Sterek Fic : Are We Good?

10.0

เขียนโดย SorryzZ

วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.23 น.

  2 chapter
  1 วิจารณ์
  11.26K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 16.28 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

1) - Prologue -

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

- Are We Good? -

 

Author : SorryzZ

Pairing : Sterek (Stiles Stilinski/Derek Hale)

Category : M/M, Romantic Comedy

Tags : Alternate Universe - Canon Divergence, Bodyswap, Romantic, Comedy, Sharing a bed

Notes : เป็นฟิค Teen Wolf เรื่องแรกที่เขียนค่ะ ถือเป็นการชิมลางเรื่องภาษา และเนื่องจากผู้เขียนประสบปัญหาในการใช้คำเป็นอย่างสูง จึงอนุญาตให้ติชมหรือวิจารณ์เรื่องการใช้ภาษาได้อย่างอิสระ ณ ทวิตเตอร์ @SorryzZ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“นี่พวกนายต้องล้อกันเล่นแน่ๆ”

 

 

“สไตลส์—”

 

 

“ไม่ อย่ามาเรียกชื่อฉันแบบนั้น เราไม่ได้สนิทสนมกัน นายไม่ใช่สก็อต” เจ้าของชื่อเล่นประหลาดที่คงไม่มีพ่อแม่สติดีคนไหนตั้งให้ลูกยกมือขึ้นปราม ชายหนุ่มถอยหลังสองก้าวแล้วทิ้งตัวลงบนเคานเตอร์ นัยน์ตาสวยปิดลงเหมือนเลี่ยงที่จะมองของแสลง เป็นพฤติกรรมที่ให้คำจำกัดความสั้นๆได้ว่า ‘ไม่ยอมรับความจริง’ “นายคือเดเร็ก เฮล และเดเร็กเฮลไม่ทำสายตาแบบนั้นใส่ฉัน”

 

 

“สไตลส์ นี่ฉันเอง สก็อต --

 

 

“ม่าย -- ฉันไม่เชื่อเรื่องเหลวไหลนี่เด็ดขาด” คนที่ถูกเรียกชื่อซ้ำไปซ้ำมายกสองมือขึ้นปิดหู “เชื่อก็บ้าแล้ว”

 

 

“สไตลส์”

 

 

“ไม่ เดเร็ก อย่ามา สไตลส์ ใส่ฉัน” เจ้าของชื่อส่ายหัว นัยน์ตาสีอำพันช้อนขึ้นมองเหมือนขยาด เหตุผลที่สไตลส์ทำท่าทีรังเกียจนั้นมีเพียงแค่สามข้อ หนึ่ง มันน่าขนลุก สอง มันน่าขนลุกมาก และสาม วกกลับไปอ่านข้อหนึ่งและสองอีกครั้ง “นายจะบอกว่านายคือสก็อต แล้ว... แล้วสก็อต – ที่กำลังยืนทำหน้าตาเหม็นบูดอยู่ตรงนั้น – คือเดเร็กงั้นเหรอ? อะไรกันล่ะเนี่ย... ไม่บอกฉันไปเลยล่ะว่านายเพิ่งจะขี่ยูนิคอร์นเล่นฆ่าเวลากันเมื่อกี้ ฮึ? แฮร์รี่ พอตเตอร์? วิงกาเดียม เลวีโอ-ซ่าอะไรพวกนั้นมีจริงด้วยหรือเปล่า?”

 

 

“เราเปล่าโกหกนายนะ” เดเร็ก (ที่อ้างว่าตนคือสก็อต) พยายามกระเถิบตัวเข้าใกล้ในตอนที่อธิบาย ทึกทักเอาเองว่ายิ่งระยะห่างน้อยเท่าไหร่ยิ่งทำให้อีกฝ่ายเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ตรงกันข้ามกับสไตลส์... ที่พยายามถัดตัวหนีห่างออกไปเรื่อยๆอย่างคนที่ถือคติยิ่งห่างเท่าไหร่ยิ่งเป็นภัยน้อยลง “ฉันก็อธิบายไปหมดแล้ว นายต้องเชื่อฉันนะ สไตลส์ เราไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ไงยังไง เราหมดสติไปแค่วูบเดียว วูบเดียวเท่านั้นเอง พอฟื้นขึ้นมาอีกที... ก็เป็นอย่างที่นายเห็น”

 

 

เจ้าของใบหน้าที่ดูยังไง๊...ยังไงก็เป็น เดเร็ก เฮล ส่งสายตาเศร้าสร้อย ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมองลูกสุนัขตัวหนึ่งที่เจ้านายไม่ยอมพาออกไปเดินเล่นก็มิปาน เดเร็กใช้นัยน์ตาสีซีดจดจ้องสไตลส์คล้ายกำลังอ้อนวอน ยื่นปากเล็กน้อยพอเป็นพิธีให้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าอีกคนกำลังตัดพ้อ อารมณ์เดียวกับเวลาที่สก็อตขอร้องให้เขาช่วยทำอะไรสักอย่างแล้วเขาไม่ยอมทำให้ ฟีลที่เหมือนเราจะได้ยินเสียง ‘น่า...นะ?’ หรือ ‘โห่...’ ออกมาจากท่าทางนั้นเหล่านั้น

 

 

น่ารักหรือ? ไม่เลย ม่าย... เสียใจด้วยนะ เพราะความน่าขนลุกได้ยึดครองความคิดในหัวไปหมดแล้ว

 

 

เพราะคนตรงหน้านี้ไม่ใช่สก็อตเพื่อนซี้สิบแปดฝนของเขา

 

 

แต่เป็นเดเร็ก เฮล... ผู้ชายที่ชอบทำหน้าเหมือนถูกบังคับให้กินของเปรี้ยวอยู่ตลอดเวลา

 

 

และเดเร็กคนนั้น... ก็คงไม่ใช่คนคนเดียวกับเดเร็กที่กำลังบึนปากใส่เขาอยู่ ณ เวลานี้อีกเหมือนกัน

 

 

“สไตลส์...”

 

 

“รู้อะไรมั้ย ฉันว่า --” สไตลส์หรี่ตาเมื่อตนมาถึงริมสุดของเคานเตอร์แล้ว และไม่มีที่เหลือให้ถดตัวหนีอีกต่อไป “-- ฉันจะโทรหาไอแซ็ค นายบอกว่าพวกนายสามคนไปด้วยกันนี่ใช่ไหม ฉันเชื่อว่าเขาคงมีคำอธิบายดีๆในสถานการณ์นี้ หรือไม่ เขาอาจจะมีความจริง

 

 

“ไอแซ็คเตลิดหนีไปแล้ว” สก็อตที่ยืนอยู่ห่างออกไปเอ่ยด้วยน้ำเสียงขรึมๆ สองแขนล่ำหนายกขึ้นกอดอก ตวัดสายตาที่ดูนิ่งกว่าปกติขึ้นมองหน้ามนุษย์คนเดียวในห้องด้วยท่าทีเหมือนจะสื่อว่า ‘โทรไปก็เท่านั้น

 

 

“อืมมม...แล้วเขาไปไหน?”

 

 

“ไปทำใจ” เดเร็กที่ไม่เหมาะกับสีหน้าจ๋อยๆเอาเสียเลยยังคงใช้น้ำเสียงหดหู่ “เขาสับสนน่ะ ไม่รู้จะวางตัวยังไง ไม่รู้ว่าใครคืออัลฟ่าของเขากันแน่”

 

 

บางทีนะ... สไตลส์คิด บางที... การที่ผู้ชายขี้โมโหอย่างเดเร็กเฮลหันมาทำสีหน้าซึมๆแบบนี้น่าจะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย คราวหลังเวลาทำอีกจะได้โดนจับขังคุกไปซะ เพราะมันไม่เข้ากันเลยสักนิด ไม่-เลย ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ผู้ชายที่เกิดมาพร้อมกับคิ้วที่ดูโหดเหมือนฆาตกรแบบนี้ไม่ควรคู่กับสีหน้าที่กระเดียดไปทางเซื่องซึม ไม่... เป็นเรื่องที่ไม่สมควรได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด

 

 

“เอ่อ...” คนที่ถูกยับยั้งไม่ให้โทรถามบุคคลที่สาม – หรือในที่นี้ – สี่ ขมวดคิ้วอย่างงุนงง “อะไรนะ

 

 

“ไอแซ็คบอกว่าฉันยังมีกลิ่นเหมือนอัลฟ่าของเขา” สก็อตพูดแทรกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “-- กลิ่นของเดเร็ก -- แต่...”

 

 

ใบหน้าที่ดูขึงขังกว่าปกติก้มลงพิจารณาร่างกายของตัวเองแทนคำตอบ

 

 

“– เดเร็กอยู่ในร่างของฉัน -- เขาเลยไม่รู้ว่าจะภักดีกับใคร” เดเร็ก – ที่อ้างว่าตัวเองคือสก็อต ต่อประโยคจนจบ ก่อนจะยกมือขึ้นประสานกันที่หน้าอก พร้อมพูดด้วยท่าทีขอร้อง “สไตลส์ นายต้องเชื่อพวกเรานะ”

 

 

“แล้วถ้าเกิดว่าฉันเชื่อว่า... นาย -- ” เขาชี้ไปที่เดเร็ก “ -- คือสก็อต ส่วนนาย – ” เขาใช้มืออีกข้างชี้ไปยังสก็อต “– คือเดเร็ก แล้วมันยังไงล่ะ พวกนายสลับร่างกันเหมือนในนิยายแฟนตาซี โอเค แต่ทำไมต้องโทรเรียกฉัน... นายสองคนคิดว่าฉันจะทำอะไรได้? คว้าไม้กายสิทธิ์ขึ้นมาเสกให้พวกนายกลับร่างเดิมรึยังไง?”

 

 

“เราไม่ได้เรียกตัวนายมาเพราะเรื่องนั้น” สก็อตพูดด้วยใบหน้าบูดบึ้ง มือยังคงกอดอก แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม เขาเพียงแค่พยักพเยิดหน้าเบาๆเหมือนส่งไม้ต่อให้อีกคนรับหน้าที่ขยายความแทน (ซึ่งได้รับการพยักหน้าตอบอย่างกระตือรือร้น) แล้วกลับไปยืนนิ่งๆราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมมาให้ยืนเฉยๆแล้วตายไป

 

 

สไตลส์หรี่ตา รู้สึกไม่ชอบใจท่าทีแบบนี้เอาเสียเลย

 

 

มัน...แปลก

 

 

สก็อตไม่เคยทำท่าทางแบบนี้กับเขา

 

 

บางที... การที่เดเร็ก(ในร่างสก็อต?)เต๊ะท่าเป็นอัลฟ่าขี้หงุดหงิดแบบนี้ก็สมควรจะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายด้วยเช่นกัน

 

 

สไตลส์จับจ้องใบหน้าของเพื่อนสนิทด้วยความรู้สึกระแคะระคาย ชักไม่ชอบใจหน่อยๆที่ถูกทำเย็นชาใส่จากคนที่สมควรจะเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดที่สุด ทว่ายังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้เอ่ยปากวิจารณ์อะไร เสียงกระแอมไอก็ดังขึ้นขัด

 

 

“เอาล่ะ ฉันจะติ๊ต่างว่านายเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วนะ คืองี้... เดเร็กกับฉันคุยกันว่าเราควรจะเล่นละครตบตากันไปก่อน – ไม่นานหรอก – จนกว่าเราจะตามหาตัวยายแม่มดสองคนนั้นเจอ แล้วจากนั้น – นายก็รู้ – หาทางคืนร่างเดิม... แต่ทีนี้ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะแกล้งเล่นละครเป็นอีกคนยังไง แต่มันอยู่ที่ว่าเราจะตบตาพ่อแม่เรา – แม่ฉัน– ยังไงต่างหาก เพราะฉันคงกลับไปนอนที่บ้านด้วยสภาพแบบนี้ไม่ได้ และฉันก็ไม่ยอมให้เดเร็กไปนอนที่บ้านฉันสองต่อสองกับแม่เหมือนกัน แต่จะหายไปเฉยๆมันก็ไม่ได้อีก เพราะงั้น... ส่วนของนายก็มาถึงแล้ว สไตลส์ ที่ฉันโทรเรียกให้นายมาหากลางค่ำกลางคืนแบบนี้ นั่นก็เพราะฉันต้องการให้เดเร็ก – ที่อยู่ในร่างของฉัน-- ไปนอนค้างที่ห้องนายก่อนสักสองสามคืน หรือจนกว่าจะเราจะหาทางกลับร่างเดิมได้ ซึ่ง – ”

 

 

“ไม่มีทาง” สไตลส์ที่เข้าใจเรื่องราวรีบปฏิเสธทันควัน ไม่มีอึ้งสักนิดที่ได้เห็นใบหน้าดุๆของเดเร็กเฮลอ้าปากพูดประโยคยาวๆเกินสิบคำ “โทษนะถ้าทำให้นายผิดหวัง แต่ถ้าเผื่อนายจะจำได้ บ้านฉันไม่ใช่สถานสงเคราะห์สั -- ”

 

 

“ -- ฉันก็คิดไว้แล้วแหละว่านายคงไม่เอาด้วย แต่ – ”

 

 

“ไม่” สไตลส์ยืนยันคำเดิม “นายจะให้ฉันเชื่อว่าเดเร็กอยู่ในร่างนาย ได้ ส่วนนายก็อยู่ในร่างของเดเร็ก ได้ ฉันจะช่วยโกหกแม่นายเรื่องค้างที่บ้าน นั่นก็ได้ แต่ให้เดเร็กมานอนค้างบ้านฉัน ไม่ได้ เห็นความแตกต่างนั่นมั้ย ได้แปลว่า โอเค! เอาเลย ไม่มีปัญหา ส่วน ไม่ได้ แปลว่า ไม่ ไม่มีทาง และไม่มีวันเด็ดขาด ชัดเจนแล้วนะ ฉันว่านายฉลาดพอที่จะเข้าใจมัน”

 

 

“แล้วนายจะให้เดเร็กนอนที่ไหน” สก็อตอุทธรณ์ “ฉันจำเป็นต้องนอนที่ลอฟต์ แต่เขา... เขานอนที่นี่ไม่ได้ โซฟามันเล็กเกินไป”

 

 

“พวกนายก็นอนบนเตียงซี่!” สไตลส์ผายมือไปที่เตียงขนาดคิงไซส์เหมือนจะสื่อว่าไม่เห็นทางออกของปัญหานี้กันหรือไงไอ้พวกบ้า “เตียงใหญ่อย่างกับสระว่ายน้ำ นอนด้วยกันมันจะตายเหรอ”

 

 

“ก็อาจจะ” ประโยคห้วนสั้นดังขึ้นจากบุคคลที่สามที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำตัวเป็นนักฆ่าในเงามืด “อัลฟ่าจะต่อสู้กันเพื่อแย่งอาณาเขต มันเป็นสัญชาตญาณ”

 

 

“โว่... บอกฉันทีว่าพวกนายจะไม่ฟัดกันเหมือนหมาบ้าแค่เพราะ...” สไตลส์จินตนาการภาพมนุษย์หมาป่าสองตัวพุ่งเข้าขย้ำคอกันอยู่เหนือเตียงหกฟุต ต่างฝ่ายต่างพยายามยื้อแย่งหมอนกันสุดฤทธิ์ ละอองนุ่นจากฟูกที่ถูกฉีกกระจายปลิวว่อนในอากาศ เขาส่ายหัว “นั่นมัน...”

 

 

เป็นเรื่องงี่เง่าที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมาเลย

 

 

สก็อตอ่านสีหน้านั้นออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขายักไหล่ประมาณว่า เพื่อน ที่นี่บีคอนฮิลส์ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ

 

 

“แล้วการปล่อยให้สก็อตเดินท่อมๆอยู่ที่นี่มันไม่นับว่าเป็นการแย่งอาณาเขตรึไง” สไตลส์ถาม ฟังดูเจาะจงไปที่เดเร็กมากกว่าจะถามเพื่อนตัวเอง

 

 

“มันมีความแตกต่างระหว่างการแย่งอาณาเขต...” เดเร็กตอบ ท่าทางรำคาญใจ “กับปล่อยให้เข้ามาในอาณาเขต”

 

 

“เหมือนบุกรุกเข้ามากับอนุญาตให้เข้ามางั้นสิ?” สไตลส์พยายามเปรียบเทียบกับอะไรที่เข้าใจง่ายมากขึ้น

 

 

“เอ่อมมม... สไตลส์ ฟังนี่นะ สมมติว่าเดเร็กกับฉันตกลงกันอย่างสันติว่าจะนอนที่ลอฟต์... แต่นายลองนึกภาพสิ ถ้าพ่อนายรู้ว่าฉันจะไปนอนค้างที่บ้าน แต่ในตอนที่เขาเปิดประตูเข้าไปเช็คดูความเรียบร้อย ฉันที่สมควรจะนอนอยู่ที่นั่นดันไม่อยู่ขึ้นมา นายคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น” สก็อตพยายามชี้แจงด้วยความใจเย็น แน่นอนว่าถ้านายอำเภอไม่เจอสก็อตอยู่ในห้องนอน เขาคงรีบรายงานเรื่องนี้กับเมลิซ่าโดยทันที “แม้ความเป็นไปได้จะน้อย แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มี เรื่องบางเรื่องนะ สไตลส์... มันคงจะดีกว่าถ้าพวกเขาไม่รู้ ช่วยฉันหน่อยเถอะ แค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง ฉันไม่อยากให้แม่ต้องมากังวลเรื่องนี้ ทุกวันนี้แค่ฉันเป็น – ” ชายหนุ่มเว้นวรรค ไม่อยากพูดออกมาดังๆว่าตนนั้นไม่ใช่แค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาๆอีกต่อไป “ – เอาเป็นว่าทุกวันนี้เค้ามีเรื่องให้ปวดหัวมากพอแล้ว และฉันไม่อยากเป็นคนที่ดีแต่สร้างปัญหาเพิ่มไปวันๆ”

 

 

“ฉันเข้าใจสิ่งที่นายพยายามจะสื่อนะ แต่ -- ” สไตลส์ฮึดฮัด เม้มปากแน่น พยายามจะงัดเอาเหตุผลอื่นที่พอฟังขึ้นมาหักล้างกับอีกฝ่าย เพื่อที่ตนจะได้ไม่ต้องรับภาระเอาหมาป่าขี้หงุดหงิดไปเลี้ยงไว้ในห้องแบบไม่มีกำหนดการณ์

 

 

ทว่า... เขานึกไม่ออก

 

 

“ตอนแรกนายยังไม่เชื่อเลยว่าฉันกับเดเร็กจะสลับร่างกัน ตอนนี้นายก็คิดให้ได้แบบนั้นสิ คิดซะว่าฉันไปค้างห้องนายแล้วก็เล่นเกมกันสนุกๆเหมือนเมื่อก่อนไง” เดเร -- สก็อต... สก็อตพยายามพูดเป็นเชิงปลอบใจ เผยมุมมองโลกในแง่ดีตามนิสัยคนซื่อ แม้ปฏิกิริยาที่ได้รับจะเป็นการกลอกตาจากสไตลส์ก็ตาม

 

 

“ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ เพื่อน”

 

 

“แต่มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นเหมือนกันนั่นแหละ เอาน่า คิดซะว่าคนตรงนั้นคือสก็อตเพื่อนนายเท่านั้นเอง นั่นน่ะ มองดูหน้าเขาสิ... เห็นมั้ย เขาคือสก็อตทุกระเบียดนิ้วเลย”

 

 

สก็อตใช้สองมือตะปบแก้มเพื่อนชายแล้วบังคับให้หันไปยังทิศทางที่มีอีกร่างหนึ่งยืนปั้นสีหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ไม่ไกล

 

 

“นั่นคือสก็อต” สก็อตในร่างของเดเร็กทำเสียงกระซิบกระซาบประหนึ่งตนคือผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิต “เห็นมั้ย นั่นคือสก็อต”

 

 

เดเร็กส่ายหัวช้าๆ ยกมือขึ้นคลึงสันจมูกเป็นทำนองว่าเหนื่อยหน่ายกับเรื่องบ้าบอคอแตกนี้เหลือเกิน

 

 

“เชื่อมั่นในสิ่งที่เห็นสิ สไตลส์” หนึ่งในคนที่เริ่มจะเอ็นจอยกับการสลับร่างยังคงใช้น้ำเสียงขึ้นๆลงๆให้ดูน่าตื่นเต้น “นั่นคือสก็อต”

 

 

“ก็ได้ นั่นคือสก็อต” สไตลส์พูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ในเวอร์ชั่นหน้าเป็นตูด”

 

 

คำพูดนั้นได้รับการชำเลืองมองด้วยหางตาจากคนที่ถูกกล่าวถึง ประกายจากนัยน์ตาสีแดงฉายวาบชั่วครู่หนึ่ง ชวนให้ผู้ที่ถูกข่มขวัญเกิดอาการขนแขนแสตนด์อัพ แต่ในเสี้ยววินาที สไตลส์ก็ถูกดึงความสนใจกลับไปยังใบหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเดเร็ก เฮล – ที่ซึ่งดูอ่อนโยนกว่าปกติ – และใกล้กว่าที่เคย

 

 

“นายตกลงนะ?” เดเร -- สก็อตช้อนตาขึ้นมองอย่างค้นหาคำตอบ คลี่ยิ้มแผ่วที่เผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆและลักยิ้มที่คงหาดูไม่ได้จากเจ้าของร่างตัวจริงในเวลาปกติ นัยน์ตาสีซีดเผยแววเว้าวอนแบบที่สก็อตตัวจริงมักทำอยู่บ่อยๆ สายตาแบบที่ทำให้นึกถึงลูกหมาตัวน้อยๆเวลาขอของกินจากมือเรา “นะ? นายตกลงใช่ไหม สไตลส์”

 

 

คนที่ถูกกดดันผ่านสายตาออดอ้อนเม้มริมฝีปากแน่นอยู่หลายนาที ก่อนจะถอนหายใจออกมาดังๆเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้

 

 

“เออ... ก็ได้”

 

 

“เย้!” สก็อตรวบตัวเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่บนเคานเตอร์เข้าไปกอดแนบแน่นแทนคำขอบคุณ

 

 

ในขณะเดียวกัน สไตลส์ซึ่งถูกกระชากเข้าไปกอดด้วยแขนล่ำหนากลับรู้สึกคล้ายกำลังถูกโอบรัดด้วยลำตัวของงูยักษ์ นัยน์ตาคู่กลมเบิกกว้าง ไม่ใช่ว่าเขากับสก็อตไม่เคยกอดกัน พวกเขาเคย แต่ไม่ใช่กับร่างกายของผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่แตะตัวกันแทบจะนับครั้งได้ มันเป็นความไม่คุ้นที่ทำให้รู้สึกตกใจ มันแปลก มันทำตัวไม่ถูก และที่ยิ่งไปกว่านั้น... ตื่นเต้น?

 

 

ร่างของเดเร็ก เฮล -- เมื่อเทียบกันกับสก็อตแล้ว – กำยำและใหญ่โตกว่ามาก ก็ในเวลาปกติที่สก็อตกอดเขา... มันเหมือนสไตลส์กำลังกอดกับคนที่ขนาดตัวใกล้เคียงกัน เพียงแค่สก็อตอาจจะมีลำตัวหนากว่าเขาเล็กน้อย และให้ความรู้สึกแบบเพื่อนที่ศรัทธาในกันและกัน แต่นี่... นี่มันไม่ใช่ เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มันเป็นความรู้สึกเหมือนถูกกักล้อมด้วยกำแพงสูงใหญ่ที่ตึงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ แผงอกแข็งๆบดบังทุกทัศนะราวกับปราการที่โอบรอบ และเขาเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆที่จมหายไปในอ้อมกอดมหึมา

 

 

หนีไม่ได้... ขัดขืนก็ไม่ได้อีก...

 

 

แต่ไม่รู้ทำไม มันกลับให้ความรู้สึกปลอดภัย... ในลักษณะที่อธิบายไม่ถูก

 

 

น่าเสียดายที่สไตลส์เป็นเพียงแค่คนธรรมดา เขาจึงไม่ทันได้ยินเสียงฮึดฮัดในลำคอจากชายที่ยืนอยู่ถัดไป

 

 

“เฮ้ สก็อต” ชายหนุ่มเริ่มหายใจไม่ออกเมื่ออีกฝ่ายรัดแน่นขึ้น เขาดิ้นขลุกขลักแทนการประท้วง แต่จะโทษว่าเป็นความผิดของสก็อตก็ไม่ได้อีก อีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าพละกำลังของร่างที่ตนถือครองอยู่นั้นมีมากขนาดไหน และคนไม่รู้ก็คือคนไม่ผิดไม่ใช่เหรอ? “ปล่อยได้แล้ว อ...อึดอัด”

 

 

“หัวใจนายเต้นเร็วขึ้นแฮะ” สก็อตเอ่ยในตอนที่ผละตัวออก คำพูดนั้นส่งผลให้คนฟังหน้าแดงแปร๊ด

 

 

“ก็ -- ก็ฉัน... ไม่เคยถูกกอดโดยเดเร็กเฮล!” สไตลส์ให้เหตุผลแบบตะกุกตะกัก พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบตาเพื่อนสนิทในร่างของผู้ชายที่ฮ็อตที่สุดในบีคอนฮิลส์ “นายคิดว่าฉันควรจะรู้สึกยังไงล่ะ ถูกอัลฟ่าหน้าโหดแถมตัวใหญ่เหมือนหมีกอดซะแน่นอย่างกับจะฆ่าให้ตาย โทษทีนะ แต่ที่ยืนอยู่ตรงนี้คือมนุษย์บอบบางที่ไม่ได้มีซุปเปอร์พลังวิเศษอะไรทั้งนั้น ไอ้เรื่องใจเต้นมันก็คงต้องมีกันบ้าง แต่ก็ด้วยความกลัวตาย พอจะเข้าใจเปล่า?”

 

 

“อืมม ไม่รู้สินะ” สก็อตลูบคาง “แต่ถ้าเราไม่ได้เป็นเพื่อนกันมาสิบกว่าปี ฉันคงคิดว่านายกำลังเขิน”

 

 

ชั่วขณะหนึ่ง คนที่หน้าแดงฉ่าเพราะความเขินได้แต่อ้าปากค้าง กระพริบตาปริบๆ

 

 

“ฉั -- ฉันเหรอเขิน? หื้อ ไม่หนิ เปล่าเขิน เขินอะไร ทำไมต้องเขิน” เป็นเรื่องน่าทึ่งที่สไตลส์สามารถพูดทั้งหมดได้ในเวลาสองวินาทีโดยที่ลิ้นไม่พันกัน “ก็แค่กอดกับร่างของเดเร็ก... เหมือนกอดก้อนหินน่ะ ให้ความรู้สึกธรรมดาๆเหมือนเวลากอดกับนายไงสก็อต มันเป็นการกอดแบบธรรมดาสุดๆ ธรรมดาที่สุดของที่สุด เป็นที่สุดการกอดแบบธรรมดา ออกจะน่ากลัวด้วยซ้ำ อะไรดลใจให้นายคิดว่าฉันเขินกัน?”

 

 

สไตลส์เอ่ยรัวเร็วประดุจว่าคำพูดคือน้ำตกที่หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย กลบเกลื่อนความร้อนผะผ่าวบนแก้มด้วยการเสมองอะไรก็ตามที่ไม่ใช่ใบหน้าของเดเร็กเฮลซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งไม้บรรทัด ก็รู้แหละว่านั่นคือสก็อต คนในร่างนี้คือสก็อต แต่มันไม่ชิน โอเคมั้ย? ยิ่งเห็นคิ้วเข้มๆที่ขมวดเข้าหากันเหมือนพยายามทำความเข้าใจให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของสิ่งที่สไตลส์พูดออกมา มันยิ่งทำให้เขานึกถึงเดเร็กตัวจริงมากขึ้นไปอีก

 

 

สไตลส์เบือนหน้าไปทางอื่น กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ และโดยบังเอิญ นัยน์ตาสีเปลือกไม้ก็หยุดลงที่ร่างของสก็อต

 

 

เดเร็ก เฮลตัวจริง...

 

 

เมื่อดวงตาผสานดวงตา มันก็แปลว่าใครคนนั้นต้องจ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

 

 

ให้ตายเถอะ เดเร็กเฮลกำลังจับจ้องเขา ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์... เรียบสนิท... อ่านไม่ออก

 

 

ทำไม การถูกมองด้วยสายตานิ่งๆ... มันถึงชวนให้รู้สึกประหม่าได้ขนาดนี้นะ

 

 

“อะฮึ่ม” สก็อตกระแอมไอเรียกความสนใจ มองซ้ายทีขวาทีแล้วแอบยิ้มกับตนเองเล็กๆ และด้วยความเป็นเพื่อนที่ดี เขาเลี่ยงที่จะไม่ตอกย้ำถึงการมีหูทิพย์ที่สามารถจับโกหกได้เวลาที่สไตลส์พยายามพูดปด รวมถึงเลี่ยงที่จะไม่พูดเกี่ยวกับจังหวะหัวใจที่เต้นผิดปกติในตอนที่อีกฝ่ายสบตาเดเร็กด้วยเช่นกัน “เรา... กลับเข้าแผนการที่ฉันกับเดเร็กคุยกันไว้ดีไหม?”

 

 

“อ...เออ” สไตลส์ยุติการประสานสายตาเป็นคนแรก “ดีเลย ว่ามาสิ”

 

 

“โอเค... เอาเป็นว่าคืนนี้นายพาเดเร็ -- ฉันต้องเรียกเขาว่าสก็อตใช่ไหม -- นายพาสก็อตกลับไปนอนที่ห้องนะ ส่วนฉันจะนอนที่นี่ แล้วพอตอนเช้า นายก็ไปเรียนตามปกติ... ระหว่างนั้น เดเ – สก็อต – กับฉันก็จะออกไปตามล่าหาแม่มดสองคนนั้น เพื่อหาทางกลับร่างเดิมโดยเร็วที่สุด... อา...  แผนมันก็มีแค่นี้แหละ ก็นะ ฉันกับเขาไม่ถนัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ พอไม่มีนาย -- ”

 

 

“แล้วนายไม่ไปเรียนเหรอ” สไตลส์ถามแทรก ก็ถ้าจำไม่ผิด เพื่อนของเขาขาดเรียนบ่อยจนคะแนนความประพฤติใกล้ถึงขีดแดงแล้วไม่ใช่หรือไง

 

 

“นายอยากนั่งเรียนกับเขามั้ยล่ะ” สก็อตถามกลับอย่างรู้ใจ พยักพเยิดหน้าไปทางร่างจริงของตนที่ยังคงรักษาความบูดบึ้งไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

 

 

“เอ่อ... ไม่” คนถูกถามเอ่ยปฏิเสธ เป็นอันว่าเข้าใจกัน

 

 

“ดี ตกลงตามแผนนะ” สก็อตส่งยิ้มจืดๆในตอนที่เพื่อนสนิทพยักหน้ารับ “เอาล่ะ แยกย้ายกันเถอะ”

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น สไตลส์จึงสไลด์ตัวลงจากเคานเตอร์ เกาท้ายทอยแบบเก้ๆกังๆและหันไปทางเดเร็กที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่คิดจะอ้าปากเริ่มบทสนทนาก่อนเสียที เขาคาดหวังจะเห็นอีกคนขยับตัวหรือแสดงท่าทีอะไรสักอย่างพอให้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะได้เดินนำไปขึ้นรถกลับบ้านด้วยกัน

 

 

แต่ความผิดหวังเป็นสิ่งที่สไตลส์ต้องพบเจออยู่เสมอ... เหมือนๆกับความเงียบที่คนรอบข้างมักมอบให้เขาทุกครั้งเวลาที่ขยับปากพูด ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆจากอีกฝ่าย มีเพียงสีหน้าเรียบตึง และรัศมีบูดๆที่แผ่กระจายออกมาอย่างเห็นได้ชัด

 

 

 เฮ้ย! นี่มันไม่ใช่เวลามายืนนิ่งนะ สไตลส์อยากตะโกนใส่ แต่เขาก็รักชีวิตเกินกว่าจะทำอะไรแบบนั้น  แหม่ แต่อย่างน้อยก็ช่วยทำเป็นรับรู้สถานการณ์บ้านเมืองหน่อยได้ไหมล่ะ ไม่ใช่เอาแต่ยืนลอยหน้าลอยตา -- ไม่สิ -- เรียกได้ว่าไม่สนใจโลกจะดีกว่า รู้ไหมว่าไอ้ท่าทางเฉยชาไม่แคร์โลกแบบนั้นเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ที่สุด ไม่ใช่เพราะสไตลส์เป็นคนช่างพูดแล้วต้องการให้คนอื่นทำทีเป็นอยากพูดกับเขาหรอกนะ แต่บางครั้ง... การที่ต้องเป็นคนเอ่ยพูดอะไรก่อนมันก็น่าอึดอัด โดยเฉพาะเวลาที่ต้องเอ่ยชวนคนสุดท้ายบนโลกที่สไตลส์อยากให้ไปค้างด้วยขึ้นรถกลับบ้านด้วยกันแบบเนี้ย...

 

 

คือ... มันกระดากปากอ่ะเข้าใจป่าววว ได้ยินว่าแยกย้ายก็น่าจะรู้หน้าที่แล้วนี่นา ต้องให้เขาพูดออกมาด้วยหรอ มันจำเป็นด้วยหรอ?

 

 

“อะแฮ่ม -- เอ่อ -- คือ...” โอ๊ย เขาล่ะเกลียดความประหม่าในน้ำเสียงของตัวเองจริงๆ ทำไมนะ ทำไม “เราจะไปกันยัง?”

 

 

เราจะไปกันยัง...

 

 

เราจะไปกันยัง...

 

 

พูดออกไปแล้ว

 

 

อี๋... จั๊กจี๋ว่ะ

 

 

สไตลส์เลิกคิ้วรอคอยคำตอบ ซึ่งความเงียบที่ได้รับก็เป็นอะไรที่ชวนให้รู้สึกหงุดหงิด ถ้าพูดกันตรงๆแล้ว อะไรที่เกี่ยวกับเดเร็กมันน่าหงุดหงิดเสมอนั่นแหละ เพราะเดเร็กไม่พูด ไม่อ้าปากพูดอะไรสักนิด ประหนึ่งว่าดอกพิกุลจะร่วงถ้าเอ่ยอะไรออกมาสักคำ แถมยังเหล่มองหน้าเขาด้วยท่าทางเหมือนกำลังมองแมลงวันซักตัวอีกแน่ะ โห่ นี่ขนาดเขาลงทุนเอ่ยปากเชิญ กับอีแค่ส่งเสียง ‘อืม’ ตอบมาสักคำก็ไม่ได้เลยหรอ จะรังเกียจรังงอนอะไรกันขนาดนั้น

 

 

คนอะไร... น่าหมั่นไส้ชะมัด

 

 

หลังจากที่เงียบอยู่นาน เดเร็กก็ให้สัญญาณรับรู้ด้วยการพยักหน้าเล็กๆ ย้ำว่าเล็กๆ ไม่ใช่พยักหน้าแบบที่คนทั่วไปเขาทำกันเวลาถูกตั้งคำถาม แต่เป็นการกดศีรษะลงเบาๆแบบที่เกือบจะมองไม่เห็นถ้าไม่สังเกตดีๆ และขอโทษเถอะ สไตลส์ไม่ใช่ยอดมนุษย์ที่จะสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวจุดศูนย์มิลลิเมตรได้อย่างชัดเจนขนาดนั้น เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายตกลงเรียบร้อยแล้วจึงถูกทิ้งให้ยืนเคว้ง ได้แต่จ้องมองเดเร็กเดินปัดเท้าไปยังประตูเลื่อนบานใหญ่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

 

 

และเมื่อเจ้าของรถจี๊ป -- พาหนะเพียงคันเดียวที่สามารถใช้เดินทางไปบ้านนายอำเภอได้โดยไม่ถูกสงสัย -- ไม่ยอมย้ายก้นออกจากจุดที่ยืนอยู่เสียที (มันไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิด!) เดเร็กจึงหมุนตัวกลับมาขมวดคิ้วใส่เป็นเชิงรำคาญ

 

 

“จะไปมั้ย?”

 

 

“เอ๊ะ? – เอ้า... เอ้อ ไปสิ” คนที่แอบตั้งคำถามเงียบๆว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิดงั้นเหรอรีบรุดเดินตามหลังไปทั้งๆที่ยังสับสน อดไม่ได้ที่จะส่งสายตาเชือดเฉือนใส่แผ่นหลังกว้างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเพื่อนสนิทตน ก็ไม่ได้เกลียดอะไรมากนักหรอก แต่ถ้าเขาสามารถยิงลำแสงออกจากตาได้ ป่านนี้หลังของอีกฝ่ายคงไหม้เป็นรู

 

 

เจ้าของชื่อเล่นประหลาดเดินก้าวออกจากลอฟต์ในความเงียบ ยังคงวางแผนฆาตกรรมเดเร็กอยู่ในใจ เขามองเห็นสก็อตโบกมือไหวๆผ่านช่องประตูที่กำลังแคบลงเรื่อยๆ อีกฝ่ายยกนิ้วโป้งให้เหมือนจะบอกว่าสู้ๆนะเว้ย ซึ่งสไตลส์ทำได้แค่พยักหน้าตอบแบบขอไปทีอย่างคนที่หมดแล้วซึ่งแรงจูงใจในการมีชีวิตอยู่

 

 

ก่อนที่ประตูเหล็กจะปิดสนิทลง เขาได้ยินเสียงสก็อตตะโกนออกมา

 

 

“อย่าทำอะไรเพื่อนฉันล่ะ เดเร็ก!”

 

 

.

 

 

.

 

 

.

 

 

TBC

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา