YAOI LOVERS ระวัง! อ่านแล้วหัวใจจะY

-

เขียนโดย ดินลา

วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 22.53 น.

  10 ตอน
  7 วิจารณ์
  11.10K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560 22.58 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

7) [SJ] Look Like Love 2.2: Maybe...Never

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

               “นี่นายพาฉันมาที่นี่ทำไมห๊ะ!” เสียงหวานของคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามตวาดแหวดัง หน้าตาบูดบึ้งหันไปอีกทางไม่ยอมมองอีกฝ่าย

               “กรุณารักษามารยาทในห้องทำงานฉันด้วยลีทงแฮ ฉันเป็นอาจารย์นะ” คิบอมพูดเรียบๆ พลางหยิบจับเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะทำงานอย่างเร่งรีบจนดูวุ่นวายนิดๆ

               “แล้วไม่ทราบว่า ‘อาจารย์’ จะลากผมมาที่ห้องนี้ทำไมไม่ทราบครับ” ทงแฮพูดเน้นอย่างจงใจกวน ด้วยอารมณ์ที่ทั้งหงุดหงิดและสับสน

               ร่างสูงที่กำลังรื้อกองเอกสาร หันมามองร่างบางเล็กน้อย ยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ พอดีกับที่ได้เอกสารที่ต้องการมาอยู่ในมือแล้ว ก็เดินไปใกล้ทงแฮวางมือบนพนักเก้าอี้ก้มลงไปข้างๆ หูของคนที่นั่งอยู่ มือก็โยนเอกสารที่ค่อนข้างเยอะลงตรงหน้าแรงจนทงแฮสะดุ้ง หันมาจะเอาเรื่องคนทำ แต่ก็ต้องผงะไปเมื่อพบว่าคนที่ว่าอยู่ใกล้ใบหน้าเขาเสียเหลือเกิน อยู่ๆ ใบหน้าของทงแฮก็รู้สึกร้อนขึ้นมา เพราะมันช่างเหมือนกับเหตุการณ์ล่าสุดนั่นเหลือเกิน แต่ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นจนเหมือนกับเหตุการณ์ที่ว่านั่น ร่างสูงก็ผละถอยไปเสียก่อน

               “นี่นายความจำสั้นหรือไง ยังจะต้องให้ฉันย้ำอีกหรอว่านายไปทำอะไรที่ห้องสมุด หรือนายจำได้แต่เรื่องสุดท้ายกันล่ะ” คิบอมพูดพร้อมกับนั่งลงลูบริมฝีปากตัวเองนิดๆ อย่างจงใจ จ้องมองดูคนหน้าหวานที่พูดไม่ออกเบี่ยงหน้าหนีทำหน้าโมโหเหมือนอยากจะบีบคอเขาเสียเต็มประดา

               “อ้อ! แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องนั้นนะ เอกสารนั่นคืองานในวิชาของฉันทั้งหมด กรุณาทำให้เสร็จทั้งหมดด้วยเพราะมันอาจช่วยในเรื่องที่นายหมดสิทธิ์เข้าสอบวิชาของฉันเพราะนายไม่เคยเข้าเรียนเลยสักครั้ง แถมด้วยฉันจะไม่รายงานเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนายในห้องสมุด”

               “อะไรนะ! ทั้งหมดนี่เนี่ยนะ ไม่ทำโว้ย! เยอะขนาดนี้บ้าหรือเปล่าวะ” ร่างบางตกใจตาแทบเหลือก โวยวายทันทีแม้ใจจะยอมทำอยู่แล้วเพราะมีคดีติดติดตัวอยู่ตั้งสองคดีแถมอีกฝ่ายยังเสนอทางแก้ให้ด้วย

               “มารยาท ลีทงแฮ มารยาท รักษามันด้วย” คิบอมสั่งเรียบๆ จนทงแฮต้องพยายามข่มอารมณ์ไว้

               “ก็มันเยอะเกินไปนี่นา ฉันทำไม่ได้หรอก”

               “ใช่ ข้อนี้ฉันรู้ ฉันถึงจะให้นายทำมันที่นี่ไง มีปัญหาอะไรก็จะได้ถามฉัน เชิญ” พูดเสร็จก็ผายมือไปทางโต๊ะเก้าอี้ว่างที่มุมห้องให้อีกฝ่ายไปนั่งทั้งที่ยังอ้าปากค้างอย่างงงๆ อยู่

               จัดการเสร็จคิบอมก็กลับมานั่งเปิดแล็ปท็อปเครื่องหรูขึ้นมา ใบหน้าเคร่งเครียด สักครู่ก็กดโทรศัพท์โทรออกและพูดเป็นภาษาอังกฤษที่ทงแฮฟังไม่รู้เรื่องสักคำ ไม่นานก็วางสายไป

               “นี่…ถ้านายต้องทำงาน ฉันกลับไปก่อนก็ได้นะ” ทงแฮบอกเสียงเบาๆ ใจหนึ่งก็อยากจะถามว่าเครียดเรื่องอะไรกัน แต่มันก็ไม่ใช้เรื่องอะไรที่เขาต้องไปถามสักหน่อย

               “ไม่ต้องหรอกน่า อยู่ที่นี่แหละ ตอนนี้ก็ค่ำแล้วฝนอาจจะตกด้วยเดี๋ยวฉันจะไปส่งนายเอง ไม่นานหรอกรอหน่อยล่ะกัน”

                ทงแฮกำลังอ้าปากจะบอกปัด แต่เสียงโทรศัพท์อีกฝ่ายก็ดังขึ้นซะก่อนและเริ่มพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษด้วยท่าทีเคร่งเครียดอีกครั้ง จนเขาไม่มีโอกาสจะพูดกับอีกฝ่ายอีก

。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。

  

 

               …4 ชั่วโมงก่อนหน้านี้…

               เวลายามบ่ายแก่ๆ แดดไม่ค่อยแรงนัก ชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งกำลังเดินมุ่งหน้าไปประตูมหาวิทยาลัยหมายจะกลับไปที่ห้องพักโดยเร็ว มือใหญ่ยกขึ้นมาปิดปากที่หาวด้วยความเบื่อหน่ายกับคาบเรียนแสนน่าเบื่อที่เพิ่งจบไป  สายตาคมหันเห็นร่างของคนๆ หนึ่งที่ยืนชะเง้อมองไปมาเหมือนกำลังหาใครสักคนอยู่…ฮีชอล ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่…ร่างสูงเร่งฝีเท้าตรงไปยังร่างบางด้วยความหงุดหงิด

               “นายมาทำบ้าอะไร ทำไมไม่กลับไปซะ” ซีวอนตะคอกเสียงแข็ง ทำเอาฮีชอลที่ยิ้มกว้างดีใจที่ได้เห็นหน้าคนที่รอถึงกับสลดลงวูบทันที แต่ก็ยังฝืนยิ้มต่อไป

               “ฉัน…ฉันมารอนายซีวอน”

               “จะมารอทำบ้าอะไร กลับบ้านไปซะ!” ซีวอนพูดอย่างเหลืออด ผลักร่างฮีชอลให้ออกไปให้พ้นทางแล้วเดินหนีไป ฮีชอลที่เซไปเล็กน้อยแม้จะเจ็บปวดใจอยู่ลึกๆ แต่สองขาก็ยังคงวิ่งตามร่างที่เดินหนีไป

               “ดะ…เดี๋ยวซิ…” มือบางวิ่งตามทันและคว้าชายเสื้ออีกฝ่ายรั้งให้หยุดเดิน

               “ปล่อย…” เสียงเย็นชากับใบหน้านิ่งๆ นั่นยิ่งทำให้หัวใจของฮีชอลเจ็บหนักกว่าเดิม เขาปล่อยมือออกช้าๆ พยายามข่มความเจ็บทั้งหมดไว้ แล้วพูดในสิ่งที่ต้องการ

               “…ขอ…ขอให้ฉันอยู่กับนาย ได้มั้ย…” เสียงหวานแม้จะแผ่วเบาแต่ก็ชัดเจน แววตาแม้จะสั่นไหวแต่ก็จ้องร่างสูงแน่วแน่ยืนยันความตั้งใจจริงจัง

               ซีวอนจ้องกิริยาอาการทั้งหมดของคนตรงหน้า บอกไม่ถูกเช่นกันว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินคำขอนั้น…นี่นาย รักฉันมากงั้นหรือ…ร่างสูงเลื่อนสายตามองใบหน้าสวยหวานที่ติดจะซีดเซียวมากอยู่จนเขาอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นลมล้มลงไปในนาทีใดนาทีหนึ่งนี้ก็คงไม่แปลก เขาถึงได้ไล่ให้กลับไปซะ แต่ก็ยังจะตามมาให้เขารำคาญอีกอยู่ได้

               ร่างสูงยังคงนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรสักคำ ก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินหน้าต่อ ใบหน้างามของอีกฝ่ายหม่นหมองลง ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นงุนงงและยิ้มอย่างสดใสขึ้นทันตาเมื่อได้ยินคำว่า…

               “มาซิ…”

               ร่างของคนสองคนในห้องกว้างบนคอนโดหรูหรา ไร้เสียงสนทนาใดๆ ก่อนที่ซีวอนจะเดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนฮีชอลก็ได้แต่นั่งรออีกฝ่ายที่กำลังอาบน้ำอยู่ ใจเต้นอยู่ไม่น้อยที่อีกฝ่ายยอมให้มาอยู่ด้วยง่ายๆ แบบนี้…จะผิดมั้ย ถ้าเขาจะแอบมีความหวังเล็กๆ ว่า ซีวอนก็ชอบเขาอยู่เหมือนกัน

               “ทำไมนายถึงทำแบบนี้” ฮีชอลที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่สะดุ้งกับเสียงของซีวอนที่ไม่รู้ว่าอาบน้ำเสร็จตอนไหน สายตาเรียวหลบวูบใบหน้าแดงซ่านขึ้นเมื่อเห็นว่าร่างอีกฝ่ายมีแค่ผ้าคลุมที่ปิดไม่ค่อยจะมิดชิดนัก

               “ฉัน..ฉันแค่อยากอยู่ใกล้ๆ กับนาย” ร่างบางตอบตะกุกตะกักก้มหน้าไม่ยอมสบตา

               “ทำไมถึงอยากอยู่ใกล้” ซีวอนรุกถามต่อ

               “เพราะ…เพราะว่า เพราะว่า…” ฮีชอลหน้าแดงพูดไม่ออกแม้อยากจะพูด

               “นายยังรักฉันอยู่ใช่มั้ย” ซีวอนไม่รอคำตอบอีกฝ่ายเลยตอบให้ ฮีชอลยิ่งหน้าแดงขึ้นหัวใจก็เต้นเร็วกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่กล้าเปิดปากพูด

               “แน่ล่ะซิ…ถ้านายไม่รักฉันมาก ก็คงไม่ ‘หน้าด้าน’ เสนอตัวให้ถึงห้องทั้งๆ ที่ผู้ชายเขา ‘ไม่เอา’แล้วหรอกใช่มั้ย” น้ำเสียงเย้ยหยันอย่างเย็นชาของซีวอน คำพูดที่แสนจะเจ็บปวดจิกกรีดลงบนหัวใจของฮีชอลจนแทบจะฆ่าเขาให้ตาย

               “…….” ฮีชอลเจ็บจนพูดไม่ออก กล้ำกลืนน้ำตาที่อยากจะร่วงลงมาเต็มที่

               “มานี่ซิ…” ซีวอนเรียก ฮีชอลก็ลุกเดินไปหาโดยดีแม้จะก้าวขาไม่ค่อยออกนัก

               “ฉันจะให้นายอยู่ที่นี่แค่วันนี้วันเดียว…ว่าไง” ซีวอนพูดต่อไปอย่างไม่สนใจอะไร ฮีชอลหันหน้าหนีไปเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา ก่อนจะหันมาพยักหน้าช้าๆ แม้จะอยากอยู่ด้วยนานกว่านี้ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้อง…ใช่ว่าวันอื่นเขาจะมาหาซีวอนไม่ได้นี่

               เมื่อตัดสินใจแล้ว มือเล็กๆ ของฮีชอลก็คว้ามือซีวอนยกขึ้นมาสัมผัสกับใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา ฝ่ามือใหญ่ของซีวอนจึงเปลี่ยนเป็นรั้งต้นคออีกฝ่ายเข้ามาบดเบียดจูบร้อนแรง ร่างบางตระกองกอดรัดร่างสูงไว้แนบแน่นราวกับอยากหลอมรวมให้กลายเป็นร่างเดียวกัน

               ซีวอนโอบอุ้มร่างฮีชอลวางบนเตียงใหญ่ ทั้งคู่ช่วยกันถอดเสื้อผ้ากันและกัน ฮีชอลไม่อยากละสายตาไปแม้แต่นิด อยากจะเก็บเกี่ยวความรักครั้งนี้ไว้จนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ทุกสัมผัสร้อนแรงที่ซีวอนมอบให้อ่อนโยนกว่าที่เขาคาดไว้ จนอยากจะคิดว่าซีวอนอ่อนโยนเพราะกำลังกอดร่างของฮีชอล…ฮีชอลที่ซีวอนรู้สึกรัก

               เสียงร้องครางหวานเมื่อถูกรุกเร้า วาบหวามและมีความสุขทุกครั้งที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายซุกไซ้ลิ้มรสกายของเขาไปทุกส่วน เสียงหวานร้องดังเมื่อความปรารถนาแล่นถึงขีดสุด เมื่อส่วนหนึ่งของร่างกายซีวอนรุกล้ำเข้ามาหลอมรวมเป็นหนึ่ง ฮีชอลผวาเข้าโอบกอดคอซีวอนแน่นอย่างแสนรัก ร่างกายเบื้องล่างสอดประสานกันเป็นจังหวะ มือใหญ่เลื่อนมาโอบกอดเขาตอบ ได้ยินเสียงทุ้มครางชัดอยู่ข้างหูเขา บอกให้รู้ว่าไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่มีความสุขกับครั้งนี้ หัวใจที่เจ็บร้าวเกือบแตกหักเหมือนได้ไอแห่งความสุขมาเยี่ยวยารักษาเกือบหายดี จนกระทั่ง…

               “อา…ฮยอกแจ…ฮยอกแจ……”

               ฮีชอลแทบหยุดหายใจ หัวใจที่กำลังมีความสุขก็เจ็บปวดจนพังครืนสลายไปไม่มีเหลือ น้ำตารินไหล ร่างบางกัดนิ้วมือที่ยังโอบรัดคนตรงหน้าไว้แน่นไม่ให้เสียงสะอื้นหลุดออกมา ไม่อยากให้ซีวอนรู้ว่าเขากำลังร้องไห้ แม้จะไม่มีประโยชน์นักเพราะน้ำตามากมายของฮีชอลก็ไหลลงเต็มบ่าของซีวอนมีหรือที่อีกฝ่ายจะไม่รู้ตัว เมื่อจังหวะเคลื่อนไหวเร่งเร็วขึ้นจนถึงที่สุดความต้องการ รู้สึกได้ถึงสายธารน้ำรักของอีกฝ่ายที่ถูกปล่อยเข้ามาในร่าง เสียงครางสุดท้ายของคนทั้งคู่ ทั้งสุข เศร้าและเจ็บปวดใจดังประสานกัน

 

               ...ทุกสัมผัสครั้งนี้ ซีวอนช่างอ่อนโยนนัก อ่อนโยนเกินกว่าที่เขาคาดไว้ จนอยากจะคิดว่าซีวอนอ่อนโยนเพราะกำลังกอดร่างของคนที่เขารัก…แต่มันไม่ใช่ฮีชอล…เขากำลังกอดเด็กคนนั้นต่างหาก…

。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。

  

 

               “……….” สิ้นเสียงพูดภาษาอังกฤษที่ทงแฮฟังไม่รู้เรื่อง ร่างสูงก็วางโทรศัพท์ไป ใบหน้าที่เคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลงมาก คิบอมจัดการธุระเรื่องพี่ชายเสร็จแล้วเหลือก็แต่กล่อมให้ยอมกลับไป คิบอมยิ้มออกมาได้นิดหน่อยเมื่อปัญหาใกล้คลี่คลายได้ ร่างบางหน้าหวานเห็นรอยยิ้มนั้นก็ดูจะโล่งใจไปด้วยแม้จะไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไร แต่ดูแล้วคงไม่มีปัญหาอะไร

               “ไงล่ะนาย ทำไปถึงไหนแล้ว” จู่ๆ คิบอมก็หันมาถามเขาโดยไม่ทันตั้งตัว จนทงแฮที่กำลังจ้องคิบอมเพลินๆ สะดุ้งนิดๆ รีบหันไปเขียนงานทันที คิบอมมองท่าทางนั้นอย่างเอ็นดู

               “ก็…ก็กำลัง ทำอยู่นี่ไงเล่า…เร่งอยู่ได้” ทงแฮก้มหน้าบ่นงุดๆ ไม่เห็นว่าคิบอมเดินมาอยู่ข้างหลังและโน้มลงมาใกล้ขนาดไหน

               “ไหน ให้ฉันดูซิ” เสียงที่ดังชัดเจนอยู่ข้างหู ทำให้ทงแฮสะดุ้ง ตัวแข็งไม่กล้าหันไปมอง เพราะสัมผัสได้ว่าใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ใกล้เขามากแค่ไหน

               “อะไรกัน ยังไม่ถึงไหนเลย นี่นายมัวแต่นั่งจ้องฉันจนไม่ได้ทำเลยหรือไง” คิบอมพูดปนหัวเราะ จนทงแฮหน้าเป็นสีชมพูด้วยความเขินที่ถูกจับได้

               “บ้าดิ ใครมองนายกัน ฉันเปล่ามองโว้ย” ยิ่งคนหน้าหวานโวยวายเท่าไหร่ คิบอมก็ยิ่งยิ้มและหัวเราะมากขึ้น

               “โอเคๆ ไม่ได้มองก็ไม่ได้มอง งั้นกลับกันเลยมั้ย” คิบอมพูดพลางอมยิ้ม คนตรงหน้าก็ได้แต่พยักหน้า หน้าบูดบึ้งปากยื่นๆ แก้มป่องๆ…งอนได้น่ารักจริงนะ เจ้าตัวแสบของฉัน…

 

               “โห! นี่ ทำไมรถนายมันรกอย่างงี้เนี่ย” ทันทีที่เปิดประตูรถ ทงแฮก็โวยวายทันที จริงๆ มันก็ไม่ได้ถึงกับรกซะทีเดียว เพียงแต่มีกล่องใส่ของวางเกะกะอยู่ในนั้นหลายใบเท่านั้นเอง

               “นายนี่โวยวายได้ทุกเรื่องจริงๆ นะ” คิบอมส่ายหน้าอย่างระอานิดๆ “ฉันเพิ่งย้ายบ้าน ยังเอาของลงไม่หมด” คิบอมพูดพลางยื่นตัวเข้าไปยกกล่องทั้งหลายไปไว้เบาะหลัง แล้วก็ดันๆ ตัวทงแฮเข้าไปนั่ง

               “บ้านนายอยู่…xYz…ใช่มั้ย ไกลน่าดูเลยนะ” คิบอมถามลอยๆ ขณะออกรถ

               “เฮ้ย! รู้ได้ไง…เป็นโรคจิตหรือไงนาย” ทงแฮโวยอีก ทำหน้าตารังเกียจใส่คนข้างกาย นึกกลัวนิดๆ ว่าอยู่บนรถมันแล้วมันจะพาไปฆ่าหมกป่าที่ไหนหรือเปล่าก็ไม่รู้

               “นี่ๆ อย่าฟุ้งซ่านได้มั้ย ฉันไม่จับนายไปฆ่าที่ไหนหรอกน่า” คิบอมมองสีหน้าคนข้างๆ ถอนหายใจแล้วบอกอย่างรู้ทันความคิด

               “แล้วนายรู้ได้ไงล่ะ” ทงแฮหรี่ตาถาม ยังคงไม่ไว้ใจ ไอ้เด็กบ้านี่มันอาจจะแกล้งเขาก็ได้ เพราะเขาเองด่ามันไว้เยอะซะด้วย

               “ยังมีอีกเยอะที่ฉันรู้เกี่ยวกับนาย” คิบอมพูดยิ้มๆ อดหัวเราะไปกับท่าทางกลัวๆ นั้นไม่ได้

               “เฮ้ย!...งั้นฉัน…” ทงแฮตะโกนอย่างตกใจ ชักรู้สึกใจไม่ดีแล้วจริงๆ จะโวยวายขอลงรถแล้วกลับเอง แต่ว่า…

               “เอาน่า นายจะกลัวอะไร ฉันก็ต้องรู้ทุกอย่างของคนที่ฉันสนใจ ก็แค่นั้นเอง” จบประโยคนี้ทงแฮได้แต่นิ่งค้างมองหน้ายิ้มๆ นั้น ก่อนจะหันหลบรู้สึกใจมันเต้นแปลกๆ พิกล…นายหมายความว่ายังไงกันที่ว่าสนใจฉัน…

               “นายเห็นตรงนั้นมั้ย นั่นน่ะบ้านฉัน นายมาได้ทุกเมื่อเลยนะ” คิบอมเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบชี้ให้ดูว่านั้นคือบ้านเขา ทงแฮมองตามบ้านหลังค่อนข้างใหญ่หรูหราอย่างคนมีเงิน…บ้านสวยเป็นบ้าเลย…ทงแฮคิดอย่างอิจฉา ก่อนจะนึกได้ว่าจากบ้านคิบอมกว่าจะถึงบ้านเขามันไกลมาก

               “มันถึงบ้านนายแล้ว แต่นายก็จะเลยไปส่งฉันตั้งไกลเนี่ยนะ” ทงแฮถามงงๆ

               “ก็ใช่นะสิ ฉันบอกว่าจะไปส่งก็ต้องไปส่งอยู่แล้ว”

               “แล้วของตั้งเยอะนี้นายจะขนลงไหวเหรอ” ทงแฮชี้นิ้วไปที่กล่องของมากมายข้างหลัง

               “ไหวสิ ของไม่หนักขนาดนั้นสักหน่อย ทำไม นายอยากช่วยฉันหรอ” คิบอมถามเล่นๆ

               “เออ เอาสิ ฉันจะช่วย ไหนๆ ก็จะถึงบ้านนายแล้วนี่” คิบอมเลิกคิ้วแปลกใจนิดๆ แต่ก็ยิ้มกว้างออกมาแล้วหักเลี้ยวเข้าไปในบ้านของเขา

。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。

 

  

               ฮีชอลนอนไม่หลับ ร่างบางลุกขึ้นมานั่งได้สักพักแล้ว ฮีชอลกอดเข่าตัวเองปล่อยให้น้ำตารินไหลเงียบๆ เพราะเกรงว่าจะไปรบกวนการนอนของซีวอนที่อยู่ข้างๆ เสียใจที่หัวใจของซีวอนเป็นของคนอื่นไปแล้วและเขาก็เป็นแค่ตัวแทนให้ซีวอนกอด ไม่มีค่าไม่มีความหมายอะไรเลย ฮีชอลเช็ดน้ำตาออกบอกตัวเองให้เข้มแข็ง ลืมเรื่องนี้ไปซะแล้วตักตวงความสุขตอนนี้ให้มากที่สุด เขามองดูใบหน้าคนที่รัก เขาจะไม่ยอมนอนคืนนี้ เขาจะอยู่ดูคนที่เขารักจนพอใจและใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า

               มือเล็กจัดผ้าห่มให้กับซีวอน ลุกไปหยิบกระเป๋านักเรียนและเสื้อผ้าที่กองอยู่ที่พื้นไปเก็บให้เข้าที่ เขาเดินจัดของในห้องซีวอนอยู่พักหนึ่ง มันไม่ได้หนักหนาอะไรเพราะซีวอนไม่ใช่คนที่ไร้ระเบียบขนาดนั้น ฮีชอลกำลังเพลินๆ อยู่จึงไม่ได้สังเกตว่าซีวอนงัวเงียลุกขึ้นมาแล้วและกำลังมองเขาอยู่

               “ทำอะไร ทำไมไม่มานอน” ฮีชอลสะดุ้งตกใจนิดๆ มองไปที่ซีวอนที่ตื่นมาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้

              “ฉันนอนไม่หลับ”

               “ทำไม เป็นอะไรอีก” เสียงซีวอนเริ่มแข็ง จนฮีชอลรีบส่ายหน้า

               “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร”

               “งั้น ฉันจะลงไปซื้อของข้างล่าง เดี๋ยวมา” ซีวอนพูดขึ้น สงสัยว่าฮีชอลอาจจะหิวเลยนอนไม่หลับ เลยจะลงไปซื้ออะไรมาให้กิน เลยลุกจากเตียงมาใส่เสื้อผ้า

               “ฉันไปด้วยนะ” ฮีชอลรีบพูดทันที มองซีวอนอย่างขอร้อง

               “ก็ตามใจสิ” ซีวอนยอมในที่สุด ก็ดีเหมือนกันเลือกให้เองเดี๋ยวไม่ถูกใจอีก ฮีชอลยิ้มกว้างอย่างดีใจรีบเดินตามซีวอนออกไปทันที

                ทั้งสองเดินมาถึงในร้านขายของขนาดค่อนข้างใหญ่ ต่างฝ่ายต่างเลือกของกันเงียบๆ ไม่ได้พูดคุยกัน แต่ฮีชอลแอบดีใจนิดๆ จนอดพูดออกมาไม่ได้

                “นายยังจำได้หรอ ว่าฉันชอบกินอันนี้” ฮีชอลถามเบาๆ มองของแต่ละอย่างที่ซีวอนเลือกมา

               “……” ซีวอนชะงักก้มลงดู ก็เห็นจริงดังที่ว่า เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายชอบกินอะไรก็จริงแต่ไม่ได้ตั้งใจจะหยิบด้วยซ้ำ แต่พอเวลามองหน้าคนข้างๆ ที่ยิ้มเล็กๆ มือก็ดันหยิบไปเอง ซีวอนไม่รู้จะตอบยังไง ก็ได้แต่เงียบจะวางของคืนก็ขี้เกียจจะหาเรื่อง

               “นายเองก็ด้วย กินได้หรือไงของพวกนั้นนะ” ซีวอนพูดคืน เมื่อมองเห็นว่าของในมือฮีชอลเจ้าตัวไม่เคยกินให้เห็นสักทีแถมบางอันยังแพ้อีกต่างหาก ซึ่งทั้งหมดนั่นเป็นของโปรดของซีวอนทั้งนั้น

               ฮีชอลหน้าแดงขึ้นทันที หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดกันอีกจนคิดเงินเสร็จและกำลังเดินกลับคอนโดด้วยกัน ร่างบางจึงคิดถามสิ่งที่อยากถามมานานตั้งแต่เจอซีวอนแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาสบวกกับไม่กล้าถาม

               “ซีวอน นายชอบของที่ฉันทำให้มากมั้ย” ฮีชอลถามออกไปหลังจากคิดอยู่สักพัก ร่างสูงที่เดินอยู่ข้างกายชะงักแล้วหยุดเดิน

               “ตั้งแต่ฉันเจอนายที่นี่จนวันนี้ ฉันเห็นนายใส่มันไว้ตลอดเลยนะ สร้อยข้อมือที่ฉันทำให้นายน่ะ” ฮีชอลพูดอีกแม้ซีวอนจะยังคงเงียบ อยากจะถามออกไปใจแทบขาดว่าอีกฝ่ายยังรู้สึกอะไรดีๆ กับเขาอยู่ใช่มั้ย แต่ก็ยังลังเล ความหวังอันน้อยนิดนี้มีความหมายกับเขามากจนถ้าอีกฝ่ายทำอะไรขึ้นมาเขาอาจตายได้เพราะความเสียใจ…แต่ก็ไม่รู้จะกลัวไปทำไม ในเมื่อตัดสินใจเสี่ยงแล้ว

                “นายใส่มันแค่ตอนนี้ หรือว่าใส่มาตลอดตั้งแต่ที่ฉันให้นาย” ฮีชอลถาม มองหน้าซีวอน “นายยังรู้สึก…”

               “แค่ฉันใส่มันไว้ ไม่ได้แปลว่ามีความหมายพิเศษอะไร” คำตอบออกมาจากปากซีวอนก่อนที่ฮีชอลจะถามจบ ทำให้ความหวังของฮีชอลเริ่มพังทลาย

               “ฉันก็แค่ใส่ไว้ธรรมดา อยากใส่ก็ใส่ เบื่อก็ถอด” ซีวอนยกมือข้างที่ใส่ขึ้นมา “และตอนนี้ฉันก็เบื่อแล้ว” ว่าเสร็จก็แกะสร้อยนั้นออกมาแล้วขว้างทิ้งไปในป่าข้างทางที่ค่อนข้างรก หัวใจคนมองกระตุกวูบ ความหวังสุดท้ายถูกโยนทิ้งไม่เหลือเยื่อใย ฮีชอลยืนสะอื้นไห้สุดกำลังกลั้น แต่ซีวอนไม่แม้แต่จะสนใจเดินห่างไปไกลเรื่อยๆ ไม่หันหลังมอง ไม่เรียกหา

               ฮีชอลมองอีกฝ่ายเดินหายไปผ่านม่านน้ำตาที่พร่ามัว เจ็บปวดและเหนื่อยล้าสุดกำลัง เมื่อมองเข้าไปในที่ๆ สร้อยข้อมือนั่นถูกโยนเข้าไป

               …ทำไม ทำไมล่ะซีวอน ทำไมนายถึงไม่รักฉันบ้าง…

               แม้ในใจจะคร่ำครวญเศร้าเสียใจเพียงไหน แต่สองขาก็พาก้าวเข้าไปในที่แห่งนั้น เพื่อจะหาของที่ถูกทิ้งแล้ว อยากจะเอาไปคืนให้ซีวอนขอร้องให้เก็บเอาไว้ หรือถ้ายังไงๆ ซีวอนก็ไม่ยอมเก็บไว้เขาก็จะได้มีของที่ไว้แทนตัวซีวอนอยู่ใกล้ๆ…ป่าที่ค่อนข้างรก กับใจคนหาที่แตกสลาย เขารู้สึกว่าพื้นดินเริ่มเปียก

               …นี่น้ำตาของเขามากจนพื้นเปียกขนาดนี้เลยหรือ…แต่ก็ไม่ใช่หรอก ฮีชอลเองก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องมาไกลๆ ทั้งที่จริงๆ ร้องดังเหมือนฟ้าจะถล่มแต่อาจเพราะเสียงจิตใจที่แตกสลายของเขามันดังเกินกว่าจะได้ยินเสียงรอบข้าง ฮีชอลยังคงหาต่อไปแม้ร่างกายจะเปียกปอนเปื้อนดินโคลนแค่ไหนก็ตาม…เขาต้องหาให้เจอ…หาให้เจอ

                ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้ว ร่างกายเริ่มสั่นเทาเพราะความหนาวเย็น แต่ก็แทบไม่รู้สึกเหมือนมันชาไปหมดทั้งร่าง ร่างที่เหมือนไร้ความรู้สึกจู่ๆ ก็ชะงักแล้วยิ้มดีใจเมื่อสัมผัสเจออะไรบางอย่างและพบสีเงินแวววาวลอดออกมาแม้เปื้อนดินโคลน  ร่างบางรีบร้อนลุกขึ้นเดินออกมาที่ถนน ยื่นมือที่วางสร้อยไว้ให้สายฝนที่ตกหนักชะล้างให้สะอาด ใบหน้างามยิ้มดีใจเหมือนเด็กน้อย เมื่อได้เจอสิ่งที่ต้องการแล้ว จากนั้นก็เหมือนความรู้สึกต่างๆ ค่อยเริ่มแจ่มชัดขึ้น หัวใจที่เริ่มเต้นผิดจังหวะ มือที่สั่นเทาไม่ใช่จากความหนาว ความรู้สึกเหมือนภาพตรงหน้าไหววูบแทบจะดับไป แต่อาการก็ไม่ได้กำเริบรุนแรงมากนัก ฮีชอลล้วงกระเป๋าจะหยิบยาตามความเคยชิน แต่ว่า..วันนี้เขาไม่ได้พกยามา

               สติที่กลับมาชัดเจนขึ้น ได้ยินเสียงเตือนของอะไรบางอย่างดังขึ้นที่ข้างหู ฮีชอลหันหน้าไปตามสัญชาตญาณ แค่เพียงทันมองเห็นดวงไฟสว่างวาบอยู่ตรงหน้า…

。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。

 

  

               “เฮ้ย! ไม่น้า~…..โอ้ยย!” เสียงโวยวายบวกกับเสียงร้องด้วยความเจ็บ ทำเอาคนได้ยินต้องรีบเข้ามาดู แต่ก็รีบมากไม่ได้เพราะความมืดเป็นอุปสรรค จึงค่อยๆ คลำทางเข้ามาอย่างระวัง

               “เป็นอะไรหรือเปล่า ทงแฮ นายอยู่ไหนเนี่ย” เสียงค่อนข้างร้อนรนตะโกนถามแข่งกับเสียงฝนและเสียงฟ้าร้อง ที่ทำให้ไฟดับไป

               “ฉันอยู่นี่…ช่วยด้วย คิบอม” เสียงหวานที่ปกติจะโวยวาย แต่ตอนนี้กลับฟังดูสั่นๆ ทงแฮสะดุดกล่องของมากมายที่วางเกะกะในห้องที่เจ้าของบ้านไม่มีเวลาเก็บหกล้มทันทีที่ไฟดับ

               “นายอยู่เฉยๆ นะ เดี๋ยวฉันไปหาเอง” คิบอมรีบพูดเมื่อได้ยินเสียงครางเหมือนจะร้องไห้ของอีกฝ่าย เขาเดินฝ่าสิ่งของอย่างร้อนรน จนได้ยินเสียงของตกตามมามากมาย

               “อ๊ะ! ฉันเจอนายแล้ว” คิบอมร้องอย่างดีใจ สัมผัสได้ถึงร่างของทงแฮที่รีบคว้ามือนั่นไว้แล้วเลื่อนตัวไปกอดไว้แน่น ร่างบางสั่นเทาไม่หยุด จนคิบอมต้องกอดปลอบไว้แน่น

               “นายกลัวความมืดสินะ โทษที ฉันลืมไป” คิบอมลูบหัวปลอบอย่างอ่อนโยน

               “นายนี่มัน รู้ไปทุกเรื่องจริงๆ นะ” เจ้าคนกลัวความมืดยังไม่วายแอบกัด แต่ก็รู้สึกดีขึ้นมากเมื่อรับรู้ว่าไม่ได้อยู่ในความมืดคนเดียว พยายามจะผละตัวออกห่าง แต่ว่าอีกฝ่ายไม่ปล่อย

                “อยู่เฉยๆ สิ” คิบอมสั่งแล้วกอดแน่นกว่าเดิม “เดี๋ยวนายก็ไปชนของตกลงมาใส่พวกเราหรอก”

               “แต่ว่า…” ทงแฮจะประท้วง

               “อยู่อย่างนี้จนกว่าไฟจะมาเถอะนะ” คิบอมพูดกระชับอ้อมกอดอีกฝ่ายไว้ไม่ยอมปล่อยและนี่เป็นครั้งแรกที่ทงแฮคิดว่าโชคดีที่ไฟดับ เพราะมันมืดจนทำให้มองไม่เห็นใบหน้าที่แดงจัดของเขาตอนนี้

。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。

  

 

               ซีวอนแง้มผ้าม่านออก ก็เห็นว่าฝนตกหนัก เขามาถึงห้องนานแล้ว รอว่าเมื่อไหร่อีกคนจะตามกลับมา แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มาเลย เขาไม่อยากจะยอมรับเลยว่าตอนนี้รู้สึก…เป็นห่วง…อีกคนที่ว่าจริงๆ ว่าแล้วก็รีบออกจากห้องจนถึงข้างล่าง พอจะก้าวเดินออกไปก็นึกได้ว่าไม่ได้เอาร่มมาด้วยแต่ก็รู้สึกร้อนใจจนไม่อยากเสียเวลาขึ้นไปเอา เลยรีบวิ่งออกไป ย้อนไปทางที่เพิ่งเดินมา สอดสายตามองหาจนทั่ว…แต่ก็ไม่เจอ

                ร่างสูงเปียกปอนจนน้ำหยดเป็นทางตามที่เดินมา รู้สึกหัวเสียนิดๆ ที่วิ่งหาเป็นนานหลายชั่วโมงแต่ก็ไม่พบ หัวเสียที่ทำไมตัวเองต้องไปเสียเวลามากมายตามหาด้วย ดีไม่ดีคนที่เขาหาอาจจะกลับไปที่บ้านตั้งนานแล้วก็ได้ ซีวอนจึงไปอาบน้ำ แล้วล้มตัวลงนอนหลับไปทันที

 

               รุ่งเช้าซีวอนตื่นมาความปวดหัวก็เข้าเล่นงานจนลุกแทบไม่ขึ้นทันที ตัวร้อนเป็นไฟ รู้ทันทีว่าตัวเองไม่สบายเข้าแล้ว ซีวอนพยายามจะลุกไปเอายาก็แทบจะต้องคลานไป เรี่ยวแรงหายไปหมด สุดท้ายก็ยอมแพ้ลงนอนที่พื้นเพราะไม่ไหวจริงๆ แต่ในหัวดันคิดไปถึงอีกคน…คนที่เขาบอกว่ารำคาญ

               …ถ้านายมาเห็นฉันตอนนี้ นายจะทำหน้ายังไงนะ…ซีวอนคิดแล้วก็ขำน้อยๆ เพราะเขาดันนึกออกว่า คนๆ นั้นจะทำหน้ายังไง คงตกใจแล้วทำหน้ากังวลเหมือนมีใครกำลังจะตาย แล้วก็ต้องจู้จี้ดูแลเขาไม่ห่างไล่ก็ไม่ยอมไปแน่…ทำไมฉันถึงนึกถึงนายได้นะ…แล้วสติเขาก็ดับวูบไป

               ซีวอนลืมตาตื่นอีกครั้งก็พบว่ามืดแล้วและเขาก็นอนอยู่บนเตียง ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับตัว แค่ลืมตาก็เหนื่อยเหลือเกิน ร่างสูงจึงหลับตาเสีย แล้วก็รู้สึกถึงสัมผัสของผ้านุ่มๆ เปียกชื้นกำลังเช็ดตามตัวเขา ซีวอนปรือตาได้เพียงเล็กน้อย ทุกสิ่งพร่ามัวแต่ก็เห็นลางๆ ว่าเป็น…ฮีชอล

               …ฮีชอล ฮีชอลนั่นนายจริงๆ หรือ…

               ซีวอนอยากจะเอ่ยถามจริงๆ แต่ไม่มีแรงอ้าปาก เปลือกตาก็หนักเหมือนมีอะไรมากดทับไว้ ก่อนเขาจะหลับไปก็ทันเห็นว่าร่างนั้น กำลังร้องไห้อยู่ท่าทางเศร้ามากแว่วเสียงเบาๆ บอกว่า…ฉันรักนาย…

               ซีวอนไม่รู้ว่าทำไมนาทีนั้น เขาถึงอยากจะตะโกนพูดออกไปเสียให้ได้ว่า…ฉันก็รักนาย…

。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。

  

 

               ซีวอนสะดุ้งตื่น แสงแดดยามเช้าส่องหน้าเขา เขามองหาฮีชอลทันทีแต่ก็ไม่เห็นใครเลย เขาเดินหาทั่วห้องแม้จะยังไม่หายไข้ดีก็ไม่เจออยู่ดี…สงสัยจะกลับไปแล้ว

               ซีวอนโทรสั่งอาหารจากเคาน์เตอร์ข้างล่างแล้วกลับมาเอนหลังที่เตียง ครุ่นคิดอย่างสับสน…เมื่อคืนนี้มันอะไรกัน ไอ้คำที่เขาอยากจะพูด มันใช่คำที่เอาไว้พูดกับคนที่ตัวเองรำคาญหรือไง แล้วก็ไม่ได้คิดจะพูดเพื่อปลอบใจด้วยเพราะแม้แต่ตอนมีอะไรกันเขายังแกล้งพูดชื่อฮยอกแจเพื่อให้ฮีชอลตัดใจจากเขาเลย แล้วมันยังไงกันแน่นะ …

               แสงสีเงินแวววาวเล็กๆ ที่โดนแสงแดดส่องกระทบ เรียกความสนใจจากสายตาของซีวอน เขารีบขยับเข้าหาโต๊ะเล็กข้างเตียงทันที หยิบสร้อยข้อมือคุ้นตานั้นขึ้นมา คิดว่าฮีชอลคงหาเจอแล้ววางไว้ให้ตั้งแต่เมื่อคืน ซีวอนรีบใส่มันทันที ใส่เสร็จก็ชะงัก ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องทำเหมือนโหยหาไอ้สร้อยเส้นนี้ด้วย หรือว่าจริงๆ แล้วเขาโหยหาคนที่ทำมันขึ้นมาต่างหาก

               …บ้าแล้ว แกต้องบ้าแน่ๆ ซีวอน…ร่างสูงพยายามไม่คิด แต่ก็ทำไม่ได้

               …อย่างนี้ก็เหมือนกับว่าฉัน ‘รัก’ นายงั้นหรือ?…ไม่จริงน่า ซีวอนนิ่งไป

               …แล้วทำไมมันต้องไม่จริง ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรักใคร ไม่รู้ว่ายังไงถึงเรียกว่ารัก แต่รู้ว่าถ้ารักแล้วเราต้องเจ็บ…เลยไม่เคยยอมรับว่าตัวเองรักงั้นหรือ…พลันเหมือนบางสิ่งสว่างชัดเจนในหัวของซีวอน

               …ให้ตายสิ เชวซีวอน ทำไมนายมันบื้ออย่างงี้…

               …นี่ฉันรักฮีชอลจริงๆ สินะ…

               ซีวอนคิดแล้วก็ยิ้มกว้างออกมา พอเริ่มยอมรับทุกสิ่งก็เข้ามาชัดเจน เขาไม่มองหน้าฮีชอลเพราะไม่อยากเห็นใบหน้าที่เจ็บปวดของฮีชอล ปวดแปลบในใจทุกครั้งเมื่อเป็นเพราะเขา แต่เขาชอบมองรอยยิ้มของฮีชอล ดีใจทุกครั้งที่มันเกิดขึ้นเพราะเขา และเขาทิ้งฮีชอลไปเพราะว่าเขารักฮีชอลเพราะเขากลัวตัวเองจะเจ็บเพราะรักฮีชอล…เขาไม่ยอมรับว่ารักฮีชอลมาตั้งแต่ต้น

               ซีวอนยังคงนอนยิ้มกว้าง อยากจะไปหาฮีชอลแทบตายแต่ร่างกายยังไม่ไหวอยู่ดี ก็ได้แต่คิดว่าถ้าพรุ่งนี้เขาเจอฮีชอลและได้บอกเรื่องนี้ไป ฮีชอลจะมีอาการยังไงนะ

               …คงจะยิ้ม ไม่สิร้องไห้มากกว่า ดีใจจนร้องไห้แล้วเอาแต่ถามว่า…นายพูดจริงใช่มั้ย…แล้วฉันก็จะเข้าไปกอดนายแน่นๆ และจูบนาย นายจะได้แน่ใจจริงๆ ว่า ฉันรักนาย…

 

               ผ่านไปสองวัน ซีวอนหายดีแล้วเขามาที่มหาวิทยาลัยเพราะไม่รู้ว่าฮีชอลพักอยู่ที่ไหนกะว่าจะมาถามจากอาจารย์คิมคิบอมที่เขาเพิ่งรู้ว่าเป็นน้องชายฮีชอล…อยากจะพบฮีชอลเต็มทีแล้ว

               “อาจารย์คิม ไม่อยู่หรอกนะ”

               อาจารย์ท่านหนึ่งบอกเมื่อร่างสูงไปถาม ซีวอนจึงขอที่อยู่โดยบอกว่าต้องไปพบอาจารย์ให้ได้…และไม่แน่อาจเจอฮีชอลเลยก็ได้

               เมื่อได้ที่อยู่แล้ว ก็รีบไปทันทีไม่รอช้า ใจมีความสุขยิ้มไปตลอดทาง ยิ่งเมื่อวาดภาพอาการที่ฮีชอลจะต้องแสดงออกแน่ๆ ก็ยิ่งมีความสุข…ใบหน้านั้นจะได้ไม่ต้องมีแต่ความเศร้าอีกต่อไป…ร่างสูงเดินเข้าไปถึงบริเวณหน้าบ้าน เขาได้ยินเสียงดังของใครคนหนึ่งยืนหันหลังให้เขากำลังพูดกับอาจารย์คิมคิบอม ซีวอนถอยออกห่างเพื่อจะไม่ต้องได้ยินทั้งสองคุยกัน ผู้ชายคนนี้อาจเป็นแขกหรือเพื่อนของอาจารย์ก็ได้ แต่เสียงชายคนนั้นที่ค่อนข้างดังก็ทำให้เขาได้ยินชัดอยู่ดี

               “ผมขอโทษจริงๆ ผม…ผมเสียใจกับความสูญเสียของคุณ…ผม ผมยอมรับผิด จะให้ผมทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น” แล้วชายคนนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าอาจารย์ ก้มหัวไม่ยอมหยุด ซีวอนตกใจเล็กน้อยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หันมองไปอีกคนที่ยืนนิ่งก่อนพูดขึ้นมา

               “พอเถอะครับ มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิดหรอกครับ ภรรยาคุณเองก็เจ็บหนัก กลับไปซะเถอะครับ ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรทั้งนั้น” คิบอมบอกเสียงแหบแห้งไร้วิญญาณ ทรุดตัวลงพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น

               “ผมขอโทษเรื่องพี่ชายคุณจริงๆ ผมขอโทษๆ” อีกฝ่ายก็น้ำตานองหน้า พร่ำคำขอโทษ

               ซีวอนที่ทั้งงงและไม่เข้าใจในตอนแรก รีบเข้ามาแทรกทันทีที่ได้ยินว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับฮีชอล

               “เดี๋ยว นี่มันหมายความว่ายังไง” ซีวอนถาม ทั้งที่ในใจกลัวแสนกลัวกับคำตอบ

               “นายมาทำอะไรที่นี่ เชวซีวอน” คิบอมถามงงๆ เพราะจู่ๆ ซีวอนเข้ามาแทรกการสนทนา

              “ผมมาหาพี่ชายอาจารย์ เขาอยู่ที่ไหน แล้วที่คุยนี่มันหมายความว่าอะไร” ซีวอนถามร้อนรน

               “นายจะเจอพี่ฉันไปทำไม”

               “แค่บอกมาเถอะน่า ว่าเขาอยู่ไหน”

               “…พี่ชายฉันเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุมา 5 วันแล้ว”

               …อะไรนะ!…ไม่จริง! ตายแล้วงั้นหรอ…5 วันแล้ว งั้นก็ตั้งแต่วันนั้นที่ฉันหานายไม่เจอ…แต่จะเป็นไปได้ยังไง ก็วันต่อมานายยังมาดูแลฉันอยู่เลย…ไม่จริง ฮีชอลยังไม่ตาย มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด

               “ไม่จริง เป็นไปไม่ได้” ซีวอนพร่ำพูด

               “เป็นเรื่องจริง นายไปพบเขาได้ที่สุสานของโบสถ์ประจำเมือง ฉันจัดพิธีให้เขาและฝังเขาไว้ที่นั่น” คิบอมพูดนิ่งๆ เก็บซ่อนความเศร้าเสียใจไว้

               “คุณ…คุณเป็นเพื่อนของเขาหรือครับ ผมขอโทษจริงๆ ที่ผม…ผมขับรถชนเขา…” สิ้นเสียง ซีวอนที่ยืนนิ่งเหมือนไร้วิญญาณกับเรื่องไม่คาดคิด กระชากคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาเงื้อมือจะต่อย

               “หยุดนะ ปล่อยเขาไป” คิบอมร้องห้าม จับข้อมืออีกฝ่ายไว้ มองหน้าซีวอนที่บูดเบี้ยวด้วยความโกรธดวงตาแดงก่ำน้ำตารื้นขึ้นมา ซีวอนยอมปล่อยอีกฝ่ายไป ใบหน้ากลับมานิ่งจนเหมือนคนตายแล้วหันหลังเดินจากไป

               แสงสีเงินที่ข้อมือซีวอนสะท้อนเข้าสายตาคิบอม ที่มองตามหลังอีกฝ่ายไปอย่างไม่เข้าใจ ก็สะดุดใจขึ้นมาทันที…สร้อยข้อมือนั่น…คิบอมออกวิ่งจะไปตามอีกฝ่ายกลับมา แต่ก็ไม่เห็นซะแล้ว หรือว่าเขาจะตาฝาดไปเอง

               …สร้อยข้อมือที่พี่ชายเขากำไว้แน่นจนปลดไม่ออกและต้องฝังไปพร้อมกันนั้น จะไปอยู่ที่ซีวอนได้ยังไงกัน…

。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。

  

 

               ซีวอนไม่รู้ตัวเลยว่าเค้าพาร่างของตัวเองกลับมาถึงห้องได้อย่างไร รู้สึกเพียงสิ่งที่สำคัญในใจเขากำลังตายลงช้าๆ รู้สึกเคว้งคว้างเมื่อคิดว่าไม่มีฮีชอลอยู่กับเขาอีกแล้ว ร่างสูงเพียงนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนเตียง มองออกนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย น้ำตารินไหลออกมาไม่หยุด เขาไม่แม้แต่จะกล้าไปดูให้เห็นกับตาว่าจริงหรือไม่ที่ฮีชอลไม่อยู่กับเขาแล้ว…มันเจ็บปวด…มากเหลือเกิน

               แสงอาทิตย์ลับตาไปช้าๆ ซีวอนยังพร่ำคิด…นายจากฉันไปแล้วจริงๆ หรือ ฮีชอล หากไม่มีนายอยู่แล้วฉันจะทำอะไรได้อีกในเมื่อใจของฉันมันกำลังตายตามนายไปอยู่อย่างนี้…

 

               เช้าวันใหม่กำลังจะมาถึง ในห้องที่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ ตั้งแต่เมื่อวาน สายตาคมเศร้าหมองยังคงมองตรงไร้จุดหมาย เมื่อเห็นว่าอีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้วแม้ยังมืดอยู่ ก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำใส่เชิ้ตสีดำ ที่ฮีชอลเคยบอกว่าเขาใส่แล้วดูดีมาก ร่างสูงหายเข้าไปในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งเพื่อหยิบของสิ่งหนึ่งครู่เดียวก็ออกมา ร่างกายนำพาเดินต่อไปแม้ไม่ได้สั่งการราวกับหุ่นยนต์ที่ไร้วิญญาณ

 

               หน้าร้านดอกไม้ ซีวอนซื้อกุหลาบสีขาวมาช่อหนึ่ง...กุหลาบสีขาวที่ฮีชอลชอบมาก

               สองขาพาก้าวเดินต่อไป…ไปยังที่ที่ไม่กล้ามาเมื่อวาน

               สายลมแผ่วพัดผ่านชายร่างสูงที่ยืนอยู่เพียงผู้เดียวกลางสุสานที่สงบเงียบ ยังไม่มีใครมาทีนี่เพราะแม้จะเป็นวันใหม่แล้วก็ยังมืดอยู่…อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็คงจะขึ้น

                ต่อหน้าป้ายหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ ชื่อของคนที่เขารักถูกสลักไว้ ขัดแจ้งว่านี่คือที่พำนักสุดท้าย ที่ที่คนที่เขารักจะนอนพักผ่อนไปตลอดกาล ซีวอนเข้าไปใกล้ป้ายหินคุกเข่าลงข้างหนึ่ง วางดอกกุหลาบไว้ข้างหน้า

               “ฉันเอาดอกกุหลาบมาให้นาย…นายชอบมันฉันรู้” เสียงระโหยแห้งแล้งเพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืนผสมกับความเศร้าเสียใจที่ฝังลึก

                “ฮีชอล ทำไมนายหนีฉันไปอย่างนี้…ทำไม ไม่อยู่ฟังคำที่ฉันจะพูด…ทำไม ไม่อยู่รอความสุขที่นายรอคอยมาตลอด”

               ซีวอนพูดอย่างเจ็บร้าว ในหัวนึกถึงแต่ภาพฮีชอลที่เศร้าเสียใจเพราะเขามากมายเหลือเกิน ภาพที่เขาทำเลวร้ายกับฮีชอลทั้งหมดแล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว…ตอนนี้เขาเจ็บปวดมากเหลือเกิน อดคิดไม่ได้ว่า แล้วที่ฮีชอลทนรอเขามาตลอดล่ะเจ็บแค่ไหน ความเศร้า ความเจ็บของเขา คงเทียบไม่ได้สักนิด

               “ฉันยังไม่ได้บอกขอโทษนายเลยกับทุกสิ่งที่ผ่านมา…นายต้องลุกขึ้นมาสิ นายต้องฟื้นขึ้นมา…นายต้องอยู่ให้ฉันได้ดูแลนายทดแทนที่ฉันทำไม่ดีกับนายก่อนสิ…”

                ซีวอนพูดแทบไม่ออกทั้งๆ ที่มีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดให้ฮีชอลฟัง แต่ที่เขานึกภาพไว้คือฮีชอลยังมีชีวิตอยู่ อยู่ข้างๆ เขา ฟังเขาอย่างมีความสุข ไม่ใช่มาจากเขาไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ยินสิ่งสำคัญที่เขากำลังจะบอกแบบนี้

               …ทำไม นายถึงไม่อยู่ให้ฉันได้ ‘รักนาย’…

               ฝ่ามือใหญ่ลูบไปตามประโยคๆ หนึ่งที่ถูกสลักไว้ที่ป้ายหินอ่อน ข้อความนั้นทำให้เขาต้องปล่อยน้ำตาออกมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสเม้มปากแน่นกลั้นเสียงตะโกนที่อยากร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดใจ มือหนากำแน่นก่อนเริ่มขุดพื้นที่ข้างๆ หลุมศพ เป็นประโยคๆ หนึ่ง เสร็จแล้วก็หันมองที่ป้ายหินหลุมศพอีกครั้ง

               “ฮีชอล ฉันจะไปบอกนายเดี๋ยวนี้แล้ว…” มือใหญ่หยิบเอาสิ่งของที่พกไว้ออกมารวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน เห็นแต่เพียงแสงสีดำแวววาว พร้อมเสียงดังลั่นหนึ่งครั้ง…แล้วร่างที่คุกเข่าอยู่ก็ล้มนอนแน่นิ่ง…

 

              ช่อกุหลาบงามสีขาวบริสุทธิ์ บัดนี้ มีของเหลวสีแดงเข้มสาดเปื้อน และธารน้ำสีแดงอีกมากที่กำลังไหลรินผ่านช่อดอกกุหลาบงาม…จนดูราวกับช่อกุหลาบนั้นลอยอยู่บนทะเลสีแดงเข้ม

 

                …เสียงสายลมสุดท้ายกรีดเสียงเศร้าครวญพัดผ่านไป…ดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าทีละนิด ทอดแสงนวลอบอุ่นสดใส ดังจะเย้ยโศกนาฏกรรมเบื้องล่าง…

。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。。

                                                                                           

                                                                                            

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา