KP Warriors : โรงเรียนนักรบ แหวนเทวะ

9.7

เขียนโดย nesugiso

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.35 น.

  20 ตอน
  12 วิจารณ์
  23.48K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557 11.53 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

14) อาภรณ์แห่งผู้กล้า

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
         เสียงระเบิดยังคงดังกระหึ่มไปทั่วเมืองเล็กๆที่ตั้งอยู่ก่อนหน้าเมืองไนท์เบลดมาไม่ไกลนัก เหล่าประชาชนชาวผู้บริสุทธิกำลังหนีตายกันอย่างจ้าละหวั่นเพื่อหวังจะมีชีวิตรอดไปให้ได้ กองทัพยักษ์ที่กำลังวิ่งไล่ฆ่าชาวเมืองอย่างไม่ปราณียังคงรุกหน้าต่อไป ไม่มีใครรู้ถึงเป้าหมายของพวกมัน ว่าพวกมันต้องการอะไรจากเมืองนี้ประชาชนกลุ่มหนึ่งรีบวิ่งหนีตายจากเหล่ายักษ์ที่กำลังวิ่งเข้ามาหาอย่างบ้าคลั่งไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ๆ เมื่อสมาชิกที่วิ่งหนีมาด้วยกันคนสุดท้ายได้เข้ามารวมกับทุกๆคนแล้ว ก็รีบปิดประตูบานใหญ่และล็อคกลอนประตูนั้นอย่างรีบเร่ง พร้อมกับหาที่หลบให้กับตัวเอง เช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นๆที่กำลังหลบกันอยู่ใต้โต๊ะด้วยความหวาดกลัว
 
          เสียงฝีเท้าที่ดังสนั่นหวั่นไหวค่อยๆหายและห่างจากหน้าร้านนั้นไปอย่างช้าๆ จนเสียงนั้นค่อยๆจางลงและหายไป แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงมีความหวาดกลัวไม่หาย สีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นปรากฏออกมาจากใบหน้าของสมาชิกชาวเมืองในร้านนั้นทุกๆคน ชายวัยกลางคนผู้แสนใจกล้าคนหนึ่งค่อยๆเลื่อนใบหน้าของตัวเองขึ้นมาทางหน้าต่างให้พ้นระดับสายตาเพื่อที่จะดูว่าเหตุการณ์ภายนอกร้านตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง สายตาของเขาค่อยๆเลื่อนขึ้นไปจนพ้นขอบหน้าต่าง แต่ทว่าเมื่อเขาได้เห็นเหตุการณ์ที่กำลังอยู่ตรงหน้ามันช่างไม่ต่างอะไรกับฝันร้ายของเขาในยามตื่น
 
         กองทัพยักษ์กลุ่มหนึ่งกำลังยืนอยู่ภายนอกร้านนั้นและกำลังล้อมร้านนั้นเอาไว้ เมื่อเห็นสายตาของชายวัยกลางคนผู้นั้นแม้จะเป็นแค่ดวงตาโผล่ออกมานิดหน่อย แต่ก็ทำให้พวกมันมั่นใจได้ว่าที่แห่งนี้มีชาวเมืองหลบอยู่
 
         ชายวัยกลางคนชักตัวกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงหายใจเฮือกใหญ่ที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทุกคนภายในนั้นส่งเสียงสั่นเคลืออย่างขวัญผวา บางคนสวดภาวะนาขอให้ตัวเองมีชีวิตรอดต่อไป บางคนร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว ชายวัยกลางคนยื่นมือโอบกอดคู่รักและลูกชายของตัวเองอย่างแนบแน่น และหลับตาสวดภาวะนาขอให้ครอบครัวมีชีวิตอยู่ต่อไป
 
         ทันใดนั้นเองก็มีเสียงกระจกแตกดังขึ้นมา พร้อมกับสิ่งของสิ่งหนึ่งทรงกลมไม่ใหญ่มากที่พุ่งเข้ามาหล่นลงตรงหน้าของชาวเมืองภายในร้านนั้น ไม่นานนักเมื่อมันเปิดออก แสงสีแดงก็ไล่ไปตามแนวทแยงของลูกบอลลูกนั้น จนลูกบอลเกิดเป็นแสงสว่างจ้าและกลายเป็นระเบิดอาณุภาพร้ายแรง เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว กระจกภายในร้านแตกละเอียดพร้อมกับเปลวไฟที่พุ่งออกมา
 
         ชาวเมืองที่อยู่ภายในนั้นสิ้นใจไปพร้อมกับเสียงระเบิดและเปลวไฟที่ลุกโชนออกมา ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่มีแม้แต่คำล่ำลาจากครอบครัวที่อยู่เคียงข้างกัน
 
         เสียงผ้าคลุมโบกสะบัดบนตึกสูงตรงข้ามกับร้านอาหารที่ถูกระเบิดไป ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ยืนดูเหตุการณ์นั้นและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน สายตาของเขาสะท้อนออกมากผ่านเลนแก้วใสสีดำของหน้ากากรูปนกสีดำนั่น มันเต็มไปด้วยความผิดหวังและเวทนา
 
         "....ทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้ ทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่ามันสนุกตรงไหนกันเล่า!"
 
 
 
 
 
         ภายในห้องเรียนไนท์เบลดตอนนี้ถึงเวลาพักระหว่างชั่วโมงเรียน เด็กนักเรียนหลายๆคนต่างทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายกับตัวเองต่างๆภายในห้องเรียนนั้น ไม่ว่าจะเป็นคุยกันในเรื่องต่างๆนานาหรือเล่นสนุกกันภายในห้องตามประสาวัยรุ่นคึกคะนอง แต่ก็ไม่มีใครได้สนใจทีวีบนผนังหน้าห้องเรียนนั้นที่กำลังเปิดช่องข่าวท้องถิ่นเอาไว้ ยกเว้นสายตาคู่สวยของเด็กสาวคนหนึ่ง
 

         "ต่อไปเป็นรายงานสดนะคะ ขณะนี้ทีมข่าวท้องถิ่นเมืองไนท์เบลดรายงานการก่อจลาจลที่ถนนโกลด์เด้นสวอน เขตชินตะคานะ ขอให้ผู้ที่กำลังใช้รถใช้ถนนเลี่ยงเส้นทางนี้โดยเด็ดขาด ยังไม่มีเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐเข้ามาดูแลหรือยับยั้งในตอนนี้...."
 

         ภาพที่กำลังฉายอยู่หน้าจอทีวีนั้นเป็นภาพของเมืองเล็กๆที่กำลังมีควันไฟสีดำลอยฟุ้งขึ้นมาตามจุดต่างๆ ผู้คนชาวเมืองต่างวิ่งหนีอย่างแตกตื่นออกมา บ้างก็ขี่รถยนต์ออกมาด้วยความเร็วสูง เสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของชาวเมืองเล็ดลอดออกมาจากจอโทรทัศน์เครื่องนั้น ทำให้เด็กสาวคนนั้นเกิดความหวาดวิตกขึ้นมาในทันใด จนกระทั่งเห็นเด็กสาวตุ้ยนุ้ยคนหนึ่งเดินผ่านหน้าของเธอไปยังโทรทัศน์เครื่องนั้น
 
         "ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย เปลี่ยนช่องดีกว่า" สาวเจ้าหยิบรีโหมดที่อยู่บนโต๊ะอาจารย์ขึ้นมาเพื่อจะเปลี่ยนช่องข่าวที่เธอไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไรนัก โดยที่ไม่ได้ทันสังเกตุเห็นเพื่อนของเธอที่ได้ยินว่าเธอกำลังจะเปลี่ยนช่องหนีข่าวที่เธอกำลังให้ความสนใจ จนเธอต้องลุกพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วตรงดิ่งไปที่เพื่อนของเธอที่กำลังยกรีโหมดขึ้นมา
 
         "เดี๋ยวก่อนซุกกี้! อย่าพึ่งเปลี่ยนช่อง!" เด็กสาวที่มาทีหลังคว้ารีโหมดที่อยู่ในมือของเธอจนทำให้เธอไม่พอเล็กน้อย แถมยังเร่งเสียงทีวีขึ้นมาให้มันดังขึ้น ดังจนเพื่อนๆในห้องของเธอหันมาสนใจข่าวที่กำลังถ่ายทอดนั้น
 
         ซูซุกิ คาน่อน เด็กสาวร่างอวบระยะสุดท้าย ผิวขาว ผมยาวสีดำสรวยเป็นเงางาม ใบหน้าสวยของเธอในตอนนี้กำลังแสดงความแปลกใจกับเพื่อนสาวของเธอตรงหน้าเป็นอย่างมาก
 
         "เอ๋! กินอะไรผิดมาหรือป่าวเนี่ย มิซึกิ ทำไมวันนี้มาแปลกจัง ปกติเรื่องพวกนี้เธอไม่เคยสนใจเลยนะ" เพื่อนสาวว่า ส่วนสาวสวยที่แย่งรีโหมดจากเธอไปก็หันมามองค้อนเธอทันที
 
         "ขอฉันฟังข่าวก่อนนะซุกกี้" มิซึกิว่า คาน่อนค่อยๆหันไปยังหน้าจอทีวีที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าแล้วตั้งใจฟังเสียงที่ออกมาจากทีวีนั้น ไม่นานนักใบหน้าที่ดูไม่สนใจอะไรกับเรื่องนี้มากนักก็ต้องเปลี่ยนไปในทันที เมื่อได้ยินข่าวที่ค่อนข้างน่าตกใจที่ออกมาจากทีวีเครื่องเดียวกันนั้น
 
         "เห้! เขตชินตะคานะเหรอ อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเอง!!" คาน่อนพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ตกใจเป็นอย่างมาก และเพราะเสียงที่ดังขึ้นมาอย่างตกใจกลัวของคาน่อนทำให้เพื่อนๆในห้องของเธอหยุดกิจกรรมที่กำลังทำกันอยู่ชั่วครู่ แล้วเงยหน้ามองทีวีที่อยู่บนเพดานหน้าห้องนั้น
 
 
         ใบหน้าสวยของมิซึกิเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล เธอเม้มปากเล็กน้อยและกังวลใจ นึกถึงใครบางคน ใครบางคนที่อยู่ในใจของเธอมาตลอดและเป็นดังฮีโร่ในดวงใจของเธอตลอดมา
 
         ... รุ่นพี่เรย์ ...
 
 
 
 
 
 
 
         ความวุ่นวายภายในเมืองนั้นยังคงไม่จบสิ้นลง กองทัพยักษ์ยังคงรุกหน้าทำลายบ้านเมืองไปเรื่อยๆ พวกมันยังคงวิ่งไล่ฆ่าฟันซาวเมืองตามท้องถนนใหญ่ของเมืองตามใจอยาก หรือแม้กระทั่งจะบุกเข้าไปข้างในบ้านต่างๆที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ ต้นไม้ริมข้างทางถูกเผาเรียบ สิ่งแวดล้อมต่างๆแปลเปลี่ยนไปเพราะถูกทำลายจนมีสภาพที่ต่างจากเดิมไปมาก 
 
         พวกยักษ์ธนูที่อยู่บนตึกต่างโหมกระหน่ำยิงลูกธนูลงไปยังชาวเมืองที่อยู่ด้านล่าง ลูกธนูที่โหมไปด้วยเปลวเพลิงพุ่งลงไปยังต้นไม้จนเกิดเป็นเปลวเพลิงขนาดใหญ่ รวมไปถึงรถที่จอดอยู่ริมถนนก็ถูกเผาจนวอดวายไม่เหลือ เปลวเพลิงลุกโหมกระหน่ำไปทั่วกลายเป็นทะเลเพลิงแดงฉาน 
 
         และในขณะนั้นเองที่เปลวเพลิงนั้นปลิวไปตามสายลมที่เป็นเสมือนดั่งพายุ เปลวไฟที่เคยเริงระบำค่อยหายไปหรือกลายเป็นเกร็ดน้ำแข็ง ทะเลเพลิงที่เคยมีอยู่ให้เห็นหายไปพร้อมกับสายลมพายุที่กำลังโหมเขามายังพวกยักษ์ที่อยู่บนตึกนั้น พวกมันค่อยๆชายตาไปมองตาแสงออร่าสีน้ำเงินที่ลอยเข้ามาหาพวกมันอย่างรวดเร็ว
 
 
- ไดม่อน!!-- ฟริสเซอร์!!!! -
เสือเขียวดาบพุ่งเข้ามาหาพวกยักษ์ที่อยู่บนตึกนั้นด้วยความเร็วสูงและพุ่งเข้าปะทะเข้าอย่างแรง เพราะความรุนแรงของหมัดพลังแห่งผู้กล้าสีน้ำเงิน ทำให้บนด่านฟ้าของตึกนั้นกลายเป็นน้ำแข็งไปในที่สุด
 
 
         รามูเนสบินอยู่บนอากาศมองดูผลงานของตัวเองบนยอดตึกนั้นก่อนที่จะชายตาไปรอบๆ เหล่ายักษ์ยังคงมีให้เห็นอยู่ทั่วเมืองจนแม้แต่ผู้กล้าแห่งไนท์เบลดอย่างเขายังรู้สึกหวั่นใจไม่น้อย พวกมันยังคงแห่กันเข้ามาในเมืองอย่างไม่รู้จบสิ้น
 
         "มากันเยอะจริงๆ จะต้านไม่ไหวแล้วนะเนี่ย!!"
 
         รามเนสบ่นไปพร้อมกับบินตรงไปยังกลุ่มยักษ์กลุ่มหนึ่งด้วยความเร็วสูง พวกมันกำลังง้างดาบเพื่อที่จะทำร้ายชาวเมืองที่อยู่แทบเท้าของพวกมัน แต่กลับถูกหยุดเอาไว้ด้วยหมัดน้ำแข็งของรามูเนสที่พุ่งเข้ามาจนพวกมันกระเด็นปลิวไป ยังไม่พอแค่นั้น รามูเนสบินเลยถัดจากตรงนั้นไปอีกหน่อยพร้อมกับใช้ลูกเตะๆใส่ซากรถคันสีเทาที่ขวางทางบินของเขาอยู่ รถคันดังกล่าวลอยละลิ่วไปหายักษ์กลุ่มหนึ่งที่กำลังวิ่งกรูเข้ามา เพราะความรุนแรงของลูกเตะรวมไปถึงน้ำหนักของรถยนต์คันนั้นทำให้แรงบวกที่พุ่งเข้ามาเพิ่มพูลเป็นสองเท่า เหล่ายักษ์ถูกรถชนล้มกลิ้งกันระเนระนาดไป
 
         แต่ในขณะเดียวกันเกิดเสียงระเบิดขึ้นมาใกล้ๆทำให้รามูเนสไม่รอช้ารีบบินตามเสียงนั่นไป เมื่อมาถึงจุดที่เกิดเสียงระเบิดขึ้นนั้นรามูเนสหยุดชะงักกลางอากาศ เพราะรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่กำลังอยู่กลางถนนที่ว่างเปล่า 
 
         อมนุษย์ตัวหนึ่งร่างยักษ์สีดำทมิฬ ลำตัวบึกบึนคล้ายรูปร่างของมนุษย์คนแต่ใบหน้าเป็นวัวกระทิง มันมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่หนักอึ้ง เมื่อมันทิ้งน้ำหนักลง ถนนก็แตกร้าวตามแรงที่วางลงไป ค้อนปอนขนาดใหญ่ยักษ์กว่าร่างกายของมันมากๆที่มันกำลังพาดบ่าเอาไว้ดูน่ากลัวสำหรับคนที่พบเห็น และไม่ทันไรมันก็เหวี่ยงค้อนที่ดูแสนจะหนักอึ้งนั้นไปยังรถยนต์สองคันที่กำลังขวางหน้ามันอย่างสบายๆ รถยนต์ที่ถูกค้อนเหวี่ยงใส่นั้นปลิวไปคนละทิศคนละทาง ราวกับเป็นกระดาษที่ถูกลมพัดก็ไม่ปาน
 
         รามูเนสอึ้งไปพักหนึ่งก่อนที่จะรู้สึกตัวว่าอะไรบางอย่างกำลังเข้ามาในหัวในตอนนั้น พลังอะไรบางอย่างที่สามารถสื่อเข้ามาถึงภายในความคิดของเขาได้ หลังจากนั้นไม่นานเมื่อเสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาในหัว ก็รู้ได้ในทันทีว่าคนที่จะทำแบบนี้ได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ แองเจโล่
 
         ... รามูเนส เห็นเหมือนที่ฉันกำลังเห็นอยู่นี่มั๊ย ...
 
         "ใช่! แต่ยังไม่เชื่อสายตาตัวเองเท่าไร ขอเข้าไปดูใกล้ๆหน่อยแล้วกัน" ว่าแล้วรามูเนสก็พุ่งตรงไปยังอมนุษย์ที่อยู่ข้างล่างนั่น
 
 
 
 
         ซิกฟรีดยืนตรึงกำลังของพวกยักษ์เอาไว้อยู่ที่ถนนแห่งหนึ่งใกล้ๆกับที่รามูเนสอยู่ เขาเรียกพลังออกมาจากฝ่ามือทั้งสองข้างแล้วปล่อยออกไปทำลายพวกยักษ์ที่กำลังวิ่งเข้ามา สายพลังสีม่วงสว่างที่มีพลังมหาสารทำให้ร่างของพวกยักษ์ที่วิ่งเข้ามาหายไปกลายเป็นฝุ่นละอองสีดำแล้วพุ่งขึ้นไปบนอากาศ เช่นเดียวกับยักษ์ที่กำลังจะวิ่งเข้ามารอบๆตัวของเขา แต่ถึงอย่างนั้นก็มียักษ์บางตัวหลุดจากพลังทำลายนี้มาได้และหวังจะเข้าไปใกล้ซิกฟรีดให้มากที่สุด
 
         แต่ด้วยความว่องไวของซิกฟรีดทำให้เขาไหวตัวทัน ซิกฟรีดเลิกรวบรวมพลังแล้วหันไปใช้การต่อสู้ระยะประชิดแทน เขาหันไปใช้กำปั้นหวดใส่ยักษ์ที่กำลังวิ่งเข้ามาจนมันกระเด็นไปให้พวกที่กำลังวิ่งตามมารับร่างที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับความแรงของหมัดนั้น แล้วสวนกลับพวกยักษ์ที่เหลือไปด้วยลูกบอลพลังที่คล้ายกับดวงดาวที่รวบรวมพลังเอาไว้ระหว่างฝ่ามือทั้งสอง พลังของมันรุ่นแรงมากจนแม้แต่ชุดเกราะที่แข็งแกร่งของพวกยักษ์ต้องแหลกไปเมื่อถูกพลังอันมหาสารนั้น
 
         "เชอะ! รู้สึกแย่เป็นบ้าเลยที่ทำอะไรโดยที่ไม่ได้วางแผนแบบเนี่ย!" ซิกฟรีดบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ หลังจากที่จัดการกับกองทัพยักษ์กลุ่มนั้นไปได้แล้ว
 
         "เรื่องนั้นชั่งมันก่อนเถอะน่า!" เสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาบนฟากฟ้าทำให้จนทำให้ซิกฟรีดเกิดความสนใจ
 
 
         ตรงหน้าของซิกฟรีดมียักษ์กลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งกำลังค่อยๆย่างกรายเข้ามาหาเขา แต่ทันใดนั้นเองได้เกิดสายฟ้าสีเหลืองพุ่งตรงลงมาจากท้องฟ้าลงไปกระทบกับร่างของเหล่ายักษ์ตรงหน้าของซิกฟรีด ด้วยอานุภาพที่ทรงพลังทำให้ร่างของพวกมันเกิดอาการช็อดและระเบิดไปในที่สุด และในกลุ่มควันที่ดำที่ลอยขึ้นไปบนฟ้า คนที่พุ่งตรงฝ่ากลุ่มควันนั้นออกมานั่นคือแองเจโล่เอง
 
         แองเจโล่ค่อยๆยืนขึ้นมาหลังจากที่ลงถึงพื้นได้สำเร็จ ซิกฟรีดรีบวิ่งมาสมทบกับเขาในทันที
 
         "ไม่นึกเลยว่าพวกมันจะใช้เจ้าพวกนั้นแล้ว อคิลลิสล่ะ! ยังไม่มาอีกเหรอ?" แองเจโล่ถามขึ้นมาในทันที
 
         "ไม่ได้ติดต่ออะไรกลับมาเลย" ซิกฟรีดตอบ "ไปไหนของมันกันนะ"
 
         "พวกมันมากันเป็นเบือเลย เป็นแบบนี้เราต้านเอาไว้ไม่อยู่แน่" แองเจโล่พูดตัดพ้อ
 
         "กองทัพมัวทำไรกันอยู่นะ!!" ซิกฟรีดสบถขึ้นมาอีกครั้งด้วยความไม่พอใจ
 
 
 
         หลังจากสิ้นเสียงของซิกฟรีดไปได้ไม่นานทั้งเขาและแองเจโล่ก็ต้องตั้งท่าต่อสู้กันอีกครั้ง เมื่อในตอนนี้กองทัพยักษ์ที่พวกเขาพึ่งจะกำจัดไปได้ไม่นานนักก็มีทัพใหม่เข้ามาเสริมในทันที และกำลังล้อมกรอบผู้กล้าทั้งสองคนนี้เอาไว้ประหนึ่งเหมือนนักรบที่เข้าตาจน แองเจโล่และซิกฟรีดยืนหยัดเคียงข้างกันชนิดแผ่นหลังของทั้งคู่ชิดกันแน่น สายตาของแองเจโล่กำลังหาทางตีฝ่าวงล้อมออกไป แม้จะเหาะหนีแต่คงจะไปได้ไม่ไกลเพราผลธนูที่อยู่บนยอดตึกกำลังซุ่มโจมตีเขาทั้งสองอยู่ ซิกฟรีดกำลังคิดแผนดีๆออกมาได้แล้ว แต่ทว่าหลังจากนั้นได้เกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น
 
         ในขณะที่ซิกฟรีดกำลังจะใช้พลังตีฝ่าวงล้อมออกไปนั้น จู่ก็ได้มีเสียงระเบิดขึ้นมาจากในกลุ่มยักษ์พวกนั้น และตามไปด้วยเสียงปืนที่กำลังคำรามเป็นจังหวะๆรอบๆ กองทัพยักษ์อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว พวกมันเอาแต่มองไปรอบๆว่าเสียงปืนพวกนั้นมันมาจากไหน ยังไม่ทันได้คำตอบกระสุนก็พุ่งเข้าไปเจาะผ่านหัวของพวกมันไปจนสิ้นใจลงไปที่ละตัวๆ พวกยักษ์ธนูที่อยู่บนยอดตึกเมื่อเห็นที่มาของเสียงปืนนั่นแล้วก็เตรียมยิงโจมตีสวนกลับ แต่ทว่าการกระทำของพวกมันถูกหยุดโดยจรวดบาซูก้าที่พุ่งเข้ามาอย่างที่พวกมันไม่ทันได้ตั้งตัวก่อนที่จะได้ยินเสียงระเบิดที่ดังสนั่น แรงระเบิดนั้นมหาสารทำให้พวกยักษ์ธนูหายไปพร้อมกับร่องรอยการทำลายล้างนั้นที่ทำให้ยอดตึกหายไปเกือบครึ่ง
 
         ผู้กล้าทั้งสองชายสายตามองไปรอบๆนั้นด้วยความมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น และไม่นานนักเมื่อแองเจโล่ได้เห็นอะไรบางอย่างที่กำลังตรงมาหาพวกเขา ทำให้พวกเขาได้คำตอบจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้
 
 
 
         รถขนส่งสองชั้นขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของพวกเขา สีของมันเหมือนกับสีแดงขาวของชุดนักเรียนที่เหล่าผู้กล้าทั้งสองกำลังสวมใส่อยู่ มันค่อยๆเคลื่อนที่เข้ามาหาอย่างช้าๆ พร้อมกับกองกำลังทหารกลุ่มหนึ่งอาวุธครบมือที่กำลังวิ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ทำให้ซิกฟรีดและแองเจโล่ยืนอึ้งไปพักใหญ่ก่อนที่เข้าทั้งสองจะออกจากภวังค์นี้ เมื่อเขาเห็นอาจารย์ของเขาเดินมาพร้อมกับนายทหารหนุ่มอีกหนึ่งนาย
 
         "อาจารย์เอวิน!" เอวินเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่บ่งบอกได้ถึงความเป็นห่วงลูกศิษย์ของตัวเองอยู่
 
         "ไม่เป็นอะไรนะเธอทั้งคู่!" 
 
         "ครับอาจารย์!" ทั้งสองตอบอย่างพร้อมเพรียงกันประหนึ่งนัดกันมา แล้วค่อยๆชายสายไปมองไปยังนายทหารที่อยู่ข้างๆด้วยความสนใจ นายทหารคนนั้นกล่าวทักทายเหล่าผู้กล้าทั้งสองก่อนอย่างไม่ลังเล
 
         "สวัสดีผู้กล้าทั้งสอง ฉัน แอล์ร่อน เชส แห่งทอรัส ได้พบกันซักทีนะ" เขากล่าวทักทาย เลื่อนปืนเอ็มสิบหกที่สะพายเอาไว้บนบ่าให้ไปด้านข้างตัวพร้อมกับยื่นมือไปทักทายเหล่าผู้กล้าทั้งสอง เมื่อผู้กล้าทั้งสองได้ยินชื่อก็เกิดอาการดีใจขึ้นมาเมื่อได้ยินชื่อของเขา
 
         "โหวววว คุณเองก็เป็นหนึ่งในผู้กล้าสีทองเหรอครับ!!" แองเลโล่จับมือตอบพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความแปลกใจปนกับดีใจ ที่ได้เจอหนึ่งในผู้กล้าที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งไนท์เบลด
 
         "เดี๋ยวเอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะ" อาจารย์เอวินพูดตัดบท "ซิกฟรีด แองเจโล่ พวกเธอรีบไปที่ไวล์แท้งซะ ไปรับเจ้าสิ่งนั้น"
 
         "จะให้พวกเราใช้เจ้าสิ่งนั้นจริงๆเหรอ" ซิกฟรีดถามด้วยความสงสัย
 
         "ตอนนี้ถึงเวลาของพวกเธอแล้ว มันก็ถึงเวลาที่พวกเราจะมอบของสิ่งนี้ให้แกพวกเธอด้วย รีบไปซะ!" อาจารย์เอวินพูดกำชับอีกครั้ง
 
        "ครับ!!!" ทั้งสองขานรับแล้วรีบวิ่งตรงไปยังรถบัสสีแดงขาวที่อยู่ตรงหน้านั่น
 
        "แองเจโล่ แล้วรามูเนสล่ะ!"
 
         "เดี๋ยวฉันจัดการเอง นายรีบไปก่อนเลย" ซิกฟรีดพยักหน้าแล้วหันหลังเข้าไปในตัวรถจากประตูที่กำลังเปิดเอาไว้ ส่วนแองเจโล่เริ่มใช้พลังจิตของตัวเองสื่อไปยังรามูเนสอีกครั้งหนึ่ง ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีเหลืองที่ส่องสว่างในฉับพลัน
 
 
         ... รามูเนส! รามูเนส! ของสิ่งนั้นมาถึงแล้ว รีบมาที่นี่ด่วนเลย มาเอาของๆนายไป ...
         "ฉันรู้แล้วล่ะน่า! แต่ตอนนี้มันยังไม่ว่างไปเอาเฟ้ย!!!"
 
 
- โครมมมมมม มมมม -
         รามูเนสบินเอวียวตัวหลบค้อนปอนขนาดยักษ์ของสัตว์ร่างคนขนาดใหญ่ตัวนั้น จนค้อนปอนของมันพุ่งไปยังตึกที่อยู่ข้างๆ แรงของมันมหาสารจนทำให้ตึกทั้งหลังนั้นถล่มลงมา รามูเนสบินวนกลับมาพร้อมกับใช้ลูกเตะเข้าไปที่ใบหน้าที่คล้ายกับวัวกระทิงนั้นจนหน้าของมันเหย่เกเมื่อโดนแรงอัดมหาสาร แต่ทว่าแค่นั้นมันยังไม่เพียงพอ มันปัดร่างของรามูเนสออกไปอย่างแรงราวกับปัดแมลงที่กำลังบินตอมใบหน้าของมัน 
 
         "เย้ยยยยยยยยยย ยยยยย " ร่างของรามูเนสพุ่งไปราวกับจะจรวดทะลุตึกไป และทะลุไปอีกตึกหนึ่ง แค่นั้นยังไม่พอ ยังทะลุไปอีกตึกหนึ่งจนแผ่นหลังของรามูเนสจมลงไปในผนังตึกเกิดเป็นรอยปูนแตกลึกลงไป ร่างของรามูเนสค่อยๆไหลลงมาจากผนัง
 
         รามูเนสนั่งก้มหน้าด้วยความจุกก้อนใหญ่ๆอยู่ในลำคอลามไปถึงท้อง แต่ถึงกระนั้นสายตาของรามูเนสก็ได้เห็นร่างอันมหึมาของสัตว์ยักษ์ที่ทำร้ายเขานั้นกำลังวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงโดยที่ไม่ได้สนใจตึกที่กำลังกั้นขวางทางมันอยู่เลยแม้แต่น้อย มันวิ่งทะลุผนังคอนกรีตมาอย่างไม่ใยดีเพื่อที่จะมาซ้ำรามูเนสที่กำลังนั่งอยู่ แต่ทว่าด้วยเล่ห์เหลี่ยมของผู้กล้าสีน้ำเงิน รามูเนสรอจังหวะเหมาะๆเมื่อมันวิ่งเข้ามาใกล้รามูเนสก็ปล่อยหมัดเยือกแข็งที่เขาแอบนั่งรวบรวมพลังอยู่ตั้งแต่ที่เขาถูกอัดจนมาถึงที่นี่ หมัดพลังไอเย็นถูกปล่อยออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง ร่างอันมหึมาค่อยๆเคลื่อนที่ช้าลงจนหยุดไปกับน้ำแข็งที่เคลื่อบร่างนี้เข้าไปจนหมด ใบหน้าอันเกรี่ยวกราดถูกเปิดเผยให้เห็นได้ชัดภายใต้น้ำแข็งที่แช่แข็งร่างอันมหึมานี้
 
         รามูเนสค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วบินออกจากที่ตรงนั้นไป
 
         "...พวกนายไปกันก่อนเลย เจ้าเนี่ยมันกำลังตรงไปที่จุดนัดพบของพวกเรา เดี๋ยวฉันจะรั้งมันเอาไว้ให้เอง" รามูเนสพูดขึ้นมาแล้วก็ค่อยๆร่อนลงที่ถนนจุดเดิมนั้น
 
         ... แน่ใจเหรอครับว่าจะรับมือ "มิโนทอรัส" คนเดียวไหวน่ะ ...
 
         "ก็แห๋งล่ะ ฉันรับมือมันไม่ไหวอยู่แล้ว!!" รามูเนสพูดสวนทันควัน "อย่ามั่วแพร่มมากน่ะ!! รีบไป!!"
 
 
         สิ้นเสียงของรามูเนสเขาก็หันหลังกลับไปที่ๆเขาบินจากมา เสียงน้ำแข็งแตก น้ำแข็งเริ่มร้าวและร่างของมิโนทอรัสที่อยู่ภายในนั้นก็เริ่มค่อยๆขยับได้ จนในที่สุดมันก็หลุดออกมาจากการแช่แข็งของรามูเนสจนได้ 
 
 
 
 
         ภายในตัวรถที่มีแสงไฟส่องสว่าง ขนาดของห้องนั้นกว้างขวางราวกับเป็นห้องๆหนึ่งในบ้านซักหลัง ซิกฟรีดรีบวิ่งผ่านห้องที่มีเบาะสีน้ำตาลที่รายล้อมโต๊ะที่อยู่ตรงกลางนั้นเข้าประตูไปพบกับห้องอีกห้องหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยเครื่องมือที่ดูทันสมัยมากมาย แต่ถึงกระนั่นสายตาของเขาก็ยังคงให้ความสนใจกับชายหนุ่มที่กำลัง นอนอยู่บนเตียงแก้วตรงกลางห้องนั้น
 
         "อคิลลิส!!" ซิกฟรีดรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของสหายด้วยความเป็นห่วง ซึ่งท่อนบนของคนที่กำลังนอนอยู่ในตอนนี้กำลังพันด้วยผ้าพันแผล ดวงตาของเขาปิดสนิดแต่ยังมีลมหายใจอยู่
 
         "รุ่นพี่ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะ" เสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาจากหน้าเครื่องอุปกรณ์อิเล็กทอนิคที่อยู่ข้างๆนั้น
 
         เด็กสาวร่างบางเพียวลมในชุดนักเรียนไนท์เบลดชั้นมอต้นค่อยๆเดินเข้ามา เธอมีผมสั้นประบ่าสีน้ำตาลแก่ ผิวขาวใสสะอาด ดวงตาหยีทำให้ใบหน้าของเธอเหมือนเธอกำลังยิ้มอยู่ตลอดเวลา และเธอก็เป็นคนที่คอยปฐมพยาบาลคนที่กำลังนอนอยู่ตรงนั้น
 
         "อิคุตะ เอรินะ เหรอ!"
 
         "ตอนนี้รุ่นพี่อคิลลิสต้องรักษาตัวก่อน เพราะรุ่นพี่เขาเสียเลือดไปมาก ถ้าออกไปต่อสู้อีกจะมีผลต่อร่างกายนะค่ะ" เสียงแหลมเล็กแต่แฝงไปด้วยความอ่อนหวานอธิบายให้คนตรงหน้าฟังได้อย่างฉะฉาน
 
         "แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย?" ซิกฟรีดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
 
         "ฉันเป็นคนขอให้มาเอง" เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางหน้าประตู อาจารย์สาวสวยจากห้องพยาบาลที่หลายๆคนในโรงเรียนคุ้นตากันดี เธอมากับเด็กสาวอีกคนหนึ่งซึ่งซิกฟรีดก็คุ้นหลายเป็นอย่างดี นั่นก็คือ อิคุโบะ ฮารุนะ นั่นเอง
 
         "อาจารย์อิชิคาว่า!"
 
         "ถึงจะเป็นเด็กมอต้นแต่เอรินะจังก็มีความรู้เรื่องการแพทย์อยู่ค่อนข้างเยอะมาก เพราะครอบครัวของเธอทำงานเรื่องนี้อยู่ ฉันเลยอยากได้เขามาช่วยอีกแรง" อาจารย์อิชิคาว่าอธิบายเรื่องนี้ให้ซิกฟรีดฟังอย่างโจ่งแจ้ง แต่การสนทนากันก็ถูกเบนความสนใจไป ด้วยเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้
 
         แองเจโล่ที่กำลังวิ่งมาสมทบซิกฟรีดหยุดกึกในทันทีเมื่อเขาได้เห็นร่างของอคิลลิสที่กำลังนอนอยู่ตรงหน้านั้น สีหน้าของอาจารย์อิชิคาว่าเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่จริงจังอย่างฉับพลันเมื่อเห็นทั้งคู่มากันพร้อมหน้าแล้ว
 
         "พวกเธออย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย รีบไปเอาชุดเกราะของพวกเธอซะ!"
 
         "จริงด้วย!" แองเจโล่พูดขึ้นมาเมื่อตัวเองกำลังนึกอะไรออก "ชุดเกราะของพวกเรา!"
 
 
         ซิกฟรีดและแองเจโล่รีบวิ่งขึ้นบันไดวนไปชั้นสองของรถนั้นอย่างรวดเร็วผ่านห้องคอนโทรรถคันนั้น พวกเขาหยุดกึกเมื่อเห็นบรรดาเหล่าเด็กนักเรียนโรงเรียนไนท์เบลดที่กำลังนั่งทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ในนั้น และหนึ่งในนั้นเป็นคนที่พวกเขารู้จักเป็นอย่างดี ประธานนักเรียนทากาฮาชิ ไอ และรองประธานนีงาคิ ริสะ ลุกพรวดขึ้นมาเมื่อหันมาเห็นซิกฟรีดกับแองเจโล่ที่หน้าประตู
 
         "มาช้าจังเลยท่านประธาน!" ซิกฟรีดกล่าวทักทายอย่างหัวเสีย ส่วนทากาฮาชิที่กำลังถูกว่าก็คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความไม่พอใจในทันที
 
         "นี่! ฉันก็รีบสุดๆแล้วนะ! กว่าจะขออนุมัติเจ้านี่ออกมาได้ก็แทบตายเลยรู้รึเปล่า!" ก่อนที่การทะเลาะกันของทั้งสองจะทำให้เวลามันยืดเยื้อไปกว่านี้ ริสะเพื่อนสาวที่อยู่ข้างๆเธอรีบตบบ่าเพื่อนของเธอเบาๆเป็นการยับยั้งอารมณ์เธอเล็กน้อย
 
         "เอาน่าๆอย่าพึ่งมาทะเลาะกันตอนนี้เลย พวกเธอรีบไปซะ ไปแต่งตัวกันได้แล้ว" เมื่อสิ้นเสียงของริสะ ซิกฟรีดก็เปลี่ยนสีหน้าไปประหนึ่งนึกเรื่องอะไรออกจากที่ตัวเองตั้งใจที่จะมาตั้งแต่แรก
 
         "...แองเจโล่รีบไปกันเถอะ!!"
 
 
 
           ประตูเหล็กที่ปิดกั้นพวกเขาตรงหน้านั้นค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ สองหนุ่มผู้กล้าก้าวเข้ามาภายในห้องนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน เบื้องหน้าของพวกเขานั้นมีสิ่งที่กำลังส่องแสงจนสะดุดตาของพวกเขา
 
         ชุดเกราะทั้งสองที่กำลังตั้งโชว์อยู่ในตู้กระจกขนาดใหญ่ สีม่วงและสีเหลืองแสดงให้เห็นถึงผู้ที่เป็นเจ้าของ พวกมันกำลังส่องแสงประหนึ่งกำลังเรียกให้เจ้าของๆมันมาส่วมใส่ ทั้งซิกฟรีดและแองเจโล่มองชุดเกราะตัวเองตรงหน้าของพวกเขาด้วยรอยยิ้มประหนึ่งเหมือนญาติพี่น้องหวนคืนมาพบพาน
 
         "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ" แองเจโล่ยกมือขึ้นมาพร้อมกับกำหมัดให้แหวนชี้ไปที่หน้าชุดเกราะนั้น เช่นเดียวกับซิกฟรีดที่กำลังทำตามเขา ถัดจากนั้นไม่นานชุดเกราะทั้งสองชุดนั้นก็เริ่มมีความผิดปกติเกิดขึ้น มันเริ่มค่อยๆหายไปตามแสงเส้นสีม่วงและสีเหลืองที่พุ่งออกมาจากอัญมณีของแหวนนั้น หลังจากนั้นไม่นานชุดเกราะที่เคยอยู่ในตู้ประจกใสนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
 
         "ท่านประธาน รุ่นพี่ริสะ" ซิกฟรีดหันมาคืนสติให้กับสองสาวที่อยู่ตรงหน้าประตู ซึ่งเธอกำลังยืนอึ้งดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน คนทีถูกเรียกชื่้อก็สะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยพร้อมกับทำหน้าเหลอหลา
 
         "ช่วยเปิดบริสให้ด้วยนะครับ"
 
 
 
 
 
 
         เหล่ากองทัพยักษ์ยังคงมีกำลังเสริมเติมเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จุดเช็คพ๊อยของเหล่าผู้กล้าในตอนนี้มีเหล่าทหารในกองร้อยของผู้กองเชสตรึงกำลังเอาไว้อยู่ ทั้งบนพื้นที่ทหารยืนใช้ซากรถที่อยู่บนถนนนั้นเป็นเกราะกัมบังแล้วยิงตรึงพื้นที่เอาไว้ และบนตึกยังมีทหารอีกกลุ่มหนึ่งยิงสนับสนุนอยู่ เสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหวอย่างไม่ขาดสาย กระสุนนัดแล้วนัดเล่าพุ่งเข้าไปหาพวกยักษ์ที่กำลังวิ่งกรูเข้ามา บางตัวถูกกระสุนเจาะเข้าไปที่หัวสิ้นชีพโดยทันที บางตัวกระสุนนั้นก็ยังคงไม่ผ่านชุดเกราะหนาๆหรือผิวหนังของพวกมันไปได้
 
         "นี่มันพวกตัวบ้าอะไรวะเนี่ย!! ขนาดกระสุนมิลิเลี่ยมยังทะลุผิวหนังมันไม่ได้เลย!!" นายทหารหัวโลนๆนายหนึ่งสบถสลั่นอย่างหัวเสียพร้อมกับสีหน้าที่ดูเอาจริงเอาจังเป็นอย่างมาก
 
         "ต้องยิงไปที่หัวของมันเท่านั้น! คงทำได้นะผู้หมู่!" ผู้กองเชสตอบ
 
         "พูดง่ายแต่มันทำยากนะผู้กอง"
 
 
 
- แอร๊กก ครืน!!! -
 
         เสียงที่กำลังดังขึ้นมานั้นเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขา หลังเพดานของรถคันใหญ่ที่มากับพวกเขานั้นมันกำลังค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ เมื่อประตูเปิดออกจนหมดแล้วก็เผยให้เห็นสองผู้กล้าของไนท์เบลดที่อยู่ภายในนั้น พวกเขาไม่รอช้า รีบพุ่งออกจากรถคันนั้นทันที
 
         แสงสีเหลืองแว๊บไปแว๊บมา เงาของผู้กล้าสีเหลืองพุ่งผ่านร่างของเหล่ากองทัพยักษ์ที่อยู่รอบๆพื้นที่นั้นอย่างรวดเร็วชนิดที่สายตาของมนุษย์ธรรมดานั้นมองไม่เห็น ร่างของเหล่ายักษ์ทั้งหลายปลิวกระเด็นไปมาตามทิศทางที่ผู้กล้าสีเหลืองวิ่งผ่านจนร่างของพวกมันแหลกสลายไปตามความเร็วอันมหาสารนั้น และเมื่อแองเจโล่หยุดอยู่กับที่ ก็เผยให้เห็นว่ามือสองข้างของแองเจโล่นั้นมีมีดคู่ที่มีปลายมีดเป็นที่เหลืองจับไปในลักษณะให้ปลายมีดขนานไปกับแขนของตัวเอง และวินาทีต่อมาเสียงฝีเท้าที่ดังคลืนๆดั่งฟ้าร้องก็ดังขึ้นมาอีกครั้งจากเหล่ายักษ์ที่กำลังวิ่งเข้าใส่แองเจโล่ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า 
 
         ทันใดนั้นเองก็ได้เกิดแสงสว่างสีเหลืองค่อยๆไหลไปตามร่างกายของแองเจโล่ จากมือไปถึงท่อนแขน จากเท้าถึงต้นขา จากหน้าท้องแหวกกลางเป็นสองเส้นสีเหลืองออกมา และทันทีที่แสงสีเหลืองค่อยๆไล่ไปตามร่างกายนั้นก็ปรากฏชุดเกราะของแองเจโล ชุดเกราะแขนกุดที่เรียบง่ายไม่มีลวดลายอะไร มีสีเหลืองสลับกับสีเงินแต่เน้นสีเหลืองเป็นหลัก ลักษณะและลวดลายของชุดนั้นดูบอบบางเหมือนไม่มีน้ำหนักแต่แฝงไปด้วยความแข็งแกร่ง และที่ดึงดูสายตาของคนรอบๆข้างได้นั้น ดูเหมือนจะเป็นผ้าพันคอสีขาวผืนยาวที่ปลายทอดยาวไปข้างหลังนั้น
 
         ในขณะที่พวกยักษ์ที่วิ่งกรูกันเข้ามาหาแองเจโล่อย่างไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด แต่มันกลับไม่ส่งผลกับคนตรงหน้าของพวกมันเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำแองเจโล่เริ่มระเบิดพลังออกมาจนเกิดเป็นกระแสไฟฟ้าที่แขนข้างขวาแล้วสบัดมือออกไปราวกับกำลังโยนอะไรบางอย่างออกมา สายฟ้าสีเหลืองพุ่งมาหาพวกยักษ์ด้วยความรวดเร็ว และแทบไม่ทันได้หายใจ กองทัพยักษ์ที่เคยอื้ออึงตรงหน้านั้นได้หายไปในพริบตาพร้อมกับเสียงกระแสไฟฟ้าและฟ้าผ่า
 
         แองเจโล่มองความวินาศสันตะโรของเหล่ากองทัพยักษ์กับพื้นที่โดยรอบด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ โดยความรู้สึกของเขานั้นก็ยังคงส่งผ่านออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจนและดวงตาสีเหลืองที่กำลังส่องสว่างคู่นั้น
 
 
 
         อีกด้านหนึ่งที่เหล่ายักษ์กำลังยืนล้อมรอบซิกฟรีดอยู่เพื่อรอจังหวะการบุก พวกมันยังคงแยกเขี้ยวที่ยาวเฟี้ยวออกมาจากริมฝีปากอันน่าเกลียดของมัน รวมไปถึงพ่นลมหายใจที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมาจนซิกฟรีดที่กำลังได้กลิ่นอยู่แทบจะเป็นลมไปซะให้ได้ และในขณะนั้นไม่นานเหล่ายักษ์ที่ทนการรอคอยนี้ไม่ไหวแล้ว ก็วิ่งกรูกันเข้ามาหาซิกฟรีดที่อยู่ตรงหน้านั้น
 
         แม้จะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแลดูคล้ายกับคลื่นยักษ์ที่กำลังโถมเข้ามามาซิกฟรีดแต่เขานั้นกลับไม่รู้สึกถึงความกลัวเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขาเริ่มยกมือขึ้นมาชูแหวนที่อยู่ที่นิ้วออกไป ทันใดนั้นแหวนเนบิวล่าที่ล้อมกรอบอัญมณีสีม่วงด้วยตัวอักษรเอ็กซ์ ตัวอักษรแยกออกจากกันพร้อมกับม่านบาเรียที่พุ่งออกมาขวางพวกยักษ์ที่กำลังวิ่งเข้ามาเอาไว้ แม้มันจะคล้ายม่านพลังที่ดูไม่ค่อยแข็งแรงอะไร แต่ทว่าเมื่อร่างของพวกยักษ์ที่วิ่งเข้ามานั้นกระทบเข้ากับม่านบาเรียนั้นต่างก็กระเด็นกันไปคนละทิศคนละทาง ซิกฟรีดมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยราวกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกับเดินผ่านม่านบาเรียไปอย่างใจเย็น
 
         เมื่อซิกฟรีดผ่านม่านบาเรียไปก็ปรากฏชุดเกราะสีม่วงที่งดงามแลดูสง่าดั่งผู้ดีอังกฤษ ด้วยลวดลายที่วิจิตบรรจงตามแบบชาวอังกฤษ แต่ชุดเกราะกลับดูน่ากลัวด้วยผ้าคลุมสีม่วงที่แฉกยาวแยกเป็นสองข้างคล้ายกับปีกของยมทูตยามราตรี เสียงผ้าคลุมโบกสบัดไปพร้อมกับสายลมที่พัดเข้ามาเพราะพลังภายในที่ซิกฟรีดกำลังรวบรวมอยู่ในขณะนี้
 
         แสงสีม่วงสว่างจ้าขึ้นมารอบๆร่างกายของซิกฟรีด ลูกบอลพลังสองลูกลอยอยู่ขนาบคู่กับซิกฟรีดก่อนที่เขาจะกางนิ้วที่แสนเรียวยาว แล้วเอื้อมไปเอาลูกบอลพลังสองลูกนั้นเข้ามาหากัน แล้วรวมตัวกันกลายเป็นลูกบอลลูกโตที่อยู่ระหว่างฝ่ามือทั้งสองข้างของซิกฟรีดเอาไว้ ราวกับว่าเขากำลังร่ายเวทมนต์อยู่ และเมื่อแสงสว่างสีม่วงที่เจิดจ้ากับพลังงานที่มากล้นจนสายฟ้าผ่าไปรอบพื้นที่นั้น ไม่นานนักลูกบอลพลังก็ปลดปล่อยพลังงานอันมหาสารออกมาพุ่งตรงไปยังกองทัพยักษ์ที่กำลังขวางทางอยู่ตรงหน้า ด้วยพลังอันมหาสารเหล่านั้นทำให้ผู้ที่ขวางทางการทำลายล้างของพลังแสงสีม่วงนี้ต้องหายลับไปกับตา ภายใต้สายพลังแสงสีม่วง
 
         ... เยี่ยมจริงๆเลย พลังเพิ่มขึ้นกว่าตอนใส่แค่ชุดนักเรียนสู้ถึงสี่เท่าเลยนะเนี่ย ...
 
 
 
 
         ... รามูเนส!! ...
 
          แองเจโล่ใช้พลังจิตโทรติดต่อกับรามูเนสที่อยู่ไกลจากตรงนั้นซึ่งถัดจากนั้นมา การต่อสู้อันดุเดือดของอสูรกายครึ่งคนครึ่งวัวกับผู้กล้าสีน้ำเงินยังคงดำเนินอยู่ รามูเนสกำลังบินวนล้อมรอบตัวของมิโนทอรัสด้วยความเร็วสูงหวังให้มันลงกล และทันใดนั้นบาทาที่แสนทรงพลังของรามูเนสก็พรุ่งตรงไปที่ใบหน้าที่แสนดุร้ายของสัตว์อสูรกายตรงหน้านั้นอย่างแรง แต่ทว่าเพราะความแข็งแกร่งของมัน ทำให้พลังของฝ่าเท้าของรามูเนสเหมือนเป็นแค่มดกัดที่ผิวหนังชั้นนอกของมันเท่านั้น และสิ้นเสียงที่ทันพ่นลมหายใจด้วยความโกรธเกรี้ยว มันใช้มือใหญ่ทรงพลังของมันปัดร่างของรามูเนสที่ลอยตัวอยู่ในอากาศให้พ้นไปจากตัว ทำให้ร่างของผู้กล้าสีน้ำเงินพุ่งพรวดราวกับจรวดความเร็วสูงตรงดึงไถล่ไปกับพื้นถนนจนแตกร้าวตามร่างกายของรามูเนสที่ไถล่ไปเป็นแนวยาว
 
         ... รีบเอาชุดเกราะของนายไปเร็ว!!! ...
 
         "นายบอกซิ.. ว่า.. เปิดบริสให้ฉันแล้ว?" รามูเนสพูดออกมาอย่างยากลำบากเพราะร่างกายที่ยังรู้สึกจุกอยู่ เขาค่อยๆลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับมิโนทอรัสตรงหน้าอีกครั้ง
 
         ... อื้อ! ...
 
         "ดีล่ะ!!!"
         สิ้นเสียงของรามูเนสเขาก็เริ่มทำมือตั้งฉากขนาดกับพื้นแล้วกวักมือเข้าหาตัวเอง คล้ายกับเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง
 
 
         ที่รถไวล์แท้งในขณะเดียวกันได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นที่ห้องเก็บชุดเกราะที่พวกแองเจโล่และซิกฟรีดจากมา เสียงทุบโลหะที่ออกมาจากห้องนั้นดังไปทั่วรถ จนไอจังและริสะต้องรีบวิ่งจากห้องสั่งการแล้วมาที่นี่เพื่อมาเช็คว่าสิ่งผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นมันคืออะไรกันแน่ สายตาของพวกเธอสาดส่องไปมาทั่วทั้งห้องมืดๆที่มีเพียงแสงไฟที่กำลังส่องสว่างซึ่งตรงนั้นมีอะไรบางอย่างกำลังขยับอยู่
 
         ประตูเหล็กบนพื้นที่แองเจโล่และซิกฟรีดเคยยืนตอนนั้นมันกำลังเด้งอยู่ เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างพยายามที่จะออกมาจากที่ตรงนั้น เวลาไม่นานนักประตูเหล็กที่แข็งแกร่งก็ได้ปิดออกมาอย่างแรง พร้อมกับร่างของเสือเขี้ยวดาบสีน้ำเงินที่สะท้อนแสงไฟที่ส่องสว่างลงมาโดนตัวระยิบระยับสวยงาม คล้ายกับเพชรที่เจียระไนมาแล้ว 
 
         เสียงคำรามดังกึกก้องพร้อมกระโจนออกมาจากห้องนั้น ความน่ากลัวของมันทำให้สองสาวที่กำลังยืนดูด้วยความทึ่งต่างก็กระโดดหลบหลีกทางให้กับสิงโตสีน้ำเงินตัวนั้น มันตรงไปที่บริสบนด่านฟ้าของรถคันนี้ที่เปิดทิ้งไว้ก่อนที่จะกระโจนจากรถออกมาแล้ววิ่งตรงไปหาเจ้าของๆมันด้วยความเร็วสูง
 
 
 
          ในขณะนี้รามูเนสกำลังจ้องมองไปยังสัตว์อสูรกายที่อยู่ตรงหน้า หูทั้งสองของเขาก็ได้ยินเสียงคำรามมาแต่ไกล รามูเนสหันไปและยิ้มออกมาเล็กน้อยหลังจากที่ตัวเองรู้ได้ว่าสิ่งที่กำลังเข้ามาหาเขานั้นคืออะไร แต่ทว่าการต่อสู้ของพวกเขายังคงดำเดินต่อไปอยู่ มิโนทอรัสอาศัยจังหวะที่รามูเนสกำลังเผลิอเหวี่ยงค้อนปอนขนาดยักษ์ไปอย่างแรง แต่เพราะประสาทสัมผัสที่ว่องไวกว่ารามูเนสเพียงแค่ก้มตัวล้มไปเท่านั้น ทำให้ค้อนปอนที่อยู่ในมือของมันเลยไปทุบเข้ากับซากรถคันหนึ่งจนมันปลิวไปจนกับผนังตึกฝั่งตรงกันข้ามจนทะลุออกไป
 
         ไม่ปล่อยให้จังหวะสวนกลับหลุดลอยออกไปรามูเนสทำอะไรบางอย่างกับอสูรที่อยู่ตรงหน้า เขาทำท่าปาฝ่ามือออกไปราวกับว่าเขากำลังเหวี่ยงของอะไรบางอย่างไปหามิโนทอรัส ทันใดนั้นเสียงฝีเท่าที่เร่งจังหวะและดังเข้ามาใกล้ๆอย่างรวดเร็ว ถูกแทนด้วยเสียงกระโดดและเสียงคำรามของเสือเขียวดาบสีน้ำเงิน มันพุ่งเข้าใส่มิโนทอรัสอย่างแรงจนมิโรทอรัสล้มลงไป และเพราะการกระแทกอย่างรุนแรงทำให้ร่างของเสือสีน้ำเงินแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ
 
         แต่ทว่าร่างของเสือที่แยกออกจากกันนั้นกลับเปลี่ยนรูปร่างไปคล้ายกับชิ้นส่วนของชุดเกราะ และเพียงพริบตาในทันทีที่รามูเนสดึงฝ่ามือของตัวเองเข้ามาหาตัวอีกครั้ง ชิ้นส่วนที่ลอยอยู่บนอากาศก็พุ่งเข้ามาสวมเข้ากับร่างกายของรามูเนสอย่างรวดเร็ว แต่ละส่วนที่ลอยเข้ามาสวมลงไปนั้นเริ่มออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ส่วนเท้า ต้นขา สะโพก สนับแขน มือ ลำตัว หัวไหล่ รวมไปถึงส่วนหัว และเพียงไม่กี่เสี้ยววินาที ชุดเกราะของผู้กล้าชุดใหม่ก็ได้ปรากฏขึ้นอีกชุดหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้
 
         ชุดเกราะสีน้ำเงินระยิบระยับสวยงามและดูน่าเกรงขาม ลวดลายสีเงินแสนวิจิตบรรจงตามส่วนต่างๆ ส่วนหัวมีนู้นขึ้นมาเล็กๆคล้ายกับใบหน้าของเสือที่ครอบหน้าผากลงไปถึงใบหน้า ผ้าคลุมสีน้ำเงินที่โบกสบัดรับกับแรงลมของพลังออร่าสีน้ำเงินของ รามูเนสนั้นทำให้ดูน่าเกรงขามยิงขึ้นไปอีก ในตอนนี้รามูเนสรู้สึกถึงพลังที่พุ่งพล่านอยู่ทั่วตัว
 
         "เท่านี้ก็ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย" เขาพูดกับตัวเองแล้วชื่นชมกับชุดเกราะที่ตัวเองสวมอยู่อย่างยินดี มิโนทอรัสที่ตื่นขึ้นมาเมื่อได้เห็นแสงสว่างสีน้ำเงินนั่นแม้แต่สัตว์ร้ายก็ยังต้องสยบเพราะความสวยงามของชุดนั่น รามูเนสมองมิโนทอรัสด้วยหางตาก่อนที่จะมาตั้งท่าต่อสู้อีกครั้ง
 
         "มาตัดสินกันเลย ไอ้ทุย!!!" สิ้นเสียงคำท้าทายของผู้กล้าสีน้ำเงินตรงหน้า สัตว์อสูรกายร่างใหญ่โตก็ส่งเสียงคำรามออกมา ราวกับกระทิงที่กำลังเกรี้ยวกราด
 
 
 
 
         บนรถไวล์แท้งที่กำลังจอดอย่างนิ่งสนิด ภายในห้องพยาบาลในรถนั้น อคิลลิสที่นอนภายโหลแก้วได้ตื่นขึ้นมาหลังจากที่อาการบาดเจ็บของตัวเองทุเลาลง ดวงตาสีเขียวสอดส่ายสายตามองไปรอบๆเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าตัวเองกำลังอยู่ที่ใด แต่สายตาของเขาก็ต้องมาสะดุดกับเครื่องวัดชีพจรและเครื่องวัดกายภาพตรงข้างๆตัวของเขา ซึ่งตัวเลขบอกสภาพร่างกายที่กำลังฟื้นฟูกลับมาของเขาในตอนนี้อยู่ที่ 82 เปอร์เซน
 
         "แค่แปดสอบสองเปอร์เซนเองเหรอ" ชายหนุ่มผมสีเขียวพูดตัดพ้อแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย แต่เวลาไม่นานนักที่เขาตัดสินใจออกไปว่าจะขอกลับไปสู้ต่อ อคิลลิสจึงเริ่มถอดเครื่องวัดชีพจร สายน้ำเกลือ และอะไรหลายๆที่ติดอยู่กับตัวของเขาออกจนหมดสิ้น
 
         "ไม่พอก็ต้องพอแล้ว!" หลังจากนั้นเขาจึงรีบเปิดโหลแก้วที่เคยครอบตัวของเขาเอาไว้ออก แล้วค่อยๆพาสังขาลของตัวเองออกมาจากตรงนั้น
 
 
         เพียงแค่แป๊บเดียวที่เอรินะกลับมาหลังจากที่ไปเอาของบำรุงร่างกายเพื่อนำมาให้กับอคิลลิส เมื่อเธอกลับมาเห็นในโหลแก้วที่เคยมีคนอยู่นั้นกลับว่างเปล่าไปแล้ว ดวงตาที่เคยหยีของเธอก็กลมโตขึ้นมาด้วยความตกใจ จนเธอทำถาดของที่เธอถือมาด้วยหล่นลงพื้นจนข้าวของกระจัดกระจายไปทั่ว
 
          "ว๊ายยยยยยยยย แย่แล้วพี่อคิลลิส!!!" เพราะเสียงกรี๊ดที่ดังลั่นไปทั่วรถ ทำให้ฮารุนะและอาจารย์ริกะรีบวิ่งเข้ามาหาเธอ เพราะเธอสองคนกำลังคิดว่ามีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ เมื่ออาจารย์ริกะและฮารุนะมาถึงเอรินะก็ไม่รอช้ารีบฟ้องอาจารย์ของตัวเองในทันที
 
         "อาจารย์ค๊า!! พี่อคิลลิสหนีไปแล้วค๊า!!" 
 
 
         ฮารุนะไม่รอช้าเมื่อได้ยินเสียงของเอรินะก็รีบไปจากตรงนั้นเพื่อตามอคิลลิสไป โดยไม่ได้สนใจเสียงอุทานของอาจารย์ริกะหลังจากนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอรีบขึ้นบันไดที่นำไปสู่บริชบนด่านฟ้าของรถคันนี้ เหมือนรู้อยู่แล้วว่ารุ่นพี่ของเธอกำลังจะไปที่ใด
 
         เมื่อฮารุนะมาถึงด่านฟ้าของไวล์แท้งก็ได้เห็นแสงสีเขียวที่กำลังส่องสว่างอยู่ตรงหน้าของเธอ แต่ถึงกระนั้นเธอก็รู้อยู่แล้วว่านั่นเป็นคนที่เธอกำลังตามหาอยู่แน่ 
 
         "รุ่นพี่อคิลลิสค๊า!!! ไม่ได้นะคะ!! ถ้าไปสู้เดียวร่างกายของรุ่นพี่จะเป็นอันตรายนะ!!!"
 
         ภาพตรงหน้าของเธอคือเสื้อผ้าสีแดงของอคิลลิสที่ค่อยๆเปลี่ยนไปกลายเป็นชุดสีเขียว ที่ส่วนสะโผกมีลายมังกรสีทองอยู่บนผ้าที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาทั้งสองข้าง คล้ายกับชุดเกราะของนักรบจีนโบราน ก่อนที่จะถูกบดบังด้วยผ้าคลุมสีเขียว และสิ้นเสียงสะบัดผ้าคลุมนั้น ร่างที่เคยอยู่ภายใต้แสงสว่างสีเขียวก็พุ่งทะยานออกไปจากบริสนั้นไป  โดยทิ้งรุ่นน้องของตัวเองที่รีบตามมาด้วยความเป็นห่วงเอาไว้ข้างหลัง ฮารุนะในตอนนี้มีสีหน้าที่บูดบึ้งเพราะความน้อยใจคยที่พึ่งบินจากไปเป็นอย่างมาก
 
         "พี่อคิลลิสอ่า!!! บ้าที่สุดเลย!!!"

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา