[Saint Omega]For you or me ?

7.0

เขียนโดย MeiaR

วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.59 น.

  15 บท
  2 วิจารณ์
  19.52K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558 22.58 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

1) จุดเริ่มต้นของฝันร้าย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                เพกาซัส.....

                เสียงหนึ่งดังแว่วมาท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมจนมองไม่เห็นซึ่งสิ่งอันใดส่งผลให้ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่เริ่มขยับเปิดขึ้น ดวงตาคู่โตเปิดขึ้นแล้วมองไปรอบข้างที่มืดสนิทด้วยความงัวเงีย เขาเหมือนได้ยินเสียงเรียกแต่กลับหาต้นเสียงนั้นไม่พบและจดจำไม่ได้ว่าเป็นเสียงของใครกันแน่

                โคกะลุกขึ้นจากเตียงที่นอนอยู่และลองมองไปรอบข้างอีกครั้งแต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกตินอกจากเตียงข้างๆที่ว่างเปล่า ผ้าปูเตียงปรากฏรอยยับย่นบ่งบอกว่าก่อนหน้านี้เคยมีคนนอนอยู่ทำให้โคกะอดสงสัยไม่ได้ว่าเพื่อนร่วมห้องของเขาหายไปไหน

                “เอเดนไปไหนกัน”เขาไม่ได้ดูนาฬิกาก็จริงแต่ก็เดาได้ว่ามันน่าจะอยู่ในช่วงกลางดึก ดังนั้นเขากับเอเดนที่เป็นคนเจ็บก็ไม่ควรจะออกไปไหนมาไหนแท้ๆ เมื่อเกิดความสงสัยขึ้นมาสุดท้ายโคกะจึงตัดสินใจลุกขึ้นและเดินออกจากห้องที่พักอยู่ออกไปข้างนอกทันที

                ขณะที่เดินอยู่เขาก็หวนคิดถึงเหตุการณ์ต่อสู้อันดุเดือดที่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นานขึ้นมา หลังจากที่การต่อสู้กับมาร์สจบลงในที่สุดเขาก็สามารถปราบเทพแห่งความมืดอาพุสและช่วยอาธีน่าได้แล้วทุกคนก็มารักษาตัวที่แซงค์ทัวรี่กัน ผลจากการต่อสู้ทำให้เขาถึงกับหลับไปหนึ่งสัปดาห์

                จากนั้นใครที่เริ่มหายดีก็ช่วยกันลงมือซ่อมแซมแซงค์ทัวรี่ที่เสียหายจากการต่อสู้เป็นการใหญ่ ความจริงเขาก็อยากช่วยด้วยแต่เนื่องจากยังไม่หายดีจึงต้องมานอนพักอยู่ที่ห้องพักคนป่วยกับเอเดนที่อาการหนักไม่แพ้กัน ความจริงเขารู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นไรแล้วแต่พอเห็นอาธีน่ามองมาด้วยความเป็นห่วงเขาจึงยอมนอนพักอยู่เฉยๆระหว่างที่กำลังเดินตามหาเอเดนท่ามกลางความมืดเขาก็มองเห็นแสงสว่างวาบอยู่ไม่ไกลออกไปนักพร้อมกับขุมพลังคอสโมที่เขารู้จัก

                “แสงนั่นมัน...”แสงสว่างเพียงชั่ววินาทีเหมือนกับสายฟ้า เมื่อเห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็รีบวิ่งไปทางนั้นทันที

                เส้นทางที่ไม่คุ้นเคยทำให้โคกะหงุดหงิดที่ไปไม่ถึงจุดหมายเสียที เขาได้แต่มองไปยังแสงที่เหมือนกับสายฟ้าที่เกิดขึ้นบางครั้งในทิศทางเดิมๆ อากาศในคืนนี้ค่อนข้างไม่ค่อยดีเพราะอยู่ในช่วงใกล้ฤดูฝนทำให้ท้องฟ้ามีเมฆมากจนบดบังแสงจันทร์ยิ่งทำให้เขามองไม่เห็นทางเดิน โคกะไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองเดินมาไกลแค่ไหนเพราะเมื่อรู่ตัวอีกทีเบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏลานกว้างที่รายล้อมไปด้วยซากผุพังมากมายซึ่งเขาเดาว่ามันคงจะเป็นลานฝึกซ้อมที่ไม่ได้ใช้แล้ว

                ท่ามกลางความมืดเขามองอะไรแทบไม่เห็นแต่ก็รับรู้ได้ถึงพลังคอสโมของเอเดนที่คล้ายกับกำลังจะปะทุขึ้นมาและยังไม่ทันที่เขาจะได้ร้องเรียกออกไปสายฟ้าเส้นหนาก็ถูกส่งจากท้องฟ้ามายังผืนดิน

                เปรี้ยง!

                เสียงสะเทือนลั่นของมันทำให้เขาถึงกับหูอื้อแต่เพราะแสงสว่างของมันทำให้เขามองเห็นว่ากลางลานซ้อมนี้มีร่างของเอเดนยืนหันหลังให้กับเขาอยู่ ในเวลาต่อมาหลังจากที่สายตาเริ่มชินกับความมืดเค้าร่างของชายเบื้องหน้าก็เริ่มชัดเจนขึ้นทีละนิด

                แผ่นหลังของคนตรงหน้าที่กว้างกว่าเขาให้ความรู้สึกน่าเกรงขามประกอบกับกลิ่นอายของชายที่ถูกโชคชะตาสร้างมาเพื่อเป็นบุตรชายของมาร์สยิ่งส่งเสริมให้เอเดนดูห้าวหาญกว่าใคร ทว่าโคกะกลับรู้สึกถึงความอ้างว้างของแผ่นหลังที่แสนโดดเดี่ยวนั้นก่อนจะเข้าใจว่าเพราะอะไร

                เพราะว่าหลังจากวันนั้นเอเดนก็ไม่เหลือใครอีกเลย.....

                เอเดนเป็นคนที่แข็งแกร่ง เขารู้และมั่นใจแบบนั้นแต่ว่าแผ่นหลังที่โดดเดี่ยวกลับเหมือนกำลังเรียกร้องให้ใครสักคนยื่นมือไปหาเพื่อบอกว่าเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว พริบตานั้นเองที่โคกะเดินเข้าไปใกล้แผ่นหลังนั้นอย่างไม่รู้ตัวและยื่นมือออกไปช้าๆ

                เสียงเดินเพียงก้าวแรกก็ทำให้เอเดนรู้ตัวแล้วว่ามีใครกำลังมาแต่คงเพราะไม่มีรังสีคุกคามชายหนุ่มจึงทำแค่หันกลับมา หากแต่วินาทีที่ใบหน้าของโคกะสะท้อนเข้ามาในแววตาของเอเดน ดวงตาสีเขียวคู่นั้นกลับเบิกกว้างคล้ายกับกำลังตกใจอย่างที่เจ้าตัวไม่เคยทำมาก่อน

                ความสงสัยก่อเกิดขึ้นในตัวของโคกะแต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยอะไรออกไป ความเจ็บปวดตามร่างกายกลับพุ่งพล่านขึ้นมาได้อย่างถูกเวลาจนน่าแปลกใจ เขารู้สึกเจ็บไปหมดตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงสมอง ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือนและกำลังถูกแทนที่ด้วยความมืด เขามองเห็นแต่เพียงปากของเอเดนที่ขยับคล้ายกำลังเรียกใครสักคนแต่หูของเขาก็ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว

                วินาทีต่อมาเขาก็สิ้นสติไป....

 

            แสงอาทิตย์จากเช้าวันใหม่ปลุกให้โคกะลืมตาตื่นขึ้นจากที่นอนด้วยความงุนงงเมื่อพบว่าตัวเองยังคงนอนอยู่บนเตียง หัวของเขาปวดไปหมดความทรงจำก็ขาดหายเขาจำได้อย่างเลือนรางว่าเมื่อคืนเขาออกไปตามหาเอเดน เมื่อนึกได้โคกะจึงลองหันไปมองเตียงข้างๆแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ผ้าห่มบนเตียงถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อย ผ้าปูเตียงก็ตึงเรียบจนเหมือนกับไม่เคยมีใครใช้มาก่อน สิ่งเดียวที่บ่งบอกว่าห้องนี้ยังมีอีกคนอยู่ด้วยคือกระเป๋าเสื้อผ้าใบไม่ใหญ่มากที่วางอยู่ท้ายเตียงกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ว่างอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง

                “ไม่อยู่งั้นเหรอ”โคกะอดที่จะแปลกใจไม่ได้ถึงจะรู้ว่าเอเดนบาดเจ็บไม่หนักเท่าเขาและเริ่มหายดีจนไปไหนมาไหนได้แล้วแต่ปกติเอเดนก็แทบจะไม่ออกไปไหนอยู่แล้วด้วยเพราะว่าแม้จะเป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมต่อสู้มากับเพกาซัสผู้สังหารเทพเช่นเขาแต่ฐานะบุตรชายของมาร์สผู้เป็นศัตรูก็ย่อมทำให้มีคนไม่ชอบหน้าเอเดนมากมาย แน่นอนว่าเจ้าตัวก็รู้เรื่องนี้ดีจึงเลี่ยงที่จะไม่ออกไปไหนและนั่งอ่านหนังสือเงียบๆในห้องหรือบางทีก็ออกกำลังนิดหน่อยเพื่อทำกายภาพให้กับร่างที่บาดเจ็บซึ่งนั่นเป็นภาพที่โคกะเห็นจนชินตา

                ถ้าให้พูดถึงความสัมพันธ์ของเขากับเอเดนทั้งสองฝ่ายก็ไม่อาจเรียกได้อย่างเต็มปากว่าเพื่อนพ้อง แม้เอเดนจะช่วยเขาแต่นั่นก็เพื่ออาเรียเท่านั้น นอกจากเรื่องอาเรียแล้วก็เรียกได้ว่าเขาสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆต่อกันเลย เขาไม่ได้สนิทกับเอเดนพอทีจะคุยเล่นหยอกล้อด้วยกันได้เมื่อรวมกับนิสัยไม่ชอบสุงสิงกับใครของเอเดนจึงทำให้เขาสองคนแทบไม่เคยคุยกันเลยตลอดเวลาที่อยู่ร่วมห้องกัน

            “ช่างเถอะ หมอนั่นก็คงมีเรื่องส่วนตัวที่ต้องทำบ้าง”จากนั้นโคกะก็ลุกขึ้นเก็บที่พับผ้าห่มวางกองลงบนเตียงแบบง่ายๆตามนิสัยคนสบายๆไม่เข้มงวดและลุกขึ้นเดินเข้าห้องอาบน้ำไป หลังถอดเสื้อผ้าแล้วโคกะก็ยืนมองตัวเองที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลในกระจก

                “แผลก็ไม่มีเลือดซึมแล้วน่าจะแกะได้แล้วละมั้ง”แล้วโคกะก็จัดการแกะผ้าพันแผลออกทันที แผลของเขาปิดหมดแล้วขอเพียงไม่ออกแรงมากเกินไปแผลก็คงไม่เปิดอีก ที่สำคัญตลอดช่วงเวลาที่ต้องพันแผลเอาไว้เขาถูกสั่งห้ามอาบน้ำอย่างเด็ดขาดทำได้เพียงเช็ดตัวทุกวันเท่านั้น ดังนั้นต่อให้ไม่ใช่คนรักสะอาดแต่เขาก็อยากจะอาบน้ำล้างตัวเหมือนกัน พอเห็นว่าบาดแผลเริ่มหายจนเกือบหมดโคกะก็อารมณ์ดีและสบายใจจนลืมความเจ็บปวดเมื่อคืนไปจนหมดสิ้น

                หลังออกมาจากห้องพักโคกะก็ตรงไปยังตำหนักของคิโดะ ซาโอริหรืออาธีน่าทันที แม้จะไม่มีบาดแผลแต่เพราะว่าถูกดูดพลังไปไม่น้อยทำให้อาธีน่าต้องพักรักษาตัวเพื่อฟื้นฟูพลังอยู่ในตำหนักโดยไม่ได้ออกไปไหนเขาจึงอยากไปพบเพื่อเยี่ยมเยียนและบอกว่าตัวเองแข็งแรงดีแล้ว

                “เฮ้ โคกะ!”เสียงคุ้นหูดังอยุ๋ไม่ไกลนักพอมองไปทางที่ได้ยินเสียงเขาก็เห็นโซมะกำลังเดินมาหาโดยที่เบื้องหลังคือคนกลุ่มหนึ่งกำลังเก็บกวาดซากสิ่งก่อสร้างที่พักทลายลงมาอยู่เบื้องหลัง

                “หายดีแล้วงั้นเหรอ”โซมะถามพลางยกแขนขึ้นกอดคอโคกะ เด็กหนุ่มหัวเราะก่อนตอบ

                “แหงอยู่แล้ว ทีนี้จะได้บอกลาความเบื่อหน่ายสักที ว่าแต่มีอะไรให้ฉันช่วยบ้างล่ะ”หลังเจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบเดือนทำให้โคกะล้มเลิกความคิดไปหาอาธีน่าและออกปากจะช่วยเหลืองานฟื้นฟูแซงค์ทัวรี่ที่แสนสำคัญของอาธีน่าแทน ได้ยินดังนั้นเพื่อนสนิทก็หัวเราะร่าก่อนจะตอบ

                “มีเพียบเลยล่ะ ตั้งแต่...”แล้วโซมะก็จัดการสาธยายออกมายาวเหยียดอย่างที่รู้ว่าแกล้งทำจนโคกะตาลายได้แต่เลือกอันที่อยู่หลังสุดมาทำซึ่งก็คือขนเศษหินไปทิ้งเหมือนที่โซมะกำลังทำอยู่

                “จริงสิแล้วพวกยูนะล่ะ”ขณะที่กำลังขนเศษหินใส่ในรถเข็นโคกะก็ถือโอกาสถามข่าวคราวของเพื่อนๆคนอื่น

                “เห็นว่าจะกลับบ้านเกิดกันหมดน่ะ ทางฮารุโตะกับริวโฮคงกลับไปหาครอบครัวแต่ยูนะเห็นว่าจะไปไหว้หลุมศพที่บ้านเกิดแล้วเดินทางไปจามิลต่อเพื่อซ่อมคล็อธน่ะ”โคกะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจเพราะรู้ว่าที่บ้านเกิดของยูนะไม่มีใครเหลืออยู่อีกแล้ว หลังจากเยี่ยมเยียนหลุมศพเธอก็คงกลับมาที่นี่เพื่อดำเนินชีวิตในฐานะเซนต์ตลอดไป

                ความเข้มแข็งของยูนะทำให้เขาอดที่จะนับถืออีกฝ่ายไม่ได้เมื่อเทียบกับตัวเขาในตอนนี้ พลังของเทพแห่งความมืดยังคงหลงเหลืออยู่ในตัวเขาและไม่รู้ว่าวันใดพลังของมันจะเข้าครอบงำเขาอีกครั้ง เขากลัวที่จะต้องต่อสู้เพราะเขาไม่อยากให้ตัวเองเผลอทำร้ายคนสำคัญเข้า แต่ว่าถ้าหากไม่ได้เป็นเซนต์ ไม่ได้ต่อสู้แล้วตัวเขาควรจะไปอยู่ที่ใดกัน

                เขาเป็นเด็กกำพร้าที่อาธีน่าเลี้ยงดูขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นเพกาซัส ชีวิตของเขามีเพียงแค่นั้นแม้รู้ดีว่าถ้าเขาบอกว่าไม่อยากเป็นเซนต์ อาธีน่าก็คงยิ้มและยอมรับมันได้แต่ตัวเขาก็ไม่อยากทอดทิ้งสถานที่อันแสนสำคัญนั้นทำให้เขายังคงสวมสร้อยคล็อธสโตนไว้ตามเดิม คล็อธสโตนที่แตกร้าวจนหม่นหมองช่างเหมาะกับตัวเขาในเวลานี้จนน่าหัวเราะ

                “โคกะ...เฮ้ โคกะ ได้ยินมั้ย!”เสียงของโซมะเขายังได้ยินอยู่ แต่ปากของเขากลับไม่ขยับ ความรู้สึกเจ็บปวดแบบเดียวกับเมื่อคืนหวนกลับมาทำให้เขาระลึกถึงและจดจำได้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นและเขาในตอนนี้ก็กำลังจะจบเหมือนเมื่อคืน โคกะรู้ตัวว่าตัวเองกำลังล้มลงแต่ก็ห้ามตัวเองไม่ได้เหมือนกับที่ไม่อาจประคองสติให้อยู่ต่อไปได้

                เขาหมดสติไปอีกครั้งแต่ในคราวนี้เขากลับได้ตื่นขึ้นมาเพื่อพบกับฝันร้าย...

 

                เพกาซัส....

                เสียงนี้อีกแล้ว.....เสียงที่จำไม่ได้ว่าเป็นของใครแต่กลับให้ความรู้สึกเย็นเยียบจนน่ากลัว เสียงที่แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆให้ความรู้สึกเหมือนตัวเขากำลังจะถูกบดขยี้ในเงื้อมมือของอีกฝ่ายที่มองไม่เห็น ทั่วร่างของเขาเจ็บปวดไปหมดเหมือนถูกมืออันใหญ่ยักษ์จับเอาไว้และออกแบบบีบเหมือนกับจะขยี้ตัวเขาให้แหลกเละ

                โคกะพยายามที่จะออกแรงแต่ร่างกายก็ไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว ร่างกายหนักอึ้งเหมือนกับไม่ใช่ร่างของตัวเองทั้งที่มีสติอยู่ครบถ้วนแต่กลับควบคุมไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มทั้งเจ็บใจและเริ่มหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน

                “....”ลำคอที่แห้งผากพยายามเปล่งเสียงออกไปด้วยความหวังอย่างแรงกล้า

                “ช่วย...ใครก็ได้...ช่วยด้วย.....”พริบตานั้นเองที่รอบข้างของเขากลับปรากฏแสงสว่างขึ้นรอบทิศพร้อมกับเสียงครืนลั่นที่กลบเสียงทุกอย่างจนหมด ความรุนแรงของสิ่งที่เกิดขึ้นได้ผลักให้สติของเขากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง

                พริบตาต่อมาโคกะลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับอาการหอบสั่น แผ่นหลังชื้นไปด้วยเหงื่อแต่กลับรู้สึกได้ว่ารางกายเย็นเฉียบ พอลองกวาดตาดูเขาจึงรู้ว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องของเขากับอีกคนหนึ่ง

                “รู้สึกตัวแล้วเหรอ”เสียงที่ได้ยินดังมาจากเพื่อนร่วมห้องที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่ายืนอยู่ข้างเตียงเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

                “เอเดน”เขาเรียกอีกฝ่ายและพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบากโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ยื่นมามาช่วยเขาแม้แต่นิดเดียวถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือก็ตาม

                “นายไปไหนมา”โคกะถามเอเดนไม่ตอบแต่กลับกระชากแขนบังคับให้เขาลุกขึ้นยืน ข้อมือที่ถูกคว้ารู้สึกเจ็บจนต้องนิ่วหน้าแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ปล่อยมือจนกระทั่งเขาสามารถทรงตัวได้

                “ผมมีเรื่องที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย ตามมา”พูดจบเอเดนก็เดินออกไปโดยไม่ฟังความเห็นของคนถูกสั่งแม้แต่นิดเดียว แน่อนนว่าโคกะรู้สึกไม่พอใจที่ถูกสั่งแต่ก็ยังอยากรู้สาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นกับการเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเอเดน จริงอยู่ที่ตอนแรกเขาสองคนเป็นศัตรูกัน แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันจบแล้วเอเดนเองก็ไม่ได้แสดงความเป็นศัตรูอีกแล้วยกเว้นแต่ท่าทางเมื่อครู่นี้

                “เรื่องที่ต้องจัดการคืออะไร”ขณะที่เดินตามโคกะก็ถามสิ่งที่อยากรู้ออกไปแต่เอเดนก็ยังไม่ตอบเหมือนเดิม ชายตรงหน้ายังคงเดินต่อไปอย่างสม่ำเสมอโดยไม่แม้แต่จะหันมามองคนที่ตามหลังเลย หลังจากนั้นไม่ว่าจะพูดอะไรเอเดนก็ยังไม่ตอบเหมือนเดิมจนสุดท้ายโคกะก็ยอมแพ้เดินตามไปเงียบๆ

                ตอนนี้ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิทแล้วโคกะถึงได้รู้ตัวว่าเขาหมดสติไปทั้งวันเลยซึ่งนั่นคงทำให้ทุกคนเป็นห่วงไม่มากก็น้อย คงเพราะฝืนร่างกายไปใช้แรงงานถึงได้เป็นลมล้มพับไปอย่างน่าอับอายแบบนั้นแถมยังต้องลำบากให้โซมะแบกกลับมาส่งที่ห้องอีกต่างหาก

                “รีบๆตามมาได้แล้ว”น้ำเสียงเอ่ยเร่งดังมาจากคนที่อยู่ข้างหน้าทำให้โคกะยิ่งไม่พอใจ

                “ไม่ต้องมาสั่ง”โคกะตอบอย่างหัวเสียแต่ก็รีบเร่งฝีเท้าเพื่อเดินตามคนตรงหน้าให้ทัน หลังเดินไปได้สักพักโคกะถึงรู้ว่านี่เป็นทางที่เขาเดินตามหาเอเดนเมื่อคืน ทางไปยังลานฝึกซ้อมอันรกร้างที่เหมือนถูกซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครรู้จัก เมื่อถึงจุดหมายหรือก็กลางลานฝึกซ้อมที่เขากับเอเดนกำลังยืนอยู่เอเดนถึงได้หันกลับมาหาเขาแล้วพูดประโยคที่ไม่น่าเชื่อประโยคหนึ่งออกมา

                “สวมคล็อธซะ เราจะต้องตัดสินกันที่นี่”คำพูดนั้นทำให้โคกะถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันที หากเป็นคนอื่นเขาคงหัวเราะแล้วถามว่าล้อนเล่นใช่ไหมแต่กับคนตรงหน้านั้นต่างกัน ต่อให้ไม่รู้จักกันดีแต่ไม่ว่าใครก็มองออกว่าเอเดนเป็นคนจริงจังและไม่เคยล้อเล่นเหมือนกับแววตาของเอเดนที่จับจ้องมายังตัวเขาในตอนนี้

                “อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ”สิ้นคำนั้นคล็อธสโตนบนถุงมือของอีกฝ่ายก็สว่างวาบก่อนจะปรากฏชุดเกราะสีเงินคุ้นตาบนร่างสูงนั้นบ่งบอกว่าเอาจริงมากแค่ไหน

                “ชิ...นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน”ในวินาทีต่อมาคล็อธสโตนเพกาซัสก็เปล่งประกายกลายเป็นชุดเกราะที่เต็มไปด้วยรอยร้าวบนตัวของโคกะเพราะผลจากการต่อสู้กับอาพุสแต่เด็กหนุ่มก็ไม่มีเวลาสนใจเมื่อเอเดนได้พุ่งหมัดเข้ามาตรงหน้าของเขา

                เปรี้ยง!

                เสียงของกำปั้นปะทะกันดังสนั่นกลบซึ่งทุกสรรพเสียงก่อนที่โคกะจะยกขาขึ้นเตะเข้าที่สีข้างของเอเดนเต็มแรงแต่ก็ถูกอีกฝ่ายเอาแขนมากันไว้อย่างง่ายดายทั้งยังส่งกระแสไฟฟ้าวิ่งเข้ามาในร่างกายของเขาส่งผลให้โคกะรีบถอยห่างออกไปทันที สายฟ้าของเอเดนอาจจะไม่ได้แรงมากแต่ก็ทำให้กล้ามเนื้อของเขาเริ่มเกิดอาการชาขึ้นมาทำให้โคกะเคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย แต่โคกะก็ไม่ยอมแพ้ก่อนจะเงื้อหมัดพุ่งเข้าหาเอเดนอีกครั้ง

                “ทำไมฉันต้องมาสู้กับนายด้วย!”โคกะอดที่จะถามไม่ได้เมื่ออยู่ๆคนที่คิดว่าจะสามารถเป็นเพื่อนกันได้กลับกล้าที่จะทำร้ายเขาโดยไม่ลังเล ดวงตาที่แข็งกร้าวจ้องกลับไปก่อนจะตอบ

                “เพราะอาเรียกำลังร้องไห้”ทันทีที่ได้ยินชื่อของเด็กสาวที่จากไปแล้วโคกะก็ถึงกับชะงักจนโดนเอเดนชกเข้าที่ท้องเต็มแรงจนร่างของเขาปลิวไปกระแทกกับเสาหินที่เหลืออยู่ด้านหลังแต่ในตอนนี้เขาไม่ได้นึกเจ็บแม้แต่นิดเดียว ในหัวของเขามีแต่คำพูดที่ฟังแล้วไม่เข้าใจของเอเดน

                “อาเรียกำลังร้องไห้?”จะเป็นไปได้อย่างไร...เขาไม่อาจจะเชื่อสิ่งที่เอเดนพูดได้เพราะครั้งสุดท้ายที่ได้พบเธอ แม้จะตายไปแล้วแต่เธอก็ยังยิ้มและขอบคุณกับเขาอยู่เลย ทว่า..สายตาของเอเดนไม่ได้โกหกแต่ก็ไม่ต้องรอให้ถูกถามเอเดนก็เป็นฝ่ายพูดออกมาด้วยตัวเอง

                “เมื่อคืนนี้อาเรียมาหาผม เธอบอกให้ผมตามมาที่นี่ เมื่อมาถึงเธอก็ร้องไห้ดวยความเจ็บปวดและทรมาณซึ่งมันก็เป็นความผิดของนายที่ปกป้องเธอไม่ได้”คำพูดของเอเดนยิ่งทำให้เขาไม่อยากจะเชื่อ ต่อให้รู้จักกันได้ไม่นานแต่เขาก็รู้ดีว่าอาเรียไม่มีทางโทษเรื่องความตายของตนเองว่าเป็นความผิดของเขาหรือของใครก็ตาม

                “ผมคิดอยู่เสมอว่าถ้าหากนายไม่ได้พาเธอไปเธอก็คงไม่ต้องตาย ถ้าหากตอนนั้นเธอยืนอยู่เคียงข้างผม ผมก็คงสามารถปกป้องเธอได้...”ขณะที่พูดอยู่ฝ่ายนั้นก็เดินเข้ามาหาเขาแล้วมองเขาด้วยสายตาที่เจ็บปวด มือทั้งสองข้างกำแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น

                “เพราะนายผมถึงต้องสูญเสียเธอไป!”ทุกคำที่ได้ยินตอกย้ำลงไปในใจเขาจนเจ็บ โคกะไม่อาจปฏิเสธคำพูดของเอเดนได้เลย ต่อให้เอเดนไม่พูดเขาก็ยังคิดอยู่เสมอว่าถ้าหากเขาแข็งแกร่งกว่านี้ก็คงปกป้องอาเรียได้ แต่ว่า....

                “นายต่างหากล่ะ ทั้งที่อยู่ข้างๆเธอมาตลอดแต่ทำไมถึงไม่ปกป้องรอยยิ้มของเธอ!”เขายังจำครั้งแรกที่พบกับอาเรียได้ ทั้งที่เธอมีใบหน้าน่ารักแต่กลับไร้รอยยิ้มใดๆ ดวงตามีแต่เพียงความโศกเศร้าและทุกข์ทรมาณ

                “คนขี้ขลาดแบบนายไม่มีสิทธิ์มาว่าฉัน!”โคกะตะโกนกลับไปพร้อมเงื้อหมัดขึ้นเพื่อจะใช้ท่าเพลงหมัดดาวหาง เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกและรวบรวมพลังคอสโมเพื่อที่จะยุติการต่อสู้อันไร้ประโยชน์นี้ ทว่า...

                “อึ่ก!”ความเจ็บปวดที่ร่างกายกลับเกิดขึ้นอีกครั้ง พลังที่รวบรวมมาได้สลายหายไปเหมือนกับน้ำในแก้วที่แตกร้าวพริบตานั้นเองที่เบื้องหน้าของเขาปรากฏสายฟ้าสีเงินในอุ้งมือของเอเดน

                “TonitruiSaltare!”สิ้นเสียงคำรามของเอเดนลูกบอลสายฟ้าก็พุ่งเข้าหาโคกะอย่างไร้ซึ่งความลังเล

                “อ้าก!!!!!!!!!!!”โคกะกรีดร้องอย่างเจ็บปวดขณะที่สายฟ้าอันรุนแรงแล่นไปทั่วร่าง รู้สึกได้ว่าผิวหนังของเขาระอุด้วยความร้อนของพลังสายฟ้าจนได้กลิ่นเนื้อไหม้ เมื่อพลังของเอเดนหมดไปโคกะก็ไม่อาจทรงตัวให้ยืนหยัดได้อีกต่อไป ร่างที่บาดเจ็บพยายามจะหยัดยืนแต่ก็ไม่อาจฝืนกายได้และค่อยๆล้มลงไป

                หมับ!

                เอเดนคว้าข้อมือของโคกะเอาไว้ก่อนที่จะล้มลง เดิมทีโคกะคิดว่าหลังจากได้ระบายโทสะออกไปเอเดนก็คงได้สติขึ้นมาแต่ทุกอย่างมันกลับโหดร้ายยิ่งกว่านั้นเพื่อมือที่จับเขาเอาไว้ได้กระชากให้ร่างของเขากระแทกลงบนพื้นหินแข็งโดยมีร่างของเอเดนคร่อมอยู่ด้านบน

                “เอ...เดน...”นัยน์ตาสีน้ำตาลคู่นั้นสบมองไปยังใบหน้าเฉยชา ไม่รู้ว่าทำไมในเวลานั้นเขากลับรู้สึกหวาดกลัวคนตรงหน้าจับใจยิ่งกว่าครั้งใดๆและเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ก็ได้กลายเป็นคำตอบลางสังหรณ์ของโคกะเป็นอย่างดี

                “อย่าคิดว่ามันจะจบแค่นี้ ผมจะทำให้นายทรมาณที่สุดเพื่อตอบแทนเรื่องของอาเรีย”ในมือของเอเดนสว่างวาบเพราะกระแสไฟฟ้าจากนั้นชายหนุ่มจึงวางมันลงบนอกของโคกะหรือตำแหน่งของคล็อธสโตน

                เพล้ง....

                แว่วเสียงของบางสิ่งที่แตกสลายเพียงบางเบานั่นคือเสียงของคล็อธสโตนที่ถูกทำลายจนแตกร้าว คล้ายได้ยินเสียงร้องด้วยความทรมาณของวิญญาณเพกาซัสในชุดคล็อธดังเข้ามาในโสตประสาท ช่างเป็นเสียงที่เจ็บปวดพอๆกับใจของโคกะในเวลานี้

                “คล็อธเพกาซัส.....คุณซาโอริ....”วินาทีที่คล็อธสโตนอันแสนสำคัญซึ่งได้รับมาจากคนที่สำคัญกว่าใครแหลกสลาย โคกะรู้สึกโกรธแต่อีกด้านหัวของเขากลับว่างเปล่าไปหมดเมื่อของสำคัญถูกทำลายต่อหน้าต่อตา แต่ดูเหมือนจะยังไม่สาแก่ใจเอเดนเมื่อชายหนุ่มยังคงคิดจะกระทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าเมื่อมือทั้งสองข้างกระชากเสื้อผ้าภายใต้ชุดคล็อธที่หายไปแล้วจนขาด

                แคว่ก!

                เสียงเสื้อผ้าฉีกขาดทำให้โคกะกลับมารู้สึกตัว ความหวาดกลัวอันไร้ที่มากำลังทำให้กายของเขาสั่นผวาด้วยนึกหวาดหวั่นต่อสิ่งที่ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อเอเดนกระชากกางเกงของเขาหลุดอออกจากตัว

                “นายจะทำอะไร....”เขาไม่คิดว่าตัวเองจะไม่รู้หากแต่กลัวคำตอบที่ถูกต้องจับใจโดยเฉพาะเมื่อชุดคล็อธโอไรอ้อนได้กลับมาเป็นคล็อธสโตนบนถุงมือสีดำของเอเดนเหมือนเดิม

                “ผมจะช่วงชิงทุกอย่างมาจากนาย ไม่ว่าจะสิ่งสำคัญใดๆหรือกระทั่งศักดิ์ศรีให้เหลือแต่เพียงชีวิตที่ว่างเปล่าเท่านั้น!”สิ้นคำประกาศนั้นขาของเขาก็ถูกแยกออกโดยมีตัวเอเดนแทรกอยู่ตรงกลาง เขาพยายามที่จะผลักร่างนั้นออกไปแต่ก็ทำไม่ได้เพราะอาการบาดเจ็บทำให้เขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใดๆจะต่อต้าน

                “อย่า....”น้ำเสียงของโคกะร้องห้ามอย่างแทบจะอ้อนวอนแต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจเอเดนได้เมื่อชายหนุ่มตัดสินใจรูดซิปกางเกงลงและกระแทกร่างเข้าไปในกายของเด็กหนุ่มเต็มแรง

                “อ๊า!!!!!!”เสียงกรีดร้องของโคกะดังขึ้นอีกครั้งแต่ในคราวนี้มันกลับเป็นความเจ็บปวดที่มาจากทั้งทางร่างกายและจิตใจ โคกะไม่อยากเชื่อในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง เขากำลังถูกเอเดนข่มขืน....

                เพราะว่ามันคือการข่มขืนจึงไม่มีการเล้าโลมใดๆเพื่อกระตุ้นอารมณ์ให้เกิดการคล้อยตามมีแต่เพียงความรุนแรงของผู้กระทำที่ถ่ายทอดมายังร่างกายนี้อย่างไร้ปรานี  แผ่นหลังของเขาครูดไปกับเศษหินบนพื้นอันเย็นเฉียบทุกครั้งที่อีกฝ่ายกระแทกกายเข้ามาจนเขาไม่อาจรับรู้ได้ว่าตนเองเจ็บที่ใดมากกว่ากัน

                “ไม่! เอามันออกไป!”เขาได้แต่กรีดร้องอย่างเปล่าประโยชน์ขณะที่ถูกกระทำชำเรา ความเจ็บปวดที่คล้ายกับจะถูกฉีกร่างออกกำลังทำให้ใจที่เคยเข้มแข็งเริ่มจางหายไปเหลือแต่เพียงความทุกข์ทรมาณและหวาดกลัว โคกะพยายามขยับสะโพกหนีก็ไม่อาจสู้แรงของมือแกร่งที่ยึดแน่นบนเอวทั้งสองข้างได้

                “อึก....พอที...ได้โปรด....”เอ่ยอ้อนวอนอย่างสิ้นท่าไม่เหลือกระทั่งศักดิ์ศรีให้เหยียบย่ำ ผู้ที่อยู่เบื้องบนหยุดนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงอ่อนแรงนั้นดังมาจากคนที่อยู่ใต้ร่างของเขา เอเดนปล่อยมือข้างหนึ่งจากบั้นเอวของโคกะแล้ววางมันลงบนแก้มขาวที่เปียกไปด้วยน้ำตาก่อนจะเลื่อนลงมาที่ลำคอแล้วออกแรงกดมันลงกับพื้น

                “ผมจะไม่มีวันหยุดเพียงเพราะคำอ้อนวอนไร้ค่าของนาย”แล้วชายหนุ่มก็เริ่มกระแทกกายเข้ามาอีกครั้งด้วยจังหวะที่แรงและเร็วกว่าเดิมเรียกเสียงครวญครางให้ดังออกมาจากผู้ถูกกระทำ คำพูดของเอเดนทำให้โคกะได้แต่จิกเล็บเข้าไปในมือที่ถูกพันธนาการเอาไว้และหวังได้แต่เพียงขอให้มันจบลงโดยเร็วอย่างสิ้นหวัง

                ท่ามกลางความพ่ายแพ้ที่ถูกเหยียบย่ำซ้ำเติม เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากด้วยความโกรธแค้นทั้งกับผู้กระทำและตนเองที่อ่อนแออย่างน่าสมเพช ความเจ็บบนแผ่นหลังเริ่มกลายเป็นความชาหากแต่ความเจ็บของส่วนที่ถูกกระแทกร่างเข้ามากลับชัดเจนขึ้นทุกครั้งที่ถูกแทรกสอด ลมหายใจเริ่มสะดุดเพราะการกระทำอันไร้ปรานีจวบจนกระทั่งอีกฝ่ายได้กระแทกเข้ามาด้วยแรงที่มากกว่าครั้งใดเพื่อปลดปล่อยธารอารมณ์เข้ามาในกายเขาวินาทีนั้นเด็กหนุ่มกัดฟันจิกเล็บจนเข้าเนื้อเมื่อรู้สึกได้ว่ามีของเหลวอุ่นร้อนถูกส่งเข้ามาในร่างของตัวเอง

                อา...ในที่สุดก็จบสักที....

                โคกะคิดเช่นนั้นและอดที่จะยินดีจากใจไม่ได้เมื่อสิ่งเลวร้ายจะจบลง เอเดนถอนกายออกมาจากร่างที่หายใจหอบรัวและสั่นเทา ดวงตาคู่คมมองเสี้ยวหน้าที่แฝงด้วยความโล่งใจของโคกะก่อนจะกัดริมฝีปากและพลิกร่างนั้นคว่ำลงกับพื้นทำให้ความหวาดหวั่นกลับเข้ามาสู่ใบหน้าและดวงตาของโคกะอีกครั้งหนึ่ง

            “ม...ไม่นะ..อย่า..”เขาขอร้องอีกครั้งแต่ผลก็ไม่ต่างกับครั้งแรกเลยแม้แต่น้อย

                “อย่าคิดว่ามันจะจบเพียงแค่ครั้งเดียว”อีกฝ่ายบอกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบและเริ่มลงมือข่มขืนเขาอีกครั้ง

                นับจากนั้นฝันร้ายของโคกะก็ได้เริ่มต้นขึ้น...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา