เอล คนทะลุมิติ chapter 1

-

เขียนโดย pong43

วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.34 น.

  48 ตอน
  0 วิจารณ์
  48.66K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 20.29 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

29) เอล คนทะลุมิติ ตอนที่ 29 ปมหลัง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

ปมหลัง

 

 

 

“กฎข้อที่เจ็ด พวกเหนือมนุษย์ซึ่งถูกด้านมืดครอบงำ จะกลายเป็นที่สิงสู่ของปีศาจจากโลกปีศาจ พลังอำนาจนั้นจะทวีคูณมหาศาลและชั่วร้ายเหลือคณานับ”

 

.....................................................................................................................................

 

“ฉันเคยประจันหน้ากับมันมาหลายครั้งแล้ว...” เอลโม้ออกไป

 

“ไอ้ขี้โม้....”

 

“พวกเหนือมนุษย์คือพลังอันโอชะของภูตินรก หากเราไม่แย่งชิงพลังกันเอง ยังไงก็ต้องถูกเจ้านั่นช่วงชิงเอาไปสักวัน อย่าโทษฉันที่ต้องสะสมพลังอำนาจเหนือมนุษย์จากพวกเดียวกันเลย ฉันต้องสะสมเอาไว้เพื่อใช้ต่อสู้กับมัน ฉันจะยอมให้มันมาฆ่าฉันไม่ได้หรอก”

 

“แกพร้อมจะฆ่าพวกเดียวกันเพราะกลัวตายรึ ทุเรศสิ้นดี”

 

“จะประนามว่าฉันฆ่าพวกเดียวกันก็ช่างหัว ฉันไม่สนใจหรอก”

 

“คนอย่างแกทำเรื่องชั่วๆได้อยู่แล้วนี่ไอ้ตุ้ด”

 

ได้ยินคำนี้ เอ็ทก็เดือดดาลขึ้นมาทันที

 

“หุบปาก” เอ็ทร้องลั่น “แกรู้หรือไม่ว่าที่ฉันและแกได้มาพบกันก็เพราะกฎเหนือโลกหรือไม่ก็เพราะเจ้าภูตินรกนั่น จะตายอยู่แล้วยังจะปากดี...”

 

          “ภูตินรกพาเราให้มาเจอกัน..” เอลตาเหลือกกับคำพูดของตนเอง เขาเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยสีหน้าตื่นตระหนก หรือว่าเจ้านั่นพาเรามาที่นี่

 

ตัวอักษรที่กระจกรถไฟฟ้านั่น เขียนโดยเจ้าปีศาจนั่นหรือนี่....

 

“ก่อนพบแก ฉันได้ยินเสียงกระซิบบอกกับฉันว่าเอลคือพวกเหนือมนุษย์ ๆ เสียงนั้นอาจจะเป็นเสียงภูตินรกก็ได้ และมันอาจกระซิบบอกแกว่าฉันเป็นพวกเหนือมนุษย์เช่นกัน มันอาจจะเป็นคนนำทางให้แกมาที่นี่..ไม่แน่ว่าตอนนี้มันอาจอยู่ที่นี่แล้วก็ได้”

 

คำพูดของเอ็ททำให้เอลขนลุก

 

เจ้าบ้าอยู่ที่นี่แล้วเหรอ..

 

“ไม่จริง ฉันตามแกมาเพราะ....” เอลพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะรู้ว่าตัวอักษรบนกระจกต้องเขียนโดยปีศาจร้ายแน่ มันต้องการล่อให้เขามาที่นี่เพื่อจะได้จัดการทีเดียวพร้อมๆกัน

 

เอ็ทรู้ถึงเรื่องในใจเอล เขาจึงพยายามไซโคให้เขากลัวมากยิ่งขึ้น

 

          “ก่อนตาย แกน่าจะได้เรียนรู้จักตัวตนของเจ้านั่นบ้างนะ”

 

ตัวตนของภูตินรก

 

“ภูตินรกภายใต้ผ้าคลุมสีดำ ร่างกายของมันคือโครงกระดูกของมนุษย์โบราณซึ่งสูงใหญ่มาก ฉันเคยยืนห่างมันไม่ถึงสิบฟุต มันจ้องหน้าฉัน ฉันมองหน้ามัน ฉับพลันฉันก็รู้ว่ามันมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจมากกว่าจะขย้ำฉัน มันเดินไปทางอื่น ถึงจะกลัวแทบแย่แต่ฉันก็ยังแอบตามมันไป และเห็นมันใช้เคียวปีศาจฟันร่างมนุษย์คนหนึ่ง ร่างนั้นลุกเป็นไฟในพริบตา แล้วมันก็หันมายิ้มกับฉันและหัวเราะอย่างน่ากลัว ฉันกลัวจนตัวสั่นแต่ไม่เข้าใจว่ามันปล่อยฉันทำไม”

 

“จะว่ามันพิศวาสแกเรอะ” เอลหยอก

 

“ถ้าแกเคยพบมันก็น่าจะรู้ว่าฉันพูดโกหกหรือเปล่า”

 

“ฉันไม่มีเวลาสังเกตุพฤติกรรมของมันหรอก”

 

“พวกมันกระหายในพลังเหนือมนุษย์ ถ้าฉันมีพลังสะสมมากๆ ฉันก็สู้มันได้ และจะได้พลังของมันมาเป็นของฉันด้วยซ้ำ ฉันเห็นพลังพลุ่งพล่านในตัวแก ฉันจึงตามแกมาตลอด ที่สุดแกกลับเป็นฝ่ายมาหาที่ตายเสียเอง ฉันจะเอาพลังของแกมาเป็นของฉันเดี๋ยวนี้แหละ” เอ็ทเน้นเสียงดังในประโยคสุดท้าย

 

“ฆ่าและชิงพลังพวกเดียวกัน แกไม่ต่างไปจากเจ้านั่นหรอก”

 

เอ็ทอึ้งเล็กน้อย

 

“…แกกลัวแล้วใช่มั้ยเจ้าโง่เอล”

 

................................................................................................................................................

 

 

 

“ว่าแต่ว่าแกเคยชกใครเรอะ” เอลกระเซ้าก่อนที่จะเต้นฟุตเวริ์คไปมาชกซ้ายชกขวายั่วอารมณ์ของเอ็ท

 

“ทำไม...ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย แค่ใช้พลังจิตก็จัดการใครต่อใครได้แล้ว....”

 

“พลังจิตแกกล้าแข็งนักเรอะ..”

 

ไม่ทันพูดจบเอลก็รู้สึกสะดุ้ง ร่างของเขาแข็งทื่อขึ้นมาในทันทีทันใด เขาไม่สามารถขยับแขนขาได้อีก 

 

“เฮ้ย แก......” เอลคิดไม่ถึงว่าพลังของเอ็ทจะทำได้ถึงเพียงนี้

 

“เรียกพลังนี้ว่าพลังตรึงกางเขนก็แล้วกันเจ้าโง่”

 

“พลังตรึงกางเขน..”

 

“เห็นมั้ยว่าฉันเก่งขนาดไหนฮ่ะฮ่ะอ่ะฮ่ะฮ่า”

 

“..........” เอลไม่เคยเจอพลังแบบนี้มาก่อน

 

นี่นะพลังของมัน...

 

“ฉันตรึงแกไว้กับที่แล้วเอล แกทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะเจ้าโง่ เสร็จฉันล่ะ”

 

เอลใช้พลังจิตเพื่อจะปลดล๊อคแขนขา แต่ก็ทำไม่ได้ เขารู้สึกว่าตัวของเขาแข็งทื่อเหมือนรูปปั้น

 

เสียท่ามันจนได้....ไม่น่าประมาทมันเลยให้ตายสิ...

 

เขาคิดว่าตอนนี้ต้องข่มความรู้สึกเอาไว้   

 

ต้องไม่ให้มันเห็นว่าเรากลัว...

 

“เป็นไงเอล บอกแล้วไงว่าฉันนี่แหละคือพระเจ้าแห่งโลก วิธีการแบบนี้แหล่ะที่เจ้าภูตินรกใช้จัดการกับเหยื่อ..ตรึงร่างเหยื่อไว้และขยี้เหยื่อจนตาย”

 

“ไอ้ชั่วไอ้หมาลอบกัด” เอลร้องด่าลั่น

 

“หึหึหึ หมาก็หมาวะ ฉันจะฆ่าแกเสียตอนนี้”

 

เอลเพิ่งรู้สึกว่าเอ็ทหน้าเหมือนปีศาจ ดวงตาแดงกล่ำดุร้ายน่ากลัว เขารู้สึกได้ถึงความบ้าคลั่งซึ่งกำลังเข้าครอบงำเอ็ทอย่างถึงที่สุด 

 

ด้านมืดของเจ้านั่น...

 

เขาเพิ่งได้เห็นด้านมืดก็ครั้งนี้นี่เอง

 

.......................................................................................................................................................

 

เนียร์

 

หลายปีที่แล้ว

 

                เอ็ทผู้ร้อนรนในวัยสิบสองขวบสนิทชิดเชื้อกับเด็กหญิงรุ่นน้องคนหนึ่ง

 

                เนียร์คือเด็กหญิงคนนั้น เด็กหญิงหน้าใสผมสีขาวโพลนทั้งศีรษะและทั้งตัว บ้านทั้งสองอยู่ติดกัน เด็กทั้งสองจึงสนิทสนมกันมาแต่เด็ก เนียร์มีปัญหาทางยีนส์สี ทำให้ตัวขาวเผือกไปทั้งตัว ด้วยความที่เอ็ทเป็นเด็กนุ่มนิ่มคล้ายเด็กหญิงมาตั้งแต่เกิด และเนียร์นั้นดูแก่เกินวัย เธอพูดจาฉะฉานเกินเด็กวัยเดียวกัน เอ็ทจึงสนิทสนมกับเธอเป็นพิเศษ อีกทั้งเนียร์มีชีวิตที่น่าอิจฉาแม้นร่างกายจะขาวโพลนจนเป็นปมด้อยแต่เธอกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น ด้วยความเป็นลูกโทนและพ่อแม่รักและเอ็นดูเธอแบบที่เอ็ทไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้เอ็ทนั้นรู้สึกอิจฉาเธออยู่ลึกๆ

 

ที่บ้านของเนียร์มีของเล่นมากมายเต็มบ้าน แต่เอ็ทไม่มีเพราะพ่อแม่ไม่อนุญาตให้เอ็ทซื้อของเล่นของเด็กผู้หญิงเข้ามาในบ้าน เขาเริ่มคิดว่าอยากจะเป็นเด็กหญิงก็ในตอนนั้น

 

เขาอยากจะเป็นเด็กหญิงแบบเนียร์

 

                วันหนึ่งเนียร์ยื่นสมุดบันทึกเล่มหนึ่งให้เขาอ่าน มันคือสมุดบันทึกประจำวันที่เธอเขียนมาแต่เด็ก 

 

                “เอามาให้อ่านทำไม..”เอ็ทถามด้วยความสงสัย

 

                “พี่เชื่อหรือเปล่าว่าหนูเป็นผู้มีพลังวิเศษ”

 

                “พลังวิเศษ”

 

                “พี่ก็มีพลังวิเศษ แต่พี่ไม่รู้ตัว”

 

                “เธอมีพลังวิเศษอะไรกัน”

 

                “หนูเห็นพลังวิเศษในตัวพี่ แสงสวยงามเปล่งประกายในตัวพี่ หนูเห็น”

 

                “แสงสวยงามอะไร”

 

                “พวกเรามาจากโลกทางโน้น” เด็กน้อยพูดพลางชี้นิ้วขึ้นไปที่เหนือท้องฟ้าสี่สิบห้าองศา

 

                เอ็ทเห็นแสงแวววับจับตาที่ท้องฟ้า เอ็ทเคยเฝ้ามองดาวดวงนั้นมาก่อน เขารู้ว่าแสงสว่างนั้นไม่ใช่แสงดาว มันไม่ใช่แสงจากดาวเหนือ ไม่ใช่แสงจากดาวฤกษ์ มันเป็นแสงอะไรที่เขาคุ้นเคย

 

                “หนูมาจากโลกนั้นและหนูสามารถเห็นอะไรล่วงหน้าภายในสามวินาทีเป๊ะ”

 

                “พูดอะไรนะ”

 

                “เดี๋ยวรถสีแดงสดใสคันหนึ่งจะวิ่งตรงมาทางนี้”

 

                เด็กน้อยรีบพูดเพราะเวลาสามวินาทีช่างน้อยนิด

 

                ทันใดนั้นรถสีแดงคันนั้นก็วิ่งมาจอดอยู่ตรงหน้าของทั้งคู่จริงๆ

 

                “เดี๋ยวผู้หญิงใส่หมวกคนหนึ่งจะวิ่งมาทางนี้”

 

                เนียร์ชี้ไปทางด้านหลัง หญิงสาวใส่หมวกวิ่งเลิ่กลั่กมาจริงๆ เสียงเธอดังลั่น

 

                “หมาฉันอยู่ไหน หมาฉันอยู่ไหน”

 

                หญิงสาววัยกลางคนวิ่งหาสุนัขของเธอผ่านมาทางนั้นจริงๆ

 

                “เดี๋ยวโทรศัพท์ในบ้านจะดังขึ้น”

 

                โทรศัพท์ดังจริงๆ ...

 

                อีกหลายต่อหลายเรื่องที่เธอบอกเป็นความจริงและตรงเวลาเป๊ะ สามวินาที เอ็ทตกใจมากแม้นว่าเวลานั้นเขายังไม่ประสีประสากับเรื่องประหลาดเท่าใดนัก

 

เธอเห็นอนาคตจริงๆ ...

 

เอ็ทตะลึงกับความสามารถนั้น แล้วเขาก็พบว่าเธอสนใจกับการเขียนอะไรในสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง สมุดบันทึกมหัศจรรย์ ในสมุดบันทึกนั้นด้านหลังป็นไดอารี่ธรรมดาที่เด็กน้อยเขียนขึ้นบันทึกลงไปเมื่อได้พบเรื่องราวแปลกประหลาด

 

                3 กันยายน ...หนูพบแสงออกมาจากตัวของพี่เอ็ท แสงอะไรก็ไม่รู้ แต่หนูรู้ได้ในทันทีว่าพี่เป็นพวกเดียวกันกับหนู จะเรียกว่าพวกอะไรดี ผู้มีพลังวิเศษหรือคนเหนือมนุษย์ดี แต่วันนี้ฉันจะต้องคุยกับพี่เอ็ทเรื่องนี้

 

                ส่วนด้านหน้าจะบันทึกกฏเป็นข้อๆ ประมาณสิบข้อใหญ่และหลังจากนั้นจะเป็นข้อย่อยมากกว่าแต่ไม่มีหัวข้อเหมือนสิบข้อใหญ่นั้น เขาอ่านบันทึกอย่างสนใจ ในตอนแรกก็ยังไม่เข้าใจมันนักเพราะเขายังไม่เห็นความสามารถของตนเอง

 

                “กฏเหนือโลก.. เธอเขียนเนี่ยนะ...”

 

                “มันอยู่ในสมองของหนู เหมือนมีใครบอกให้เขียนออกมาค่ะ”

 

                “มีคนบอกให้เขียน..คนๆ นั้นเป็นใคร..”

 

          “ไม่รู้ มันอยู่ในใจ เหมือนคนๆนั้นพูดมาจากดาวดวงนั้น”

 

                “พูดมาจากดาวดวงนั้น...กฏเหนือโลกคืออะไรกัน”

 

                “กฏที่สร้างไว้ให้พวกเหนือมนุษย์ควบคุมการใช้พลังอำนาจ หนูรู้แค่นั้น”

 

          จากความประหลาดใจกลายเป็นความรู้สึกสนใจ เอ็ทคิดว่าอำนาจเหนือโลกมีอยู่จริงหรือเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันของเนียร์    ถ้าเราเป็นแบบเดียวกับเนียร์ เราจะยิ่งใหญ่เหนือใครๆ ....

 

                “เนียร์คิดว่าพี่เป็นเหมือนกับเนียร์จริงๆ เหรอ...”

 

                “หนูแน่ใจว่าพี่เป็นพวกเดียวกับหนู เพียงแต่พี่ยังไม่สามารถแสดงพลังนั้นออกมาได้แค่นั้นเอง”

 

                “แล้วจะทำยังไงล่ะ”

 

                “กฏข้อที่สิบนี่ไง พลังของพวกที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใครจะแสดงออกได้ก็ต่อเมื่อตกอยู่ในสภาวะที่ไม่รู้สึกตัวหรือไม่ก็ถูกทำร้ายจนขาดสติ”

 

                เนียร์เปิดสมุดแล้วชี้ไปที่กฏข้อนั้น เอ็ทอ่านกฏข้อนั้นอย่างสนใจ

 

                “พวกที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใครเหรอ...”

 

                เอ็ทไล่ดูข้อย่อยที่พูดเกี่ยวกับพวกที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร จนเจอข้อหนึ่ง

 

พวกที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใครคือพวกเหนือมนุษย์ซึ่งไม่รู้ว่าตนเองคือพวกเหนือมนุษย์ แม้นมีพลังแต่ก็ไม่สามารถเรียกใช้พลังได้

 

                “เนียร์นี่เธอไม่ได้ล้อพี่เล่นนะ..”

 

                “ทำให้ดูขนาดนี้ยังคิดว่าเป็นมายากลอีกเหรอพี่”

 

                “พิสูจน์ให้ดูสิ”

 

                เนียร์จับข้อมือของเอ็ทไว้แน่น

 

                “ทำอะไรเนียร์”

 

เอ็ทร้องลั่นเมื่อเนียร์ตาขวางและจับข้อมือของเขาไว้แน่น ทันใดเนียร์ก็จ้องหน้าเขา ดวงตาของเธอลุกวาว

 

“พี่มีพลังอะไรกันแน่”

 

พูดจบเนียร์ก็ปล่อยมือ แต่เธอกลับปล่อยมือไม่ได้

 

“อะไรกันนี่.....”

 

                เนียร์ร้องลั่น ตาเหลือกลาน เธอไม่สามารถปล่อยมือจากเอ็ทได้

 

                “พี่เอ็ทททททททททททททททททททท”

 

                เอ็ทเองก็ไม่ได้ยินเสียงของเธอแล้ว เขาขาดสติไปในเวลานั้น แม้ว่าเนียร์จะแผดเสียงร้องลั่น แต่คนในบ้านไม่มีใครได้ยินเสียงของทั้งสองอีก ทั้งคู่ไปปรากฏตัวในโลกที่มนุษย์มองไม่เห็น

 

....โลกต่างมิติ...

 

                เอ็ทลืมตาตื่นขึ้นมาในห้องนั้น เขาไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใด พ่อเดินเข้ามาถามว่าตื่นแล้วเหรอ หลับไปตั้งหลายชั่วโมงแล้ว เนียร์ล่ะไปไหนแล้ว

 

                เอ็ทวิ่งไปหาเนียร์ที่บ้าน ทำให้รู้ว่าเนียร์ไม่อยู่ที่บ้าน พ่อแม่ของเนียร์ร้องไห้เพราะเขาคิดว่าเนียร์หายตัวไป และเนียร์ก็หายตัวไปจริงๆ ไม่มีใครเห็นเนียร์อีก พ่อแม่ทั้งสองบ้านต่างโศกเศร้าเสียใจเพราะการจากไปอย่างไร้เงื่อนงำของเนียร์ ไม่มีจดหมายมาขู่กรรโชกทรัพย์ แต่ทุกคนคิดว่าเนียร์ถูกลักพาตัวไป

 

แต่วันหนึ่งพ่อของเนียร์กลับพูดขึ้นว่า

 

                “ผมรู้แล้วว่าเนียร์ต้องจากพวกเราไปสักวัน เขากลับไปยังดินแดนที่เขาจากมาแล้ว ผมรู้สึกเช่นนั้น”

 

                คำพูดนั้นเหมือนเป็นการยืนยันว่าพ่อแม่ของเนียร์ก็เชื่อเรื่องเหนือมนุษย์ของเนียร์มาตลอด และเขาก็เชื่อว่าตนเองคือผู้ชิงเอาพลังของเนียร์มาในวันนั้น  เขาคลับคล้ายคลับคลาว่าตอนที่เนียร์จับมือเขา เวลานั้นเธอได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นพลังงานและไหลเข้ามายังตัวของเขา  เนียร์ได้เข้ามาอยู่ในตัวเขาแล้ว

 

                “ฉันฆ่าเนียร์กับมือของฉันหรือ ฉันฆ่าน้องสาวของฉัน..”

 

เอ็ทร้องไห้คร่ำครวญกับการจากไปของเนียร์ทุกวัน เขายังถือสมุดบันทึกเล่มนั้นอยู่และอ่านมันทุกวัน กฏเหนือโลก เขาอ่านซ้ำไปซ้ำมา  เขาเร่งเร้าที่จะให้พลังอำนาจที่หลับใหลของเขาสำแดงออกมาทุกคืนวัน

 

          ........................................................................

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา