::+:: Mistake... ฉันขอโทษ ::+:: [Yuri]

9.7

เขียนโดย Noei95[Eunbi]

วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 19.56 น.

  8 ตอน
  3 วิจารณ์
  14.64K อ่าน
แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

6) ความผิดครั้งที่ 5 :: ไม่อยากฟัง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ความผิดครั้งที่ 5 :: ไม่อยากฟัง

ถึงแม้ว่าจะเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ แต่ยังไงเสียทั้งยูริ เจสสิก้า และแทยอนก็ต้องมาโรงเรียนตั้งแต่หกโมง อันที่จริงแล้วกับสองสาวผิวสีใกล้เคียงกันอย่างเจสสิก้าและแทยอนนั้นไม่จำเป็นต้องมาเร็วขนาดนี้ แต่เป็นเพราะรุ่นพี่จองซูต่างหากที่โทรมากำชับนักกำชับหนาว่าให้รุ่นน้องเรียวหน้าคมมาโรงเรียนตั้งแต่ไก่โห่ เพื่อจะได้มีเวลามากพอสำหรับฝึกซ้อมตลอดทั้งวันยันพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า โดยที่เพื่อนทั้งสองเมื่อรู้เรื่องนี้ผ่านการคุยใน Facebook จึงได้ขอติดสอยห้อยตามมาตะแต่เช้าตรู่

ทันทีที่รองประธานเห็นรุ่นน้องผิวเข้มก็ออกคำสั่งให้เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดยูโดแล้วออกไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลสิบรอบกับพวกแทคยอนที่อยู่กันพร้อมก่อนแล้วที่สนาม แล้วก็ยังไม่วายบ่นว่าเธอมาช้าอย่างโน้นอย่างนี้ก่อนจะหันไปยิ้มรับเพื่อนของรุ่นน้องทั้งสองอีกทั้งยังโบ้ยไปยังโซฟาตัวยาวซึ่งเป็นที่ประจำของเด็กสาวทั้งสอง ทำเอายูริเปลี่ยนชุดไปเบ้หน้าไปนึกบ่นอุบอิบรุ่นพี่อยู่ในใจ

ยูริที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็วิ่งไปที่สนามทันทีก่อนที่จองซูจะออกปากไล่เสียด้วยซ้ำ ได้แต่นึกนินทารองประธานอยู่ในใจว่าถึงแม้ตัวเองจะเป็นรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่แทนประธานชมรมซึ่งประสบอุบัติเหตุแขนหัก แต่อย่างไรในห้องยูโดคนที่มีสิทธิ์ใหญ่สุดคือครูจองมยอน ตัวจองซูเองก็ถือว่าเป็นเด็กในชมรม แต่กลับทำตัวเป็นโค้ชจนโดนครูทั้งดุทั้งบ่นอยู่หลายครั้ง

อากาศเย็นสบายในยามเช้าทำให้การวิ่งรอบสนามฟุตบอลสิบรอบไม่หนักหนาอะไรสำหรับเด็กปีหนึ่งทั้งสี่คนมากนัก โดยหลังจากที่วิ่งไปได้สักพักจองซูก็วิ่งตามออกมาพร้อมไม้เรียวในมือเพื่อวิ่งไล่หลังพวกที่ทำท่าจะหมดแรง แล้วใช้ไม้เรียวหวดที่ต้นขารุ่นน้องเบาๆเป็นการกระตุ้น

“เอ้าๆ อย่าชักช้านักสิ อายุสิบสามกันเองไม่ใช่หรือไง อ่อนปวกเปียกเป็นคนแก่ไปได้ แค่นี้ยังเบาะๆนะ ยังต้องไปซิทอัพอีกคนละสามสิบครั้ง ตบเบาะอีกแปดท่า ท่าละสิบครั้ง ถ้าวิ่งแค่นี้ยังหอบ กลับบ้านไปเตรียมตัวอ้วกได้เลย เพราะวันนี้จะซ้อมทั้งวัน มีแค่พักกลางวันเท่านั้น... อ้อ แล้วบอกไว้ก่อนล่ะว่าอย่ากินอาหารพวกเส้น ไม่งั้นขย้อนแน่”

รุ่นพี่ชายตะโกนให้พวกรุ่นน้องที่เหลือทุกคนได้ยิน ซึ่งทันทีที่สิ้นเสียงทั้งสี่คนก็โห่กันออกมาอย่างพร้อมเพรียง นี่จะกะฝึกกันให้ไปแข่งระดับประเทศเลยหรือไงกัน เมื่อวันก่อนยังบอกอยู่เลยแท้ๆว่าเป็นแค่การแข่งระดับมือสมัครเล่น ไปเพื่อเอาประสบการณ์เท่านั้น

“นี่ๆ ถ้ายังมีแรงมาโห่กันแบบนี้แสดงว่าวิ่งต่ออีกสักยี่สิบรอบก็ยังไหวสินะ เอ้า! วิ่งต่อไปสิอย่าหยุด ใครที่วิ่งครบแล้วก็เข้าห้องไปวอร์มร่างกายได้ แต่อย่าให้รู้นะว่าโกง ได้วิ่งอีกสองร้อยรอบตายคาสนามแน่”

“โหดๆ เอาจริงเอาจังกว่าครูจองมยอนซะอีก แค่สายเขียว1เองนะนั่น” แทคยอนที่วิ่งอยู่ใกล้ๆกันซีวอนต้องบ่นอุบออกมาเบาๆให้ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น ด้วยเกรงว่าหากคนถูกนินทาได้ยินเขาต้องซวยวิ่งรอบสนามไปอีกหลายรอบอย่างที่รุ่นพี่ขู่เอาไว้จริงๆ ซึ่งก็ดูเหมือนการซุบซิบของแทคยอนจะเข้าตาจองซูเข้าพอดี

“แทคยอน! มีแรงพูดแสดงว่ายังไม่เหนื่อยใช่ไหม งั้นเตรียมตัวไว้ได้เลย ฉันจะเป็นคู่ซ้อมให้นายในช่วงเช้านี้เอง” เจ้าตัวถึงกับสะดุ้งหันไปมองรุ่นพี่ที่วิ่งไล่หลังอยู่ด้วยสายตาตัดพ้อ

“โหย พี่จองซู งี้ผมก็ตายดิ”

“ใครสน? ขาดนายไปคนเดียวไม่เห็นจะเป็นอะไร”

“ใจร้าย! ผมน้องพี่นะ”

“จำไม่เคยได้ว่าแม่ฉันคลอดนายตามหลังฉันมานะ แทคยอน” เป็นอันจบเมื่อจองซูไม่รับมุกพร้อมยิงคำพูดกับสายตาเฉียบคมเข้าใส่ ทำเอารุ่นน้องถึงกับหลบสายตาก้มหน้างุดๆวิ่งต่อไปโดยไม่ปริปากอะไรอีกเลย ซีวอนที่วิ่งอยู่ใกล้ๆกันถึงกับหัวเราะออกมาเบาเมื่อเห็นท่าทีกลัวจนหัวหงอของเพื่อนต่างห้อง

ไม่นานนักทั้งหมดก็วิ่งกลับเข้ามาในห้องยูโดอีกครั้งให้เด็กสาวต่างชมรมทั้งสองกำลังนั่งอ่านหนังสือรอต้องลดหนังสือลงเพื่อมองเพื่อนร่วมรุ่นทั้งสี่คน ยังไม่ทันที่รุ่นน้องจะได้นั่งพักให้หายใจหายคอจองซูก็ตะโกนสั่งเสียงดังให้จับคู่กันซิทอัพคนละสามสิบครั้งอย่างลืมไปเสียสนิทว่ากฏของห้องคือห้ามส่งเสียงโหวกเหวกโวยวาย แทคยอนต้องยกมือขึ้นปิดหูด้วยอารมณ์ติดจะหงุดหงิดเล็กน้อยหลังจากที่รุ่นพี่ประกาศตัวจะเป็นคู่ซ้อมให้กับเขาตลอดทั้งวันก่อนจะจับคู่กับซีวอนเพื่อวอร์มร่างกาย ขณะที่ยูริเองก็จับคู่กับมินจีเช่นกัน

หลังจากซิทอัพ วิดพื้น รวมไปถึงการตบเบาะให้ครบทุกท่าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเข้าคู่ฝึกท่าทุ่ม ซึ่งจองซูก็เดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าแทคยอนในท่าเตรียมพร้อม คนอายุน้อยกว่าถึงกับเบ้หน้าทันทีอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“นี่เอาจริงเหรอพี่จองซู” แทคยอนถามเสียงอ่อยให้คนอายุมากกว่าตอบกลับเสียงเข้ม

“หน้าตาฉันเหมือนคนล้อเล่นหรือไงแทคยอน”

...ครับๆ ไม่ล้อเล่นก็ได้ครับ...

คนตัวสูงกว่าขยับปากบ่นงึมงำไร้เสียง แต่นั่นก็ไม่อาจพ้นสายตาคนตัวเล็กกว่าไปได้

“อย่ามาบ่นอะไรไร้สาระ ตั้งหน้าตั้งตาฝึกได้แล้ว พรุ่งนี้จะแข่งแล้วนะ ถ้านายแพ้ฉันจะทำโทษนาย!” คนอายุน้อยกว่าถึงกับทำตาโตทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นพร้อมทั้งเอ่ยถามกลับเสียงหลง

“เฮ้ย! ไหงงั้นอะพี่จองซู!?”

“เพราะนายคือเด็กม.ต้นที่เก่งที่สุดในชมรม ชัดไหม!”

“...ครับๆ” เมื่อไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะต้องโต้เถียงกับจองซูต่อไปให้เปลืองน้ำลาย แทคยอนก็จำต้องพยักหน้าหงึกๆรับอย่างช่วยไม่ได้ ซีวอนที่ดูจะไร้คู่ซ้อมจึงเดินวนไปวนมาระหว่างคู่ของแทคยอนกับคู่ของยูริ บ้างก็เข้าคู่กับมินจีบ้าง ยูริบ้างเพื่อไม่ให้เวลาผ่านไปเสียเปล่า

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ช่างดูเชื่องช้าเหลือเกินสำหรับแทคยอนที่ต้องโดนรุ่นพี่จับทุ่มครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ปรานี เวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงสิบเอ็ดโมงกว่าจองซูจึงปล่อยให้รุ่นน้องทั้งสี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปหามื้อกลางวันทานกันนอกโรงเรียน ยูริเดินผ่านเพื่อนทั้งสองที่นั่งจุ้มปุ๊กอ่านหนังสือเสียบสโมทอล์กฟังเพลงกันอย่างสบายอารมณ์ ขณะที่ร่างสูงเหงื่อโชกเปียกชุ่มตั้งแต่ไรผมลงมาถึงแผ่นหลัง

เจสสิก้าที่ละสายตาออกจากหนังสือเล่มหนามาเห็นเพื่อนผิวเข้มก็ปิดหนังสือนั้นแล้วจึงกระโดดลุกขึ้นยืนพร้อมยกยิ้มกว้างให้ ร่างบางเดินตรงดิ่งเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างๆยูริทันที คนตัวสูงที่กำลังถอดเสื้อออกต้องหันมาเลิกคิ้วมองอีกคนอย่างนึกฉงน

“อะไร มายืนยิ้มแป้นเป็นคนบ้าไปได้” เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะแขวะออกไปเล็กน้อย คนถูกกล่าวหาว่าบ้ายู่ปากใส่ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋าสะพายใบเล็กออกมา

“จะไปพักแล้วใช่ไหม... เหงื่อออกเยอะจัง เดี๋ยวก่อนไปกินข้าวก็ไปล้างหน้าหน่อยดีกว่า เหนียวตัวแย่เลย” ว่าแล้วก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าสีอ่อนพร้อมหรี่ตามองใบหน้าชุ่มเหงื่อของอีกคนด้วยระยะประชิด

ยูริไม่อาจอธิบายได้ว่าทำไมเธอถึงต้องรู้สึกแปลกๆยามอีกคนอยู่ใกล้กันมากขนาดนี้ มันเป็นความรู้สึกที่จะว่าคุ้นเคยก็ไม่ใช่ แปลกใหม่ก็ไม่เชิง อาการใจเต้นผิดจังหวะกับการลืมหายใจแบบนี้มันคืออะไร...

โอเค... เธอไม่ใช่คนที่เพิ่งจะรู้สึกชอบใครเป็นครั้งแรก แน่นอนว่าอยู่มาตั้งสิบสามปีมันต้องมีความรู้สึกชื่นชอบใครต่อใครมาไม่น้อยเหมือนกัน อาการที่เมื่ออยู่ใกล้กันเป็นต้องรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นจนทำอะไรแทบไม่ถูก รู้สึกร้อนๆที่ใบหน้า...

อย่าบอกนะว่าเธอกำลังชอบเจสสิก้า!!?

คนตัวสูงหันตัวหนีเจสสิก้าทันที พลางกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ชอบเจสสิก้า!? ยัยบ๊องสมองเป็ดนั่นน่ะนะ!? เรียวคิ้วเข้มขมวดกันจนเป็นปม

ปกติเธอไม่ใช่คนที่จะมานั่งปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองให้วุ่นวายและเสียเวลา แล้วก็ไม่มานั่งนึกหาเหตุผลให้ต้องปวดหัว แต่นี่ทำไมเธอถึงอยากได้เหตุผลจริงๆที่ทำให้รู้สึกดีๆกับเจสสิก้า เจ้าหล่อนไม่เหมือนคนก่อนๆที่เธอเคยชอบเลยสักนิด พูดมากก็เท่านั้น ปัญญาอ่อนก็เท่านั้น ไม่มีอะไรที่จะตรงสเป็คเธอเลยสักอย่าง แต่กลับมาหวั่นไหวให้กับยัยบ๊องตรงหน้านี้เนี่ยนะ

เรียวนิ้วของอีกคนจิ้มแผ่นหลังคนตัวสูงกว่าเบาๆเมื่อเห็นว่ายูริเงียบไปเสียเฉยๆอีกทั้งยังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คนผิวเข้มจึงต้องปรับสีหน้าให้เป็นปกติพร้อมยกยิ้มขึ้นบางๆก่อนจะหลุบหายเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ทิ้งให้เจสสิก้าหันสบตากับแทยอนที่เพิ่งจะลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างๆอย่างงุนงง

 

จองซูปล่อยให้พวกรุ่นน้องแยกย้ายกันไปหาอะไรทานกันตามลำพัง โดยที่มินจีนั้นแยกไปเพียงคนเดียว ส่วนซีวอนนั้นตามแทคยอนไปทานที่ร้านใกล้ๆกันนี้ โดยที่ตอนแรกแทคยอนนั้นคิดจะตามไปกับพวกเจสสิก้าหากแต่ติดที่โดนแทยอนไล่กลับไปแบบนิ่มๆ (“ก็ไม่ได้จะไล่หรือรังเกียจนะ แต่พวกฉันอยากไปกับคนคุ้นเคยแบบฉบับผู้หญิงๆน่ะ จะให้ผู้ชายอกสามศอกอย่างพวกนายไปด้วยคงไม่ชิน... เอาตรงๆก็ได้ มันขัดหูขัดตาพอใจปะ”) จึงต้องเดินคอตกกลับไป

เพราะฉะนั้นจึงเหลือเพียงยูริ แทยอนและเจสสิก้าเช่นเคย ร่างบางยกมือขึ้นเกาะแขนคนตัวสูงกว่าเข้าทันทีขณะเดินต่อไปเรื่อยๆหาร้านที่ถูกใจสำหรับมื้อเที่ยงนี้โดยมีแทยอนเดินขนาบข้างคนผิวเข้มอยู่อีกด้านเดินมองซ้ายแลขวาเช่นกัน ทางด้านยูริก็ยิ่งรู้สึกหายใจติดๆขัดๆเมื่อโดนเจสสิก้าเกาะหมับแน่นไม่ยอมปล่อยแบบนี้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธหรือดันตัวอีกฝ่ายออกเสียเท่าไร

...เพราะสำหรับเด็กผู้หญิงแล้ว การเดินเกาะเกี่ยวแขนกันมันไม่ใช่เรื่องแปลก...

เพราะงั้นก็คงไม่ใช่เรื่องอะไรที่ต้องปฏิเสธให้เจ้าหล่อนเกิดสงสัยถามด้วยน้ำเสียงและหน้าตาอยากรู้อยากเห็นชวนน่าหมั่นไส้ให้น่าวุ่นวายตามมาทีหลัง...

...โอเค เอาจริงๆก็ได้ว่าเธอรู้สึกดีที่อีกคนเกาะแขนกันแบบนี้ ผิดหรือไงเล่า!...

“นี่ๆ เอาร้านนี้กันดีไหม” เจสสิก้าชี้ไปยังร้านอาหารเกาหลีร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก ขณะที่แทยอนเองก็ชี้ไปที่อีกร้านหนึ่งซึ่งเป็นร้านอาหารอเมริกัน “ฉันว่าไปร้านนั้นดีกว่าไหม”

“เอ๋ อะไรอะ อาหารอเมริกันเหรอ ฉันกินมาตั้งแต่เด็กยันโตแล้วนะ ไม่เอาอะ เอียนจะตาย” ร่างบางสั่นหัวดิกๆ

“อะไรอะ ก็ฉันอยากลองกินดูมั่งนี่นา อีกอย่างอาหารเกาหลีฉันก็กินมาตั้งแต่เด็กยันโตเหมือนกันนั่นแหละ” คนตัวเล็กยกมือขึ้นเท้าเอวมองเพื่อนสาวพร้อมตีหน้าเข้ม ซึ่งบรรยากาศแบบนี้มันชวนให้ยูริรู้สึกอึดอัดแปลกๆ และพอจะเดาชะตาชีวิตตัวเองได้ว่าจะต้องเจออะไรต่อไป...

แล้วยูลล่ะจะกินร้านไหน!?” ทั้งสองพร้อมใจกันหันมาเล่นงานคนกลางอย่างร่างสูงทันที

...นั่นปะไร ฉันเกี่ยวไรด้วยเนี่ย!!...

เธออยู่ของเธอดีๆเงียบๆไม่มีเรื่องมีราวอะไรกับใครแท้ๆ เหตุใดเพื่อนสุดที่รักทั้งสองต้องดึงเธอเข้ามาเอี่ยวให้น่าลำบากใจเช่นนี้ทุกทีเลยนะ แล้วอย่างนี้ยูริจะให้คำตอบว่าอย่างไรดีล่ะ ถ้าเลือกเจสสิก้าแทยอนเป็นต้องทำหน้าบึ้งใส่ไปตลอดทั้งวันแน่ๆ กลับกันถ้าเลือกแทยอน เธอได้โดนเจสสิก้าปั้นปึงใส่ตลอดวันเช่นกัน

...ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็อันตรายต่อชีวิตตัวเองทั้งนั้น...

ยูริถอนหายใจออกมาเบาๆอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะตัดสินใจชี้ไปที่ร้านด้านหน้าให้ปัญหาจบๆไปเสีย ทั้งสองหันมองตามนิ้วยูริไปทันที

“อาหารญี่ปุ่น จบปะ”

“โหยอะไรอะ” เจสสิก้าเตรียมจะแย้งแต่แทยอนยกมือขึ้นห้ามไว้ให้ชะงัก

“หยุดเลย จะกินไหม ถ้าไม่กินก็เชิญแยกไปอีกร้านได้ตามสบายเลยนะ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก” พูดเหมือนไล่กลายๆให้ร่างบางหันไปหาตัวช่วย

“ยูลดูแทดิ! ไล่กันอย่างนี้ได้ไง... อ... อ้าว” แต่เมื่อหันมากลับไม่พบแม้แต่เงาของคนผิวเข้ม เพราะเจ้าตัวนั้นเดินลิ่วนำหน้าตรงไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “ยูริ!!!

เจ้าของชื่อหันมาทำหน้ามึนใส่ทันที “ฮะ?”

...โอ้ยยย เจสสิก้าขัดใจเจ้าค่ะ!...

“แท! ดูยูลดิ!...” หันไปจะหาคนตัวเล็ก แต่ก็ต้องขัดใจอีกเช่นเคยเมื่อพบว่าแทยอนเดินตามหลังยูริไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “แทยอน!!!

คนตัวเล็กเลียนแบบยูริโดยการหันมาแสร้งตีหน้ามึนใส่ได้อย่างกวนบาทา “จ๋า?”

...แอร๊! เจสสิก้าโดนรุมรังแกเจ้าค่ะ!...

เมื่อเห็นว่าจะดื้อรั้นต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ร่างบางจึงทำได้เพียงเดินกระฟัดกระเฟียดตามคนผิวเข้มไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง ให้คนที่เดินนำอยู่หน้าสุดยกยิ้มขึ้นบางๆเมื่อได้ยินเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจดังมาจากเจสสิก้า

...ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแกล้งเจสสิก้าแล้วสนุกแบบนี้...

 

“นี่! เธอจะนั่งทำหน้าเป็ดป่วยแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่กันน่ะฮะ!?” คนคิ้วบางยกมือขึ้นเท้าคางพร้อมทั้งแขวะเจสสิก้าขึ้นหลังจากที่อีกคนเอาแต่นั่งหน้าบึ้งทำปากยื่นปากยาวให้ดูเหมือนเป็ดเข้าไปใหญ่มาตั้งแต่เข้าร้านยันอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟ คนถูกถามสะบัดหน้าคอแทบหักใส่คนตัวเล็กทันทีโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา “เอ๊ะ ยัยนี่ ถามดีๆดูทำเข้า”

ยูริเหลือบมองเจสสิก้าอยู่ตลอดเวลาขณะใช้ตะเกียบตักปลาดิบเข้าปากทีละชิ้นโดยไม่พูดอะไรอยู่นาน ฟังบทสนทนาที่ดูจะมีแต่แทยอนเพียงคนเดียวที่พูดไปพลาง

“เอ้าๆ จะงอนไปถึงเมื่อไหร่กันแม่คุณ นี่บอกไว้ก่อนนะว่าต่อให้งอนจนกลายเป็นเป็ด ฉันก็ไม่ง้อหรอกนะ” ร่างบางหันมาถลึงตาใส่แทยอนอย่างไม่จริงจังอะไรก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมาบ้าง แล้วลงมือคีบทั้งปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาหมึก ปูอัด กุ้งอุจิวะ เข้าปากรัวไม่ยั้งชนิดที่ยูริถึงกับคีบปลาโอค้างไว้บริเวณปาก มองอีกคนตาค้าง

“เฮ้ยๆ เบาๆหน่อยสิ นี่กะจะกินไม่ให้มันย่อยมั่งเลยหรือไง” แทยอนโวยวายออกมาอย่างไม่จริงจังเมื่อเห็นร่างบางจัดการปลาไปเกือบยี่สิบชิ้นภายในเวลาไม่ถึงสิบวินาที เจสสิก้าปรายตามองคนพูดขณะปากยังคงเคี้ยวเนื้อปลาตุ้ยๆ

“แทนี่พูดมากเนอะยูลเนอะ” ก่อนจะหันไปหาพวกพยักพเยิดกับยูริแทน ให้คนถูกถามทำตาปริบๆโดยไม่ตอบอะไรออกมา

“สิก้า เธอกินหรือเขมือบเนี่ย ผลาญซะจะไม่เหลือให้พวกฉันกินบ้างเลยหรือไงฮะ!” แทยอนยังคงไม่ยอมแพ้แขวะอีกคนต่อไป เป็นผลให้โดนสวนกลับมาแทบจะทันที

“แทก็หยุดปากแล้วกินสิ เนอะยูลเนอะ” แต่ก็ยังไม่วายลากยูริเข้ามาเป็นพวกอยู่ดี

“เฮ้อ ฉันล่ะเซ็ง” คนตัวเล็กก็ไม่วายถอนหายใจออกมาแรงๆพร้อมบ่นออกมาเบาๆ

“อ๊ะ นี่ๆ สั่งแบบนี้เพิ่มอีกได้รึเปล่า” เจสสิก้าว่าพร้อมทำตาแวววาวขณะชี้ไปที่จานซึ่งบรรจุเนื้อปลาสีขาวสะอาดกับรอยเหลืองสวยจากการย่างไฟเล็กน้อย

“ก็เอาสิ...” ยูริตอบรับอย่างว่าง่าย ต่างจากแทยอนที่ร้องแขวะออกมาทันที

“ปลาหิมะ!! เธอนี่กินแต่ของดีมีราคาทั้งนั้นเลยนะ”

“ก็ฉันเป็นพวกมีรสนิยมไง ผิดเหรอ” ร่างบางว่าพร้อมยักคิ้วหลิ่วตาอย่างน่าหมั่นไส้ “ทียูลยังไม่เห็นบ่นอะไรเลย”

“เกี่ยวอะไรกับฉัน” คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากันเป็นปม

“ก็ยูลเป็นเจ้ามือเลี้ยงฉันไม่ใช่เหรอ” อีกคนยังคงพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง ผิดกับยูริที่คิ้วขมวดเป็นปมจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์

“นี่ฉันพูดแบบนั้นด้วยเหรอ”

“อ้าว”

“แชร์กันคนละครึ่งสิ อย่ามั่ว”

“อ้าว!”

“แต่ดูแล้ว เธอกินเยอะสุด... ออกมากกว่าฉันกับแทอีกสักส่วนหนึ่งก็แล้วกัน”

“ไม่อ๊าว!!” เสียงแหลมสูงหวีดร้องให้น่าปวดหูชนิดที่แทยอนและยูริต้องยกมือขึ้นป้องหูเพื่อรักษาความปลอดภัยของประสาทการับฟัง

“สิก้า ช่วยลดระดับเสียงลงหน่อย แก้วหูฉันจะพังแล้ว” ร่างสูงขยี้หูตัวเองเบาๆ เมื่อรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงวิ้งๆอยู่ในหูตัวเอง

“กรุณาเกรงใจชาวบ้านเค้าบ้าง ไม่ต้องประกาศตัวหรอกว่าเป็นคนบ้า” แล้วก็ยังคงเป็นแทยอนอีกเช่นเคยที่แขวะคนเสียงสูง

“เฮ้ย อย่าล้อเล่นสิ จะให้ฉันจ่ายทั้งหมดนี่เลยเหรอ” เจสสิก้าถามหน้าเสีย

“จะบ้าเหรอ ใครจะไปใจร้ายขนาดนั้น ก็แชร์ๆกันออกนั่นแหละ...” ยูริตอบ “แต่ไม่คิดเลยนะว่านอกจากจะพูดมาก แล้วก็ปัญญาอ่อนแล้ว เธอยังเป็นตัวเผาผลาญอาหารอีกน่ะ น่ากลัวชะมัด”

คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเอื้อมมือมาฟาดที่ต้นแขนร่างสูงเบาๆ “อิ๊ เวอร์ซะไม่มีอะ ฉันแค่อยู่ในวัยเจริญอาหารต่างหากล่ะยะ”

“อ๋อ... เหรอจ๊ะ” คนผิวเข้มเล่นหูเล่นตาได้อย่างน่าหมั่นไส้ให้อีกคนรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะเอื้อมมือไปฟาดแก้มคนหน้าคมเบาๆสักทีสองที แต่ก่อนที่การสนทนาจะดำเนินต่อไปเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเจสสิก้าก็ดังขึ้นเสียก่อน เจ้าหล่อนหยิบยกขึ้นมามองที่หน้าจอก่อนจะกดรับทันที ขณะที่มืออีกข้างยังคงผสานงานกันได้อย่างคล่องแคล่ว ตักเนื้อปลาบ้าง กุ้งบ้างเข้าปากไปคุยโทรศัพท์ไป

“ว่าไง... อยู่ร้านอาหาร... มาเต้นแอโรบิคมั้ง ถามแปลก... อยู่กับเพื่อน... แทยอนกับยูริไง... ก็เดี๋ยวกินข้าวเสร็จก็ไปซ้อมร้องเพลงต่อไงถามทำไมเนี่ย... อีกละ อย่างี่เง่าได้ปะ”

ขณะที่ร่างบางยังคงพูดคุยกับคนปลายสายคนผิวเข้มก็ทำท่าไม่สนใจก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปาก ผิดกับหูที่ยังคงจับบทสนทนาของเจสสิก้าอยู่ตลอดเวลา แทยอนเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรอีกนอกจากรีบคีบเนื้อปลาที่ตัวเองเล็งไว้เข้าปากอย่างว่องไวด้วยเกรงหากเพื่อนสาววางสายลงเมื่อไหร่ อาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอาจอันตรธานหายวับไปอย่างรวดเร็ว

ใครกันนะ?

ความคิดที่ผุดอยู่ในสมองตลอดเวลาขณะที่เหลือบมองเจสสิก้าอยู่เป็นครั้งคราวเมื่อเห็นสีหน้าและน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ใครเป็นต้นเหตุให้คนที่ดูจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรราวกับว่าชีวิตนี้เกิดมามีแค่อารมณ์รื่นเริงและทำตัวไร้สาระไปวันๆเกิดอาการเอือมระอาเบื่อหน่ายขึ้นมาได้ อีกทั้งบทสนทนาที่ดูเหมือนเพื่อนสาวของเธอจะเป็นฝ่ายตอบเพียงฝ่ายเดียวนั้นราวกับว่าปลายสายต้องการเช็คอย่างละเอียดว่าเจสสิก้าอยู่ที่ไหนเวลาใดและทำอะไรอยู่กับใคร

ไม่น่าจะใช่ครอบครัว เพราะไม่งั้นคงไม่ถามซักไซ้มากมายย้ำไปย้ำมาให้ร่างบางต้องหงุดหงิดเช่นนี้

จะบอกว่าเป็นเพื่อนก็ยิ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเพื่อนกันก็คงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยากรู้ทุกเรื่องของเจ้าหล่อนไปเสียหมด

งั้นคำตอบก็ดูจะเหลืออยู่เพียงข้อเดียวเท่านั้นที่เป็นไปได้มากที่สุด...

แฟน

ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดยูริจึงรู้สึกเหมือนอาหารที่กลืนลงไปมันฝืดๆคอชอบกล รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงส่วนเกินทั้งที่ก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมถึงรู้สึกเช่นนั้น แค่เจสสิก้าพูดคุยกับคนรัก มันมีอิทธิพลให้เธอรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีตัวตนอยู่ ณ ตอนนี้เชียวหรือ...

จะเป็นเพราะอะไรนั้นยังหาสาเหตุไม่ได้ แต่ที่แน่ๆคือ... เธอไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ให้ตายสิ!

ไม่นานนักเพื่อนสาวก็กดตัดสายแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะทั้งที่คิ้วยังคงขมวดกันให้มุ่น ซึ่งไม่ใช่ปกติวิสัยของร่างบาง เป็นผลให้คนตัวเล็กที่กำลังเคี้ยวเนื้อปลานุ่มในปากตุ้ยๆอดถามไม่ได้

“เป็นไร หน้าเป็นตูดเชียว” เจสสิก้าเบ้ปากใส่

“ดงเฮน่ะสิ โทรเช็คซะอย่างกับกลัวว่าฉันจะไปฆ่าใครตาย แล้วยังมาทำตัวงี่เง่าระแวงหาว่าฉันโกหกที่ว่าจะมาซ้อมร้องเพลงแต่แอบไปเที่ยวอีก”

“ดงเฮ?” คิ้วบางเลิกสูงอย่างสงสัยให้อีกคนพยักหน้ารับขณะที่ใช้ตะเกียบจิ้มข้าวปั้นจนเละอย่างหมดอารมณ์

“แฟนฉันเองแหละ คบกันมาเกือบสี่เดือนแล้ว”

“เกือบสี่เดือน... แสดงว่าคบกันตั้งแต่เธอย้ายมาเกาหลีใหม่ๆเลยน่ะสิ... โห ไวไฟชะมัด” คนตัวเล็กพูดออกมาเบาๆ แต่ก็ไม่พ้นคนหูดีได้ยินเข้าให้เงยขึ้นมองจ้องตาเขม็งใส่อย่างไม่จริงจัง

“ผิดเหรอ!”

“ก็เปล๊า ไม่ได้ว่าอะไร” แทยอนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอะไรพลางก้มหน้าก้มตาคีบอาหารใส่จานบ้างเข้าปากบ้าง

“แล้วดูสิ ทำตัวเหมือนตำรวจตรวจเช็คฉันซะละเอียดยิบ คุยโทรศัพท์กับใครนานเกินไปให้เห็นก็ไม่ได้ เผลอๆมีแอบเช็ครายการโทรอีกต่างหาก เล่นเฟสบุ๊คทีคุยกับใครมากสุดก็เป็นโวยหาเรื่องมาทะเลาะ ฉันล่ะเซ็ง” เจสสิก้าระบายออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกเป็นอย่างดีว่าเหนื่อยหน่ายแค่ไหน ขณะที่แทยอนและยูริก็เป็นผู้รับฟังที่ดีไม่เอ่ยแทรกอะไรให้อีกคนต้องขัดใจ

อันที่จริง กรณียูริคงอยู่ในขั้น พูดไม่ออก หรือไม่ก็ ไม่มีอะไรจะพูด เสียมากกว่า จึงทำได้เพียงนั่งฟังอยู่เงียบๆทั้งที่ใจจริงกลับรู้สึกอยากปิดหูปิดตาแล้วเดินออกจากร้านนี้ไปเสียเดี๋ยวนั้น

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร... แต่รู้สึกไม่ชอบใจเลยที่เจสสิก้าพูดถึงใครอีกคน

ไม่ว่าจะในแง่ดีหรือร้าย แต่ผิดเหรอ ก็แค่ไม่อยากฟัง

ไม่อยากรับรู้อะไรที่เกี่ยวกับเขาเลยสักนิด

นัยน์ตาคู่คมหลุบลงต่ำปล่อยให้ร่างบางพูดต่อไปเรื่อยๆขณะที่ใจเริ่มลอยไปไกล มือขวาขยับตะเกียบไปมาช้าๆอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย จะมีก็เพียงลอบถอนหายใจเบาๆอยู่ลำพังเท่านั้น

 

...นี่ฉันชอบเจสสิก้าจริงๆน่ะเหรอ ให้ตายสิ...

---------------------------------------

สายเขียว1 ยูโดจะมีสายคาดเอวหรือโอบิ (Obi) บอกระดับทั้งหมด 7 ระดับ เริ่มจากสายขาว เขียว ฟ้า น้ำตาล น้ำตาลปลายดำ ดำ (ขั้น1-5) และแดง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา