(fic undertale) Horror truth

-

เขียนโดย จอมมารไนท์

วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.02 น.

  6 ตอน
  1 วิจารณ์
  9,732 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 22.25 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

3) Another human

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

     เมื่อโครงกระดูกหนุ่มเดินไปถึงยังจุดนัดหมายระหว่างเขากับน้องชาย สิ่งที่เขาเห็นนอกจากทิวทัศน์โดยรอบที่คุ้นเคยกับเจ้าน้องชายตัวดีที่โบกมือให้เขาอย่างร่าเริงแล้ว เมื่อดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวจ้องเขม็งไปยังข้างกายของอีกฝ่าย โครงกระดูกหนุ่มก็เลิกคิ้วขึ้นเมื่อพบสิ่งแปลกปลอมอย่าง.. มนุษย์? 

 

     ใช่.. เด็กมนุษย์เพศหญิงสวมชุดกระโปรงสีม่วงตุ่นๆที่ทั้งเก่าและขาดวิ่น รูปร่างผอมโซ หัวดูยุ่งๆแถมยังแตกปลายเหมือนไม่เคยได้รับการบำรุงรักษาจากเจ้าของ โดยเจ้าเด็กที่ท่าทางไม่ค่อยน่าอร่อยเท่าไหร่คนนั้นกำลังยืนเกาะขาที่เรียวชะลูดของน้องชายเขาพร้อมกันกับที่พยายามหลบให้อยู่ห่างๆจากเขาอย่างน่าขัน

 

     แซนส์ขมวดคิ้ว (ที่ไม่มี) ของเขาเข้าหากันมุ่น ก็เข้าใจและรู้ตัวอยู่ว่าไม่เป็นที่รักของเด็กๆเท่าน้องชายของเขา.. แต่จำเป็นไหมที่ต้องแสดงท่าทีกลัวเขาแบบออกนอกหน้ากันซะขนาดนี้?

 

     นี่เขาไปทำอะไรให้หล่อนโกรธเกลียดกลัวกันหรือยังมิทราบ? แต่เท่าที่จำได้ขนาดหน้ายัยแห้งนี่เขาก็ยังไม่เคยเห็นเลยนะเออ

 

     “นี่ไงล่ะ..มนุษย์ที่ฉันเล่าให้พี่ฟังเมื่อตะกี้นี้!” แต่แล้วความพยายามของอีกฝ่ายก็ไม่เป็นผล.. เมื่อพาไพรัสกลับเป็นฝ่ายที่อุ้มเธอขึ้นมาแล้วยื่นตัวอีกฝ่ายมาทางเขาพร้อมกับแนะนำ 'เพื่อนใหม่' ของเขากับพี่ชายผู้เป็นครอบครัวเพียงตนเดียวอย่างร่าเริงด้วยแววตาอันเปี่ยมสุข

 

     "ไงล่ะพี่ชาย เพื่อนใหม่ของฉันน่ารักมากๆ เลยใช่มั้ยล่า ~"

 

     ...

 

     โอเคแพ๊พ.. นายบอกฉันจริงๆ ว่าวันนี้นายจะพาฉันมาพบกับเพื่อนใหม่ของนาย แต่ทำไมนายไม่บอกฉันมาเลยสักคำวะไอ้เพื่อนคนที่ว่าน่ะ มันเป็น มนุษย์ที่เราทั้งหลายกินๆ กันอยู่ทุกวันน่ะเฮ้ย! 

 

     'หมดกันน้องชายฉัน..' เขาคิด 'นี่ต้องเหงาและไม่มีใครคบขนาดไหน.. อาการถึงได้หนักขนาดหน้ามืดคิดที่จะคว้าเอาอาหารมาเป็นเพื่อนกัน?'

 

     "อื้ม!" แต่ถึงแม้ว่าใจจริงเขาจะรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้ยังไง แต่เพื่อความสบายใจของผู้เป็นน้องชาย โครงกระดูกหน้ายิ้มจึงเลือกที่จะปิดบังความไม่พอใจนั้นเอาไว้และพูดเออออตามน้ำไปก่อน

 

     "สุดยอดไปเลยล่ะแพ๊พ"

 

     ...

 

     จะแปลกมั้ยถ้าหากจะบอกว่า ทั้งๆ ที่พาไพรัสท่าทางจะชอบเด็กมนุษย์คนนี้มากแต่เขากลับรู้สึกไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายขึ้นมาซะอย่างนั้น..

 

 

     ใช่แล้ว เขา-ไม่-ชอบ-หน้า-ยัยแห้งนี่ เอาซะเลย

 

 

     “ดูสิแซนส์!” และแล้วเจ้าเด็กโข่ง ผู้เป็นน้องชายหัวแก้วหัวแหวนของเขาก็ร้องเรียก ขณะจับเด็กคนนั้นหมุนไปรอบๆอย่างเริงร่า “หน้าตาเธอเหมือนกับเจ้ามนุษย์เลยเนอะ พี่ว่าไหม?” 

 

     “อื้ม..” มอนสเตอร์ผู้พี่เอ่ยออกมาขณะที่เขาใช้ดวงตาสีแดงโลหิตที่เหลือเพียงข้างเดียวจับจ้องไปที่เด็กน้อยชาวมนุษย์ตาไม่กระพริบ

 

     “เหมือนสิแพ๊พ..” เหมือนมาก..

 

     ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า สีผมหรือแม้กระทั่งดวงตาที่ปิดสนิทของเด็กผู้หญิงตรงหน้า มันก็ชวนให้เขาหวนนึกถึง เด็กนั่น อย่างช่วยไม่ได้

 

     แต่ถึงจะเหมือนหรือว่าคล้ายคลึงกันมากแค่ไหน ลึกๆ ลงไปภายในใจแล้ว.. แซนส์ก็รู้อยู่ดีว่าหล่อนไม่ใช่เด็กคนนั้นที่เป็นคนรักของเขา

 

 

เพราะว่าเด็กน้อยของเขา.. เพราะว่าฟริกส์จะไม่กลับมา

 

     ถึงต่อให้กลับมาจริงๆ แต่ด้วยเวลาที่ผ่านไปนานนับสิบๆ ปีและการที่อีกฝ่ายเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มีระยะการเจริญเติบโตที่ไวกว่า แตกต่างจากมอนสเตอร์อย่างพวกเขาอยู่มาก เด็กน้อยของเขาก็น่าจะตัวโตมากกว่านี้เยอะ.. เผลอๆ ตอนนี้อาจจะสูงกว่าล้ำหน้าเขากับแพ็พไปแล้วก็ได้

 

     แต่ว่า.. เด็กคนนี้ถึงจะตัวโตและดูมีอายุมากกว่าฟริกส์ในตอนที่ยังอยู่ในอันเดอร์กราวอยู่บ้าง แต่ไม่ว่าจะตีลังกาดูยังไง เขาก็ว่าเด็กนี่ก็ไม่มีทางอายุเกิน15ปีไปได้อย่างแน่นอน

 

     ข้อสอง ถ้าหากว่าเธอเป็นฟริกส์ตัวจริง.. ดวงวิญญาณของเธอต้องเป็นสีแดงที่เป็นพลังแห่งปณิธาน.. ไม่ใช่สีม่วงที่เป็นพลังแห่งความเพียรแบบของเด็กคนนี้

 

 

และที่สำคัญ.. ถ้าหากว่าเป็นฟริกส์เธอจะไม่มีวันมองเขาด้วยความหลาดกลัวและคอยหลบหน้าเขาแบบเด็กคนนี้แน่

 

     แม้ว่ามันจะเลือนลางเหลือเกินในความทรงจำ.. แต่สายตาที่ส่งผ่านดวงตาที่ปิดสนิทแทบจะตลอดเวลาของเด็กคนนั้นมันทั้งอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรักเสมอเวลาที่มองมายังเขา เป็นสายตาเช่นเดียวกับที่เขาใช้มองเธอ

 

     ..มันเป็นสายตาที่มีแต่คนรักกันเท่านั้นที่จะใช้มองกันและกันได้

 

     เธอสาบานเอาไว้ต่อหน้าดอกเอคโค่ฟลาวเวอร์ว่าจะรักเขาเสมอ ไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนไปยังไงก็ตาม.. เช่นเดียวกันกับเขาได้ให้คำสัญญาแบบเดียวกันเอาไว้กับเธอ

 

 

แซนส์ยังคงเชื่อมั่น..

 

     เชื่อว่าสักวันนึงเด็กคนนั้นจะต้องกลับมา และยังเชื่อเสมอว่าความรักของพวกเขาจะยังมั่นคงไม่มีเปลี่ยนแปลง เชื่อในคำสัญญานั่น แม้ว่าความจริงและความเหน็บหนาวในทุกวันที่ผ่านเข้ามาจะคอยย้ำเตือนว่าทั้งหมดนั่นมันไม่เป็นความจริง

 

     และความจริงคือฟริกส์จะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว..

 

     อ่า.. เล่นเอาใบหน้าและร่างกายที่คล้ายกันกับเด็กนั่นมาตอกย้ำความจริงข้อนั้นน่ะ มันทำให้เขาอยาก 'สับ' อีกฝ่ายให้หมดความรำคาญใจซะเหลือเกิน

 

     อยากจะขยี้ให้ตายคามือเสียจริง.. ให้ตายสิ

 

     แต่หากทำแบบนั้นเข้าจริงแพ๊พคงโกรธเขาแย่.. ถือว่าเป็นโชคดีในความโชคร้ายของเด็กมนุษย์นั่นล่ะนะ ที่ถึงจะดวงซวยตกลงมาที่นรกแห่งนี้แต่ก็บังเอิญได้เจอกับแพ๊พผู้แสนดีก่อนแทนที่จะมาเจอโครงกระดูกฆาตกรโรคจิตอย่างเขา

 

 

 

ไม่อย่างนั้นมันคงได้ตายตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินก้าวผ่านประตูรูนส์มาแล้ว..

 

     แต่แซนส์เองก็ปฎิเสธไม่ได้ว่ายิ่งมองมากเท่าไหร่.. เด็กนี่ก็ยิ่งดูเหมือนกับเด็กคนนั้นมากเท่านั้น.. มากจนโครงกระดูกผู้พี่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นกับน้องชายถึงนามของเด็กมนุษย์คนนั้น ผู้ที่ครอบครองทั้งดวงใจของเขาออกมาอย่างแสนคิดถึง

 

     “..เธอเหมือนกับฟริกส์ เหมือนมากจริงๆ” 

 

     คิ้วเรียวสีน้ำตาลเข้มของเด็กหญิงคนนั้นขมวดเข้าหากันเป็นปม ก่อนที่มนุษย์ตัวน้อยจะเปิดปากพูดขึ้นให้แซนส์ได้ยินเสียงของเธอเป็นครั้งแรก

 

     “พวกคุณ.. รู้จักกับคุณแม่กันด้วยหรอคะ?”

 

     “อะ เอ๋!?” โครงกระดูกร่างสูงส่งเสียงร้องขึ้นมาอย่างตื่นตกใจ ในขณะที่ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของพี่ชายของเขาจะเบิกกว้างด้วยความตกตะลึงกับสิ่งที่พวกเขาพึ่งจะได้ยินจากปากของมนุษย์ผู้นั้น

 

     “คะ คุณแม่? นี่มันหมายความว่ายังไงกัน.. มะ มนุษย์! นะนี่เธอเป็นลูกของฟริกส์อย่างนั้นหรอ!?” 

 

     “อั่ก!” แต่ไม่ทันที่มนุษย์ตัวน้อยจะมีโอกาสได้อ้าปากตอบคำถามขอโครงกระดูกร่างสูงผู้เป็นเพื่อนรักของเธอ ดวงวิญญาณของเธอก็ถูกแซนส์เปลี่ยนให้กลายเป็นสีน้ำเงินซะก่อน ก่อนที่เธอจะถูกเจ้าของพลังนั้นจับทุ่มและเหวี่ยงลงไปนอนกองกับพื้นทั้งๆ ที่โครงกระดูกร่างเตี้ยเพียงแค่วาดมือไปมาเท่านั้น

 

     "เจ้ามนุษย์!" เมื่อเห็นอย่างนั้น มอนสเตอร์ตนกลางอย่างพาไพรัสจึงรีบเข้าถลาเข้าไปขวางพี่ชายของตนที่กำลังย่างสุขุมไปหาเพื่อนตัวน้อยด้วยสายตาอันว่างเปล่า

 

     "แซนส์ พี่หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!" 

 

     โครงกระดูกร่างสูงพุ่งเข้าไปขณะที่ตะโกนออกมาเสียงดังจนออกกึ่งๆ ตะคอกใส่อีกฝ่าย แต่เพียงแค่มอนสเตอร์โครงกระดูกผู้พี่ตวัดมือเบาๆ  กำแพงกระดูกก็ผุดขึ้นมาจากพื้นเบื้องล่างและล้อมตัวน้องชายของเขาเอาไว้ ก่อนจะกลายสภาพเป็นกรงที่กั้นขวางมอนสเตอร์ผู้เป็นน้องให้พ้นไปจากทางของเขาไปโดยปริยาย

 

     "ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะแซนส์!" โครงกระดูกร่างสูงคำรามออกมาขณะพยายามแหก 'กรงขัง' ที่สร้างขึ้นมาจากกระดูกพร้อมกับที่พยายามส่งเสียงร้องเรียกเพื่อนคนแรกในรอบหลายปีให้หนีไปจากพี่ชายของเขาที่กำลังสาวเท้าเข้าไปหาร่างที่เล็กบอบบางนั่นด้วยสายตาและท่าทีอันร้อนรน

 

     "อลิชา! เธอรีบหนีไปจากตรงนี้ซะ.. เดี๋ยวนี้เลย!"

 

     อลิชางั้นหรอ? อืม.. เป็นชื่อที่ไม่เลวเลยนี่ เอาล่ะ.. เห็นแก่ที่มันยอมเป็นเพื่อนเล่นให้กับน้องชายของเขา เขาจะยอมจำชื่อนั่นเอาไว้สลักบนหลุมศพให้หลังจากที่หมดธุระกับมันก็แล้วกัน

 

     เมื่อมั่นใจแล้วว่าน้องชายของเขาจะไม่มีทางยื่นมือเข้ามาสอดธุระระหว่างเขากับนังเด็ก อลิชานั่นได้ โครงกระดูกตาเดียวก็วางใจและกลับมามอบความสนใจให้กับเด็กน้อยตรงหน้าได้อย่างเต็มที่

 

     "หมายความว่ายังไงที่บอกว่ามึงเป็นลูกของฟริกส์หา? "ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวจ้องเด็กน้อยตรงหน้าเขม็งขณะที่แขนกระดูกของเขาบีบเข้าที่ลำคอมนุษย์ผู้นั้นแล้วยกขึ้นสูงจนลอยเหนือพื้น ความโกรธเกรี้ยวและกระตือรือร้นในรอบหลายปีของโครงกระดูกตาเดียวตนนั้นถูกฉายออกมาผ่านแววตาสีแดงที่กำลังวูบไหวเหมือนกับเปลวไฟ

 

 

มิหนำซ้ำ.. มันยังเป็นไฟบรรลัยกัลป์ซะด้วย

 

     เพียงแค่คิดว่าเด็กผู้หญิงตรงหน้าเป็นผลิตผลของความรักระหว่างนังคนทรยศที่ทอดทิ้งเขากับพาไพรัสให้ทนทุกข์ทรมานอยู่ในขุมนรกใต้ดินแห่งนี้ไปเสวยสุขกับอ้ายมนุษย์ตัวผู้อยู่ข้างนอกนั่น หัวใจเขาก็ร้อนรุ่มเหมือนกับโดนเผา ความรู้สึกอันน่ารังเกียจที่เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีก็ปะทุขึ้นมาอย่างง่ายดาย.. เกลียด

 

 

     อา อยากจะขยี้.. ขยี้ทิ้งพวกมันไปซะให้หมด.. ตอนนี้.. เดี๋ยวนี้เลย

 

     ..แต่ว่าเขาทำไม่ได้

 

     บางส่วนที่อยู่ลึกภายในใจของเขายังไม่อยากที่จะยอมรับมัน มันยังคงเข้าข้างตัวเองว่ามันต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างแน่ที่ทำให้เด็กคนนี้เรียกฟริกส์ว่าแม่.. บางทีฟริกส์อาจจะแค่เก็บเด็กนี่ได้จากถังขยะแล้วเลี้ยงดูมาจนโต.. หรืออะไรทำนองนั้นก็ได้นี่นา ใครจะไปรู้? 

 

     และเพราะอย่างนั้นเขาจึงต้องการที่จะฟังคำตอบนั้นจากปากของเด็กหญิงที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่จะตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่างลงไป เพื่อไม่ให้เขาหรือผู้หญิงที่เขารักต้องมารู้สึกเสียใจในภายหลัง

 

 

     “ถ้าไม่อยากตายก็ตอบมา!” 

 

 

     ว่าฟริกส์ของเขาได้ทรยศความรักที่เคยมีร่วมกันมาและหนีไปมีคนอื่นอยู่ข้างนอกนั่นจริงๆรึเปล่า? 

 

 

     แต่ถึงแม้จะพร่ำบอกกับตัวเองให้ใจเย็นไว้ก่อน ทว่า.. สายตาของอมนุษย์หนุ่มก็ยังจ้องอีกฝ่ายเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้ แต่นี่มันก็ถึงขีดสุดของความอดทนที่ตัวเขาในตอนนี้จะมีได้แล้วจริงๆ

 

     แค่ไม่เผลอพลั้งมือฆ่ามันตอนนี้ได้ก็บุญโขแล้ว..

 

     ทว่าท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของพาไพรัสที่เอาแต่บอกให้หนีไปและสายตาอำมหิตเลือดเย็นจากมอนสเตอร์ที่อยู่ตรงหน้า.. เด็กน้อยกลับดูสงบนิ่งกว่าที่ควรจะเป็นทั้งๆที่กำลังเผชิญหน้ากับพญามัจจุราชอยู่จนแม้กระทั่งแซนส์เองก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้.. ไม่กลัวเลยหรอ?

 

     เธอนิ่งเหมือนกำลังขบคิดอะไรอยู่สักพัก จนในที่สุดเด็กน้อยคนนั้นจึงตัดสินใจที่จะพูดถามขึ้นมาว่า

 

     “คุณคือแซนส์ คนรักของคุณแม่?”

 

 

คนรัก..

 

     สายตาและท่าทีของโครงกระดูกตาเดียวอ่อนยวบลงไปทันตาเมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น คนรักอย่างนั้นหรอ? อานั่นสินะ..

 

     อย่างน้อยๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาฟริกส์ก็ยังไม่ลืมเขาสินะ? ฮ่าๆ น่ายินดี.. นั่นถือเป็นข่าวดีเรื่องที่หนึ่ง

 

 

     แต่ถ้าหากว่ามันเป็นแบบนั้น ถ้าเธอเองก็ยังไม่เคยลืมเขาเหมือนกัน แล้วในตอนนี้..

 

     “..ยัยนั่นอยู่ไหน?” แรงที่ทาบทับตรงลำคอของเด็กมนุษย์คนนั้นถูกผ่อนลงเล็กน้อยตามพายุอารมณ์ที่เบาบางลง ขณะที่โครงกระดูกฆาตกรจะถามในสิ่งที่เขาต้องการที่จะรู้ในคำถามต่อไป

 

 

     “ตอนนี้ยัยเด็กนั่น.. ไม่สิ ตอนนี้ฟริกส์ไปอยู่ที่ไหนและเป็นยังไงบ้าง?” ถ้ายังสบายดี.. ทำไมป่านนี้ถึงยังไม่กลับมาอีก? 

 

 

     “..หนูจะเล่าให้คุณฟังทุกเรื่องค่ะ” ดวงตาที่แม้จะยังไม่ลืมขึ้นมาเลยสักครั้งแม้ว่าตัวเองจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงกับการโดนมอนสเตอร์ตรงหน้าฆ่าตายได้ทุกเมื่อให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยทุกครั้งที่เขามองมัน

 

 

เหมือนกันมาก.. เหมือนจนเกินไป

 

 

     “แต่ตอนนี้คุณช่วยปล่อยหนูลงก่อนได้มั้ยคะ? นะ หนูหายใจไม่ออก..” 

 

 

     “อุ๊บส์! โทษที” และเมื่อโครงกระดูกตาเดียวยอมปล่อยมือออกจากลำคอที่แสนเปราะบางนั้น กำแพงกระดูกที่เคยขวางโครงกระดูกร่างสูงเอาไว้จากระหว่างหนึ่งมอนสเตอร์และหนึ่งมนุษย์ก็มุดกลับเข้าไปใต้พื้นดินเหมือนกับว่าไม่เคยมีเรื่องราวร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

 

 

     "แค่กๆ"

 

 

     "อลิชา!" ทันทีที่ได้รับอิสระ.. มอนสเตอร์โครงกระดูกผู้น้องก็รีบพุ่งเข้าไปหาเพื่อนตัวน้อยของเขาที่กำลังนอนไอและพยายามหายใจเข้าออกอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

     เกือบไปแล้ว.. เกือบไปแล้วไหมเล่าพาไพรัส? 

 

 

เกือบได้สูญเสียเพื่อนคนสำคัญไปอีกคนแล้วไหมล่ะ? 

 

 

     "เธอไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ยมนุษย์? เธอเจ็บตรงไหนรึเปล่า? " พาไพรัสที่เข้าไปประคองมนุษย์ที่เขาพึ่งรู้ว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเพื่อนเก่าที่แสนสำคัญ ขณะที่ดวงตาสีดำของโครงกระดูกร่างสูงจะตวัดขึ้นจ้องมองเขม็งพี่ชายของตนที่ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้ม ทำท่าทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้..

 

     ถึงแม้ว่ามันจะเป็นโครงกระดูกที่ไม่มีเลือดเนื้อให้กินและเป็นพี่ชายของเขาก็เถอะแต่แล้วยังไงล่ะ!

 

 

     "ฉะ ฉันไม่เป็นไร" และเขาคงจะพุ่งเข้าไป 'กินเลือดกินเนื้อ' พี่ชายตัวแสบอย่างที่คิดจริงๆ ถ้าหากว่าเด็กน้อยในอ้อมกอดไม่เอ่ยออกมาเสียก่อน..

 

     เด็กน้อยร่างผอมแห้งค่อยๆลุกขึ้นจากอ้อมกอดของโครงกระดูกผู้น้องอย่างโงนเงนเหมือนพร้อมที่จะล้มได้ทุกเมื่อ ขณะมือน้อยบอบบางซูบซีดจะขยับมาปัดเศษฝุ่นออกจากกระโปรงสีม่วงซีดๆขาดๆบ่งบอกความเก่าของมันอย่างบรรจง ก่อนที่ฝ่าเท้าที่เปลือยเปล่าของเธอจะออกเดินเหยียบย่ำพื้นดินที่แตกระแหงนั้นตรงไปยังร่างของโครงกระดูกตาเดียว ท่ามกลางเสียงร้องห้ามจากพาไพรัส

 

     "มนุษย์.. อลิชา? " 

 

     แต่แทนที่จะหยุดเดิน.. สิ่งที่เธอเลือกที่จะทำกลับเป็นกุมมือของโครงกระดูกร่างสูงตนนั้นเอาไว้ และพาเขาเดินมาหาแซนส์ที่ยืนมองการกระทำของเด็กสาวจากโลกข้างนอกด้วยแววตาที่เปลี่ยนกลับมาอ่อนโยนลงเหมือนเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว

 

     ชั่วขณะหนึ่งที่เขาเห็นภาพในวันวานของตัวเองกับมนุษย์ผู้เป็นที่รักซ้อนทับกันกับร่างของเด็กน้อยทั้งสองที่กำลังเดินมาหาเขา

 

     แซนส์ได้แต่หลุบตาลงต่ำ ไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่ายทั้งจากสิ่งที่เขาทำกับอีกฝ่ายและความที่บรรยากาศรอบๆตัวกับใบหน้าของเด็กน้อยนี่มันช่างเหมือนคนรักเก่าของเขาซะเหลือเกิน..

 

 

     แม่สาวน้อยนี่กับเด็กคนนั้น.. มันจะเหมือนกันมากเกินไปหน่อยแล้วมั้ง?

 

     หลังจากที่จิตใจบ้าคลั่งของโครงกระดูกผู้พี่ได้สงบลงไปบ้างแล้ว เรื่องราวชะตากรรมชีวิตของฟริกส์หลังจากที่เดินทางออกไปจากครอบครัวโครงกระดูกและดินแดนแห่งนี้ เรื่องราวอันเป็นส่วนที่ขาดหายและเป็นสิ่งที่เขาปรารถนาและนึกอยากที่จะรู้มาโดยตลอดก็ได้ถูกถ่ายทอดและเล่าสู่กันฟังอย่างลื่นไหล ผ่านปากของเด็กมนุษย์แปลกหน้าที่ชื่ออลิชา

 

 

 

เด็กที่อ้างตัวว่าเป็นลูกของผู้หญิงที่เขารัก..

 

************************************************************

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา