COS -A- ~มหาศึกศิลาเทวาสุริยัน~

8.0

เขียนโดย ECOS

วันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 11.08 น.

  8 chapter
  12 วิจารณ์
  16.29K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) [CHAPTER II] โบสถ์นักบุญ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

COS -A-

Crystals Of Solaris –the Alternative- 

         

Chapter II: โบสถ์นักบุญ

            “เป็นวันที่อากาศดีจังเลยนะ” เซเลสหันไปพูดกับซินเธีย แล้วก็กัดเบบิวด์คำใหญ่

 

            “นั่นสิไม่ร้อนเกินไป ลมก็ไม่แรงเกินไป ฟื้นมาได้ถูกวันจริงๆเลยนะ” เธอตอบกลับมาอย่างยิ้มแย้ม ตอนนี้ทั้งคู่คุยกันเป็นธรรมชาติกว่าตอนอยู่ในบ้านมากทีเดียว

 

            เขาเอาแขนทั้งสองพาดบนเก้าอี้ และตอบรับเธอ “ฮ่าๆ ถือว่าผมดวงดีสิเนี่ย” จากนั้นก็แหงนหน้ามองไปยังท้องฟ้า “วันดีๆแบบนี้ทำให้ผมลืมเรื่องที่สงสัยแล้วก็ความคิดพิลึกๆในหัวไปซะหมดเลยล่ะ”

 

            “ชั้นเองก็เหมือนกันแหละ” เธอหัวเราะคิกคัก เซเลสยังสงสัยนิดหน่อยว่าเธอลืมอะไรเหมือนเขากัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

            “แก๊ง แก๊ง แก๊ง...” เสียงระฆังดังกังวาลขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

            “เสียงอะไรล่ะเนี่ย อย่าตอบว่าเสียงระฆังมาล่ะซินเธีย”

 

            “แต่มันก็เสียงระฆังจริงๆนี่นา ดังมาจากโบสถ์ด้านหลังเรานี่แหละ เป็นเสียงบอกเวลาสิบเอ็ดโมงและเวลาที่พวกเราชาวไพจะระลึกถึงเทพผู้สร้างโซลาริสกัน” พูดเสร็จเธอก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ประกบไว้ตรงอก ยืนขึ้นและหลับตานิ่งอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนทุกคนที่เดินไปมาตามถนนก็ทำเช่นเดียวกัน เซเลสเห็นดังนั้นจึงทำตามด้วย

 

            ราวครึ่งนาทีต่อมาเธอลืมตาขึ้นและนั่งลง เซเลสที่แอบมองเธอเป็นระยะๆก็เช่นกัน

 

            “อ่า...โทษที ขอถามอะไรหน่อยนะ เมื่อกี้ผมได้ยิน โซลลาริส...มันคืออะไรหรือ” เซเลสถามออกไป

 

            เธอดูจะตกใจนิดหน่อย “โซลาริสต่างหาก ไม่ใช่โซลลาริส นี่เธอจำไม่ได้กระทั่งพระผู้สร้างเลยรึเนี่ย” พูดจบเธอก็แหงนหน้าขึ้นไปมองต้นไม้ที่มีแสงเป็นประกายลอดลงมา

 

            “อ่า...” เขาตอบรับอย่างงุนงง และไล่สายตามองไปที่จุดเดียวกับเธอ ‘ต้นไม้รึ ไม่ใช่หรอกมั้ง คงจะเป็น...

 

            “ดวงอาทิตย์หรอ” เขาชี้มือไปตรงตำแหน่งนั้น และเธอก็รีบดึงมือของเขาลงทันที

 

            “ห้ามชี้นะเซเลส ดวงอาทิตย์อะไรชั้นไม่รู้หรอกนะ แต่เทพโซลาริสก็คือแสงสีขาวบนฟ้าอันเป็นผู้ให้กำเนิดสรรพสิ่งและพลังนั่นแหละ” เธอรีบพูด ‘ที่แท้ก็ยังสติไม่ดีอยู่นั่นแหละ นี่ชั้นนึกไปถึงพี่ไซเลสได้ยังไงกัน

 

            ‘เทพ? อะไรกันเนี่ย นี่มันยุคไหนกันแน่ โอ้ยไม่ๆ อุตส่าห์ลืมเรื่องพวกนี้ได้แล้วเชียวนะ’ เขาสะบัดศีรษะไปมา ซินเธียมองดูท่าทางเขาอย่างหน่ายๆ และพูดขึ้น

 

            “ได้เวลาแล้วล่ะเซเลส ไปทำธุระสำคัญของเรากันเถอะ” แล้วเธอก็ลุกขึ้น

 

            “เอ๋? ไม่ใช่ว่าทางบ้าน ให้คุณพาผมมาเดินชมเมืองหรอกรึ”

 

            “นั่นก็ส่วนนึง แต่ว่าแม่ชั้นให้พาเธอมาหานักบุญเมโรในโบสถ์เพื่อดูว่าเธอหายดีรึยังต่างหาก”

 

            “อ๋อ” เซเลสตอบรับสั้นๆ เขาเกือบจะถามเธอว่าทำไมไม่พาไปนักบุญแทนที่จะไปหาหมอ แต่ก็คิดได้ว่าไม่ควรถาม เขาจึงเปลี่ยนคำถามเสียใหม่ “แล้วแกนเบบิวด์นี่ทิ้งที่ไหนหรอ”

 

            “พวกผลไม้ทิ้งที่ต้นไม้ได้เลย เราใช้มันเป็นปุ๋ยอยู่แล้ว ไปกันเถอะ ทำธุระเสร็จจะได้ไปกินข้าวกลางวันกัน” เธอชี้นิ้วไปยังโคนต้นไม้ใหญ่ข้างๆ แล้วก็เดินไปทางโบสถ์

 

            “ดีจังแฮะ” เขาเดินเอาแกนเบบิวด์ไปวางที่โคนต้นไม้นั้น และเดินตามเธอไป

 

            โบสถ์อยู่ห่างจากเก้าอี้ที่ทั้งสองนั่งเมื่อครู่ประมาณ 300 เมตร มันดูจะเป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยงามและใหญ่โตที่สุดในหมู่บ้านนี้ ยอดสามเหลี่ยมสูงของโบสถ์มีช่องที่ใส่ระฆังไว้ภายใน ปลายสุดของยอดโบสถ์มีสัญลักษณ์สีเทาเหมือนไม้กางเขนติดอยู่ หลังคากระเบื้องสีแดงเป็นมันเงาดูโดดเด่นท่ามกลางหมู่แมกไม้สีเขียวและฟ้า รอบบริเวณโบสถ์มีแผ่นหินอ่อนขนาดใหญ่ปูเป็นทางเดิน แซมด้วยสวนหย่อมและสถานที่พักผ่อน

 

            เมื่อเข้าไปในโบสถ์ ก็พบสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปโบราณ ห้องโถงกว้างขวางไม่มีเสากลาง มีเก้าอี้ไม้สีน้ำตาลเข้มเรียงรายเป็นระเบียบ รูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ติดอยู่ที่ผนังสุดทางตรงกลางโบสถ์ จุดเหมือนดวงอาทิตย์สองดวงบนฟ้าเด่นอยู่กลางสามเหลี่ยมนั้น ผนังโดยรอบเป็นกระจกขุ่นหลากสี ด้านบนเป็นช่องเปิดมีแสงลอดเข้ามาให้ความสว่างแก่ภายใน

 

            “ว้าววว” เซเลสรู้สึกชื่นชมในความสวยงามของโบสถ์อย่างมาก เขาแหงนหน้าไปบนเพดานครึ่งทรงกลมที่มีศูนย์กลางเป็นรูปเก้าเหลี่ยมและมีลวยลายอันวิจิตรงดงามตลอดแนวลงมาถึงผนัง

 

            “ดีจัง วันนี้มีคนไม่เยอะ ท่านนักบุญเมโรอยู่ไหนกันน้า” ซินเธียสอดส่ายสายตาไปทั่ว ในโบสถ์มีคนอยู่ประปราย

 

            เซเลสเหลือบไปเห็นแผ่นป้ายที่ติดอยู่ด้านหลังประตู เขาเพ่งมันอยู่ครู่เล็กๆ เลิกคิ้วแล้วก็หันไปสะกิดซินเธีย

 

            “มีอะไรอีกเล่า เธอเดินดูอะไรไปก่อนก็ได้ ชั้นกำลังหาคนอยู่!” เธอปัดมือเขาโดยไม่ได้หันกลับมามอง

 

            “นี่ซินเธีย หันไปอ่านป้ายที่หลังประตูนั่นดูหน่อย แล้วจะรู้เอง” เขาย้ำ และสะกิดเธออีกที

 

            “ก็ได้ๆ ไหนล่ะๆ!?” เธอยอมหันไปมองยังป้ายทีเขาชี้ ที่ป้ายเขียนไว้ว่า

 

            --- ขออภัยสำหรับผู้ศรัทธา และผู้ที่นับถือเทวาแห่งโซลาริสเป็นอย่างสูง เนื่องด้วยเหตุผิดปกติทางชายแดนในเทือกเขาของเขตเป็นกลางเมื่อหลายวันก่อน ทางศาสนจักรแห่งราชอาณาจักรศักด์สิทธิ์ไพ มีความจำเป็นต้องเรียกตัวหัวหน้านักบุญ เมโรแห่งโบสถ์เซนต์ มิสทริก เพื่อตรวจสอบและสืบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ---

 

            ซินเธียเหมือนจะอ่านทวนซ้ำๆอยู่หลายรอบ แล้วเธอก็หันมาด้วยสีหน้าหดหู่เจือไม่พอใจ

 

            “ทำไม!? ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยเนี่ย!!!?”

 

            “เอ่อ... ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย นักบุญเมโรไม่อยู่ก็ยังมีคนอื่นอยู่นี่นา ลองไปหาพวกเขาดูก็ได้นี่” เขาพูดปลอบใจ และเริ่มออกเดินนำไป

 

            เธอรีบคว้าข้อมือเขาไว้ และกระซิบกับเขา “ไม่ได้หรอก ชั้นไม่เชื่อใจนักบุญท่านอื่นน่ะ คนที่จะทำสิ่งนี้ได้มีแต่ท่านเท่านั้น”

 

            “อ่อ งี้นี่เอง งั้นเราเดินไปดูให้ทั่วๆก่อนดีมั้ย เผื่อท่านทิ้งข้อความอะไรไว้ให้น่ะ” เซเลสยื่นมือซ้ายไปจับมือเธอที่จับข้อมืออีกข้างของเขาอยู่ “ไปดูกัน” แล้วเขาก็ออกเดินอีกครั้ง

 

            พวกเขาเดินผ่านป้าย บอร์ดปิดประกาศ และกระดานที่มีข้อความมากมาย แต่ยังไม่พบอะไรที่เกี่ยวกับนัดของนักบุญเมโร อีกพักหนึ่งต่อมา ประตูกลางที่อยู่ใต้สัญลักษณ์สามเหลี่ยมเปิดขึ้น มีสาวในชุดแม่ชีสีขาวเรียบร้อยคนหนึ่งเดินออกมา เธอหันซ้ายหันขวาและมาจรดสายตาอยู่กับเซเลสและซินเธียซึ่งหันหลังอยู่

 

            “ซินเธีย ซินเธีย ได้ยินมั้ยๆ” เธอเอามือป้องปากพูด พร้อมกับเดินตรงมาหา

 

            ซินเธียหันไปมอง เปลี่ยนจากใบหน้าที่ดูเฉยเมย เป็นยิ้มแย้มในทันที “อ๊ะ ไมร่า~ ดีจริงๆที่ได้เจอเธอ”

 

            ทั้งสองเดินเข้ามาจับมือกัน เซเลสเดินตามซินเธียมาช้าๆ ทั้งสองทักทายกันอย่างสนิทสนม

 

            เธอหันมาหาเขา “คนนี้หรือคะซินเธีย ที่เธอบอกว่าจะให้ท่านเมโรดูอาการให้น่ะ”

 

            “อื้ม ใช่แล้วล่ะ แต่แย่จริงๆที่ท่านเมโรดันติดธุระได้” ซินเธียทำเสียงไม่ค่อยพอใจ

 

            “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ชั้นชื่อเชียก้า ไมร่าค่ะ เรียกไมร่าก็ได้นะ” เธอแนะนำตัวกับเซเลส และโค้งอย่างสุภาพให้กับเขา

 

            “อ่ะ อ้า ครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับไมร่า ผมเซเลส” เขาโค้งให้เช่นกัน

 

            “อ้อ ซินเธียๆ” ไมร่าหันไปหาเธอ “ก็แย่หน่อยนะที่ท่านเมโรไม่อยู่ แต่ก่อนที่ท่านจะออกเดินทางไป ท่านได้ฝากอะไรชั้นบางอย่างไว้ด้วยล่ะ” พูดเสร็จเธอก็กลับหลังหัน “มาคุยกันข้างในดีกว่านะ”

 

            “จะดีหรือไมร่า ในนั้นมันที่ประกอบกิจทางศาสนาของนักบุญนี่นา” ดูซินเธียจะร้อนรนกับคำชวนของเธอ

 

            “ไม่หรอก ท่านเมโรอนุญาตแล้ว เข้ามากันเถอะ” และไมร่าก็เดินนำไป

 

....................................................................................................................

 

            ไมร่าเดินนำเข้าไปยังทางเดินด้านหลังห้องโถงของโบสถ์ เมื่อเดินผ่านประตูขนาดพอดีตัวเข้าไปด้านหลังบรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปในทันที ทั้งสามคนเดินผ่านทางเดินไม้แคบๆ ขนาบข้างด้วยห้องที่ไว้ทำกิจพิธีทางศาสนา เดินไปสักพักทางก็กว้างขึ้น มีห้องเล็กๆเรียงรายอยู่ด้านหน้าพวกเขา สุดทางด้านซ้ายและขวาเป็นทางออกไปยังสวนดอกไม้นอกโบสถ์ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเดินมาถึงด้านหลังของโบสถ์แล้วนั่นเอง

 

            ไมร่าพาพวกเขาเลี้ยวไปทางซ้าย จนถึงห้องพักของเธอ ซึ่งอยู่เป็นลำดับที่สามจากริมซ้ายสุดเข้ามา

 

            “เอาล่ะ ถึงห้องชั้นแล้ว ทีนี้ก็... ขออนุญาตนะ ชั้นจำเป็นต้องคุยด้วยทีละคนค่ะ”

 

            “ชั้นรู้ๆ ดวงจิตที่มากกว่าหนึ่งจะทำให้การชำระไม่สมบูรณ์สินะไมร่า งั้นชั้นไปรอข้างนอกก่อนนะ?” ซินเธียชี้หางตาไปยังเซเลส

 

            “เธอก่อนนะซินเธีย” ไมร่าพูดอย่างยิ้มแย้ม

 

            “หา! ชะ...ชั้นเกี่ยวด้วยหรอไมร่า” ซินเธียชี้นิ้วใส่ตัวเอง ดูจะตกใจอยู่ไม่น้อย

 

            “แค่คุยด้วยหน่อยเท่านั้นล่ะจ้า ไม่ได้เกี่ยวกับการบำบัดอะไรหรอก” สีหน้าของซินเธียดูดีขึ้นทันทีเมื่อไมร่าพูดจบ

 

            “ซินเธียเธอเข้ามาได้เลย งั้นเซเลสก็เดินดูสวนไปก่อนละกัน ไม่นานหรอกค่ะ ... เซเลส ... เซเลสคะ”

 

            เซเลสสอดสายสายตาไปทั่วจนไม่ได้ฟังที่ไมร่าพูด จนเธอต้องเรียกเขาอยู่สองสมหน “อ๊ะ ครับๆ ผมจะรออยู่ละกันครับ”

 

            “ค่ะ ขอบคุณมาก ไม่นานหรอกค่ะ” และไมร่าก็ปิดประตูห้องลง

 

            เซเลสมิได้เดินไปที่สวนแต่อย่างใด เขาขยับเข้าไปใกล้ห้องของไมร่า และเงี่ยหูฟังอย่างเงียบๆ

 

            เขาได้ยินเสียงเบาๆของไมร่าก่อน “ค่ะใช่แล้ว ท่านเมโรกำชับแล้วก็มอบหมายให้ชั้นเองเลยล่ะ”

 

            “อืม งั้นคงไม่เป็นไร ไมร่าก็ได้บอกท่านเทพโซลาริสแล้วใช่มั้ยว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนคนรักษา...”

 

            จู่ๆเสียงของทั้งคู่ก็เงียบไป มีเสียงก้าวเท้าเบาๆและประตูก็เปิดออกมา

 

            ไมร่าแง้มหน้าออกมา เธอพูดอย่างยิ้มแย้ม “แอบฟังคนอื่นมันไม่ดีหรอกนะคะ”

 

            เซเลสเบิกตากว้าง เขากำลังจะพูดขอโทษ แต่ไมร่าแตะนิ้วชี้ของเธอลงที่ริมฝีปากของเขาก่อนจะเอ่ยคำพูด

 

            “จุ๊ๆ ซินเธียเธอให้ความสำคัญกับพิธีการและระเบียบมากเลยนะคะ ถ้าเธอรู้ประเดี๋ยวจะกังวลเอา”

 

            “ไมร่า~ มีอะไรหรือเปล่า ข้างนอกนั่นน่ะ” เสียงซินเธียดูเป็นกังวลดังมาจากข้างใน

 

            “ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ” เธอพยักหน้านิดๆให้เซเลส เขาพยักหน้าตอบ ประตูห้องปิดลง และเขาก็เดินออกไปยังสวนนอกโบสถ์

 

            ‘เธอรู้ได้ไงเนี่ย ว่าเราแอบฟังอยู่’ เขาได้ข้อสงสัยเพิ่มขึ้นอีกแล้ว

 

            ในห้องพักของเธอ ซินเธียนั่งพิงพนักเก้าอี้ ตรงหน้ามีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆสำหรับวางของ เงาเว้าแหว่งของต้นไม้ใหญ่ทอดเข้ามาในห้อง ไมร่าปิดประตูและเดินมานั่งตรงข้ามกับเธอ

 

            “ต่อเลยนะ ชั้นทำพิธีบอกเทพโซลาริสแล้วล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ว่า ดูเธอจะเป็นห่วงเขา... เอ้อ เซเลสเป็นพิเศษเลยนะจ๊ะ”

 

            เธอถอนหายใจโล่งอกเบาๆ “ก็นะ ฮะๆ เธอมองอะไรๆออกเร็วจริงๆเลย ก็เขาน่ะเหมือน...”

 

            “ไซเลส พี่ของเธอใช่มั้ยล่ะ” ไมร่าโพล่งขึ้นมา ทำเอาซินเธียหน้าแดงนิดๆ

 

            “ธะ ... เธอรู้ได้ไงล่ะเนี่ย ว่าพี่ชั้นหน้าตาเหมือนกันมากกับเซเลสเลย”

 

            “อ่ะ อ่า...เอ้อ ก็เดาเอาจากที่เธอพูดน่ะ แถมชื่อยังคล้ายกันด้วย” ไมร่าพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย

 

            “นั่นไม่ใช่ชื่อเขาหรอก เขาจำอะไรไม่ได้แม้แต่ชื่อของตัวเอง เราก็เลยให้ชื่อกับเค้าไปก่อน”

 

            “อ๋อ เห็นว่าหน้าตาคล้ายกัน เธอก็เลยตั้งชื่อนั้นให้กับเขาหรือ?”

 

            “เปล่าหรอก แม่ชั้นต่างหาก ชั้นเพิ่งรู้จักเขาได้แป๊บเดียวเอง ยังไงเขาก็ไม่ใช่พี่ไซเลสอยู่แล้ว...” เธอพูดด้วยแววตาสั่นไหวคลอน้ำตา

 

            ไมร่าประกบมือเธอเอาไว้ “ชั้นรู้ๆ ไม่ต้องไปนึกถึงสงครามนั่นหรอกซินเธีย พี่ของเธอน่ะได้ทำอย่างเต็มที่เพื่ออาณาจักรของเราแล้ว ตอนนี้พี่เธอคงเฝ้าดูเธออยู่กับท่านโซลาริสแล้วล่ะ”

 

            “อื้ม นั่นสินะ...” ซินเธียยิ้มพร้อมปาดน้ำตา “เข้าเรื่องดีกว่า ก็อย่างว่า เขาน่ะ ดูเหมือนจะเสียความทรงจำเกี่ยวกับตัวเองไปหมดเลย”

 

            ไมร่าพยักหน้ารับ “แสดงว่าไม่ใช่เหตุธรรมดาแน่ๆ แต่แปลกดีนะ เขากลับฟื้นตัวได้เร็วมาก ทั้งๆที่ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่ร้ายแรงน่าดู”

 

            “แต่ถึงจะนัดท่านเมโรเอาไว้ว่าอีก 1 หรือ 2 อาทิตย์จะมาหาก็เถอะ ฟื้นได้เร็วกว่าที่คิดก็ยังมาไม่ทันท่านอยู่ดี”

 

            “ไม่ต้องห่วงหรอกซินเธีย ชั้นได้รับการฝึกสอนจากท่านเมโรมาเป็นอย่างดี ท่านเองก็มอบหมายให้ชั้นคนเดียวเท่านั้นเลยล่ะ ที่จะเป็นคนตรวจดูอาการของเซเลสน่ะ เธอก็รู้นี่นาว่าชั้นเองก็เรียนมาทางการรักษาอยู่ไม่น้อยนะ” ไมร่าพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ “ดังนั้นชั้นเองจะเป็นคนตรวจดูร่างกาย รักษาบาดแผลตกค้างภายใน ถ้ามีนะ แล้วก็จะพยายามตรวจสภาพจิตและความทรงจำของเขาด้วย”

 

            ซินเธียยิ้มกว้าง “จ้า จ้า เห็นเป็นเธอชั้นเองก็สบายใจแล้วล่ะ หวังว่าจะมีวิธีทำให้เค้าได้รับความทรงจำคืนมานะ”

 

            “ชั้นจะพยายามเต็มที่จ้ะ ไม่ต้องห่วง”

 

            ซินเธียลุกขึ้น เตรียมจะเดินออกนอกห้องไป “งั้นชั้นไปตามเซเลสละกันนะ”

 

            “จ้ะ... อ๊ะ เดี๋ยวสิ ซินเธีย”

 

            เธอหันกลับมาขณะกำลังเปิดประตู “มีอะไรหรอ?”

 

            “พ่อแม่เธออนุญาตให้เข้ารับการทดสอบเข้ากองกำลังป้องกันอาณาจักรหรือยังล่ะ” เมื่อสิ้นเสียงหน้าที่ยิ้มแย้มของซินเธียเปลี่ยนเป็นใบหน้านิ่งๆไร้ชีวิตชีวาในทันที

 

            “ยังเลยล่ะ พ่อแม่ชั้นกลัวว่าชั้นจะถูกฆ่าเหมือนพี่ชั้นน่ะสิ แต่ก็ไม่เป็นหรอกชั้นเข้าใจดี” เธอฝืนยิ้มแล้วก็เดินออกไป ไมร่ามองเธอด้วยสีหน้าเป็นกังวลจนประตูปิดลง

 

....................................................................................................................

 

            ร่มเงาไม้ใหญ่อันร่มรื่นแผ่ไปทั่วบริเวณ ลมอ่อนๆทำให้เงาเว้าๆแหว่งๆของต้นไม้ไหวไปเหมือนมีชีวิต ดอกไม้สีม่วง แดง และน้ำเงินหลายรูปลักษณ์พริ้วน้อยๆไปตามลม เซเลสเดินทอดน่องอยู่คนเดียวในสวนหลังโบสถ์อันสงบเงียบ แต่แล้วเสียงหวานๆก็หยุดความเงียบลงโดยพลัน

 

            “เซเลส~ เฮ้ เซเลส ตาเธอแล้วจ้า” ซินเธียยืนโบกไม้โบกมืออยู่ในโบสถ์

 

            “ไปเดี๋ยวนี้แหละๆ” โบกมือตอบ และเดินก้าวยาวๆไปหาเธอ

 

            “ชั้นจะรออยู่แถวนี้จนกว่าจะเสร็จธุระละกันนะ” พูดเสร็จเธอก็เอามือไขว้หลังแล้วเดินอ้อยอิ่งออกไปที่สวน

 

            เซเลสเดินมายังหน้าห้องของไมร่า เมื่อเขากำลังจะเคาะประตู ประตูก็เปิดขึ้น

 

            “เชิญจ้ะ” ไมร่าพาเขาเข้าไปในห้อง และเชิญให้นั่งเก้าอี้ตัวเดียวกันกับซินเธียเมื่อครู่

 

            เซเลสเพิ่งได้สังเกตไมร่าจริงๆเป็นครั้งแรก เธอสวมชุดนักบุญสีขาวสะอาดทั้งตัว มีแถบสีน้ำเงินแต้มเล็กน้อย ปลายกระโปรงยาวไปเกือบถึงข้อเท้า ด้านหน้ากระโปรงมีสัญลักษณ์เหมือนรูปกางเขนสีแดงขนาดใหญ่อยู่ เธอสวมบูทหนังสีน้ำตาลแก่ และสวมถุงมือสีน้ำเงินถึงครึ่งท่อนแขน ที่คอของเธอมีจี้ทรงรีสีขาวไข่มุกคล้องด้วยวัสดุรูปร่างเหมือนปีกนกสีน้ำเงิน ผมตรงยาวสีเขียวสว่างที่ดูพริ้วไหวอยู่เสมอของเธอยาวกว่าของซินเธียอยู่พอควร ใบหน้ากลมๆและนัยน์ตาสีเขียวใบไม้ของเธอทำให้เธอทั้งดูอ่อนโยนและลึกลับในเวลาเดียวกัน ตอนนี้นัยน์ตาสีเขียวเข้มนั้นก็จ้องอยู่กับเขาพอดี

 

            “อ๊ะ สวัสดีครับไมร่า” เขาสะดุ้งนิดหน่อยจากการโดนจ้องกลับ

 

            “หวัดดีจ้ะเซเลส เป็นไงบ้างตอนนี้ คุณเพิ่งจะฟื้นวันนี้ใช่มั้ยคะ?” เธอพูดอย่างยิ้มแย้ม

 

            “ครับ ไม่มีอะไรผิดปกติเลยล่ะครับ พอฟื้นขึ้นมาทั้งทางครอบครัว แล้วก็ซินเธียเองก็ดูแลผมเป็นอย่างดีเลย”

 

            “ดีแล้วล่ะค่ะที่ไม่เป็นอะไร แต่อย่างน้อยชั้นขอตรวจดูอาการภายในหน่อยละกันนะคะ เพื่อให้แน่ใจน่ะ” เธอยื่นมือออกมาทำท่าเหมือนเตรียมจับมือ “ช่วยเอามือข้างนึงวางบนมือชั้นหน่อยนะคะ”

 

            ได้ยินดังนั้นเซเลสก็วางมือขวาลงบนมือของไมร่า เธอค่อยๆหลับตาและนิ่งไปพักใหญ่ เซเลสยังงงๆกับคำว่า ‘ตรวจภายใน’ ที่เธอพูด แต่เขาเหมือนจะเห็นจี้รูปไข่สีมุกของเธอเรืองแสงสีขาวขึ้นมาแว้บหนึ่ง เมื่อจ้องดูดีๆอีกทีก็ดูจะปกติ แสงประหลาดเหมือนจะวาบขึ้นหลายครั้งระหว่างที่ไมร่าเงียบไป

 

            เธอลืมตาขึ้น และปล่อยมือของเซเลส “เรียบร้อยค่ะ ขอโทษที่ให้รอ เหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติเลย คุณฟื้นได้เร็วกว่าที่คิดไว้ตั้งสัปดาห์เศษแถมแข็งแรงดีเหมือนไม่เป็นอะไรอีกด้วย น่าอัศจรรย์จริงๆเลย”

 

            ‘อะไรกันเนี่ย ประหลาดจริง ตรวจภายในอะไรกัน’ เซเลสยังไม่เข้าใจ เขาเองเกือบจะถามเรื่องแสงเรืองของจี้ออกไป แต่ฉุกคิดได้ว่า เขาเองคงตาฝาดจากการที่อยู่กลางที่แจ้งเมื่อครู่ และเขาเองคงถูกหาว่าบ้าแน่ๆ ถ้าถามเรื่องพรรค์นี้ไป

 

            เขาเอามือทาบอก และพูดขึ้น “ครับ ก็ต้องขอบคุณชุด แอลซีทรีเอสนี่ รวมไปถึงการดูแลอย่างดีนั่นแหละครับ”

 

            “หา? ชุดอะไรนะคะ” เธอเอียงคอ น้ำเสียงแฝงอารมณ์สงสัย

 

            เขาดึงคอเสื้อนอกให้ยืดลงมา เพื่อให้เห็นชุดชีวภาพที่สวมอยู่ “ชุดนี้น่ะครับ มันคอยดูแลผม ปรับสภาพและรักษาอาการบาดเจ็บได้เป็นอย่างดีเลย”

 

            “เห~ แปลกดีจังเลยนะคะ” ไมร่าดูจะตื่นเต้นกับชุดของเขา

 

            “หรอครับ แปลกดีจังที่ไม่มีใครรู้จักชุดนี้ สงสัยผมคงหลงมาไกลพอดูแน่ๆเลย ฮะๆ” เขาพยายามให้มันดูตลก ดูเธอขำนิดหน่อยด้วย

 

            “ค่ะ จะยังไงก็ตาม อาการของทางร่างกายก็ปกติแบบเกินคาดเลย สงสัยชั้นคงไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะมั้งเนี่ย” เธอพูดอย่างร่าเริง “อ๊ะ ไม่สิ มีอีกอย่าง เห็นซินเธียบอกว่า คุณ... เสียความทรงจำ... หรือคะ?” เธอพยายามพูดให้เป็นธรรมชาติที่สุด

 

            “อืมครับ ช่วงก่อนที่จะมาโบสถ์นี่ผมเองก็พยายามนึกทุกๆอย่างตลอดเลย แต่เหมือนกันเรื่องที่เป็นตัวผม หรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลของตัวผม ไม่รู้มันหายไปไหนหมด” เขาบ่น

 

            “ความทรงจำคุณคงถูกกระทบกระเทือนตอนเกิดเหตุล่ะมั้งคะ ยังดีที่พ่อของซินเธียไปเจอคุณเข้า ไม่งั้นจะเป็นยังไงก็ไม่รู้”

 

            “เอ เดี๋ยวนะครับ ผมก็ไม่ได้ถามใครซักที ‘เหตุ’ ที่ว่าเนี่ย กับอีกคำ เอ่อ... อะไรเป็นกลางซักอย่างนี่แหละ มันคืออะไรหรือครับ ไมร่าพอจะอธิบายให้ผมเข้าใจหน่อยได้รึเปล่าครับ”

 

            “เขตเป็นกลางสินะคะ” เซเลสพยักหน้ารับและเธอก็เล่าต่อ “แสดงว่าคุณก็ลืมเรื่องอาณาจักรต่างๆไปด้วยแน่เลย คือว่า ดินแดนของเรา ราชอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ไพ มีขอบอาณาเขตด้านตะวันตกเลยออกไปจากหมู่บ้านนี้ไม่ไกลนัก นอกเขตของอาณาจักรเราแถวนั้นเป็นดินแดนที่อยู่ในความขัดแย้ง จึงไม่มีใครครอบครองมันค่ะ เราเลยเรียกว่าเขตเป็นกลาง ทีนี้เหตุการณ์ที่ว่าเกิดเมื่อราวๆอาทิตย์ที่ผ่านมาน่ะค่ะ รู้สึกว่าเป็นวันที่เกิดคราสหายากขึ้น เหมือนจะเกิดระเบิดตามด้วยแผ่นดินไหวซักที่ในเขตเป็นกลางนั่น แรงสะเทือนกับเสียงมาถึงหมู่บ้านค่อนข้างมากซะด้วย หลายคนในหมู่บ้านบอกว่าเห็นลำแสงสีดำกับกลุ่มเมฆประหลาดก่อนจะหายไปด้วยล่ะค่ะ ทางเรากลัวกว่าจะเป็นการโจมตีหรือสงครามของอาณาจักรอริ จึงจำเป็นต้องรู้และสอบสวนเหตุการณ์นี้อย่างละเอียด ท่านหัวหน้านักบุญเมโรก็เลยถูกเรียกตัวไปนั่นล่ะค่ะ” เซเลสนั่งฟังอย่างตั้งใจ ขณะที่เธอเล่าไปเรื่อยๆ

 

            “ทีนี้หลังจากการสั่นสะเทือนและระเบิดผ่านไปได้วันนึง หมู่บ้านเซริกของเราก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบบริเวณเกิดเหตุดู จากที่ฟังๆหน่วยป้องกันหมู่บ้านคุยกันเห็นว่าบริเวณรอบๆนั้นเสียหายอย่างหนัก พ่อของซินเธียเป็นหนึ่งในหน่วยสำรวจนั้น และเขาก็เป็นคนเจอคุณที่หมดสติอยู่น่ะค่ะ”

 

            “อืมม อย่างนี้นี่เอง ขอบคุณมากครับที่เล่าให้ฟัง แล้วผมไปทำอะไรแถวนั้นก่อนเกิดเหตุขึ้นกันนะ จะมีวิธีทำให้ผมได้ความทรงจำคืนมาหรือเปล่านะ” เซเลสถามอย่างใคร่รู้

 

            “ชั้นก็เดาไม่ออกหรอกค่ะ แต่ว่าเรื่องคืนความจำอาจจะพอมีทางอยู่บ้าง มันเป็นสิ่งที่ชั้นจะทำต่อจากนี้พอดีเลยล่ะ” แล้วเธอก็ลุกขึ้น เดินอ้อมมาด้านหลังเซเลส

 

            “อะ... อะไรหรือครับไมร่า” เซเลสหันไปถามเธอ

 

            “ขออนุญาตอีกครั้งนะคะเซเลส ทีนี้ขอให้คุณพยายามตั้งสมาธิและหลับตาด้วยค่ะ” แล้วเธอก็เอามือแตะด้านหลังศีรษะของเขา

 

            เซเลสหลับตา ระหว่างนั้นเขาพยายามทำสมาธิตามที่เธอบอก เขาไม่รู้สึกว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่ไมร่ากำลังขมวดคิ้ว เธอดูจะเครียดกับบางสิ่ง

 

            ‘เหลือเชื่อ นี่มันอะไรกัน รูปแบบความทรงจำของคนคนนี้เกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้ มีข้อมูลและความรู้แปลกประหลาดมากมายเหลือเกิน เขาไม่ใช่คนในยุคของเราแน่ หรือว่าอุบัติเหตุนั่นคือ!!! เขาคนนี้คือ!!!’ แล้วเธอก็เบิกตากว้าง เธอถอนมือออกและพูดขึ้นเรียบๆ “ความคิดคุณไม่เหมือนของใครที่ชั้นรู้เลยล่ะค่ะ มันแปลกมากๆเลย”

 

            “หระ ... เหรอครับ” เซเลสตอบพลางเอามือเกาหัว

 

            “ในกรณีที่ดูแปลกแบบนี้ ชั้นเองก็ไม่รู้จะแนะนำยังไงดี แต่วิธีบำบัดที่พวกเราใช้ไม่น่าจะช่วยได้ ชั้นว่าคุณจำเป็นต้องออกตามหาสถานที่ หรืออะไรบางอย่างที่จะสามารถกระตุ้นความทรงจำของคุณให้กลับมาได้ ชั้นคิดว่าแบบนั้นนะ” เธอแนะ

 

            “ครับ ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน” เซเลสหยุดไปพักนึง แล้วก็เอ่ยขึ้น “งั้นแสดงว่าผมต้องออกเดินทางไปเร็วๆนี้สินะ”

 

            ไมร่ามองเซเลสอยู่ครู่เล็กๆ “ค่ะ คงต้องเป็นอย่างนั้น แต่ก่อนคุณจะออกจากเมืองไป ชั้นมีอะไรอยากบอกเรื่องนึงค่ะ”

 

            “ครับ? ว่ามาได้เลย” เขาประสานมือไว้บนโต๊ะ พยักหน้าว่าเขาพร้อมจะรับฟังแล้ว

 

            “เรื่องของซินเธียน่ะค่ะ” เธอเว้นระยะ “คุณอาจจะพอรู้บ้างแล้วว่าเธอมีพี่ชายชื่อไซเลส...” และเธอก็หยุดราวกับรู้ว่าเซเลสต้องถามอย่างแน่นอน

 

            “ไซเลส? ครับผมได้ยินตอนทานข้าวเช้า ชื่อผมตอนนี้ก็แปลงมาจากชื่อนั้น แต่ผมเพิ่งรู้ว่าไซเลสเป็นชื่อพี่ชายของซินเธีย... แล้วตอนนี้เขาอยู่ไหนหรือครับ ไม่เห็นเขาอยู่ที่บ้านเลย” เขาถามออกไป ไมร่าเปลี่ยนท่าทีเป็นขรึมขึ้นทันที

 

            “เขา... ตายแล้วค่ะ” เซเลสดูจะตกใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอจึงพูดต่อไป “สองปีก่อน มีสงครามใหญ่ระหว่างราชอาณาจักรเกิดขึ้น พี่ชายของเธอเป็นทหารแนวหน้า เค้าเสียชีวิตในการรบ แต่การรบครั้งนั้น การเสียสละของกลุ่มของเค้าสามารถปกป้องราชอาณาจักรแห่งนี้ไว้ได้ค่ะ”

 

            “ละ...แล้วซินเธียตอนนั้นล่ะครับ?” เซเลสดูร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด

 

            “ตอนนั้นเธอยังฝึกฝนเพื่อเตรียมสอบเป็นทหารอยู่ค่ะ ข่าวการเสียชีวิตของพี่ชายทำให้ครอบครัวของเธอห้ามไม่ให้เธอเข้ารับการสอบโดยเด็ดขาด แต่เธอยืนกรานว่าอยากเป็นทหารเพื่อปกป้องอาณาจักรที่พี่ของเธอสละชีวิตให้กับมัน”

 

            “แล้วตอนนี้ล่ะครับ พ่อแม่ซินเธียว่ายังไงบ้าง”

 

            เธอหันออกไปมองแมกไม้นอกหน้าต่าง “ยังค่ะ ยังเหมือนเดิม ชั้นก็รู้ว่าครอบครัวหวังดี ไม่อยากให้ลูกสาวต้องไปเสี่ยงตายอีกคน แต่ว่าการแบบนี้ทำให้จิตใจของซินเธียเริ่มจะแย่ลงเรื่อยๆ”

 

            เขาเริ่มเข้าใจสิ่งที่ไมร่าต้องการ “ไมร่า คุณอยากให้ผมช่วยให้ซินเธียออกจากหมู่บ้านไปรับการสอบเป็นทหารใช่มั้ยครับ?”

 

            เธอหันกลับมา “ค่ะ ชั้นอยากให้เธอหลุดพ้นจากวังวนของความโศกเศร้าเสียที วันนี้เธอก็ร่าเริงกว่าที่แล้วมามากเลย ก็คงเพราะมีคนที่เหมือนพี่ชายอยู่ข้างกายล่ะมั้ง” แล้วไมร่าก็ยิ้มให้ไซเลส

 

            “ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ” คำพูดของเธอทำเขาหน้าแดงไปนิดหน่อย

 

            “ไม่หรอก คุณน่ะคล้ายไซเลสจริงๆนะ ดังนั้น ชั้นเลยฝากเรื่องนี้ไปทีนะคะ จะได้หรือไม่ก็เป็นลิขิตที่เรามิอาจรู้แล้วล่ะ”

 

            “ครับ ผมจะลองดู ออกนอกหมู่บ้านแล้วมีเพื่อนไปด้วยก็ดีกว่าออกไปคนเดียวอยู่แล้ว” เขาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ และลุกขึ้น “ขอบคุณสำหรับวันนี้มากเลยครับ คุณไมร่า” เขายิ้มให้เธอ และก็เดินไปเปิดประตู

 

            ไมร่าลุกขึ้นเช่นกัน และกล่าวขึ้นลอยๆก่อนประตูจะเปิดออก “จิตวิญญาณของผู้คนในราชอาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์นี้คือการปกป้องดินแดนแห่งเทพโซลาริสที่พวกเขาเคารพ ถ้าพ่อแม่ของซินเธียไม่อนุญาต บางทีคนในหมู่บ้านเซริกก็สามารถเกลี้ยกล่อมได้นะ”

 

            “ครับ ขอบคุณที่แนะนำ” ทั้งคู่โค้งให้กัน เซเลสเปิดประตูออกไป ไมร่าทิ้งท้ายอย่างยิ้มแย้มว่า “มีอะไรให้ช่วยมาหาได้เสมอค่ะ”

 

            เซเลสเดินไปหาซินเธียที่สวนดอกไม้ข้างนอก “นี่ๆ ซินเธีย หิวแล้วล่ะ ไปหาอะไรกินกันมั้ย” เขาพูดพร้อมๆกับบิดขี้เกียจ

 

            “เจริญอาหารจริงน้า ไม่กินอะไรมาหลายวันรึไง” เธอหัวเราะคิกคัก “เราไปกันเถอะ” แล้วเธอก็ออกวิ่ง โดยมีเซเลสวิ่งตามติดไป ไมร่ายืนมองทั้งคู่ไปจนลับสายตา แล้วจึงกลับเข้าโบสถ์ไป คืนนั้นเซเลสนอนครุ่นคิดสิ่งต่างๆที่รับรู้มาก่อนเขาจะหลับไป และแล้ว...

 

....................................................................................................................

 

            ช่วงสายของวันรุ่งขึ้น ไมร่าทำงานของเธอประจำวันอยู่ในโบสถ์ตามปกติ เสียงที่คุ้นเคยแว่วเข้าหูมา เธอจึงเดินไปหาต้นเสียง

 

            “สวัสดีครับไมร่า” ทั้งเซเลสและไมร่าโค้งให้กัน “ผมมีเรื่องขอให้คุณช่วยครับ” ทั้งคู่ยิ้มให้กัน และออกเดินไปยังห้องพักของเธอ

 

ติดตามต่อใน...

Chapter III: ตัวเชแชงก์

###ลิ้งค์รวมนิยายทุกตอนครับ จิ้มเลย

ข้อมูลตัวละคร

http://www.keedkean.com

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา