น่ะมีนักเรียนกว่าเจ็ดร้อยคน แล้วพวกเราต้องพักรวมกับรุ่นพี่ม.ต้นปีสาม ไหนจะพวกที่แอบโดดมาก่อนเวลาพักอีก ถึงโรงอาหารจะกว้างแค่ไหนแต่ก็ไม่พอจุคนพันกว่าคนไหวหรอกนะ แล้วยังมีพวกที่กินเสร็จแล้วแต่ไม่ยอมสละลุกออกไปให้คนอื่นนั่งอีก เอาง่ายๆคือถ้าช้าล่ะก็เตรียมอดข้าวเที่ยงได้เลย แล้วไปหาแซนวิชที่สหกรณ์แทนก็แล้วกัน”

“ขนาดนั้นเชียว?” แทนคำตอบแทยอนเลือกจะลากยูริให้มาหยุดอยู่ตรงบันไดระหว่างชั้นสามกับชั้นสองแล้วชี้ไปยังโรงอาหารซึ่งมีเด็กนักเรียนนับร้อยเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น แค่เห็นคนตัวสูงกว่าก็ขมวดคิ้วกันจนแทบจะเป็นปม “แล้วอย่างนี้เราจะมีที่นั่งกันไหมเนี่ยแท”

“ก็ถ้ายูลไม่สงสัยอะไรแล้วเราก็รีบลงไปก่อนที่ทั้งอาหารและที่นั่งจะไม่เหลือให้พวกเราดีกว่าน่ะ” ว่าแล้วแทยอนก็ออกแรงดึงแขนยูริลากเดินลงบันไดต่อไปจนกระทั่งทั้งคู่มาหยุดอยู่ภายในโรงอาหารกว้างที่เต็มไปด้วยประชากรนักเรียนเดินกันให้วุ่น หลายคนเดินวนไปวนมาหาที่นั่ง หลายคนถือภาชนะเดินกลับมาจากร้านอาหาร บ้างก็ถือจานเปล่าไปยังที่เก็บภาชนะ แต่หลายคนที่อาหารตรงหน้าหมดเกลี้ยงแล้วแต่กลับยังคงนั่งจับเข่าคุยกันเสียงดังให้บรรยากาศภายในโรงอาหารจอแจน่าปวดหู อีกทั้งอากาศค่อนข้างร้อนจนยูริต้องปลดกระดุมเสื้อออกเม็ดหนึ่ง

“แทยอน คราวหน้าเราเอาข้าวเที่ยงมากันเองดีกว่ามั้ย” คนตัวเล็กหัวเราะแห้งๆเป็นคำตอบก่อนที่ทั้งคู่จะเดินวนไปรอบๆโรงอาหารหาที่ว่างสักที่พอให้พวกเธอนั่งทานมื้อเที่ยงนี้ได้บ้าง แต่วนอยู่สองถึงสามรอบก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างท้อแท้ เมื่อที่ทุกที่เต็มหมดแล้ว

“ไปเถอะยูล ฉันว่าเราคงต้องพึ่งสหกรณ์แล้วล่ะ” มือเล็กคว้าแขนยูริพร้อมทั้งทำท่าจะเดินออกจากสถานที่อันแออัดนี้ด้วยท่าทางห่อเหี่ยวชนิดที่ยูริต้องยกยิ้มแห้งๆรับ ในขณะที่แทยอนเริ่มถอดใจตั้งท่าจะออกจากโรงอาหารเสียงหวานคุ้นหูก็เรียกรั้งเอาไว้เสียก่อน

“แทยอน! ยูริ!” ทั้งคู่หันขวับไปยังต้นเสียงทันที เจสสิก้าวางกระเป๋าสะพายลงบนเก้าอี้แล้วจึงเดินมาทางเพื่อนใหม่ทั้งสองเมื่อเห็นว่ายูริและแทยอนกำลังจะเดินออกไป “จะไปไหนเหรอ”

“สหกรณ์น่ะสิก้า ไม่มีที่ว่างให้นั่งเลยอะ” แทยอนตอบพร้อมถอนหายใจแรงๆ

“งั้นไปนั่งด้วยกันก็ได้นี่นา ฉันก็นั่งกับมินยองแค่สองคนเหมือนกัน” หันไปมองด้านหลังเจสสิก้าก็พบเด็กสาวอีกคนหนึ่งซึ่งดูไม่คุ้นหน้าคาดว่าเป็นเพื่อนต่างห้องของร่างบาง ยูริกับแทยอนสบตากันครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปร่วมโต๊ะกับเจสสิก้าและมินยอง

ก่อนหน้านี้ก็พอจะรู้มาบ้างแล้วว่าเพื่อนร่วมห้องผู้มาจากต่างแดนคนนี้พูดเก่งไม่น้อย แต่ยูริไม่คิดว่ามันจะมากขนาดนี้ ถึงขั้นตักข้าวหนึ่งคำพูดไปอีกสามสี่ประโยคขณะยังเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก จ้อเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟังสารพัดโดยมีแทยอนและมินยองร่วมสนทนาด้วยเป็นบางครั้ง โดยเจ้าหล่อนเล่าเรื่องโรงเรียนในซานฟรานซิสโก เรื่องเพื่อน เรื่องสังคมที่ต่างกัน เรื่องครอบครัว เรื่องที่ว่าเธอมาเรียนที่เกาหลีเพราะแม่ของเธอย้ายมาทำงานอยู่ที่นี่ และอื่นๆมากมายโดยที่ยูริเองก็ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องเสียเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าไม่สนใจ หากแต่ร่างบางพูดเร็วและรัวเสียจนฟังไม่ทัน

“มินยองเป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉันน่ะ เรียนโรงเรียนเดียวกันมาตลอด นี่พอรู้ว่าฉันจะย้ายมาเรียนที่เกาหลีก็วิ่งแจ้นทำเรื่องจะมาเรียนด้วยให้ได้เลย” เรื่องเล่าจากเจสสิก้าทำเอาเพื่อนใหม่ทั้งสองอดแปลกใจไม่ได้ เด็กสาวต่างห้องที่นั่งอยู่ข้างๆร่างบางติดเจ้าหล่อนขนาดนั้นเชียวเหรอ คนถูกนินทาระยะเผาขนหันไปถองสีข้างเจสสิก้าเบาๆพร้อมหัวเราะ

“เวอร์ไปแล้วย่ะ ที่ฉันกลับเกาหลีมันเป็นเรื่องปกติเพราะบ้านฉันอยู่ที่นี่แล้วย้ายไปเรียนที่ซานฟรานฯตอนประถมแล้วก็รู้จักกับเธอตอนนั้นต่างหาก เธอนี่มั่วจริงๆเลยสิก้า”

“โห่มินยองอะ ทำฉันหน้าแตกยับเลยนะ” เจสสิก้ายู่ปากใส่คนข้างๆเล็กน้อยก่อนจะหันไปตักข้าวขึ้นมาอีกคำหนึ่งเข้าปาก “แต่ก็สนิทกันใช่มั้ยล่ะ”

“สนิทก็ได้” มินยองยักไหล่แล้วหันกลับไปสนใจอาหารตรงหน้าของตัวเองแทนเพื่อนสนิทที่นั่งแสร้งทำหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ ด้วยไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเสียเท่าไหร่ เวลาพักเที่ยงก็เหลืออีกไม่มากขณะที่อาหารในจานเหลือกว่าครึ่ง

บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งทั้งสี่คนทานอาหารเสร็จเป็นที่เรียบร้อยจึงเดินเอาภาชนะไปเก็บเพื่อแลกบัตรอาหารคืน บัตรอาหารราคาใบละห้าสิบที่ต้องใช้ไปตลอดจนจบการศึกษามีเพียงคนละใบ ใช้ยื่นให้กับร้านค้าเวลาซื้ออาหาร หากไม่มีบัตรร้านค้าจะไม่ขายอาหารให้ จะมีก็เพียงบางร้านที่ส่วนใหญ่จะขายของหวานเท่านั้นที่ไม่จำเป็นต้องแลกบัตร และเมื่อทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ต้องนำจาน ชามไปคืนยังจุดเก็บภาชนะเพื่อแลกเอาบัตรอาหารคืน

หลังเวลาพักกลางวันสิ้นสุดลง มินยองต้องแยกตัวออกไปเรียนที่ห้องของตัวเอง โดยทางด้านยูริ แทยอนและเจสสิก้าก็เดินตรงขึ้นชั้นหกเพื่อเรียนวิชาคณิตศาสตร์ตามตารางกำหนดไว้ ซึ่งถือว่าเป็นวิชาแรกที่ได้เริ่มต้นบทเรียนต่างจากวิชาอื่นที่ครูผู้สอนจะพูดแนะนำตัวและจดจำนักเรียนในชั้นให้ได้สักครึ่งห้อง ยูริและแทยอนรวมไปถึงเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆต่างพากันหยิบสมุดเปล่าขึ้นมาจดรายละเอียดของเนื้อหาบทแรกทีละนิดทีละน้อย ตบท้ายด้วยการสั่งการบ้านตั้งแต่เริ่มแรกเป็นแบบฝึกหัดสองข้อใหญ่ส่งวันถัดไป เรียกเสียงโอดครวญจากเด็กนักเรียนได้ไม่น้อย

จบคาบคณิตศาสตร์ก็เรียนต่ออีกสองคาบจึงถึงเวลาเลิกเรียน ยูริและแทยอนเดินออกจากโรงเรียนพร้อมกันโดยพูดคุยกันไปตลอดทาง ทำให้ยูริรู้ว่าบ้านของแทยอนไปทางเดียวกันกับเธอแถมอยู่ห่างกันไปไม่เท่าไรทั้งคู่จึงตัดสินใจกลับบ้านด้วยกัน

“ยูริ! แทยอน!” เสียงหวานจากเจสสิก้าดังจากด้านหลังให้คนที่ถูกเรียกต้องหยุดรอ ร่างบางวิ่งมาหยุดอยู่ข้างๆทั้งคู่พร้อมรอยยิ้มกว้างเช่นเคย “จะไปไหนเหรอ”

“กลับบ้านสิ เลิกเรียนแล้วจะให้พวกฉันไปไหนล่ะ” ยูริตอบพลางเลิกคิ้วสูงเมื่อร่างบางคว้าแขนเธอเข้าไปคล้องไว้หลวมๆ สายตาคมกริบมองแขนตัวเองที่ถูกยึดไปเป็นที่เรียบร้อยอย่างเงียบๆโดยไม่ได้ว่าอะไร นอกจากนึกแปลกใจเล็กน้อยเพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีใครมารุ่มร่ามเกาะแกะเธอสักเท่าไหร่

“ไปล็อตเต้ มาร์ทกันไหม” คำถามที่ยูริไม่ทันคาดคิดทำเอาคนฟังถึงกับตาโตทันที แทยอนเองก็เช่นกันเงยหน้าขึ้นสบตายูริเหมือนจะส่งกระแสจิตถามกันอย่างงงๆว่าตกลงจะเอายังไงกับเพื่อนใหม่ที่เกาะหนึบแขนคนผิวเข้มอยู่

“ไปทำไม” ร่างสูงอดถามไม่ได้ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้ยูริรู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่ไม่ควรถามยัยคนข้างๆนี่ตั้งแต่แรกเลยสักนิด

“อ้าว ไปล็อตเต้ มาร์ทก็ต้องไปช็อปสิ... คงจะไปโดดเชือกหรอกนะ” เจสสิก้าตอบเสียงซื่อพร้อมทั้งกึ่งดึงกึ่งลากคนตัวสูงออกเดินโดยมีจุดหมายอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าที่ว่านั้นทันที โดยไม่แม้จะรอความเห็นจากเจ้าตัวและเพื่อนตัวเล็กเลยแม้แต่น้อย ซึ่งทั้งยูริและแทยอนเองก็จำต้องปล่อยเลยตามเลย เพราะดูเจสสิก้าจะรั้นกว่าที่คิดไว้เยอะ

 

เดินทางมาถึงล็อตเต้ มาร์ทอีกทั้งยังเดินวนไปวนมาหลายร้านแต่ดูเหมือนเจ้าหล่อนที่ดันทุรังลากพวกเธอทั้งคู่มากลับยังไม่ปลงใจเลือกของขึ้นจ่ายเงินเลยสักชิ้น เข้าร้านโน้นออกมาต่อร้านนี้ เป็นอย่างนี้นานร่วมชั่วโมงครึ่งทำเอาเพื่อนใหม่ที่ถูกลากมาทั้งสองถึงกับขาลาก

“เจสสิก้า! ตกลงเธอมาซื้ออะไรกันแน่ เดี๋ยวก็เข้าร้านเสื้อผ้า เดี๋ยวก็เข้าร้านหนังสือข ร้านเครื่องเขียน ตุ๊กตา กระเป๋า โทรศัพท์ โน้ตบุ๊ค เอาสักอย่างสิพวกฉันจะได้กลับสักที” ยูริเริ่มทนไม่ไหวหลังจากเดินปิดปากเงียบมาชั่วโมงครึ่งกึ่งบ่นกึ่งถามอย่างอดไม่ได้

“อ้าว นี่ฉันบอกว่าจะมาซื้อของเหรอ” เจสสิก้าหันกลับไปทำตาปริบๆใส่อย่างใสซื่อ พลางนึกว่าตัวเองไปพูดอย่างนั้นให้ยูริเข้าใจผิดตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ

“ก็เธอบอกว่าจะมาช็อปไง” คิ้วเข้มๆขมวดเข้าหากันแทบจะเป็นปม ร่างบางยังคงทำหน้าซื่อเช่นเคยก่อนจะร้องอ๋อออกมาดังๆให้ทั้งคู่ได้ยิน

“ก็นี่ไงฉันกำลังช็อปอยู่... Window-shopping ไง ยูริไม่รู้จักเหรอ” คำตอบจากเจสสิก้าทำเอาคนตัวสูงกว่าถึงกับรู้สึกว่าคิ้วข้างหนึ่งกระตุกสองสามทีกับความรู้สึกเดือดปุดๆเล็กน้อยข้างใน...

...ไม่เอาน่ายูริ แค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำใจให้เย็นเข้าไว้ แกต้องทำได้...

ร่างสูงบ่นงึมงำๆเบาๆอยู่คนเดียวพยายามสงบอารมณ์ที่ถูกตีตื้นโดยฝีมืออเมริกันเกิร์ลตรงหน้า ตกลงเธอผิดเองนั่นแหละที่ไม่เข้าใจความหมายที่ร่างบางจะสื่อ...

...หึๆ วินโดว์ช็อปปิ้งงั้นเหรอ เธอจงใจกวนประสาทฉันรึเปล่าเจสสิก้า จอง...

“แล้วเดินดูจนพอใจรึยังล่ะ ฉันอยากกลับบ้านแล้วนะ” แทยอนที่ยืนหมดแรงอยู่ข้างๆเพื่อนผิวเข้มถามบ้าง ตอนนี้เธอรู้สึกปวดแข้งปวดขาไปหมดจนแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว ร่างเล็กไม่ค่อยถูกกับการยืนหรือเดินนานๆสักเท่าไหร่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว

“อ้าวเหรอ ขอโทษนะฉันเดินดูของเพลินไปหน่อย” เจ้าหล่อนมีสีหน้าสำนึกผิดเล็กน้อยให้เพื่อนทั้งสองพอโล่งใจว่าเจสสิก้าคงจะยอมปล่อยให้พวกเธอกลับกันเสียที “เดี๋ยวฉันขอดูร้านนี้อีกสักร้านก่อนได้ไหม”

เจสสิก้าชี้ไปยังร้านที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร คนตัวสูงมองเห็นป้ายร้านว่าเป็นร้านขายพวกแผ่นเพลงและแผ่นหนังก็หันมาส่งสายตาถามคนตัวเล็กว่ายังเดินไหวอยู่ไหมจึงได้รับการพยักหน้าเบาๆเป็นคำตอบ

ร่างบางตรงรี่เข้าร้านซึ่งเป็นเป้าหมายจุดสุดท้ายทันทีโดยมียูริและแทยอนเดินตามหลังไปช้าๆ เจสสิก้าเดินดูอัลบั้มเพลง ซีดี ดีวีดีหนังอยู่หลายนาทีทั้งยังเมื่อเจอแผ่นไหนถูกใจก็เป็นต้องกวักมือเรียกทั้งคู่ให้เดินเข้าไปร่วมเชยชมด้วยทุกทีไป คนผิวเข้มเองก็จนใจเออออตามอย่างช่วยไม่ได้ นาฬิกาข้อมือถูกสำรวจทุกหนึ่งนาที นี่ก็เลยเวลากลับบ้านมาได้พักใหญ่แล้ว ทำเอาคนที่ไม่เคยทำตัวเหลวไหลกลับบ้านเย็นกว่าปกติเริ่มไม่สบายใจ แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไรได้แต่ลอบถอนหายใจอยู่ลำพังจนกระทั่งแม่ตัวดีก็เดินเข้ามาพร้อมข่าวดี

“ปะ เรากลับกันดีกว่า” ว่าแล้วก็ใช้มือข้างหนึ่งล็อกแขนยูริไว้ส่วนอีกข้างก็ล็อกแขนคนตัวเล็กที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่จะได้กลับบ้านเสียที ทั้งสามคนนั่งเรียงกันอยู่ท้ายรถ ระหว่างทางเจสสิก้ายังคงเปิดบทสนทนากับเพื่อนใหม่ทั้งสองไม่หยุด ซึ่งทำให้ยูริรู้ว่าบ้านของร่างบางนั้นอยู่ไม่ห่างจากบ้านของตัวเองและแทยอนมากนัก ไม่นานนักทั้งสามก็ลงจากรถและออกเดินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดอยู่ปากซอยทางเข้าบ้านของเจสสิก้า

“บ้านเธอเข้าไปอีกไกลรึเปล่า” ยูริอดถามไม่ได้เมื่อเห็นรอบทางเดินเข้าไปในซอยดูเปลี่ยวจนน่ากลัว

“ไม่ไกลหรอก เดี๋ยวเดินเข้าไปก็เลี้ยวขวาเจอร้านตัดผมก็เลี้ยวซ้ายจากนั้นก็จะเจอทางแยก เลี้ยวซ้ายอีกทีเดินข้ามสะพานไปไม่กี่นาทีก็เลี้ยวขวาตรงเข้าซอย บ้านฉันอยู่ท้ายซอยน่ะ” คำอธิบายราวกับแผนที่ขุมทรัพย์ทำเอาคนถามฟังไปมึนไปคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน

“นั่นน่ะนะไม่ไกลของเธอ โคตรไกลเลยต่างหาก ยัยบ้า” ร่างสูงว่าเสียงหลง

“อ้าวเหรอ ก็ฉันเดินเข้าๆออกๆซอยนี้มาตั้งสองเดือนแล้วมันเลยดูไม่ไกลเท่าไหร่” ยูริถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยถาม “ให้ฉันเดินเข้าไปเป็นเพื่อนไหม”

“หืม แล้วยูริจะจำทางกลับออกมาได้เหรอ” เจสสิก้าอดถามไม่ได้ เมื่อคนตัวสูงยังบ่นอยู่เลยว่าบ้านเธอต้องเข้าไปอีกไกลกว่าจะถึง ยูริส่ายหน้าพรืด “ไม่อะ”

“อ้าว! แล้วจะไปส่งฉันทำไมล่ะ เดี๋ยวก็ได้หลงกลับออกมาไม่ถูกหรอก” ร่างบางร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินอีกคนตอบเช่นนั้น อีกทั้งยังนึกขันคนตัวสูงที่จำทางกลับไม่ได้แต่คิดจะเดินเข้าไปส่งเธอ

“ก็พอฉันเดินเข้าไปส่งเธอแล้ว เธอก็เดินออกมาส่งฉันอีกทีไง” นั่น! คำตอบที่ไม่คาดคิดถูกเอ่ยมาจากคนมาดขรึมทำเอาเจสสิก้าส่งเสียงแปลกๆในลำคออย่างคาดไม่ถึง

“หืม! ตลกละ พูดจากวนประสาทแบบนี้ก็เป็นเหรอเนี่ย” ร่างบางอดยกนิ้วขึ้นมาจิ้มแก้มอีกคนเล่นอย่างหมั่นไส้ไม่ได้ ทำเอายูริต้องเบนหน้าหนีเล็กน้อย

“เอ่อนี่... ตกลงจะยืนคุยกันอีกนานไหม เมื่อไหร่ฉันจะได้กลับบ้าน” คนตัวเล็กที่ดูจะถูกลืมไปพักใหญ่ต้องแย้งขึ้นเรียกสายตาของคนทั้งคู่ให้หันกลับมาสนใจแทยอนได้อีกครั้ง

“งั้นกลับบ้านดีๆนะ เจสสิก้า” ว่าแล้วก็เตรียมออกเดินต่อแต่ร่างบางก็เอ่ยรั้งไว้เสียก่อน

“เออนี่ ยูริ” คนตัวสูงหันมาเลิกคิ้วถาม “เรียกฉันว่า สิก้า ก็ได้นะ เจสสิก้า มันดูไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่”

“แล้วนี่เราสนิทกันแล้วเหรอ” ยูริยกยิ้มบางๆพร้อมหัวเราะออกมาเบาๆในลำคอ

“อ้าว ก็เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่” เจสสิก้าเอ่ยเสียงแหลม

“อ่าๆโอเค งั้นเธอก็เรียกฉันว่ายูลละกัน โอเคไหมสิก้า” ร่างบางยกยิ้มกว้างขึ้นทันทีพร้อมพยักหน้าตอบรับคอแทบหลุด “งั้นก็กลับบ้านได้แล้ว ฉันกับแทจะได้ไปสักที ดูสิยืนหน้าบึ้งจะกัดฉันอยู่แล้วเนี่ย”

“ย่าห์! ฉันไม่ใช่หมานะยูล!” คนถูกว่าแย้งขึ้นทันทีแต่ก็ไม่วายรับมุกส่งเสียงขู่แง่งๆใส่ ให้อีกสองคนได้หัวเราะรวน

“โอเคๆ โชคดีนะยูล” เจสสิก้าว่าก่อนจะหันหลังเดินกลับบ้านไป

“โอ้ย... มันจะอะไรกันนะสองคนนี้ แค่ลากันกลับบ้านอย่างกะจะลาไปสนามรบ ฉันจะบ้าตาย เอ้ากลับกันได้ยังยูล ฉันอยากกลับไปนอนแช่น้ำร้อนให้หายเมื่อยแล้วเนี่ย” แทยอนบ่นยาวเยียดใส่คนตัวสูงที่ฟังพลางอมยิ้มบางๆ

“อ่ะจ้ะๆ บ่นเป็นคนแก่ไปได้”

 

...บางทีชีวิตมัธยมต้นต่อจากนี้ อาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิดหรอกมั้ง...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา