[Haikyuu]Against all odds ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม

-

เขียนโดย Dark_Shinigami

วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.34 น.

  9 ตอน
  0 วิจารณ์
  13.35K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 17.53 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

9) Ch.3 (2/4)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 Chapter 3 – Part 2 –

Title: Against all odds ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม

Story: Sharkbaitsekki (SS)

Translator: KITDS

 

อาทิตย์ที่ 3 – วันจันทร์

ในวันนี้งานนั้นยุ่งมากจนแขนของโบคุโตะสั่นจากการที่ยกชิ้นส่วนรถยนต์จากช่างไปมาในโรงรถ แต่โชคยังดีที่หัวหน้าเขาสงสารเขา (มันอาจจะเป็นหลังจากที่เขาเกือบจะทำแบตเตอร์รถยนต์หล่นใส่ขาตัวเอง) และให้เขารับผิดชอบที่เคาน์เตอร์รับแขกในครึ่งวันหลัง แต่มันก็ยังวุ่นวายและโบคุโตะก็ยังอยากที่จะไปนอนอยู่ดี

“เคย์จิ ลูกอยากกินของหวานรึเปล่า?”เขาถามขณะที่หยิบจานที่เปื้อนอาหารจากโต๊ะเพื่อยกไปยังอ่างล้างจาน

“อื้อ... ผมขอกีวี่ได้มั้ยฮะ?”เด็กชายถามกลับเสียงเบา

“หืม... เราไม่มีกีวี่แล้วตอนนี้ แต่ลูกอยากจะลองเกรปฟรุ๊ตโรยน้ำตาลรึเปล่าล่ะ?”โบคุโตะมองไปยังลูกชายเขาที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ ก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นนัยน์ตาสีดำเป็นประกายเมื่อคิดถึงน้ำตาล

“อื้อ”

“โอเค เดี๋ยวให้พ่อเตรียมให้แปปนะ”โบคุโตะหยิบเกรปฟรุ๊ตออกมาจากตู้เย็นแล้วตัดแบ่งเป็นสี่ส่วน โรยน้ำตาลช้อนหนึ่งลงบนแต่ละส่วนก่อนจะยกมันไปให้ลูกชายเขาที่รออย่างใจจดใจจ่ออยู่ที่โต๊ะ “เอาล่ะ เกรปฟรุ๊ตมันจะคล้ายกับเลมอนหน่อยนะ เพราะงั้นมันอาจจะจี๊ดๆ เวลาลูกกินมัน”

“โอเคฮะ”เคย์จิพยักหน้า รอให้พ่อเขาพยักหน้าก่อนจะหยิบมันขึ้นมาให้เอาเข้าปาก

โบคุโตะอดไม่ได้ที่จะขำเสียงดังเมื่อลูกชายเขายู่หน้ากับรสชาติของมันพลางหยิบส่วนของตัวเองขึ้นมากินบ้างเพื่อเลียนแบบสีหน้าอีกฝ่าย เคย์จิเหมือนจะแอบมองเขาและดูขำที่เห็นเขาทำหน้าเบ้ ก่อนจะกินส่วนที่เหลือของตัวเองต่อท่ามกลางความสุขเงียบๆ ของเขา

โบคุโตะกินส่วนของตัวเองอย่างรวดเร็วและแค่นั่งมองลูกชายเขากินที่ทำเสียงเบาๆ หรือสะดุ้งกับความเปรี้ยวของมันเป็นบางครั้ง และในภาพที่เขาเห็นก็ทำให้ใจของเขาละลาย ทั้งภาพที่นิ้วเล็กๆ นั่นเปื้อนน้ำผลไม้ แก้มที่เปรอะไปด้วยเม็ดน้ำตาลและเนื้อผลไม้ ปากที่ขยับน้อยๆ ขณะที่เขาเคี้ยว จมูกที่ยู่ลงทุกครั้งที่รับรู้รสชาติเปรี้ยวและรอยยิ้มพอใจเมื่อกินผลไม้จนหมด

เขาอาจจะไม่ใช่พ่อที่ดีที่สุด ให้ตายเหอะ เขาอาจจะเป็นหนึ่งในพ่อที่แย่ที่สุดบนโลกใบนี้ด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็ตาม มันไม่เคยมีวันไหนที่เขาเสียใจที่มีเด็กคนนี้และได้ปกป้องมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่แสนวิเศษคนนี้ การเลี้ยงที่ไม่ใช่หน้าที่ แต่เป็นเหมือนของขวัญที่เขาได้รับ

“ลูกจะกินอีกชิ้นก็ได้นะ”โบคุโตะเสนอพลางยื่นชิ้นสุดท้ายให้ลูกชายเขา เพียงแค่ความสุขที่ได้เห็นดวงตาคู่นั้นส่องประกาย ลิ้นที่เลียริมฝีปากและนิ้วเล็กป้อมที่ยื่นมาเอาผลไม้ที่ว่า

โบคุโตะรักเขามาก โบคุโตะรักเขามากถึงมากที่สุด จนบางครั้งมันทำให้เขาเจ็บปวดที่จะจินตนาการชีวิตที่ไม่มีลูกชายเขา

เขาเคยทำตัวเป็นพ่อที่เลี้ยงดูไม่ได้เรื่องมาก่อน แต่นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่สำหรับพวกเขา และเขาก็จะไม่ทำให้ครั้งนี้มันผิดพลาดไป

เขานั่งฟังเสียงกลืนและเสียงโอดครวญเบาๆ จากลูกชายวัยสี่ขวบของเขาเงียบๆ และสุดท้ายเมื่อเคย์จิวางเปลือกของมันกลับลงบนจาน เขาก็โน้มตัวเขาไปหาและหอมแก้ม(บริเวณที่ไม่เปื้อนอย่างน่าอัศจรรย์)ของเขา

“พ่อฮะ...”เคย์จิบ่นเบาๆ ใบหน้าแดงเถือกกับการแสดงความรักของพ่อเขาก่อนโบคุโตะจะหัวเราะแล้วลุกขึ้น

“เดี๋ยวพ่อจะไปล้างจานนะ โอเคมั้ย? ลูกไปล้างมือ เข้าห้องน้ำแล้วเปลี่ยนเป็นชุดนอนให้เรียบร้อยนะ และพ่อจะรีบไปทันทีที่พ่อล้างจานเสร็จ”โบคุโตะแนะนำเขา ดึงเก้าอี้ถอยหลังเพื่อให้ลูกชายเขาสามารถกระโดดลงได้ง่ายๆ

“โอเคฮะ”เคย์จิพยักหน้า เดินตามโถงอพาร์ทเมนต์ขนาด 1ห้องนอน 1ห้องน้ำ 1ห้องนั่งเล่น 1ห้องครัว

โบคุโตะยุ่งกับการล้างจาน ปล่อยให้เสียงน้ำไหลสงบจิตใจเขาหลังจากวันอันยาวนาน เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของเคย์จิกับพื้นไม้แข็งเป็นบางครั้ง แต่ก็ตรงกับนิสัยเงียบๆ ของเขา เด็กชายทำตัวเหมือนอยากจะหายไปและทำกิจวัตรก่อนนอนเงียบๆ

มันก็เป็นแค่อีกคืนหนึ่ง

โบคุโตะล้างจานเสร็จและเก็บอาหารที่เหลือลงก่อนพร้อมกันกับกระดิ่งประตูที่ส่งเสียง

และความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคือ ‘อะไรกันฟร่ะ’ หลังจากที่เขาสะดุ้ง

เพราะไม่มีใครที่มีกุญแจอพาร์ทเม้นต์นี้ ไม่มีใครนอกจากเขากับ....

ประตูหน้าเปิดออก และโบคุโตะก็อยู่ในสภาวะระแวงกับเสียงหัวเราะแหลมสูง เขารีบเดินออกมาจากห้องครัวและไปยังโถงหลักเพื่อไปดูที่ประตูหน้า และแทนที่จะเห็นทางเดินว่างเปล่า เขากลับเผชิญหน้ากับคนที่เขาไม่คิด (หรือก็คือไม่อยาก)ที่จะเจออีก

“ให้ตายเถอะ”คนที่พูดขึ้นมาเป็นหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา ถึงแม้ว่าเครื่องสำอางหนาเป็นชั้นๆ และชุดสั้นเต่อเผยเนื้อหนังจะทำให้เธอดูแก่กว่าวัย ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความตกใจอย่างแท้จริง “ฉันไม่คิดว่านายจะยังอยู่ที่นี่นะ”

“มันไม่ใช่ธรรมชาติของฉันที่จะหนีซะหน่อย เธอก็รู้”เขาตอบขื่นๆ พลางกอดอก

“ให้ตายสิ”หญิงสาวเอามือเสยผมยาวสีส้มแดงของเธอก่อนจะถอนหายใจเสียงดัง “ให้ตาย นี่มันแย่จริงๆ”

“อะไรแย่หรอ?”เสียงใหม่เข้าร่วมกับบทสนทนาของเขา และโบคุโตะเกือบหรืออาจจะไม่ลืมที่จะหายใจไปพักหนึ่งเมื่อเขาเห็นชายหนุ่มร่างบึกบึนเดินตามเธอเข้ามาพร้อมคล้องแขนรอบเอวเธอ “ที่รัก คุณบอกผมว่าที่ของคุณไม่มีคนไง แล้วเขาเป็นใคร?”

“แค่คนไม่สำคัญคนหนึ่งเท่านั้นแหละ”หญิงสาวบอก ดวงตาคู่คมส่งข้อความไปยังโบคุโตะอย่างชัดเจน “แค่แฟนเก่า”

“โอเค อย่างแรกเลยคือช่างหัวเธอสิ”โบคุโตะแทรกพวกเขาขึ้นมาก่อนที่ทั้งสองคนจะได้คุยกันต่อ “เราไม่เคยตบกัน อย่างที่สอง ช่างหัวเธอสิ ออกไปจากบ้านฉัน อย่างที่สาม ช่างหัวเธอสิ เธอกล้ามาเสนอหน้าต่อหน้าฉันอีกได้ยังไงหลังจากทุกอย่างที่เธอทำลงไป?”หลังจากนั้น เขาก็ระลึกขึ้นได้ว่า ณ จุดจุดนั้น ทุกอย่างมันเกินควบคุมเขายิ่งกว่าเมนทอสในโค้กสองลิตรเสียอีก แต่ตอนนี้ ความหงุดหงิดในใจของเขามันแค่คุมไม่อยู่แล้ว

“โอเค แล้วถ้าฉันจะช่างหัวนายกลับล่ะ?”หญิงสาวตอกกลับ ยิงฟันในรอยยิ้มเยาะเย้ยที่แสนน่าเกลียด “นายไม่รู้อะไรเกี่ยวกับฉันเลย เพราะงั้นนายไม่มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินฉัน”

“ฉันรู้ว่าเธอทำตัวแย่ๆ ใส่ลูกของฉัน และเธอก็มาทิ้งเขาไว้กับฉันก่อนจะหนีไป เพราะงั้นเธอรู้อะไรมั้ย? ฉันไม่เห็นจำเป็นต้องรู้บ้าอะไรเกี่ยวกับข้ออ้างปัญญาอ่อนของเธอเลยแม้แต่น้อย ออกไปซะ”โบคุโตะแยกเขี้ยวกลับ หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นเมื่อเขาคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“เอาจริงดิ? ให้ตายสิ ดูตัวเล่นบทนักบุญสิ!”หญิงสาวตะคอก “นี่มันอะไร โบคุโตะ? ฉันก็ต้องกินต้องอยู่ เหมือนที่นายต้องหากินเลี้ยงปากท้องไอ้เด็กเวรนั่น เพราะงั้นนายจะร้องโวยวายอะไรก็เชิญ แต่ฉันก็มีหลายอย่างที่จะต้องจ่ายต้องใช้ และฉันก็ทำไม่ได้ถ้ามีเคย์จิ..”

“อย่าสะเออะมาเรียกชื่อเขานะ!”โบคุโตะขักจังหวะขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว และเธอก็ผงะถอยไปกับรังสีอาฆาตที่อีกฝ่ายแผ่ออกมา “เธอเสียสิทธิ์ที่จะเรียกชื่อเขาไปตั้งแต่เธอตักสินใจที่จะไม่เป็นแม่ของเขาแล้ว เพราะงั้นไปซะ! ฉันไม่อยากจะให้เธอมาอยู่ใกล้พวกเราอีก!”

“โอเค ฟังนะ นายกำลังทำตัวเป็นไอ้งั่งอยู่ตอนนี้”เธอโอดครวญพร้อมกอดอก “ฉันต้องใช้อพาร์ทเมนต์นี้คืนนี้ถ้าฉันอยากจะได้เงิน เพราะงั้นไม่ว่านายจะชอบหรือไม่ชอบ ฉันก็จะอยู่ที่นี่ เพราะงั้นทำสิ่งที่นายอยากทำเลย จะอยู่หรือไปก็เรื่องของนาย แค่เอาไอ้เด็กนั่นไปกับนายด้วย ไม่ว่านายจะเลือกอะไรก็ตาม” แล้วตอนนั้นเองเธอก็โบกมือไปด้านหลังโบคุโตะ

ชายหนุ่มหน้าซีดเผือด ในใจรู้ดีว่ามันคือสิ่งที่เขาคิดว่าแย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้ แต่เขาก็ยังหวังว่าเขาคิดผิดและคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไปเอง

แต่ไม่ใช่

เมื่อเขาหันกลับไป เคย์จิยืนตัวลีบอยู่ที่มุม มีเพียงแค่มือเล็กๆ และดวงตาเบิกโพลงที่ฉายชัดถึงความหวาดกลัวและความเจ็บปวดโผล่พ้นออกมาจากหัวมุมนั้น

โบคุโตะรู้สึกได้จริงๆ ว่าเขารู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังพังครืนลงมาพร้อมกับรอยเย็บที่เขาเคยสมานมันไว้

“เคย์จิ กลับไปที่ห้องของลูกก่อน”เขาสั่งทันที เสียงของเขาไม่มีที่เหลือสำหรับการปฏิเสธ เขาไม่อยากให้ลูกของเขาต้องเผชิญกับเรื่องนี้อีกครั้ง เขาไม่เคยอยากให้ลูกชายสุดที่รักของเขาที่เผชิญเรื่องบ้าๆ พวกนี้อีก เขาจะต้องพาเขาออกไป ตอนนี้

“ต..แต่..”เด็กชายตะกุกตะกัก น้ำเสียงเล็กและกลัว แต่โบคุโตะก็แทรกเขาขึ้นมา

“เคย์จิ! กลับไปที่ห้อง!”ความเครียดพุ่งขึ้นสูงและพากันสะสมในใจของเขา ความตึงเครียดทั่วร่างเขาทำให้แขนขาและหัวของเขารู้สึกปวดหนึบ แต่ท่ามกลางความปวดในหัวที่เต้นตุบๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าเขาปล่อยให้ตัวเองหัวร้อนเกินไปแล้ว และความรู้สึกผิดก็กระจายเต็มอกช้าไปหน่อยเมื่อเขาเห็นเคย์จิสูดลมหายใจสั่นๆ ก่อนจะวิ่งหนีไปเร็วยิ่งกว่าที่โบคุโตะเคยเห็นเขาวิ่งมาก่อน

“ว้าว นั่นเป็นสิ่งที่นายทำกับเขาตลอดอย่างงั้นหรอ? บางทีฉันอาจจะต้องอยู่กับนายด้วยอย่างที่คิดจริงๆ”หญิงสาวผิวปากเยาะเย้ย และโบคุโตะก็รู้สึกว่าทุกอย่างแดงฉานไปหมด

ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปหาเธออย่างเร็ว เขายกหมัดขึ้นหมายจะชกอีกฝ่าย

แต่เขาก็ทำไม่ได้ เขาไม่เหมือนกับเธอ เขาไม่สามารถระบายความโกรธกับมนุษย์คนอื่นได้

เขาอยากจะร้องไห้

“เธอมันน่ารังเกียจ”เขาสามารถพูดมันออกไปได้ในที่สุด “โรคหนองในคงจะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจน้อยที่สุดของเธอ”

“เดี๋ยวนะ ที่รัก ผมคิดว่าคุณไม่มีโรค”ชายหนุ่มข้างกายเธอบอก เหมือนกับยืนยันทุกอย่างให้แน่ใจ

“ฉันปกติ!”หญิงสาวรีบยืนยันอย่างรวดเร็ว “ฉันเพิ่งไปตรวจมาไม่นาน ฉันยืนยันได้”

“ดี”ชายหนุ่มส่งเสียงฮึดฮัดแล้วหันมาทางโบคุโตะ “เอาล่ะ ไสหัวไป ฉันไม่ได้จ่ายเงินเธอให้มาคุยกับแก และแกก็กำลังกินเงินและเวลาฉันอยู่ ไปซะและเอาเด็กของแกไปด้วย”

“ทำตามที่เขาบอกเถอะ โบคุโตะ”และทันใดนั้นเอง หญิงสาวผมสีแดงเสียงแผ่วลง ฟังดูอึมครึมและเหนื่อยล้า “อะไรๆ มันจะง่ายขึ้น ไปเถอะ ไปนอนที่ไหนก็ได้ก่อนคืนนี้ แล้วค่อยกลับมาพรุ่งนี้”

“ม..ไม่”คอของโบคุโตะแห้งผากจนแสบไปหมด มันเหมือนมีลูกบอลจุกอยู่ในนั้น ขัดขวางไม่ให้เขากลืนหรืออัดอากาศผ่านหลอดลมจนในอกของเขาบีบรัดทุกครั้งที่เขาพยายามหายใจ “เธอไม่สามารถที่จะเดินกลับมาหน้าตาเฉยแล้วขอแบบนั้น เธอไม่มีสิทธิ์”

“ฉันไม่สนใจว่าใครมีสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์!”สุดท้ายชายหนุ่มก็ระเบิด เขาคว้าเสื้อของโบคุโตะก่อนกระชากเขาเข้าหาตัว

ดีที่เขาเข้าห้องน้ำเมื่อไม่นานมานี้ ไม่งั้นเขาอาจจะฉี่รดกางเกงตัวเองด้วยความกลัวไปแล้วก็ได้

“แค่เอาไอ้เด็กเฮงซวยนั่นและไสหัวไป! ง่ายๆ แค่นั้นเอง!”

และโบคุโตะก็ไม่อยากจะโอนอ่อนตามอีกฝ่าย แต่มือของเขาสั่นไปหมดและหัวใจของเขาก็เหมือนจะเต้นออกจากอก และเขาก็ปริ่มน้ำตาเรียบร้อยแล้ว แต่เขาร้องไม่ได้ ไม่ใช่ตอนที่เขาจะต้องเข้มแข็งเพื่อทั้งตัวเขาและลูกชายของเขา ลูกชายที่แสนงดงามแสนสำคัญที่รักยิ่งของเขา

เขาจะต้องปกป้องเคย์จิไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ไม่ว่ามันจะทำให้เขาเป็นยังไง มันเป็นแบบนั้นมาตลอดระหว่างพวกเขา แค่พวกเขาสองคนกับโลกใบใหญ่ (หรือโบคุโตะกับโลกใบนี้ ปกป้องลูกของเขาจากสิ่งที่เขาต้องฝ่าฟัน)

เขามองไปทางแฟนเก่าเขาเงียบๆ มองไปยังแม่แท้ๆ ของเคย์จิและขอให้เธอช่วย

หญิงสาวหลบสายตา เธอดูรู้สึกผิดและโบคุโตะก็หลับตาปี๋ รู้สึกถึงความสิ้นหวังที่ไหลไปตามเส้นเลือดเคียงข้างกับความหวาดหวั่นและสร้างระเบิดที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนทั้งร่างจะแหลกสลาย

“นายมีเวลาห้านาที”ร่างบึกเอ่ยก่อนจะปล่อยโบคุโตะลง ชายหนุ่มผมสีขาวซวนเซเล็กน้อย ยังคงไม่กล้าที่จะหายใจหลังจากที่เดินถอยห่างออกมาหลายก้าวและกรามเขาก็ปวดไปหมดจากการที่กัดแน่นเป็นเวลานาน

“นายได้ยินเขาแล้ว”หญิงสาวผมแดงทวน กลับไปยังท่าทางไร้อารมณ์ของเธอในตอนแรก “ห้านาที”

โบคุโตะรู้ว่าเขาจะต้องเข้มแข็งเพื่อเคย์จิ แต่บางครั้ง การที่จะแข็งแกร่งหมายถึงการรู้ขีดจำกัดของตัวเองและคิดก่อนที่จะทำอะไร

หันหลังกลับ เขารีบวิ่งไปยังห้องของเคย์จิ

ในห้องนั้นมืดสนิทและเงียบสงัด และโบคุโตะก็เต็มไปด้วยความกลัวอยู่ชั่วครู่ว่าเคย์จิอาจจะวิ่งไปทางอื่นหรือเข้าไปอยู่ห้องอื่น

“เคย์จิ?”เขาเรียก เสียงนั้นสั่นพอๆ กับมือของเขา เขาสงสัยว่าหน้าของเขาจะซีดขาวพอๆ กันกับเส้นผมของเขาด้วยรึเปล่า

ไม่มีใครตอบเขา และความตื่นตระหนกก็เข้าครอบงำจิตใจ

“เคย์จิ? ลูกอยู่ไหนน่ะ?”เขาเรียกอีกครั้ง รีบร้อนเปิดประตูตู้เสื้อผ้าที่ใกล้ที่สุดและพบกับความว่างเปล่า เขาทำเหมือนเดิมกับตู้อื่นๆ และเมื่อมันว่างเปล่า เขาก็เริ่มที่จะตระหนกจริงๆ “เคย์จิ ลูกรัก ได้โปรดตอบพ่อเถอะถ้าลูกอยู่ในห้องนี้ ขอร้องล่ะ ลูกอยู่ไหน?”

เขากลั้นหายใจและฟังเสียงหัวใจของเขาเต้นที่ดังก้องในหู และเขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ จากด้านข้างเขา

ทันใดนั้นเองที่หูของเขาได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจนอีกครั้ง คอของเขาคลายลงเล็กน้อยและเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อเขาวิ่งไปที่เตียงแล้วคุกเข่า

เคย์จิคุดคู้อยู่ใต้เตียงติดกับกำแพง เขากอดตุ๊กตานกฮูกตัวโปรดของเขาแน่น เขาเงียบและนิ่งมากจนน่ากลัวและโบคุโตะก็รู้สึกใจสลายกับความคิดที่เด็กน้อยเรียนรู้ที่จะทำตัวเงียบไปขนาดนี้

“เคย์จิ?”เขาเรียกอีกครั้งและสะดุ้งเมื่อลูกชายเขาส่งเสียงร้องที่ก่ำกึ่งระหว่างเสียงร้องในลำคอและเสียงครางด้วยความกลัวและหดตัวลีบเล็กกว่าเดิม “เคย์จิ ลูกรัก พ่อจะไม่ทำอะไรลูกหรอกนะ ได้โปรดออกมาเถอะ”

“ผมขอโทษฮะ”เด็กชายร้องออกมาและตอนนี้เขาก็พูดอะไรบ้างแล้ว โบคุโตะได้ยินเสียงสะอื้นที่อยู่ในน้ำเสียงเขาอย่างชัดเจน “ผมขอโทษฮะ ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวเป็นเด็กไม่ดี ผมขอโทษฮะ!”

“ลูกรัก ลูกไม่ได้ทำอะไรผิดเลย พ่อขอโทษที่พ่อทำเสียงดังนะ”โบคุโตะรู้สึกน้ำตาคลอเบ้า ทุกคำขอโทษหรือคำพูดว่าร้ายตัวเองจากเด็กวัยสี่ขวบของเขารู้สึกเหมือนหมัดที่ต่อยเต็มลิ้นปี่และทำให้เขารู้สึกเวียนหัว “พ่อไม่ได้ตั้งใจจะตะคอกใส่ลูก พ่อสัญญาว่าพ่อจะไม่โกรธและลูกไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”

“ผมกลัวฮะ”เด็กชายสะอื้นออกมา ยังคงปฏิเสธที่จะมองไปทางพ่อของเขาเอง “ผมขอโทษที่ผมทำตัวไม่ดี ผมกลัวแล้ว!”

“ได้โปรดเถอะ”ตอนนี้เป็นตาของโบคุโตะที่จะต้องพยายามห้ามไม่ให้น้ำตาของตัวเองไหลออกมา และเหมือนพ่อเหมือนลูก เขาไม่สามารถกลั้นน้ำตาได้เมื่อมันไหลอาบใบหน้าของเขา “ได้โปรดอย่าพูดแบบนั้นเลยนะลูก ตลอดชีวิตลูกลูกยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เคย์จิ พ่อต่างหากที่เป็นคนที่ต้องขอโทษ”หัวใจเขาบีบรัดกับทุกอย่างที่เขาทำผิดต่อลูกชายเขาไป

และถึงเขาตั้งใจที่จะขอโทษสักครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเขาอยู่ในสภาพที่พร้อมรับฟังอีกฝ่าย คำสารภาพใต้เตียงกะทันหันนี้ก็คงจะหนีไม่พ้น

“พ่อคือคนที่จะต้องขอโทษที่ไม่รู้ว่าพ่อเป็นพ่อของลูกจนลูกอายุได้สามขวบ พ่อขอโทษที่เอาแต่ทะเลาะกับแม่เสมอ พ่อขอโทษที่พ่อไม่ทำอะไรตอนที่แม่ตีลูก พ่อขอโทษที่ทำให้ลูกกลัว พ่อขอโทษที่พ่อร้องไห้หนักมากตอนที่แม่จากพวกเราไป พ่อขอโทษที่พ่อไม่ใช่พ่อที่ดีกว่านี้”

ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อที่แย่ให้กับลูกสุดที่รักของเขามากเท่านั้น เขาสาบานที่จะไถ่โทษตัวเอง แต่มันจะมีอะไรที่เขาทำแล้วสามารถเอาความเจ็บปวดที่เขามอบให้ลูกชายของเขากลับคืนมาอย่างงั้นหรอ?

“พ่อขอโทษจริงๆ”เขาสะอื้นออกมาเป็นครั้งสุดท้าย เช็ดน้ำตาเมื่อเสียงจากห้องนั่งเล่นเตือนเขาว่าเวลาของเขากำลังจะหมดลงแล้ว “แต่ลูกจะต้องเชื่อใจพ่อเป็นครั้งสุดท้ายนะ โอเคมั้ย? พ่อรักลูก พ่อรักลูกมากถึงมากที่สุด อากาชิ เคย์จิ ลูกเป็นทุกอย่างของพ่อ และพ่อจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องลูก”และมันเหมือนกับว่าเขากำลังพูดกับตัวเอง และเขารู้ว่าเขากำลังทำอย่างนั้นอยู่ แต่ด้วยอะไรบางอย่างมันก็ทำให้เขามั่นใจในตัวเองมากขึ้น เขายื่นมือออกไป พยายามเอื้อมไปใต้พื้นที่แคบๆ เท่าที่เขาสามารถทำได้ “ได้โปรดออกมาหาพ่อเถอะนะ พ่อจะพาลูกไปที่อื่น จะได้ไม่มีใครมาทำร้ายลูกได้อีก โอเคมั้ย? พ่อสัญญา”

ท้ายที่สุดเคย์จิก็เงยหน้าขึ้นมามองมือที่ยื่นมาหาเขา และดวงตารื้น้ำตาของเขาก็ต้องมาทางใบหน้าของโบคุโตะ เขารีบหลบสายตาอย่างรวดเร็วก่อนจะหลับไปมองที่มือของเขาเหมือนยังคงชั่งใจ

“แล้วพ่อ...”สุดท้ายเสียงแหบของเขาก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบของห้อง “...จะเกี่ยวก้อยสัญญามั้ยฮะ?”

“พ่อสัญญาเลย”โบคุโตะหัวเราะขัดกับสถานการณ์ เขากัดปากตัวเองเพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “พ่อสาบานต่อเกรปฟรุ๊ตโรยน้ำตาลทุกชิ้นบนโลก ต่อหัวใจของพ่อและความหวังที่จะตายเลย”

“โอเคฮะ...”ช้าๆ และเหมือนลังเล เคย์จิผ่อนคลายลงและมันรู้สึกเหมือนนานมากกว่าเขาจะค่อยๆ มุดตัวออกมาเข้าใกล้พอที่จะค่อยๆ ใช้มือเล็กๆ ของเขาจับมือโบคุโตะ “ผมอยากจะไปจากที่นี่ฮะพ่อ ผมกลัว”

“พ่อรู้ ลูกรัก พ่อรู้”โบคุโตะปล่อยลมหายใจสั่นๆ ที่เขารู้ว่ากลั้นไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ออกมา และค่อยๆ ดึงตัวลูกชายเขาออกมาจากใต้เตียงเข้าสู่อ้อมกอดเขาอย่างอ่อนโยน “ทุกอย่างจะโอเค พ่อสัญญา”

เคย์จิพยักหน้าใส่ไหล่ของเขาเงียบๆ และโบคุโตะก็ดื่มด่ำกับจังหวะนั้นอยู่สองสามวิก่อนจะลุกขึ้นแล้วหยิบผ้าห่มจากเตียงของเคย์จิ เด็กน้อยที่ยังคงกอดตุ๊กตานกฮูกอย่างเป็นกังวลมองชายหนุ่มหยิบมันเข้ามาใกล้เขาและห่มมันรอบบ่าเล็กๆ ของเขา

“ไปกันเถอะ”โบคุโตะกระซิบบอกและขยับเคย์จิในอ้อมแขนเขา เพื่อให้ผ้าห่มห่มเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เคย์จิกำเสื้อเขาแน่นใต้ผืนผ้าห่มและโบคุโตะก็ยืนหยัดต่อความจริงผ่านพละกำลังที่เขาได้จากมือเล็กๆ นั่น

เขาไม่ได้หยิบอะไรอย่างอื่น มัวแต่ยุ่งกับการวนไปมาหน้าประตูหน้า เขากระชับลูกชายเขาเข้าหาแผ่นอกตัวเองมากขึ้นเมื่อเขาเดินผ่านห้องนั่งเล่น พยายามเมินเฉยกับเสียงกิเลสตัณหาที่ดังมาจากห้องนั้นและแทบจะใส่รองเท้าผ้าใบไม่ถูกก่อนจะเดินออกจากประตูมา

เมื่อออกมาแล้ว เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองหายใจได้สะดวกอีกครั้ง แต่เขาก็ปล่อยให้ตัวเองผ่อนคลายเพียงแค่ครู่เดียวก่อนจะเดินต่อออกจากตึกอพาร์ทเมนต์ ความเย็นของค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิเทียบไม่ได้กับความหนาวลึกในกระดูกของเขา โบคุโตะเลยปล่อยให้อะดรีนาลีนทำหน้าที่ของมันตลอดทางที่เขามุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุด

หลังจากที่ล้วงกระเป๋าของตัวเองอยู่สักพัก เขาก็เดาะลิ้นเมื่อพบว่าเขาไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาด้วยเลยจริงๆ และไม่มีหนทางที่จะติดต่อหรือเดินทางไปไหนมาไหนได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าเขายอมเสียเวลาเพิ่มอีกสักนาทีแล้วหยิบมือถือหรือกระเป๋าเงินก็ฟังดูสมเหตุสมผล แต่เมื่อเคย์จิทำเสียงฟึดฟัดจากใต้ผ้าห่มในห้อมแขนเขาแล้ว เขาก็รู้ว่าไม่ เขาจะไม่หยุดเพราะอะไรทั้งนั้น ถ้ามันหมายถึงการพาลูกของเขาออกมาจากอพาร์ทเมนต์นั้นให้ไวที่สุด

โชคดีที่ชีวิตมหา’ลัยสอนให้เขารู้ที่จะเอาตัวรอดในสังคมชนบท เพราะงั้นถึงจะมีเคย์จิอยู่ในแขนเขาด้วย เขาก็กระโดดข้ามประตูหมุนของทางรถไฟอย่างง่ายดายและทำตัวให้ไม่มีพิรุธที่สุดพร้อมกับเด็กชายในอ้อมกอดเขา เขาได้รับสายตาแปลกๆ จากคนรอบข้างแต่ก็ไม่มีใครถามอะไร และนั่นก็ทำให้เขาซาบซึ้งใจ

เอาล่ะ ตอนนี้เขาต้องคิดแล้วว่าเขาจะไปไหนดี เขาไม่มีมือถือที่จะโทรหาใครและเขาก็ไม่มีกระเป๋าตังเพื่อเช่าห้องอยู่ เพราะงั้นเขาก็ต้องพึ่งความทรงจำของตัวเองและโชคอีกมากๆ

เขารู้ว่าไดจิอาศัยอยู่ที่ไหน ในเมื่อพวกเขาเคยไปเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่มันค่อนข้างไกล เพราะงั้นที่ที่ใกล้กว่านั้นก็จะดีกว่า เมื่ออะดรีนาลีนหมดฤทธิ์ เขาเองก็รู้สึกเหนื่อยล้าไปหมดและแขนเขาก็สั่นเมื่อเขาพยายมจะอุ้มเคย์จิ นอกเหนือจากนั้น...เขายังไม่รู้ว่าคุโร่อาศัยอยู่ที่ไหนอย่างน่าประหลาด... แต่เขารู้ว่าโออิคาวะอาศัยอยู่ที่ไหน ในทางทฤษฎีแล้ว เขาจำบ้านเลขที่หรือกระทั่งชื่อถนนไม่ได้ แต่เขารู้ว่าจะต้องลงสถานีไหนและจำได้ว่าโออิคาวะเคยอวดถึงบันไดที่นำไปยังห้องพักของเขานั้นทาเป็นสีขาวและเขียวนกเป็ดน้ำ มันคงมีบ้านอยู่ไม่กี่หลังหรอกมั้งที่มีบันไดสีขาวกับเขียวนกเป็ดน้ำใช่มั้ย?

เคย์จิฟึดฟันเบาๆ ก่อนจะจามเขินๆ และโบคุโตะก็รู้ว่าเขาไม่มีทางเลือกอื่น เขาไขว้นิ้วและเดินลงไปเพื่อขึ้นรถไฟสายเหนือที่กำลังจะเทียบชานชาลา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา