ตำนานมหาเทพตงหัว (The Legend of DongHua Dijun)

-

เขียนโดย ตัวหงส์

วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 19.33 น.

  7 chapter
  0 วิจารณ์
  14.77K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560 20.30 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

7) แรกพบสบตา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                     ตอนที่ 7: บทหวานล้ำ (1) - แรกพบสบตา  

          หลังจากการมหาเทพตงหัวได้สละตำแหน่งประมุขแห่งสวรรค์ ด้วยสาเหตุอันสุดวิสัยเนื่องจากสุขภาพที่ไม่สู้ดี(?) ตามที่มหาเทพกล่าวอ้างมา ประมุขสวรรค์องค์ใหม่ก็ปกครองสวรรค์ได้ดียิ่ง แต่เหมือนโชคชะตาจะไม่เข้าข้างมหาเทพตงหัวเท่าไหร่นัก เพราะนี้มิใช่การเกษียณอายุงานดั่งที่เขาวางแผนไว้แต่แรก

      หลังจากตั้งประมุขสวรรค์องค์ใหม่ได้เพียงหนึ่งเดือน ตงหัวก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญอยู่ในวังรุ่งอรุณ เช้าก็เดินเล่นรอบตำหนัก พอสายหน่อยก็เดินเล่นชมสระบัว พอถึงเวลาเที่ยงก็เข้าโรงครัวลองปรุงอาหารสูตรใหม่ๆ ข้อดีของการเป็นไม่ได้เป็นประมุขสวรรค์นั่นคือ เขาไม่จำเป็นต้องออกไปพบปะเหล่าเทพ หรือต้องไปนั่งเป็นพระพุทธรูปให้คนกราบไหว้อยู่กลางท้องพระโรง ที่นี่... เขาสามารถทำอะไรก็ได้อย่างอิสระ...

      หากเพียงแต่ว่าอิสระนั้นมาเพียงแวบนึงแล้วจากไป เมื่อเช้าวันหนึ่งประมุขสวรรค์เทียนกุง องค์ปัจจุบันได้นำขบวนเหล่าขุนนางเทพมายืนรอต้อนรับเขาอยู่ที่ลานหน้าวังรุ่งอรุณ เจ้าพวกนี้นี่... มาทำอะไรกัน?

      “ถวายบังคม มหาเทพ ขอทรงพระเจริญ บลาๆๆๆ...” ตงหัวแค่แง้มหน้าออกไปพ้นประตูวังเท่านั้นก็ได้ยินเสียงเหล่าเทพแซ่ซ้อง

            โอ...เทพบิดา เทวีกำเนิด นี้มันอะไรกันแต่เช้าเนี่ย?

       “มหาเทพ ข้าน้อยประมุขสวรรค์ พาเหล่าเทพต่างๆ มารวมกัน ณ ที่นี่ เพื่อต้องการจะอัญเชิญท่านขึ้นเป็น มหาเทพประมุขสวรรค์

       หืม... เจ้าพวกนี้นี่ตื้อไม่เลิกจริงๆ.... คิดว่าแค่เติมคำว่า “มหา” เข้าไปในหน้าตำแหน่งเดิมที่ข้าเคยเป็นแล้วข้าจะอยากได้มันคืนมางั้นเหรอ? อ่อนหัดนัก เจ้าพวกนี้ อุตส่าห์วางแผนเป็นหมื่นปีกว่าจะลงจากบัลลังก์ได้ เฮอะๆ...

       “ที่เจ้าต้องการจะพูดคือ....” ตงหัวมองเหล่าเซียนที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าแล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง น้ำเสียงนี้เพื่อถามเป็นการหยั่งเชิง

       “พวกเราต้องการให้ มหาเทพ เข้ารับตำแหน่งในราชสำนักสวรรค์อีกครั้ง! โปรดรับคำขอร้องของพวกเราด้วย” เทพองค์หนึ่งตะโกนขึ้นมาจากบรรดาพวกที่คุกเข่าทั้งหมด จากนั้นเทพหลายๆองค์ก็เริ่มพูดเป็นเสียงเดียวกันซ้ำๆ ว่า “โปรดรับคำขอของพวกเราด้วยๆๆ”

        “.............” (ตงหัว)

         

ณ โรงน้ำชาบุปผาแดง

“ฮ่าๆ สีหน้าในตอนนั้นของมหาเทพนั้น ช่างบอกได้ยากเสียจริง! ฮ่าๆ ข้าจะสรุปให้ฟัง ในวันนั้นไม่ว่ามหาเทพจะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงไม่รับตำแหน่งอย่างไร สุดท้ายก็ต้องยอมให้กับลูกตื้อของเหล่าเทพหัวรั้น และประมุขสวรรค์องค์ใหม่นั่นเอง จำใจต้องเข้าร่วมการประชุมในท้องพระโรงของสวรรค์ดังเดิม หาได้ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่างที่ตั้งใจไว้ไม่ ฮ่าๆๆ” นักเล่านิทานเล่าไปขบขันไป ฝูงชนในโรงน้ำชาต่างพากันหัวร่อ

กาลล่วงเลยมาจนถึงหนึ่งพันปี ครานั้นราชามารองค์ใหม่แห่งโลกใต้พิภพ สมญาราชาอสรพิษดำได้รวบร่วมไพร่พลมาร และอมนุษย์ทั่วสารทิศเพื่อจะเข้ายึดโลกมนุษย์ ราชามารอสรพิษดำนั่นยกทัพมายังพื้นพิภพโลกมนุษย์ก็รบราฆ่าฟัน ทำให้มนุษย์ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก เดือดร้อนถึงประมุขสวรรค์จำต้องส่งเทพเจ้าสงคราม “ม่อเหยียน” ลงมานำทัพต้านทานศึกครั้งนี้

เทพเจ้าสงครามม่อเหยียนในครานั้น สูญเสียพลังในการต่อกรกับราชามารอสรพิษดำไปเป็นอย่างมาก สุดท้ายจึงจำต้องใช้อาวุธวิเศษ ระฆังทองคำปราบมาร และใช้อาคมในการกักขังราชามารอสรพิษดำไว้ในระฆังแห่งนี้ ทว่าในครานั้นเพื่อผนึกราชามารอสรพิษดำ ม่อเหยียนเองก็จำต้องเอาพลังวิญญาณของตัวเองเข้าแลกเช่นกัน สำหรับชาวสวรรค์แล้วนั้นนี้นับเป็นการสูญเสียครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!

ณ วังรุ่งอรุณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

มหาเทพตงหัว หลังจากทราบข่าวการตายของเทพสงครามม่อเหยียนนั้นก็ร้อนใจอยากจะลงไปสืบดูเรื่องราวให้รู้เรื่องบนโลกมนุษย์..

“ข้าจักลงไปที่โลกเสียหน่อย ซือมิง เจ้าอยู่เฝ้าวังให้ดีล่ะ เผื่อมีใครจะมาพบข้าในระหว่างที่ข้าไม่อยู่”

ณ โรงน้ำชาบุปผาแดง

“เอ๋....ท่านนักเล่านิทาน ใครคือ 'ซือมิง' ?” เด็กชายแถวหน้าที่นั่งฟังเรื่องเล่าอยู่ในโรงน้ำชาบุปผาแดงเอ่ยถามเสียงเจื้อยแจ้ว

“อ่อ... ซือมิง คือนามของเทพชะตาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เจ้าจำเทพวัยกลางคนที่เสนอเรื่อง การประลองคู่ชิงชัยในศึกทะเลใต้ ได้ไหมล่ะ นั่นแหละ ซือมิง  นับแต่มหาเทพตงหัวลงจากตำแหน่งประมุขสวรรค์ ซือมิง ก็กลายมาเป็นเลขาใกล้ชิดของมหาเทพ ยามใดที่มหาเทพไม่สะดวกจะเข้าร่วมประชุมใดใดก็ใช้ ซือมิง นี้แหละมาแทน ยามใดที่มหาเทพไม่อยากพบเจอใคร ก็ใช้ ซือมิง นี้แหละ พบเจอแทน  ไม่ว่ามหาเทพจะเสด็จไป ณ ที่ใด ซือมิงก็จะคอยติดตามไปด้วยเสมอ เรียกได้ว่าในพันกว่าปีที่ผ่านมานี้ ซือมิง ถือได้ว่ารับใช้ใกล้ชิดมหาเทพที่สุดแล้ว” ว่าแล้วนักเล่านิทานก็ดำเนินเรื่องราวของเขาต่อ....

          มหาเทพตงหัวนั้นแต่ไหนแต่ไรมาชมชอบการเดินเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ว่าหนทางจะไกลแค่ใดเขาก็ชอบที่จะเดินไป เขาละเกลียดนักพวกเทพที่ชอบขี่เมฆ หรือดำดิน เห็นที่ไหร่ก็พานจะเวียนหัวทุกที หากจะเดินทางไปยังแม่น้ำระฆังทองที่จองจำราชามารอสรพิษดำแล้วล่ะก็ แค่เดินตัดผ่านป่านี้ไปไม่ไกลนักก็ถึงแล้ว

          “กรี๊ด!!” เสียงกรีดร้องของหญิงสาวนางหนึ่งดังออกมาจากในแนวป่าแถบตะวันออก

ตงหัวหยุดเดิน และใช้อาคมมองผ่านตาทิพย์ส่องดูเหตุการณ์หลังพุ่มไม้สูงในแนวป่าแถบตะวันออก เขามองเห็นเงาร่างสองเงากำลังวิ่งไล่กัน ร่างที่กำลังวิ่งหนีนั้นเป็นดรุณีน้อยวัยแรกรุ่นนางหนึ่ง นางกำลังวิ่งหนีจากปีศาจสิงโตร่างยักษ์ที่วิ่งกวดนางไปติดๆ 

          มาเล่นไล่จับอะไรกันกลางป่าเขาเช่นนี้? เห้อ -- ข้าเบื่อโลกมนุษย์ก็เพราะอย่างนี้แหละ

          "กรี๊ด!! อย่าทำอะไรข้านะเจ้ามารร้าย ท่านพ่อข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่" ดรุณีร่างน้อยหันกลับไปประจันหน้ากับปีศาจสิงโต ทว่าปีศาจสิงโตหาได้แยแสสนใจในคำขู่ของนางไม่ มันยังคงวิ่งกวดตามนางไปติดๆ

          ดรุณีน้อยนางนั้นหลับหูหลับตาวิ่งจนมิได้เห็นเลยว่าตนกำลังจะวิ่งเข้าชนต้นไม้ใหญ่ที่เบื้องหน้าอย่างจัง

          เหตุการณ์เป็นดังนั้น ตงหัวพลันดีดขาหนึ่งครั้ง ร่างก็ลอยถลาขวางลงตรงหน้าต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น ดีดขาอีกครั้งหนึ่งลอยตัวขึ้น โอบอุ้มดรุณีน้อยนางนั้นไว้ในอ้อมแขนก่อนจะหมุนพลิ้วพากันหลบต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น ก่อนจะพลิ้วตัวกลางอากาศอย่างสง่าแล้วค่อยๆลงมาสู่พื้น 

          หลังจากถึงพื้นแล้วเพียงแค่ตงหัวหันหน้ามาสะบัดกระแสพลังเบาๆเท่านั้น ปีศาจสิงโตเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังกลับรับรู้ได้ทันทีว่า บุรุษเกศาขาวอาภรณ์ม่วงเข้มผู้นี้คือ มหาเทพตงหัว ไม่ผิดแน่! มันพลันคำรามก้อง “มหาเทพตงหัว” หนึ่งครา ก่อนจะกระโจนเข้าพุ่มไม้ด้านหลัง แล้ววิ่งหายลับไป

          “.....” 

          ตงหัวหันหน้ากลับมาที่คนในอ้อมแขน นางยังคงเป็นหญิงสาววัยแรกแย้ม ดวงหน้าของนางสวยคมอย่างประหลาด สองตากลมโตที่ดูตื่นตกใจจ้องกลับมาที่เขา ริมฝีปากสีแดงเม้มเป็นกระจับก็สั่นระริก จมูกนั่นก็สวยคมได้รูป สาวน้อยนางนี้นับได้ว่างดงามอย่างหาตัวจับได้ยากจริงๆ แต่สิ่งที่สะดุดตามากที่สุดนั้นก็คือ ที่ตรงกลางหน้าผากของนางกลับปรากฏสัญลักษณ์เป็นรูปดอกหางนกยูงสีแดงเพลิง ยิ่งพิศดูยิ่งดึงดูดใจ เมื่อมองต่อไปยังท่อนแขนของนาง แขนของนางบอบบางนัก แขนเล็กเรียว และผิดขาวเนียน ยิ่งอาภรณ์สีส้มอ่อนที่นางใส่ กลับยิ่งขับผิวของนางให้ผ่องยิ่งขึ้น แต่ที่เขารู้แน่ๆ ตอนนี้คือ สองแขนของนางกำลังโอบเดี่ยวกระหวัดกับต้นคอของเขาอยู่

          “คิดจะกอดข้าแบบนี้ไปอีกนานเท่าใดกัน?” ตงหัว พูดกับคนตรงหน้า สีหน้าไร้อารมณ์ดังเดิม

          “เอ๋!” หญิงสาวมองจ้องกลับไป 

          สวรรค์โปรด เขาเป็นใครกัน เหตุใดจึงได้หล่อเหลา สง่างามเช่นนี้ แถมกลิ่นกายยังหอมเหมือนไม้จันทร์สวรรค์อีกด้วย!

          “อะแฮ่ม!” ตงหัวกระแอมสั้นๆคราหนึ่ง

หญิงสาวสะดุ้งตกใจ ปล่อยสองมือออกจากกัน ร่างพลันร่วง ตุบ! ลงที่พื้น

          “เอ่อ...ท่านเป็นใครกัน?” หญิงสาวเอียงคอถามตงหัว สายตากลมโตส่งสายตาเว้าวอน

          “มหาเทพตงหัว”

          “เอ๋! ไม่ใช่หรอกๆ ข้าเคยเห็นรูปวาดของมหาเทพตงหัวในห้องอ่านหนังสือของท่านลุง ท่านไม่เหมือนแม้แต่น้อย!”

          “ไม่เหมือนเหรอ?”

          “ไม่เหมือน!” 

          หญิงสาวส่ายหน้าอย่างแรง พลางเพ่งนินิจดูชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าอีกครา 

          คนอะไรประหลาดแท้หน้าตาออกจะหล่อเหลาปานนี้ อายุก็ไม่ใช่มากกลับมีผมสีขาวทั้งศีรษะเสียแล้ว แล้วยังใส่ชุดสีม่วงเข้มที่ดูทะมึนๆนั่นอีก แต่สิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดก็คือ ใบหน้าที่เย็นชาไร้อารมณ์นั้น เห็นแล้วข้าล่ะ อยากจะหยิกแก้มแข็งๆนั่นเสียจริง

          เอ...จะว่าไป....ดูไปก็คลับคล้ายคลับคลา มหาเทพตงหัว อยู่ไม่ใช่น้อย

          ความคิดไม่ทันจบดีนัก พลันตงหัวเลิกคิ้วขึ้นมาข้างหนึ่ง เมื่อเห็นกิริยาอาการแบบนี้ทั่วทั้งสามโลกคงจะมีเพียงคนเดียว นี้คือ มหาเทพตงหัว แน่ๆ ดรุณีน้อยรีบค่อมหัวลงทันที แสดงอาการเคารพทันที

          “ท่านคือ มหาเทพตงหัว!”

          “อืม”

          “หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ เอ่อ...หม่อมฉัน ไป๋เฟิ่งจิ่ว องค์หญิงน้อยแห่งเผ่าเทพจิ้งจอกเก้าหางหุบเขาเขียวเพคะ....เอ่อ.. เอ่อ..”

          "...." (ตงหัว)

          "............" (เฟิงจิ่ว)

          "เป็นถึงองค์หญิงเผ่าจิ้งจอก กลับกลัวปีศาจสิงโตตัวแค่เนี้ย นี้นะ?" ตงหัวถามกลับ เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

          "......" 

          "ให้ข้าเดา เจ้ายังเป็นเทพฝึกหัดอยู่ซินะ..."

          "....." ดรุณีน้อยพยักหน้า หงึกๆ ยังคงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองตงหัว

          “อ่อ ที่แท้ก็เป็นเทพฝึกหัดอยู่นี้เอง มิน่าล่ะ..” ตงหัวพูดตัดบท ก่อนจะหันกายเดินจากไป

          “เอ๋! มหาเทพๆ รอข้าด้วยซี”

ไม่สนใจ.... ตงหัวยังคงเดินตัดป่าต่อไป...

               “มหาเทพ ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ครั้งนี้ บุญคุณใหญ่หลวงนัก โปรดให้ข้าได้ตอบแทนบุญคุณท่านเถิด... ข้า. นะ...ข้า” เฟิ่งจิ่วกระอักกระอ่วน หัวใจเต้นแรง มิรู้จะพูดกล่าวต่อไปอย่างไรดี ได้แต่วิ่งตามหลังมหาเทพไปเท่านั้น มหาเทพนี่เดินเร็วจริงๆแฮะ!

               เฟิงจิ่วเร่งเดินตามตงหัวที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆ เห็นตงหัวก้าวเดินสบายๆอย่างนี้ใครจะคิดว่า มหาเทพนี้จะเดินเร็วจริงๆ เฟิงจิ่วถึงกับต้องวิ่งตาม

ตึง! ตงหัวหยุดเดินกะทันหัน ใครจะไปคิดว่าเฟิ่งจิ่วหลับหูหลับวิ่งตามซะจนไม่มองทาง จึงเดินชนปผ่นหลังของตงหัวเข้าอย่างจัง

                 มหาเทพตัวหอมจังแฮะ... (เฟิงจิ่ว)

                 ทำไมเจ้านี่ถึงได้ซุ่มซ่ามนัก ตั้งแต่จะชนต้นไม้เมื่อครู่แล้ว... (ตงหัว)

          “ไม่เป็นไร ไม่ต้องตอบแทน ข้าไม่ถือ...” ตงหัวหันคอกลับมาตอบก่อนจะออกเดินทางต่อ

          “ตะ แต่ว่า... ข้าถูกสอนมาว่า บุญคุณต้องทดแทน ยิ่งบุญคุณช่วยชีวิตข้ายิ่งต้องตอบแทน.... อ้าว มหาเทพ ท่านไม่ฟังข้าเลย มหาเทพ มหาเทพ!!” เฟิ่งจิ่วไม่ทันพูดจบประโยคดีนัก เงยหน้าดูอีกทีตงหัวก็ออกเดินไปไกลแล้ว

                    รอข้าด้วยซี มหาเทพ มหาเทพ!

          เฟิงจิ่วเดินตามตงหัวมาเรื่อยๆ จนมาถึงริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง กลางแม่น้ำมีระฆังทองคำขนาดใหญ่ใบหนึ่งวางคว่ำอยู่ ที่รอบๆตัวระฆังมีลำแสงสีแดงดำ และกลิ่นอายพวกมารลอยอบอวลไปทั่ว เฟิงจิ่วเห็นมหาเทพตงหัวใช้เท้าเคาะพื้นสองสามที กลุ่มหมอกสายหนึ่งลอยขึ้น ทันใดนั้นมอกสายนั้นหลอมรวมเป็นร่างของเทพเจ้าที่ประจำแม่น้ำสายนั้นก็ปรากฏกายขึ้น

          “มหาเทพตงหัว มีไรให้ข้ารับใช้หรือขอรับ?”

          “หลายวันมานี้ เจ้าเห็นอะไรผิดปกติที่เกิดขึ้นกับระฆังปราบมารนี้หรือไม่?” ตงหัวถามเทพเจ้าที่

          “เอ...จะว่าไปวันก่อนข้าสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังบางอย่าง แต่หลังจากนั้นก็กลับคืนสู่ปกติ คิดว่าน่าจะไม่มีอะไรนะขอรับ” เทพเจ้าที่ตอบกลับ สีหน้าครุ่นคิด พลันเหลือตาไปเห็นที่ด้านหลังของมหาเทพตงหัว มีสาวน้อยสวยสะคราญนางหนึ่งแอบอยู่ด้านหลังของมหาเทพลอบส่งยิ้มหวานมาให้เขา

          “ดีแล้ว  ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงเก็บกระดิ่งนี้ไว้กับตัว หากพบเหตุอันใดผิดปรกติวิสัย จงใช้พลังสั่นกระดิ่งนี้ซะ แล้วข้าจะมาหาเจ้าในทันที” มหาเทพกล่าว พลางล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อแล้วส่งกระดิ่งอันเล็กให้แก่เทพเจ้าที หลังจากเทพเจ้าที่หายลับไปแล้วนั้น ตงหัวก็เพิ่งจะนึกได้ว่า แม่นางน้อยคนนั้นยังคงตามมาจนถึงที่ริมฝั่งแม่น้ำแห่งนี้

          ตงหัวเดินออกห่างจากเฟิงจิ่วมาสามสี่ก้าว พลางกล่าวว่า

          “เห็นว่าเป็นถึงองค์หญิงหรอกนะ  ที่ผ่านมาข้าจะไม่ถือเป็นเรื่องราว แต่หากยังจะฝืนตามข้าอีกละก็นะ.... อย่าหาว่าข้าหยาบคายล่ะกัน” พูดจบก็สะบัดชายผ้าเดินลิ่วจากไป ทิ้งให้เฟิงจิ่ว ยืน งง อยู่บริเวณนั้น

.....

ณ ถ้ำเทพจิ้งจอกเก้าหางแห่งหุบเขาเขียว

          ในคืนนั้นหลังจากเฟิงจิ่วกลับไปยังถ้ำจิ้งจอกของนางแล้วนั้น  ตลอดทั้งคืนนางกลับคิดถึงแต่มหาเทพตงหัว ยิ่งคิดก็ยิ่งใจเต้นแรง ยิ่งคิดก็ยิ่งเขิน ยิ่งเขินก็ยิ่งเดินไปเดินมารอบถ้ำ นางอยากจะหาโอกาสตอบแทนบุญคุณที่เขาช่วยชีวิตนางไว้จริงๆ แต่ก่อนอื่นนางคงจะต้องหาหนทางในการเจอกับเขาอีกครั้งหนึ่งก่อน

          อะฮ่า! เฟิงจิ่วเพิ่งจะมีความคิดดีดีเอง ในเมื่อข้าไม่อาจจะไปหาเขาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ ก็วางแผนให้เขามาหาข้าแทนล่ะกัน!

          ว่าแล้วเฟิงจิ่วก็กลับไปที่แม่น้ำระฆังทองนั้นอีกครั้งหนึ่ง นางเคาะเท้าที่พื้นเรียกเทพเจ้าที่ออกมา เทพเจ้าที่ผู้นี้อัธยาศัยดีนัก ทั้งยังจำได้ด้วยว่าเมื่อวานนางมากับมหาเทพตงหัว

          “ท่านลุงเจ้าที่ วันนี้มหาเทพใช้ข้ามาบอกแก่ท่านว่า มหาเทพอยากจะขอระดิ่งน้อยชิ้นนั้นคืน แล้วมหาเทพอยากจะให้ท่านใช้ขลุ่ยหยกเลานี้แทน หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เพียงแค่เป่าขลุ่ยหยกมหาเทพก็จะมาทันที!” เฟิงจิ่ว เมื่อซักครู่ เพิ่งจะแต่งเรื่องโกหก สดๆร้อนๆ พร้อมๆกับเอามือล่วงเข้าไปในแขนเสื้อก่อนจะล้วงเอาขลุ่ยหยกเลาหนึ่งที่นางหยิบมาจากถ้ำจิ้งจอกของนาง

          “อาห์ แต่ว่า... ข้าว่ามหาเทพ..” เทพเจ้าที่เริ่มไม่แน่ใจ แต่เขาก็ล้วงกระดิ่งน้อยที่มหาเทพประทานให้เมื่อวานออกมาจากอกเสื้อ

          “ท่านไม่เชื่อข้าเหรอ ท่านลุงเจ้าที่?” เฟิงจิ่ว เริ่มหน้าเสีย นางขมวดคิ้วเข้าหากัน พลางย่นจมูก ทำสีหน้าน้อยอกน้อยใจ เฟิงจิ่วในยามนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจต้านทานความน่ารัก น่าเอ็นดูของนางได้ และนางก็รู้ดีว่านางทำได้!

          ระหว่างทางกลับถ้ำจิ้งจอก เฟิงจิ่วก็เดินชื่นชมกระดิ่งน้อยในมือของนาง ยิ่งเห็นกระดิ่งยิ่งพาลให้นึกถึงใบหน้าของเจ้าของกระดิ่งนี้ ยิ่งนึกถึงใบหน้าของมหาเทพตงหัว หัวใจยิ่งเต้นแรง!! เฟิงจิ่วเอ๋ย... หัวใจของเจ้าในยามนี้คงจะกระโดดออกมานอกอกแล้วกระมัง!!

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา