[EXO] Queer วิปลาส [Hunmin]

-

วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 เวลา 20.37 น.

  13 chapter
  0 วิจารณ์
  26.89K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2558 19.52 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

13)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

การพบกันของเราทั้งสอง

เป็นเพราะว่าพระเจ้ากำหนดรึเปล่านะ..

 

เด็กหนุ่มรูปร่างผอมสูงวิ่งฝ่าความมืดมิดอยู่บนท้องถนนโล่ง เขากำลังหนีบางสิ่งที่วิ่งไล่ล่าเขาอยู่

 

"หยุดเดี๋ยวนี้นะมึง!!!!!" ก้อนไขมันวิ่งได้ตะโกนสั่ง แต่ลู่หานไม่สนใจฟังเพราะเสียงนั้นกำลังคืบคลานใกล้เขาเข้ามาเรื่อยๆ เขาจึงเร่งฝีเท้าของตัวเองเต็มที่ เขาวิ่งเข้ามาในเขตชุมชน และหลบซ่อนตัวอยู่ที่มุมตึกเพื่อพักหายใจ ไม่นึกว่ามันจะตามพรรคพวกมาเยอะขนาดนี้ จากการคาดการณ์แล้วน่าจะราวๆสิบคนได้

 

นี่กะฆ่ากันให้ตายเลยสินะ

 

"มันให้ไปไหนแล้ววะ?!" ใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มนั้นพูดขึ้น ฟังจากน้ำเสียงน่าจะเป็นแทมิน ที่เมื่อก่อนเป็นถึงลูกน้องคนสนิทของลู่หาน แต่หลังจากที่เขาขอออกจากแก๊ง แทมินก็แปรพรรคไปอยู่กับกลุ่มคนที่จ้องจะกำจัดเขาในทันที

 

ลู่หานรู้ว่าตอนนี้โอกาสรอดของตัวเองเหลือน้อยเต็มที หากจะวิ่งฝ่าออกไปอาจจะเจอกับห่ากระสุนที่สาดกระหน่ำมาที่เขา หรืออาจหายไปจากโลกด้วยการโดนพวกมันรุมกระทืบ

 

"นี่... นี่..."

ลู่หานหันไปมองหาเสียงนั้น ทำให้เขาได้พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนแง้มประตูอยู่

 

"นี่นายน่ะ เข้ามาหลบข้างในก่อน!" คนแปลกหน้าคนนั้นพูดอย่างแผ่วเบา แล้วกวักมือเรียกให้ลู่หานเข้าไปข้างใน ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกจึงจำเป็นต้องเดินตามคำเชื้อเชิญอย่างร้อนรน

 

"โอเคไหม??"

 

ลู่หานพยักหน้าแทนคำตอบ เขาหายใจหอบอย่างเหนื่อยอ่อน การวิ่งหนีไอพวกหมาหมู่นั่นเล่นทำเอาเขาเหนื่อยและเกือบตาย

 

 

"ช่วยฉันทำไม?" แทนที่ลู่หานจะกล่าวขอบคุณ เขากลับตั้งคำถามขึ้นมา 

 

"ฉันเดินลงมาข้างล่างแล้วได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย แล้วก็เห็นนายกำลังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน คิดว่าน่าจะมีปัญหาก็เลยช่วยน่ะ ดูท่าจะโดนนักเลงพวกนั้นรุมไถเงินมาสิท่า" 

ลู่หานแทบจะหลุดหัวเราะออกมาตอนที่เด็กชายตรงหน้าคิดว่าเขาโดนรุมไถเงิน ดูจากท่าทางและลักษณะแล้วน่าจะเด็กกว่าเขา 2-3 ปี 

 

"แล้ว.. นายชื่ออะไร?"

 

"มินซอก คิมมินซอก"

น้ำเสียงที่พูดไม่มีท่าทีหวาดกลัวต่อคนแปลกหน้าเลยซักนิด 

 

เพราะเหตุผลอะไรกันนะ ลู่หานจึงรู้สึกถูกชะตากับมินซอกอย่างบอกไม่ถูก

 

นับตั้งแต่วันที่มินซอกและช่วยชีวิตลู่หาน เด็กชายทั้งสองจึงได้มาเป็นเพื่อนกัน ทั้งสองมีอายุที่เท่ากันและความชอบในหลายๆเรื่องตรงกัน ทำให้ความสนิทสนมของพวกเขาแน่นแฟ้นขึ้นได้ไม่ยากเย็น วัยรุ่นทั้งสองต่างไว้เนื้อเชื่อใจกันเสมอ มินซอกช่วยเหลือลู่หานในเรื่องการเรียน มักจะสอนในเนื้อหาหรือบทเรียนที่ลู่หานไม่เข้าใจ ส่วนลู่หานก็คอยช่วยปกป้องเพื่อนจากพวกอันธพาล

 

 

พวกเขาสนิทสนมกัน

 

มินซอกไม่เคยมีความลับกับลู่หาน

 

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ลู่หานไม่เคยบอกมินซอกเลย

 

ซึ่งนั่นก็คือเรื่องที่เขาเคยเป็นหัวหน้าแก๊งอันธพาลเก่า

 

 

ลู่หานในวัย 16 เป็นหนุ่มเลือดร้อน ชอบมีเรื่องชกต่อยอยู่เสมอ เรื่องฝีมือและความชำหนักชำนาญในการต่อสู้เขาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่เคยมีใครที่สามารถโค่นลู่หานได้เลย เขาได้เข้าร่วมกลุ่มอันธพาลและสามารถไต่เต้าขึ้นไปเป็นหัวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ลู่หานดูแลพวกพ้องได้เป็นอย่างดี เวลาผ่านไปลู่หานเริ่มหลงระเริงในอำนาจทำให้เขาเริ่มที่พาคนในกลุ่มออกไปก่อความวุ่นวายให้กับเมือง ปล้นทุกอย่างที่มีค่า แข่งมอเตอร์ไซค์ รวมตัวกันจัดงานรื่นเริงเสียงดังสร้างความรำคาญและวุ่นวายให้กับผู้คนในละแวกนั้น แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเลย ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แม้กระทั่งตำรวจก็ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของกลุ่มอันธพาลนี้

 

เพราะอะไรน่ะหรอ??

 

 

"กรี๊ดดดดดดดดดดด"

 

"ฉันบอกหล่อนแล้วใช่ไหม ว่าถ้าเกิดแกคิดจะหักหลังพวกเราจะเกิดอะไรขึ้น!?" 

 

เสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่ถูกจับมัดติดกับเก้าอี้ไม้นั่งอยู่ตรงกลางห้องดังโหยหวน แสงไฟจากหลอดไฟที่แกว่งไปมาเหนือหัวชวนให้ผู้ชมลุ้นระทึกว่าเหยื่อคราวนี้จะสิ้นใจอย่างทุกข์ทรมานแค่ไหน

 

ลู่หานนั่งเผชิญหน้ากับสาวเคราห์ร้าย อดีตลูกน้องที่เขาไว้วางใจที่สุด แต่ตอนนี้เธอกลับเอาความลับไปขายให้กับพวกตำรวจเพื่อแลกกับเศษเงินอันน้อยนิด แต่กับคนโลภ ต่อให้เสนอมูลค่ามาเพียงไม่กี่หลัก ก็จ้องจะตะครุบมันไว้ทันที

 

"จะให้จัดการกับมันยังไงดีคะหัวหน้า?" ลูกน้องสาวหันมาถามหลังจากที่จัดการรัวหมัดไปที่กระสอบทราบมีชีวิต ลู่หานยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม เธอจึงถอยออกห่างให้ลู่หานได้ชื่นชมสภาพอันสะบักสะบอม หญิงสาวจอมละโมบโอดครวญอย่างเจ็บปวด เลือดไหลอยู่ในท้องเนื่องจากโดนกำปั้นหนักรัว พยายามจะดิ้นรนเอาตัวรอดจากลานประหารที่ตั้งอยู่ที่ห้องใต้ดิน เธอหันไปหาแฟนหนุ่มที่ยืนดูเหตุการณ์ในเงามืดอันเลือนลาง

 

"ที่รัก.. ช่วยฉันด้วย ฉันไม่ได้ทำ.. แทมินได้โปรด! พูดกับนายท่านให้ที!" เธอร้องไห้ออกมา อ้อนวอนกับคนรอบข้างให้ช่วย แต่ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่รับคำร้องขอของหล่อน เพราะจุดจบของชะตากรรมของตัวเธอนั้นคือโทษประหารสถานเดียว

 

"เธอรู้ตัวใช่ไหมว่าทำอะไรลงไป"

 

"ค-ค่ะ.. ฉันรู้ตัว.. ฉ-ฉันเสียใจ ฉันขอโทษท่านหัวหน้าจริงๆค่ะ ด-ได้โปรดไว้ชีวิตฉันเถอะค่ะ ดิฉันว่าจะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกน-แน่นอน.." น้ำเสียงของเธอตะกุกตะกัก ลู่หานลุกออกจากบัลลังก์แล้วเดินเข้าไปใกล้กับเธอด้วยใบหน้าอมยิ้ม

 

"ฉันจะไม่ฆ่าเธอ" น้ำเสียงหวานกล่าว คำตอบนั่นทำให้หญิงสาวน้ำตาเอ่อล้นออกมาอีกครั้ง เธอก้มหัวขอบคุณคนตรงหน้าอย่างไม่คิดชีวิต เรียกได้ว่าถ้าลงไปเลียรองเท้าได้เธอคงทำไปแล้ว

 

"แต่.." ทันใดนั้นน้ำเสียงก็เปลี่ยนมาเยือกเย็นเสียจนหนาวถึงขั้วหัวใจ เธอชะงักเล็กน้อยและเงยหน้าขึ้นมามองลู่หาน ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความสับสนปนความรักตัวกลัวตาย เธอเริ่มลนลานขึ้นมา

 

"ม-หมายความว่ายังไง.."

 

"พาเธอไปห้องทำงานชั้นสองของฉัน" ลู่หานสั่งชายผิวสีร่างกำยำสองคนที่ยืนรออย่างสงบอยู่ข้างหลังให้พาหล่อนขึ้นไปชั้นสอง คำว่า ห้องทำงานชั้นสอง ในความหมายที่คนในแก๊งรู้นั้นคือ ลานประหารที่ลู่หานจะกลายเป็นมัจจุราช ที่พร้อมจะตัดสินชีวิตหรือแม้กระทั่งเด็กน้อยที่ชอบนำเหยื่อมาเล่นสนุกด้วย

 

"ท่านคะ!!!! ท่าน!! ได้โปรดฟังฉันก่อน!" เธอร้องตะโกนขณะถูกพาขึ้นไปยังชั้นข้างบน ดิ้นรนทุรนทุรายเหมือนปลาที่ติดแห แต่ลู่หานหาได้สนใจไม่ เขาหันไปพูดกับผู้ชมที่ยืนเบื่อหลังจากที่อดดูเหตุการณ์เชือดไก่ให้ลิงดูของลู่หาน

 

"อย่าเพิ่งเบื่อกัน.. เดี๋ยวฉันจะจัดการถ่ายทอดสดมาให้ทุกคนได้ดู เชิญที่ห้องรับรองได้เลย" เขาผายมือไปยังประตูและยิ้มหวานตามสไตล์ แต่รอยยิ้มที่หวานยดเยิ้มราวกับน้ำผึ้งนั้น หากได้ลองกลืนมันลงคอก็เหมือนเอายางมะตอยกรอกปากฆ่าตัวตายดีๆนี่เอง

 

 

ลู่หานเดินขึ้นไปยังห้องทำงานชั้นสองของเขา ประตูห้องที่สุดทางเดินเชื้อเชิญให้ลู่หานเขาไป ลู่หานไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลย เขาดูสบายๆและชิว ชิวเสียจนน่าขนลุก เพราะไม่มีใครรู้เลยว่านับจากวินาทีที่ลู่หานเดินเข้าไปในห้อง สวมถุงมือยาง จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

 

"เรายังมีเรื่องให้เล่นกันอีกเยอะ อย่าเพิ่งรีบตายก่อนล่ะ ฉันยังไม่สะใจเลย :)"

 

 

นี่คือเหตุผลเพียงสั้นๆเท่านั้นว่าทำไมถึงไม่มีใครกล้าจะกำจัดลู่หาน

 

 

จนกระทั่งวันหนึ่งที่ลู่หานกลับไปยังบ้านของตัวเอง คำพูดของแม่ก็ได้เปลี่ยนชีวิตหนุ่มเลือดเย็นไปตลอดกาล

 

"ออกจากแก๊งแกซะ.."

คำพูดของแม่ทำให้ลู่หานตกใจ ปกติแม่ไม่เคยบังคับอะไรเขาเลย โดยเฉพาะเรื่องของแก๊งที่ลู่หานโกหกว่ามันก็แค่การรวมตัวกันเฉยๆ ไม่มีอะไร

 

"พูดอะไรน่ะแม่.."

 

"ออกจากแก๊งแกซะ ถือว่าแม่ขอร้องล่ะ" แม่ที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงพูด มารดาของลู่หานป่วยเป็นโรคร้ายแรงชนิดหนึ่งที่รักษาไม่หาย เงินที่ได้จากการปล้นในแต่ละครั้ง ลู่หานจะนำไปใช้ในค่ารักษาโรคนี้เสียเป็นส่วนใหญ่

 

"ไม่ได้หรอกครับ.." เขาหันหลังให้แม่ที่นอนนิ่งบนเตียง นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่ทราบได้ที่แม่ขอร้องให้เขาเลิกทำเรื่องพวกนี้เสีย

 

"แม่กำลังจะตาย.." คำพูดที่ออกมาจากปากแม่ทำให้เขาชะงัก 

 

"วันนี้หมอมาบอกกับแม่ว่าโรคที่แม่เป็นอยู่มันก็กำลังลุกลามไปที่อวัยวะอื่นแล้ว.." น้ำเสียงเรียบๆขัดกับเนื้อหาในประโยคที่พูดถึงเรื่องความเป็นความตาย

 

"ถือว่าแม่ขอร้องละนะ ลู่หาน"

น้ำตาเริ่มเอ่อล้นมาจากดวงตากวาง เขาพยายามกลั้นไว้ตามนิสัยที่ไม่ชอบแสดงด้านที่อ่อนแอของตัวเองออกมา 

 

"ไว้จะกลับไปคิดดู"

เขาทิ้งคำพูดนี้ไว้ในห้องและเดินจากไป ภายในหัวมันสับสน เขารู้สึกโกรธและกล่าวโทษทุกอย่างที่ทำให้แม่ของตนต้องมาตกอยู่ในบ่วงของโรคร้ายนี้ 

 

ลู่หานหายไปเป็นเวลานานถึงสามวัน เขากลับมาอีกครั้งด้วยคำยื่นขาดว่าจะออกจากแก๊งนี้ สร้างความตกใจและความแตกตื่นให้กับสมาชิกทุกๆคน โดยเฉพาะแทมินที่จู่ๆก็ร้องไห้ออกมา แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อมีลูกน้องชั้นล่างคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า

 

คนทรยศ!! ต้องตาย!! ต้องกำจัด!!

 

นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตของลู่หาน แต่ตอนนี้เรื่องราวความลับอันเน่าเหม็นและคละคลุ้งได้ถูกฝังในดินให้ลึกเสียจนต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการที่จะขุดคุ้ยเรื่องพวกนั้นขึ้นมา ลู่หานเริ่มต้นชีวิตใหม่ เป็นคนใหม่ ถึงเรื่องพวกนี้จะเป็นอะไรที่ยากลำบากมากสำหรับเขา แต่ด้วยความพยายามและการมีเพื่อนที่ดีอย่าง คิม มินซอก สามารถทำให้ชายหนุ่มรู้สึกมีหวังในชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

ลู่หานมีความฝัน

 

ฝันว่าอนาคตอยากจะอยู่กับมินซอก

 

และไม่พลัดพรากจากกันไปไหน

 

เขาจึงพยายามอย่างหนักในเรื่องของการเรียน เพื่อที่จะได้อยู่ห้องเดียวกันกับมินซอกและทำให้อีกฝ่ายรู้สึกโชคดีที่มีลู่หานเป็นเพื่อน 

 

 

 

"โตขึ้นอยากเป็นอะไรหรอ?" ลู่หานเอ่ยถามเพื่อนรักขณะนั่งทำการบ้านอยู่ที่ม้าหินอ่อนในสวนหลังบ้านของมินซอก เจ้าตัวทำท่าทางนึกคำตอบเล็กน้อย ก่อนจะตอบมาอย่างอารมณ์ดีเหมือนทุกครั้ง

 

"เราอยากเป็นจิตแพทย์" น้ำเสียงมุ่งมั่นนั้นเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า มินซอกจริงจังกับอาชีพนี้มากแค่ไหน 

 

"ทำไมถึงอยากเป็นล่ะ?"

 

"เราอยากจะช่วยรักษาคนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานทางจิตใจ ถ้าร่างกายแข็งแรงแต่สุขภาพจิตไม่ดีแบบนั้นคงแย่มากแน่ๆ"

 

"..."

 

"แล้วลู่หานล่ะ อยากเป็นอะไร?"

 

ลู่หานไม่เคยคิดถึงเรื่องอนาคตของตัวเองเลย เขาแค่อยากจะอยู่กับมินซอกตลอดไปก็เท่านั้น

 

"เรา..."

 

"เราอยากเป็นแบบมินซอก"

 

"จริงหรอ!!??" คำตอบจากปากของลู่หานสร้างความตื่นเต้นให้กับมินซอกเป็นอย่างมาก

 

"ไม่คิดเลยว่าลู่หานจะอยากเป็นจิตแพทย์ด้วย! เรามาพยายามไปด้วยกันนะ!!" มินซอกดีใจเป็นลิงโลดกับคำตอบแสนโกหกของคนตรงหน้า ลู่หานยิ้มหวานถึงแม้ลึกๆเขาจะรู้สึกละอายใจตัวเองก็ตามที่พูดโกหกไปแบบนั้น 

 

ลมพัดแรงหอบเอาความชื้นและความหนาวเย็นมาปะทะกับร่างกาย ทั้งคู่เงยหน้ามองขึ้นฟ้าก่อนจะพบว่าเมฆครึ้มกำลังลอยมา เอกสารบนโต๊ะปลิวกระจายไปตามแรงลม มินซอกลุกขึ้นเก็บกระดาษก่อนที่พ่อจะเปิดประตูและตะโกนเรียกลูกชาย

 

"มินซอก!! มินซอก!!"

 

"ครับพ่อ??"

 

"ขึ้นรถเดี๋ยวนี้เลย" น้ำเสียงและสีหน้าของพ่อดูเคร่งเครียดกว่าทุกครั้ง เด็กหนุ่มทั้งสองบอกลากันและแยกย้ายไปตามทางของตัวเอง ดูท่าว่าท้องฟ้าวันนี้ไม่ค่อยจะพอใจอะไรบางอย่างอยู่ ถึงได้ส่งเสียงอึกทึกออกมาแบบนั้น ลู่หานมองเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มินซอกและพ่อของเขารีบวิ่งขึ้นรถและแล่นออกไปตามท้องถนนที่โล่งกว้าง

 

เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ

 

 

 

เท้าเหยียบคันเร่งมิด ผู้เป็นพ่อสีหน้าเคร่งเครียดกำลังพุ่งทะยานรถไปตามถนนท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำเหมือนท้องฟ้าจะถล่มลงมาทันทีทันใด ตะวันเริ่มลับขอบฟ้าลงเรื่อยๆ

 

"พ่อครับ เกิดอะไรขึ้น"

มินซอกเอ่ยปากถามด้วยเสียงแผ่วเบาจากเบาะหลัง พ่อดูน่ากลัวมาก แถมยังขับรถเร็วกว่าปกติด้วย ไม่มีคำตอบออกมาจากปากของคนขับรถ 

 

 

เสียงเตือนดังขึ้นเมื่อไม่พบสัญญาณชีพจร แต่ก็ยังไม่มีใครเข้ามาช่วย จนผ่านไปซักพักถึงจะมีบุคคลากรทางโรงพยาบาลเข้ามา แพทย์และพยาบาลพยายามที่จะปั้มหัวใจให้นางคิม ร่างของเธอเด้งออกจากเตียงทุกครั้งที่เครื่องปั้มหัวใจวางบนหน้าอกของเธอ

 

เสียงแตรรถดังขึ้นเมื่อรถของพ่อสวนกับรถบรรทุกตรงทางโค้ง เขาสถบคำหยาบออกมาตามหลังอย่างไม่นึกอายลูกชายที่นั่งมองตาปริบๆ มินซอกไม่เข้าใจว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งเสียงที่กล่าวคำหยาบคายและเสียงฟ้าคะนองทำให้เด็กหนุ่มหวั่นใจว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น รอบข้างไม่มีรถสัญจรผ่านไปมาและท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง ไม่มีแม้แต่แสงไฟจากข้างทางหรือแม้กระทั่งดวงจันทร์

 

ผ่านไปราวหลายนาทีแล้ว แต่ไม่มีทีท่าว่าหัวใจของเธอจะกลับมาเต้นเลย เสียงเตือนยาวครั้งสุดท้ายของเครื่องวัดชีพจรดังขึ้น นายแพทย์หนุ่มวางมือจากเครื่องปั้มหัวใจทันที 

 

"จะทำยังไงดีคะ!?" นางพยาบาลสาวหันไปถาม เรื่องนี้นับว่าจะเป็นตราบาปที่ติดตัวไปตลอดชีวิตของทั้งเขาและเธอ เพราะในขณะที่เสียงเตือนว่าสัญญาณชีพจรต่ำลง พวกเขาทั้งสองกลับมัวแต่ไปสมสู่กันอย่างสุขสำราญ จนทำให้มีคนไข้เสียชีวิต

 

 

 

เสียงล้อบดขยี้กับถนนยางมะตอยก่อนที่จะมีเสียงดังโครมครามตามหลังมา รถเก๋งแหกโค้งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่เสียจนยับเยิน พ่อของเด็กหนุ่มอยู่ในสภาพที่เหมือนกระดาษที่ถูกขย้ำ ไม่หลงเหลือเค้าโครงสรีระของมนุษย์ เลือดไหลท่วมกายหนา ขาถูกรวมเข้ากับชิ้นส่วนของรถ กระจกแตกกระจายทิ่มไปตามร่าง ศีรษะถูกอัดเข้ากับพวงมาลัยรถเสียจนกระดูกจนต้นคอหักทะลุออกมา สองมือยังจับพวกมาลัยแน่นไม่ยอมคลาย เสียงไซเรนของรถพยาบาลดังขึ้นมาแต่ไกล แต่ความช่วยเหลือนี้คงจะมาไม่ทันที่จะกู้ชีวิตใครเสียแล้ว

 

 

ลู่หานกลับมาที่บ้านในสภาพที่เปียกโชก เขาวิ่งขึ้นห้องนอนของตัวเองและคว้าผ้าเช็ดตัวมาเช็ดหัวของตัวเอง ด้วยความรีบร้อนจึงทำให้เผลอทำกรอบรูปคู่ที่ตั้งไว้ตรงหัวเตียงตกลงมา ลู่หานก้มลงเก็บมันอย่างร้อนรน และรีบตรวจดูความเสียหาย รอยร้าวของกระจกทอดผ่านที่คอของมินซอก เด็กหนุ่มเมื่อเห็นรูปแล้วก็ใจเสียขึ้นมาทันที ภาวนาขอให้ลางร้ายที่พวกผู้ใหญ่ชอบพูดมันเป็นแค่เรื่องหลอกเด็กเท่านั้น

 

 

พระเจ้าน่ะชอบแกล้งเราด้วยมุขตลกที่ไม่ทำให้ใครขำ

 

 

เช้าวันต่อมา ลู่หานเพิ่งได้มารู้ข่าวว่ามินซอกประสบอุบัติเหตุรถชน วินาทีแรกที่ได้ยินข่าวร้ายของเพื่อนรักเขาแทบจะสติแตก ความคิดและความกังวลตีกันในหัวอย่างยุ่งเหยิง ร่างกายแข็งทื่อและชาบริเวณปลายนิ้ว เขาไม่สามารถรับรู้สิ่งที่คุณครูประจำชั้นพูดต่อจากนั้นได้เลย จนเพื่อนที่นั่งข้างหน้าลู่หานต้องตบโต๊ะเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา

 

"ลู่หาน! เป็นอะไร!?"

 

"ม-มินซอกตายรึยังครับ..?" น้ำเสียงของเขาตะกุกตะกักเหมือนแผ่นเครื่องเสียงที่เริ่มใช้การไม่ได้ หน้าซีดเผือด อีกทั้งยังเม้มปากแน่น เขากังวลและกลัวกับคำตอบของอาจารย์มาก

 

"มินซอกรอดตายรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ แต่น่าเศร้าที่ต้องสูญเสียทั้งพ่อและแม่ในวันและเวลาเดียวกัน"

 

 

 

ช่างโชคดี

และ

โชคร้ายเหลือเกิน..

 

 

ไม่รู้ว่าตัวเองวิ่งจากโรงเรียนมาจนถึงโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อไหร่ ลู่หานรีบไปติดต่อเคาท์เตอร์ และถามหาผู้ป่วยที่ชื่อคิม มินซอก เขารีบวิ่งขึ้นบันไดไปยังชั้น 5 อย่างร้อนรนและไม่คิดที่จะหยุดพักหายใจเลย เขาอยากเจอ อยากเจอกับมินซอกใจจะขาด

 

 

ลู่หานมาถึงยังหน้าห้องที่มินซอกพักรักษาตัวอยู่ เขาเปิดประตูเข้าไปทันทีและพบกับคุณน้าของมินซอกที่กำลังนั่งคุยกับนายแพทย์อยู่ตรงโซฟารับรอง มินซอกนอนนิ่งอยู่บนเตียงพร้อมกับมีสายที่ระโยงระยางล้อมอยู่รอบเตียง

 

"สวัสดีครับคุณน้า" ลู่หานโค้งทักทาย หล่อนส่งยิ้มให้กับเพื่อนสนิทของหลานชายตัวเอง เป็นรอยยิ้มที่ช่างฝืน และกล้ำกลืนเหลือเกิน

 

"มินซอกอาการเป็นยังไงบ้างครับ?" ลู่านเอ่ยถาม

 

"เขาไม่ฟื้นขึ้นมา 3 วันแล้ว.."น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ หล่อนพยายามสกัดกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้

 

"ผู้ป่วยตกอยู่ในภาวะความจำเสื่อมเนื่องจากได้รับการกระทบทางสมองอย่างร้ายแรงครับ" แพทย์หนุ่มพูดเสริมขึ้นมา

 

"เขาจะจำอะไรไม่ได้เลยหรอครับ?"

 

"ใช่ครับ คงต้องใช้เวลานานกว่าที่ผู้ป่วยจะรื้อฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้" ลู่หานยืนฟังตัวแข็ง ครั้งนี้มันเจ็บเสียยิ่งกว่าโดนต่อยที่หน้า เด็กหนุ่มแทบจะเป็นลมล้มพับไปเสียตรงนั้น

 

มินซอกจะจำเขาไม่ได้งั้นหรอ?

 

บอกทีว่านี้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน

 

"ผม.. ขออนุญาตไปดูมินซอกนะครับ.." ย่างก้าวแต่ละก้าวนั้นช่างเชื่องช้าเหมือนคนแก่ ลู่หานจ้องมองเพื่อนรักของตนที่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลและรอยฟกช้ำทำเอาเขาแทบตายทั้งเป็น ฝ่ามือบางเอื้อมไปลูบแก้มอีกคน ผิวของมินซอกที่เคยมีน้ำมีนวล นุ่มและอ่อนละมุนเหมือนก้อนเมฆ กลับแห้งผากเหมือนเนื้อหนังของคนตาย

 

 

"คงเจ็บมากใช่ไหม? มินซอก"

 

 

หยดน้ำตาร่วงหล่นลงมาจากดวงตากวาง ความเข้มแข็งของเขาถึงขีดจำกัด ลู่หานรู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่างไป จากเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งไม่เคยเสียน้ำตาให้กับใครกลับมายืนร้องไห้ให้กับคนที่เขารัก รักจนสุดหัวใจ แต่ตอนนี้มินซอกจะไม่สามารถจดจำเขาได้อีกต่อไป

 

 

เด็กหนุ่มก้มลงไปกระซิบที่ใบหูของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา

"ฉันรักนายมากนะ มินซอก"

 

หลังจากวันนั้นเขาได้หายไปจากชีวิตมินซอก เพื่อนในห้องไปตามหาตัวลู่หานถึงบ้านแต่ก็ไม่พบใคร ข้าวของภายในบ้านที่ยกออกไปจนหมดแล้ว ลู่หานหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา ผ่านไปประมาณ 5 วันกว่ามินซอกจะฟื้น เขาและญาติที่เหลืออยู่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการช่วยกันรื้อฟื้นความทรงจำของด็กหนุ่ม เป็นเวลานานหลายเดือนกว่าที่มินซอกจะกลับไปใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง

 

แต่ไม่มีใครพูดถึงลู่หานให้มินซอกฟังเลย

 

ทุกคนทำเหมือนว่าไม่เคยมีเขาอยู่บนโลกนี้

 

 

มินซอกจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดังของประเทศในสาขาจิตเวชศาสตร์ด้วยตำแหน่งเกียรตินิยมอันดับ 1 แค่เขากลับเลือที่จะมาทำงานที่โรงพยาบาลเล็กๆที่ห่างไกลความเจริญในตัวเมืองแบบนี้

 

นั่นทำให้เขาได้พบกับลู่หานอีกครั้ง

 

การพบกันอีกครั้งของทั้งสองเป็นการรีสตาร์ททุกอย่าง ลู่หานไม่คิดจะบอกความจริงให้กับเพื่อนของตนได้รู้ว่าเขาและมินซอกเคยรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กด้วยเหตุผลบางอย่าง 

 

ไม่มีใครรู้ว่าลู่หานหายไปไหน หรือไปทำอะไรมา แต่เขาเปลี่ยนไปมากจากแต่ก่อน ทั้งดูเฉิดฉาย มีภูมิฐาน และเขาก็กลับมาพร้อมกับตำแหน่งหัวหน้าแผนกจิตเวชจากโรงพยาบาลใหญ่ที่มินซอกทำงานให้

 

 

"แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว" 

ชายหนุ่มเปิดประตูห้องนอนของแม่ออก ท่านนั่งนิ่งและสงบเสงี่ยมบนวีลแชร์ ภายในห้องมืดสนิทมีเพียงแค่แสงไฟจากด้านนอกก็เท่านั้น กลิ่นเหม็นสาบบางอย่างลอยปะทะจมูกของลู่หาน

 

"ผมบอกแม่กี่ครั้งแล้วครับว่าอย่าเอาแต่อดอู้อยู่แต่ในห้อง" ลู่หานถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือควานหาสวิตช์ไฟและจัดการลงกลอนล็อกห้อง ชายหนุ่มเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าคุยกับมารดาของตน

 

"แม่รู้ไหมครับ วันนี้ผมเจอใคร"

ไม่มีเสียงตอบกลับจากหญิงชรา

 

"ผมเจอมินซอกด้วยแหละครับ และผมคงจะพาเขามาอยู่ที่บ้านของเราแน่นอนครับแม่ ทีนี้แม่ก็จะได้เจอมินซอกสักที แม่จะต้องชอบเขาแน่นอนครับ" ลู่หานยิ้มร่าและจับมือบางที่เหลือแค่หนังเหี่ยวๆหุ้มกระดูกของแม่

 

"ดูสิ ตัวแม่แห้งหมดแล้ว เดี๋ยวผมจะฉีดยาให้นะครับ" ลู่หานลุกขึ้นไปเปิดกล่องเหล็กเงินแล้วหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมา ภายในบรรจุของเหลวสีใสที่เราเรียกกันว่าฟอร์มาลิน ก่อนจะจัดการฉีดเข้าไปในตัวศพที่มีสภาพแห้งกรังที่ลู่หานเรียกว่าแม่ ผิวหนังกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม ผมเผ้าร่วงหล่นจากหัวเกือบหมดมีอยู่ไม่กี่เส้นเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่บนศีรษะ ไม่มีฟันเหลืออยู่ในปากเลยซักซี่ เบ้าตาลึกกรวงโบ๋ ใบหน้าและร่างกายซูบผอมและมีกลิ่นเหม็นน่าขยะแขยง 

 

ชายหนุ่มยกมือแห้งกรังของแม่ขึ้นมาแนบแก้มเบาๆและมองมารดาอย่างรักใคร่ มองใบหน้าที่ค่อยๆแห้งลงจากใช้ฟอร์มาลินมากเกินไป

 

"อีกไม่นานหรอกครับแม่ รอก่อนนะครับ เราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วนะ"

 

 

เขากลับมาหามินซอก กลับมาเพื่อพาคนที่เขารักสุดหัวใจไปอยู่ด้วย 

 

ไปสร้างชีวิตใหม่ด้วยกันนะ มินซอก

 

 

 

 

 

 

-----------------------------------------

อดีตพี่ลู่เราช่างเจ็บปวดจริงๆค่ะ ฮอล

หล่อแต่จิตแบบนี้เป็นเรา เราก็ไม่เอานะคะ55555

ขอบคุณทุกคนที่ยังรออ่านอยู่นะคะ ขอบคุณมากจริงๆ

เพราะว่าเราขึ้น ม.3 แถมยังมีสอบเข้า สอบไฟนอลแถมยังมีกีฬาสีอีก

เลยทำให้เวลาแต่งไม่ค่อยปะติดปะต่อเท่าไหร่

ที่จริงเราแต่งตอนจบไว้นานแล้วค่ะ แต่ส่วนใหญ่

ก็เป็นแบบครึ่งๆกลางๆซะมากกว่า ยังไม่จบเลย

ก็ตอนนี้ใกล้มาถึงบทสรุปความรักที่บิดเบี้ยวแล้วล่ะค่ะ!

ยังไงก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะคะ T_T

ไปสกรีมฟิคกันได้นะคะ #ฟิคเซฮุนวิปลาส 

ติดต่อเรา ติ-ชมหรือพูดคุยกันได้นะคะ 

เราเง๋า ._. @mrq_uestions 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา