Epidemia: Epic World on Fire

7.9

เขียนโดย MiG360Vampire

วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20.33 น.

  25 ตอน
  31 วิจารณ์
  33.05K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) Operation Superweapons Hunt [Part 5]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ท่ามกลางทุ่งหิมะโล่งๆ อันมืดมิดในเวลาเที่ยงคืนตรง พายุหิมะโหมกระหน่ำ การลาดตระเวนของกองทัพฟรีแรนเซอร์ลดน้อยลง ในขณะเดียวกันผู้บุกรุกชาวโนเบิลก็ไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ลำแสงสีขาวสว่างก็ยังคงสาดขึ้นฟ้าอยู่อย่างต่อเนื่อง

 

ขบวนยานลำเลียงพลเข้าขบวนเป็นแถวเดี่ยว แล่นฝ่าพายุหิมะผ่านกลางทุ่งโล่งๆ ค่อนข้างเร็วมุ่งตรงไปยังฐานยิงลำแสงโบราณฐานหนึ่ง ประกบหน้าหลังเป็นยานหุ้มเกราะลอยตัวติดอาวุธเบา อันได้แก่ปืนเลเซอร์ต่อต้านทหารราบ และเครื่องยิงจรวดต่อต้านรถถังแบบกล้องหมุน 3 ลำกล้อง ส่วนตรงกลางเป็นยานแบบเดียวกันแต่ไม่ติดอาวุธ

 

การเดินทางดูเหมือนจะราบรื่นพอๆ กับพื้นที่พวกมันแล่นผ่าน แต่ทันใดนั้นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น อยู่ๆ ยานลำหน้าก็ค่อยๆ ชะลอลงก่อนหยุดในที่สุด ครู่หนึ่งพลขับเผ่าดวอร์ฟในชุดเสื้อคลุมหนาๆ สีขาวก็ก้าวลงจากห้องคนขับทางประตูข้างแล้วเดินวนรอบๆ พาหนะที่ตนประจำ จากนั้นก็เดินไปที่หลังยานลำเลียงพลไม่ติดอาวุธก่อนเปิดประตูห้องโดยสารทางด้านหลัง แล้วพูดอะไรสักอย่างหนึ่ง ก่อนจากไปโดยไม่ปิดประตู ซึ่งคนที่โดยสารมาต้องเอื้อมมือมาปิดเอง จากนั้นพลขับยานลำหน้าก็เดินไปยังยานลำหลัง แล้วเคาะประตูข้างพลขับ เมื่อประตูเปิดออกมา ปืนกลมือสวมปลอกเก็บเสียงในมือดวอร์ฟคนนั้นก็ยกขึ้นยิงกราดพลประจำด้านหน้าทั้งสองคนตายเรียบ เมื่อนั้นประตูห้องโดยสารด้านหลังก็เปิดออกมา ทหารราบที่โดยสารมาจำนวน 11 นายก็วิ่งพลูกันออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนจะถูกยิงร่วงเป็นใบไม้ด้วยอาวุธรัวกลเก็บเสียงจากทิศใดทิศหนึ่ง

 

ชูเน่และวาคานะลุกขึ้นยืนจากท่าหมอบรอบกับพื้นหิมะเดินไปที่หลังยานคันหน้า ทั้งคู่สวมชุดคลุมสีขาวแบบเดียวกับทหารแห่งกองทัพฟรีแรนเซอร์ ปืนในมือของทั้งคู่เป็นไรเฟิลจู่โจมแบบเดียวกับของกองทัพเออริคัสตันที่สวมปลอกเก็บเสียง

 

ประตูห้องโดยสารถูกเปิดออก ไรเฟิลจู่โจมทั้งสองกระบอกก็รัวใส่ทหารที่นั่งอยู่ข้างในแบบไม่ให้ตั้งตัว ในขณะเดียวกันพลขับดวอร์ฟก็เดินย้อนมาที่ห้องโดยสารของยานลำเลียงพลตรงกลาง เมื่อประตูเปิดออก จอมเวท 9 คนในชุดทหารก็นอนสลบกันหมด จากนั้นก็เดินไปที่ห้องพลขับ ประตูข้างถูกเปิดออกก็พบว่าพลประจำ 2 คนก็สลบไปเหมือนกัน จึงกระทืบเท้าลงพื้น 2 ครั้ง

 

จากนั้นพื้นหิมะรอบด้านก็ผุดขึ้น คนหลายคนสวมชุดพรางในเขตหิมะจำนวนนับรวมเท่ากับจำนวนคนที่มากับขบวนยานเกราะนี้พอดี เมื่อนับรวมพลขับยานลำหน้ากับชูเน่และวาคานะแล้ว 37 คนพอดี ในจำนวนนั้นมีหน่วยจีแอล 2 ชาย 1 หญิงที่เพิ่งมาใหม่ด้วย

 

“ป่าเถื่อนสิ้นดี”

 

อีรีน่าบ่นออกมาเบาๆ อย่างไม่ค่อยพอใจในวิธีการโดยพยายามใช้ภาษาของเจ้าบ้าน ทานาทรอสหัวเราะแล้วตอบกึ่งหัวเราะ ดวงตาสีแดงของฝ่ายชายเหลือบมองตาสีเหลืองทองเหลืองฝ่ายหญิงอย่างสัพยอก

 

“สายไปแล้วที่จะบ่น เพราะก่อนหน้านี้เธอได้ร่วมกับแผนซุ่มโจมตีซูเปอร์โซลเจอร์ของฉันที่สถานีควบคุมการสื่อสารนั่นแล้ว”

 

เมื่อจีแอลสาวเลือดร้อนมาคิดตาม ก็ต้องคล้อยตามเพราะมันเป็นความจริง เพราะในการใช้อาร์คเอนเจิลโคลกที่ออกแบบไว้เพื่อหนีมาใช้ซุ่มโจมตีก็เท่ากับว่าผิดจารีตของเผ่าพันธุ์ตนแล้ว

 

“ไม่ต้องกลัว อยู่กับพวกนี้เล่นสกปรกได้ตามอัธยาศัย คงไม่มีใครเขียนรายงานขึ้นไปถึงเบื้องบนหรอก และอย่าลืมว่าตอนนี้เราเป็นใคร”

 

วิกเตอร์เสริมพร้อมส่งยิ้มให้

 

“เร่งมือเข้า เหลือเวลาอีก 15 นาทีก่อนที่หน่วยลาดตระเวนจะผ่านมา”

 

หนึ่งในนั้นร้องสั่งความ ก่อนเดินเข้าไปหาชูเน่และวาคานะเพื่อคุยอะไรบางอย่าง

 

กลุ่มกบฏดราก้อนไนท์บางคนช่วยกันลากศพและร่างของผู้ยังมีชีวิต (ที่อยู่ในอาการสลบ) ออกมาจากยานลำเลียงมาวางเรียงๆ กัน ก่อนที่เอลฟ์คนหนึ่งจะเดินไล่เรียงใช้ปืนพกสวมปลอกเก็บเสียงยิงเข้าทีศีรษะของแต่ละร่างอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งใช้พลั่วช่วยกันขุดหลุมเพื่อใช้ฝังศพอย่างลวกๆ หลายหลุม

 

ในสายตาของโนเบิลแล้วนี่เป็นการกระทำอย่างป่าเถื่อนที่สุด แต่ถ้าเป็นเรื่องของสถานการณ์แล้ว นี่คือวิธีที่ถูกต้องที่สุด หน่วยยุทธวิธีพิเศษทั้งสามยืนมองดูด้วยความรู้สึกต่างๆ ทานาทรอสมองด้วยความรู้สึกที่นิ่งเฉย วิกเตอร์มองอย่างคนศึกษาในยุทธวิธี ส่วนอีรีน่านั้นเธอแทบจะร้องออกมาดังๆ ว่า ‘พวกป่าเถื่อน’ แต่ก็ต้องยอมรับเหตุผลว่า คนพวกนี้ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ของตน และตนกำลังทำงานแบบกองโจร ซึ่งทานาทรอสก็เสริมมาอีกว่า

 

“เพื่อทำลายศัตรูโดยไม่เสียกำลังพลฝ่ายตนและให้แน่ใจว่าศัตรูจะไม่ลุกขึ้นมาฆ่าเรา นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด”

 

อีรีน่าถอนหายใจอย่างอึดอัด มองไปทางซ้ายก็เห็นวิกเตอร์ยืนมองอยู่นิ่งๆ ไม่ได้แสดงอาการอะไรแต่อย่างใด มองไปทางขวาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรู ก้มลงมองดูในมือของตัวเองก็เป็นอาวุธที่ไม่คุ้นมือและมีความเรียบง่ายกว่าปืนที่อยู่ในคลังแสงส่วนตัวของชุดรบมากนัก และอีกสิ่งที่ยังใหม่ต่อกองทัพโนเบิลมากๆ คือ ปลอกลดเสียง ซึ่งเรียบง่ายกว่าตัวอาวุธด้วยซ้ำ เป็นเพียงแค่กระบอกโพลิเมอร์ที่บุนวมเอาไว้แล้วด้านในเป็นโลหะที่ต่อกับลำกล้องพอดี ปืนพกเก็บเสียงที่ไม่ได้ยิงออกไปเป็นลำแสง ซึ่งกองทัพโนเบิลเลิกใช้มันไปนานแล้วจนกระทั่งเกิดไรเฟิลซุ่มยิงของไนท์บารอนขึ้น ซึ่งยิงออกไปเป็นหัวกระสุนที่เป็นวัสดุชนิดหนึ่ง

 

เวลาผ่านไป 12 นาทีการกระทำทุกอย่างก็เสร็จสิ้นลง ซึ่งรวมไปถึงการเคารพศพอย่างรวบรัดด้วย ...นี่คงจะเป็นข้อดีข้อเดียวของพวกสวะละมั้ง... อีรีน่าคิด ก่อนจะเดินไปขึ้นยานลำกลางพลางถอดเสื้อคลุมสีขาวออก เผยให้เห็นชุดทหารจอมเวทหญิง หมวกขนสัตฺว์ถอดออกมาก็เป็นหมวกแบเรต์ ผมสีเงินแซมทองถูกย้อมให้เป็นสีทองล้วนๆ เพื่อปกปิดจุดเด่นจุดหนึ่งของเผ่าพันธุ์ตน

 

“จำไว้นะ ทานาทรอส วิกเตอร์ อีรีน่า พลังเวทของพวกคุณมีจำกัด เพราะฉะนั้นอย่าใช้พร่ำเพรื่อ ไม่อย่างนั้นพลังเวทหมดพวกทหารจะจับได้ทันทีว่าพวกคุณไม่ใช่ชาวเอไพด์เมียร์”

 

วาคานะนั่งอยู่ทางขวามือของชูเน่ ซึ่งนั่งอยู่ที่ที่นั่งเดียวด้านในสุด พูดย้ำเตือนคร่าวๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ พลางกวาดสายตามองไปยังสมาชิกใหม่ของดราก้อนไนท์ทั้งสาม ซึ่งจอมเวทปลอมชาวโนเบิลทั้งสามพยักหน้าเนิบๆ อย่างเข้าใจ

 

“ไปถึงแล้วไม่ต้องทำอะไรมาก ปล่อยหน้าที่เจรจาเป็นของฉันเอง แต่ถ้าพวกมันถามหรือชวนคุยก็ทำเนียนไปแล้วกัน”

 

ชูเน่เสริมอย่างเป็นการเป็นงาน พลางมองกวาดไปยังผู้ร่วมงานทุกคนแล้วมาหยุดอยู่ที่สมาชิกใหม่ทั้งสามอย่างคาดหวังอะไรบางอย่าง พลางคิดอย่างใคร่ครวญ ...ไม่เคยมีอะไรรอดจากปืนนรกนั่นไปได้ แม้แต่พวกเราเอง ต่อให้เป็นรุ่น 762 มิลลิเมตรก็เถอะ แต่พวกนี้รอดมาได้ แปลว่าต้องไม่ธรรมดาทีเดียว โดยเฉพาะวิกเตอร์ ไอ่นี่มีอะไรแปลกๆ น่าสนใจ ภารกิจคราวนี้คงมีอะไรให้พวกเราทึ่งได้มากทีเดียว...

 

เซอร์คอเช่พรวดลุกขึ้นนั่งบนเตียงหอบหายใจหนักหน่วงมีเหงื่อผุดซึมตามใบหน้า เขาอยู่บนเตียงชั้นบนของเตียงสองชั้น ในห้องที่ปิดไฟเกือบมืดสนิท มีแสงไฟลอดมาจากช่องประตูพอเห็นอะไรได้ลางๆ ข้างล่างเป็นโพลี่ที่กำลังนอนละเมอเอ่ยอะไรออกมาเบาๆ เป็นภาษาของชาวโนเบิลเสียงสำเนียงชี้ชัดว่าเป็นด้านมืดแน่นอน ซึ่งฟังดูเหมือนกำลังทะเลาะกับใครอยู่ แต่นักรบออร์คมาดครูก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เขาลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู ก่อนจะเอื้อมมือไปปล่อยพลังเวทเบาๆ ให้ประตูเลื่อนเปิดแล้วเดินออกไปอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางซึมๆ

 

“คิดอะไรวะเนี่ย ฟุ้งซ่านไปใหญ่แล้วเรา เรกเกอร์ก็ตายไปตั้งหลายปีแล้ว จะมาโผล่หน้าให้เราเห็นได้ไง”

 

เขาพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนแอ่นหลังจนกระดูกลั่นขับไล่ความงัวเงีย แล้วเดินไปตามทางเดินอย่างกระฉับกระเฉง สวนทางไปมากับทหารยามเผ่าพันธุ์ต่างๆ ซึ่งเมื่อเห็นก็ทำความเคารพเขาทันที ซึ่งเขาก็ทำความเคารพตอบ เมื่อเดินไปได้สักพักก็แหงนหน้ามองป้ายตรงหน้าเป็นภาษาโปรตุเกสว่า ‘ขึ้นสู่ปราการชั้นใน’

 

เซอร์คอเช่ปล่อยพลังเวทขึ้นไปตามร่องทางลาดก่อนที่มันจะแยกออกไปตามร่องอีกทีหนึ่งแล้ววาดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แล้วจากนั้นจากทางลาดก็กลายเป็นขั้นบันไดส่วนที่เป็นเพดานก็เลื่อนเปิดออก ลมจากพายุหิมะจากภายนอกพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของเขาจนแสบและต้องกลั้นหายใจ จนต้องยกมือขึ้นป้องหน้าส่วนอีกมือหนึ่งก็หยิบเอาเสื้อคลุมขนสัตฺว์กันหนาวออกมาจากคลังแสงแล้วรีบสวมอย่างรวดเร็ว ซูเปอร์โซลเจอร์มาดนักวิชาการเป่าลมพลูออกจากปากพร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วง หมวกคลุมศีรษะยกขึ้นมาคลุมแล้วผูกเชือกให้แน่นก่อนเดินขึ้นบันไดไป

 

พลทหารดาร์คเอลฟ์สองนายที่ยืนเฝ้าอยู่เมื่อเห็นโปรเฟสเซอร์เดินขึ้นมาก็ทำความเคารพในทันที

 

“ตามสบาย ทหาร”

 

เซอร์คอเช่พูดตอบเสียงสั่นเล็กน้อย ก่อนเดินไปที่กำแพงเหล็กที่สูงขึ้นมาประมาณ 1.2 เมตร มีทหารเข้าเวรอยู่ไม่กี่คน เบื้องหลังของเขาเป็นแท่งดินสอยักษ์ที่กำลังปล่อยลำแสงสีขาวสว่างขึ้นสู่อวกาศอยู่ส่งเสียงแหบแหลมแข่งกับเสียงครางของพายุหิมะน่ารำคาญโสตประสาท

 

มีแสงไฟจากยานพาหนะอะไรสักอย่างหนึ่งกระพริบเป็นสัญญาณรหัสมอร์ส พุ่งสาดมาจากด้านที่เซอร์คอเช่หันหน้าไปพอดี ซึ่งก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักเพราะรู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร จากนั้นไม่นานนักพลทหารโทรลคนหนึ่งก็ยกไฟฉายขึ้นกระพริบตอบกลับ ก่อนที่แสงไฟจากพาหนะลำเดิมจะฉายตอบกลับมาครู่หนึ่งแล้วดับลง จากนั้นพลทหารโทรลที่ถือไฟฉายก็กระพริบตอบกลับไปไม่กี่ครั้งก่อนจะไม่มีการตอบโต้กันอีก

 

เสียงเครื่องยนต์กังหันก๊าซจำแนกได้ว่ามีทั้งหมด 6 เครื่อง กำลังใกล้เข้ามา... ใกล้เข้ามา จนกระทั่งมองเห็นเป็นยานลำเลียงพลลอยตัว 3 ลำเรียงแถวกันมา ก่อนจะแปรขบวนเป็นหน้ากระดานแล่นเข้ามาหยุดอยู่เกือบชิดกำแพงป้อม ซึ่งมองจากภายนอกแล้วมีความสูงไม่ถึง 1 ฟุต

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงมอนสเตอร์แคนนอนลั่นรัวดังกระหึ่มลอยแว่วมาจากที่ใดที่หนึ่งสะท้อนไปรอบด้านจนจับทิศไม่ได้ มีเสียงคุยซุบซิบกันก่อนจะตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างขันๆ มันมีความเป็นไปได้ 2 อย่าง คือ ถ้าไม่เป็นการระเบิดเสียงเพื่อข่มขวัญก็ต้องมีหน่วยลาดตระเวนตรวจพบกองกำลังกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งของผู้บุกรุกที่หลบซ่อนอยู่ได้อย่างแน่นอน และภายในไม่กี่นาทีก็มีคำตอบ คือ เสียงระเบิดที่ดังขนาดฟ้าผ่ายังอายดังระงมลอยสะท้อนกันไปมาพร้อมกับแรงสะเทือนราวแผ่นดินไหวเบาๆ ที่สามารถรับรู้ได้ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็มีมิสไซล์นัดหนึ่งถูกยิงขึ้นฟ้าไปส่งเปลวเผาไหม้ยาวเป็นทางสามารถมองเห็นได้ชัดแม้จะอยู่หลังฉากพายุหิมะก็ตาม แล้วอยู่ๆ มันก็หายไป อีกไม่กี่วินาทีต่อมาก็เกิดการระเบิดขึ้นบนท้องฟ้า เป็นการระเบิดของระเบิดไม่น้อยกว่า 300 ลูก มีเสียงแว่วมาให้ได้ยินแม้จะไม่ดังนักแต่ก็นับว่ามันสะใจทีเดียวสำหรับเจ้าบ้าน

 

สิ่งเหล่านั้นดึงความสนใจไปจากเหล่าทหารยามจนหมดรวมถึงทหารที่มาโดยยานลำเลียงพลบางส่วนด้วย เมื่อเซอร์คอเช่หันหน้ากลับมาจากการดูดอกไม้ไฟเหล่านั้นแล้วเขาก็ทำหน้าตกใจเหมือนเห็นผี เมื่อได้สบตากับชูเน่แวบหนึ่ง ในขณะเดียวกันมนุษย์สองบุคลิกก็เดินขึ้นมารับอากาศหนาวจับใจเป็นเพื่อนออร์คของเขา เมื่อเหลือบไปเห็นพวกชูเน่ก็จ้องตาไม่วางเหมือนจะเอาเชิงอะไรกันจนกระทั่งผ่านไป จากนั้นก็หันไปมองหน้าเพื่อนของเขาที่ยืนแข็งเป็นรูปปั้นอยู่ แต่ปากยังเผยอค้างอยู่เล็กน้อยเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็พูดไม่ออก

 

“เป็นรูปปั้นมีชีวิตรึไง เซอร์คอเช่ หรือว่าเป็นไอติมไปแล้ว”

 

ดาร์คโพลี่ถามขึ้นอย่างหยอกๆ มองหน้าเพื่อนของเขา แต่ก็ไม่มีกริยาอะไรตอบสนองเลย

 

“เฮ้ย”

 

ด้านมืดของมนุษย์สองบุคลิกเรียกร้องความสนใจพลางเอามือปัดขึ้นลงใกล้ๆ ใบหน้าเข้มๆ จนกระทั่งได้เสียงตอบอย่างเบามากแทบจะเป็นเสียงกระซิบว่า

 

“เรกเกอร์”

 

“หา อะไรนะ”

 

ดาร์คโพลี่ถามพร้อมเงี่ยหูเข้าใกล้กึ่งเขย่ง

 

“ใบหน้านั่น ดวงตานั่น จมูก ปาก แก้ม สีผม ทุกอย่างเลย... เรกเกอร์”

 

เสียงสั่นๆ ของเซอร์คอเช่ดังขึ้นอีกเล็กน้อยพอได้ยินเป็นภาษา เมื่อได้ยินดังนั้นดาร์คโพลี่ก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างขบขัน แล้วสวนทั้งหัวเราะกลับไปว่า

 

“เฮ้ย อย่ามาตลก แกอำฉันเล่นใช่ไหม น้องชายแกตายไปตั้ง 5 ปีแล้วไม่ใช่รึไง อาจจะบังเอิญหน้าเหมือนก็ได้มั้ง”

 

“ไม่ นั่นแหละ เรกเกอร์ ฉันจำเขาได้ทุกอย่าง”

 

แต่น้ำเสียงของเพื่อนที่ตอบกลับมาไม่มีแววหรืออะไรจะส่อว่าเป็นการล้อเล่นแม้แต่นิดเดียว ทำเอามนุษย์สองบุคลิกต้องเปลี่ยนท่าทีตามไปด้วย

 

ดาร์คโพลี่หมดท่าทีสนุกสนาน ยืนกอดอกครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด ...เฮ้ย หรือว่าจะจริง อะไรวะ นี่มันจะเอาจริงๆ เหรอ... เขาออกจากภวังค์สบถออกมาดังๆ ก่อนเอื้อมมือตบหน้าของเพื่อนออร์คของเขาที่กำลังสติหลุดลอยเรียกสติให้กลับคืนมาเสียงดังฟังชัด เรียกความสนใจจากทหารที่ประจำอยู่รอบๆ หันมามองเป็นตาเดียว เขาไม่มีเวลาอธิบายรีบรุดกลับไปยังประตูกลที่ใช้เวทมนตร์เปิดปิดทันที ก่อนจะปล่อยกระแสเวทเล็กน้อยเพื่อเปิดมัน

 

เมื่อประตูกลเปิดออก ก้าวลงบันไดไปอย่างรีบเร่ง ภาพที่เห็นคือ เหล่าทหารที่ประจำอยู่ต่างนอนสลบกันหมด เสียงเซอร์คอเช่ร้องสั่งการทหารที่ประจำอยู่ข้างนอกดังลอดเข้ามา ก่อนจะตามด้วยเสียงฝีเท้าทั้งหนักและเบา ซูเปอร์โซลเจอร์มาดครูสติกลับมาพร้อมอีกครั้ง ก้าวลงบันไดมาพร้อมกับทหารยามที่ด้านบนบางส่วน

 

“จอมเวทกับทหารที่มาเสริมพวกนั้น ตามพวกแมร่งไปเร็ว ไป ไป”

 

ดาร์คโพลี่ร้องสั่งด้วยความเดือดดาล จนเพื่อนของเขาต้องพลอยแปลกใจไปด้วย

 

ภายในลิฟท์ที่กำลังเลื่อนลงไปยังชั้นล่างสุด กลุ่มกบฏในเครื่องแบบจอมเวท 9 คนและทหารราบอีก 6 นายยืนเบียดกันอยู่ หนึ่งในนั้นมีความรู้สึกที่ค่อนข้างอึดอัด แต่ก็พยายามจะสลัดความรู้สึกนั้นให้หลุดออกไป อีรีน่ามีท่าทางเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ชุดที่เธอสวมก็เป็นเครื่องแบบจอมเวท อาวุธเดียวในมือที่พอจะเชื่อถือได้ (สำหรับผู้ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเวทมนตร์) ก็แค่ปืนพกกระบอกเดียว ไม่มีใครเอ่ยปากให้กำลังใจ หรือแม้แต่จะเตือนเธอแม้แต่คนเดียว ซึ่งเวลานี้เธอก็สำนึกได้ว่าไม่ควรจะมาเตือนกันแล้ว ลมหายใจจากปกติธรรมดากลายมาเป็นช้าๆ ลึกๆ อย่างพยายามตั้งสติไม่เห็นเกร็ง และทำความเคยชินกับมันซะ

 

ประตูลิฟท์เปิดออก เหล่าทหารราบก็เดินออกไปก่อนพร้อมเล็งปืนไรเฟิลจู่โจมเก็บเสียงกราดไปทั่วห้อง เหมือนๆ กับกลุ่มที่ออกมาจากลิฟท์ฝั่งตรงข้าม ทั้งเจ้าหน้าที่และเหล่าจอมเวทที่ไม่ทันได้ระวังตัวต่างถูกยิงล้มตายระเนระนาดจนหมด

 

“ไปปิดลิฟท์ เร็ว”

 

วาคานะตะโกนบงการทันที พลางเดินตรงไปที่แผงคอนโซลทางขวา แต่วิกเตอร์นั่นไวกว่า เขาไปถึงก่อนแล้วเพียงแค่ทาบมือลงไปเท่านั้น ปากก็เอ่ยถามขึ้นรัวเร็วว่า

 

“ปิดลิฟท์เรียบร้อยแล้ว อะไรต่อ”

 

เป็นอย่างที่ออร์คหน้าโหดคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิด ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นต่างหันมามองที่สมาชิกใหม่นามออราเคิลเป็นตาเดียว เว้นแต่ทานาทรอสและอีรีน่า ซึ่งรู้มือกันดีอยู่แล้ว

 

“แค่นั้นน่ะเหรอ”

 

ชูเน่เอ่ยปากถามอย่างสงสัย

 

“เรื่องมันยาว จะฟังไหม”

 

อีรีน่าถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ลดความประหม่าลง

 

“เอาไว้ฟังทีหลัง กำหนดจุดยิงไปที่ฐานยิงลำแสงหมายเลข 3 หลังจากนั้นก็ยิงตรงมาที่นี่ กองทัพเราจะได้เปิดฉากบุกอย่างเต็มรูปแบบได้สักที”

 

วาคานะแทรกขึ้น แล้วออกคำสั่งไปยังวิกเตอร์ ซึ่งมือของเขาก็ไม่ได้ย้ายที่ไปไหน เวลาผ่านไปไม่ถึง 10 วินาทีด้วยซ้ำ เขาก็บอกว่าเสร็จแล้ว ก่อนที่หนึ่งในกองกำลังกบฏดราก้อนไนท์จะร้องขึ้นมาอย่างตกตะลึง

 

“สุดยอด แมร่งโคตรเร็วเลย เวทมนตร์บทไหนวะเนี่ย”

 

“ก็พลังเวทที่พวกคุณถ่ายทอดให้นั่นแหละ ผมแค่เอามาทำงานร่วมกับหุ่นยนต์นาโนในแขนของผมเท่านั้นเอง...”

 

ว่าแล้วเจ้าของผลงานก็อวดตัวทันทีพลางหัวเราะเบาๆ แต่ก่อนที่จะพูดอะไรต่อ หัวหน้างานก็ขัดขึ้นอย่างเป็นงานเป็นการ

 

“เออๆ ฉันรู้ว่านายเจ๋ง ทำงานต่อดีกว่า ตอนนี้ซูเปอร์โซลเจอร์ 2 หน่อนั่นคงกำลังพาทหารลงบันไดมานี่แล้ว ลูน่า ทราวิส ไปยันประตูบันได ขอเซียนจอมเวท 8 คนมากับฉัน นอกนั้นร่ายประตูมิติเตรียมเผ่น”

 

สั่งจบ ชูเน่ก็เดินลงบันไดมา ตรงเข้าไปที่ผลึกรูปปีรามิดโดยมีจอมเวทอาสาอีก 8 คนยืนถัดๆ กันออกไปล้อมเป็นวงกลม จากนั้นทั้ง 9 คนก็เริ่มร่ายเวทต่างๆ นานาปล่อยเข้าไปในปีรามิด ซึ่งใช้เวลาไม่นานกระแสพลังเวทก็ถูกส่งขึ้นไปยังตัวรับ ก่อนจะถ่ายขึ้นไปอีกทอดไปยังปืนเลเซอร์ยักษ์ ครู่หนึ่งมันจึงส่งเสียงแหบแหลมชวนขนลุก แสดงว่าปืนลำแสงเวทมนตร์ได้ปล่อยลำแสงออกไปแล้ว จากนั้นภายในเวลาไม่นาน ก็มีเสียงติดต่อเข้ามาอย่างร้อนรนพร้อมกับเสียงแห่งความโกลาหลแทรกเข้ามา ทั้งเสียงระเบิด เสียงโครงสร้างอาคารพังทลาย

 

“เฮ้ย นี่พวกคุณทำห่าอะไรของพวกคุณวะ ไอ่พวกหอกนั่นมันอยู่บนโน้น นี่มันฐานยิงแมจิคเดธเรย์หมายเลข 3 โว้ย พวกแก...”

 

ยังไม่ทันได้พูดจบประโยคดี ชูเน่ก็เริ่มหัวเราะปล่อยก๊ากออกมาเสียงดัง ก่อนที่คนอื่นๆ รวมทั้งวาคานะหัวเราะร่าตาม ยกเว้นวิกเตอร์กับอีรีน่า เสียงที่ติดต่อเข้ามาเงียบหายไป เสียงหัวเราะก็เงียบตามไปด้วย จากปากที่อ้าหัวเราะกลายเป็นปากที่ท่องมนต์แทน พวกที่ชาร์จพลังให้อาวุธเลเซอร์เวทมนตร์ก็พึมพำงึมงำกันไป ส่วนพวกที่ร่ายเวทมนตร์ประตูมิติก็ท่องกันไปอีกกลุ่มหนึ่ง ด้านวิกเตอร์นั่นดูจะไม่ได้สนใจเสียงหัวเราะด้วยซ้ำ ใบหน้าของเขายิ้มละไมอย่างมีความสุข มือยังคงวางทาบไว้ที่เดิมจนกลายเป็นการเท้า ส่วนทานาทรอสก็ง่วนอยู่กับแป้นคอนโซลเวทมนตร์เพื่อทำอะไรสักอย่างหนึ่ง อีรีน่าได้แต่นั่งดูการปฏิบัติงานไปเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน หรือไม่ก็เด็กฝึกงาน

 

ในเวลาไม่นานนักก็เกิดมีเสียงดังปึงปัง เซอร์คอเช่และโพลี่กำลังพยายามพังประตูเข้ามา ทีแรกก็เป็นเสียงการโจมตีทางกายภาพก่อน แต่ต่อมามันเป็นการยิงถล่มด้วยเวทมนตร์ ไม่มีใครมีปฏิกิริยาอะไรมากนักนอกจากหันไปสนใจเล็กน้อยแล้วกลับมาทำงานของตนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“ตัวบ้าอะไรอยู่หลังประตูนี่วะ”

 

เซอร์คอเช่ร้องออกมาขณะหอบไปด้วยอย่างหัวเสีย หลังจากที่เขาได้ทุ่มสุดตัวอัดพลังเวทเข้าพยายามพังประตู แต่ก็ทำได้เพียงรอยขีดข่วนเท่านั้น ซึ่งไม่ต่างจากด้านมนุษย์สองบุคลิกเท่าใดนัก บัดนี้ด้านมืดของเขาดันหายไปเฉยๆ กลับกลายเป็นด้านสว่างที่กำลังอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดใกล้ระเบิดหลังจากการถล่มทั้งลูกปืนทั้งเวทมนตร์ใส่ประตูบานเดียว ซึ่งทำได้เพียงรอยขีดข่วน

 

“ทางด้านแกเป็นไงบ้าง โพลี่”

 

เซอร์คอเช่ยิงคำถามไปหาเพื่อนสองบุคลิกของเขาผ่านทางอุปกรณ์สื่อสารที่เหน็บไว้ที่ใบหู โพลี่ไม่ตอบในทันทีแต่ก็ให้เพื่อนออร์คฟังเสียงหอบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบสั้นๆ ห้วนๆ ว่า

 

“เดาสิ”

 

“ลองมาวิเคราะห์กำลังฝ่ายศัตรูกัน หลังประตูนี่ต้องเป็นจอมเวทระดับสูงอย่างแน่นอน พวกที่มายันประตูเราอยู่นี่ถ้าจะให้ทาย ฉันว่าไม่ต่ำกว่าเอสบีแน่นอน”

 

“นั่นมันค่าพลังโดยเฉลี่ยของพวกมังกรเลยนะ”

 

นักรบมาดนักวิชาการตาเหลือกแล้วตอบกลับไปอย่างหัวเสียกว่าเก่าว่า

 

“เฮ้ย บ้ารึเปล่า มังกรสูญพันธุ์ไปเป็นพันปีแล้วไม่ใช่เหรอ”

 

คำตอบนั้นทำเอาโพลี่ชะงักไปเล็กน้อยแล้วตอบไม่เต็มเสียงนัก

 

“มันก็จริง...”

 

โพลี่ด้านสว่างหยุดไปนิดหนึ่ง ก่อนพูดต่ออย่างเต็มเสียง

 

“แต่ยังไงก็ตาม ถ้าพวกมันมีพลังเวทขนาดนั้น มันก็ต้องร่ายเวทเปิดประตูมิติได้ แล้วยิ่งมันมีหลายคนการเปิดจากที่นี่ไปโผล่ข้างบนก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ฉันว่าเป้าหมายต่อไปของมันคงไม่พ้นที่นี่”

 

“แกกำลังจะบอกว่า มันจะยิงที่นี่แล้วเผ่นไปทางประตูมิติใช่ไหม”

 

พูดจบอดีตครูสอนวรรณกรรมก็สบถออกมา แล้วสั่งการทันที

 

“โปรเฟสเซอร์ถึงทุกหน่วย สละฐาน ย้ำ สละฐาน”

 

สิ้นเสียงทหารทุกนายก็รีบวิ่งขึ้นบันไดกลับไปอย่างสุดชีวิต ส่วนพวกที่มีข้อจำกัดด้านเผ่าพันธุ์ เซอร์คอเช่ก็ใช้ร่างอันใหญ่โตจับแบกขึ้นหลังเพื่อความรวดเร็ว ในขณะที่ออร์คและโทรลคนอื่นก็ทำแบบเดียวกัน พ้นบันไดไปก็เป็นทางเดินที่มีแต่ทหารที่ต่างสลบกัน ซึ่งขามาเป็นอย่างไร ขากลับก็เป็นเช่นนั้น ทุกร่างยังอยู่ในท่าเดิม

 

แม้มันจะรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องทิ้งเพื่อนทหารเอาไว้รอความตาย ก็ถ้าพวกเขาช่วยกันปลุกพวกเขาก็อาจตายไปด้วย และไม่รู้ว่าปลุกแล้วจะฟื้นรึเปล่า จึงต้องวิ่งกันอย่างสุดชีวิตสู่ทางออก

 

เมื่อไปถึงทางออกก็พบว่าทหารที่ทิ้งไว้ที่ปราการชั้นในถูกอาวุธเลเซอร์ยิงตายเรียบ ส่วนยานลำเลียงพลทั้งสามลำบัดนี้ได้อันตรธานไปเสียแล้ว

 

“พวกกบฏเวรตะไล”

 

หนึ่งในทหารโทรลคำรามอย่างโกรธแค้น ก่อนจะถูกฉุดพาวิ่งโดยเซอร์คอเช่ ทหารฟรีแรนเซอร์ร่วม 10 นายรวมเซอร์คอเช่ด้วย และซูเปอร์โซลเจอร์โอเคอร์โนอีก 1 พากันวิ่งออกมาจากที่ซึ่งเคยเป็นฐานที่มั่นอย่างสุดชีวิตฝ่าพายุหิมะที่พัดกระหน่ำ จนกระทั่งมีเสียงแหบแหลมแทรกขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนจะตามด้วยเสียงระเบิดตูมตามดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะตามด้วยเสียงของโครงสร้างขนาดใหญ่หักโครมลงกับพื้นหิมะ ส่งแรงสั่นสะเทือนออกมาให้ได้รู้สึกเจ็บแค้นกันทั่วหน้า

 

ณ กระท่อมลับภายในเขตวงเวทที่ชูเน่กางไว้ ประตูมิติเปิดออกเป็นวงน้ำกระเพื่อม หน่วยจีแอล 2 คู่ก้าวออกมาด้วยท่าทางที่สดใสตามแบบของแต่ละคน

 

“แล้วชูเน่ไปไหน”

 

ไนท์บารอนเป็นผู้ถามขึ้น ในขณะที่วิกเตอร์และอีรีน่าเปิดประตูเดินเข้าไปในกระท่อม

 

“กลับไปรายงานผล”

 

วาคานะตอบเรียบๆ อย่างไร้อารมณ์ แล้วเดินตามอีกสองคนเข้าไปในที่พัก ทานาทรอสกำลังจะอ้าปากถามอะไรอีกก็ต้องชะงักลง เขาพยายามอ่านความรู้สึก แต่พยายามเท่าไรก็อ่านไม่ออก ไม่รู้ว่าการแสดงอารมณ์มีขึ้นมีลงหรือการนิ่งเฉยสยบทุกอย่างอะไรเป็นการเสแสร้งหรืออะไรเป็นตัวตนจริงกันแน่ แต่สิ่งที่เขารู้อย่างเดียว คือ ผู้หญิงคนนี้สามารถอยู่ร่วมกับทุกสังคมใหญ่ๆ ได้

 

เสียงทุบโต๊ะดังปึ้งเด่นขึ้นในห้องทำงานห้องหนึ่ง กำปั้นที่บีบแน่นของนายทหารเอลฟ์ยศพลเอกสัญชาติฟรีแรนเซอร์บางอยู่บนโต๊ะ นายทหารมนุษย์ครึ่งจิ้งจอกยศพันเอกที่ยืนอย่างข้างหลังก็ทำท่าสะดุ้งไปด้วย ดวงตาสีฟ้าครามส่อแววโกรธเกรี้ยวของพลเอกกวาดมองไปยังนายทหารยศนายพลยศพลโท 5 คนที่ยืนตรงหน้ากระดานอยู่ตรงหน้าของเขา เริ่มจากคนขวาสุดเป็นก็อบลินที่ต้นแขนติดสัญลักษณ์รูปรถถัง ถัดมาเป็นนายพลหญิงฮ็อบบิทสังกัดซูเปอร์โซลเจอร์ ถัดมาเป็นมนุษย์ติดตราสัญลักษณ์รูปไรเฟิลจู่โจมไขว้กัน ถัดมาเป็นนายพลหญิงครึ่งดาร์คเอลฟ์ครึ่งแมวตราสัญลักษณ์เป็นรูปเครื่องบินรบปีกลู่หน้า ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ประจำการอยู่ในตอนนี้ และซ้ายสุด เป็นลูกครึ่งมนุษย์กับเอลฟ์ผิวดำตราสัญลักษณ์เป็นรูปสมอเรือ

 

“ไหน... ใครบอกว่าพวกแมร่งตายห่ากันหมดแล้ว...”

 

เสียงตวาดหนักๆ ของนายพลเอกโพล่งขึ้นหลังจากกำปั้นทุบโต๊ะ ทำเอาเหล่านายทหารยศพลโทต่างสูดลมหายใจเข้าอย่างอึดอัดพร้อมๆ กัน ก่อนจะเหล่ตามองกันเองครู่หนึ่งแล้วเบนกลับไปยังนายพลเอลฟ์เหมือนเดิม

 

“แล้วไอ่พวกที่มาหักดินสอเราถึงสองแท่งภายในชั่วโมงเดียว พวกแมร่งเป็นใครกัน... ผมเชื่อใจพวกคุณมาตลอดนะ แต่พวกคุณทำผมผิดหวังมากนะ...”

 

เหล่าพลโทยังคงยืนนิ่งเป็นรูปปั้น เพราะพูดอะไรไม่ออก

 

“พลโทโรนิโอ สั่งยิงซีดเดอร์ติดหัวรบโอเวอร์บูมเมอร์ขึ้นไปสกัดพวกแมร่งก่อน”

 

นายพลเอลฟ์มองไปยังนายพลหญิงครึ่งแมวพร้อมกับออกคำสั่งอย่างห้วนๆ ก่อนเปลี่ยนสายตาไปยังลูกครึ่งมนุษย์เอลฟ์นิโกร

 

“พลโทเดวอร์ สั่งเรือของคุณทุกลำที่ยิงซีดเดอร์ได้ให้ยิงหัวรบโอเวอร์บูมเมอร์ขึ้นฟ้าไปช่วยสกัดพวกมันอีกแรงหนึ่ง แล้วก็ให้เรือกองเรือไปรอสกัดตรงจุดไหนก็ได้ที่คุณคาดว่ามันน่าจะลงมา”

 

สายตาเปลี่ยนไปที่พลโทก็อบลิน

 

“พลโทคาราอิ ส่งยานเกราะของคุณออกกวาดล้างพวกโนเบิลที่ซุ่มซ่อนอยู่ให้หมดหรืออย่างน้อยก็ให้พวกแมร่งกระจัดกระจายจนตั้งตัวไม่ติด ผมไม่ต้องการให้ไอ่พวกที่ลงมาเสริมแมร่งรวมกับพวกที่ประจำอยู่ที่นี่อยู่แล้ว”

 

จากนั้นสายตาก็เปลี่ยนมามองนายพลหญิงฮ็อบบิทกับมนุษย์ผู้ชายสลับกันครู่หนึ่งก่อนออกคำสั่ง

 

“ส่วนคุณสองคนส่งคนออกกวาดล้างพวกกบฏให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้หรือล่อแมร่งให้หมดได้ยิ่งดี จนกว่าจะมีคำสั่งใหม่... ไปได้แล้ว ผมจะรายงานเรื่องนี้ไปที่ประเทศอื่นด้วย”

 

สิ้นเสียงนายยศพลโททุกคนก็ตะเบะทำความเคารพพร้อมขานรับคำสั่งก่อนจะกลับหลังหันเดินออกจากห้องไปทีละคนจนหมด เขาก็ออกคำสั่งกับนายทหารเบื้องหลังอย่างพยายามทำเสียงเป็นปกติว่า

 

“ติดต่อไปทุกประเทศ บอกความจริงทุกอย่างไป”

 

แล้วเขาก็หันไปเผชิญหน้า ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเกือบเป็นกระซิบ

 

“แล้วโครงการนั่นไปถึงไหนแล้ว”

 

“ตอนนี้ต้องชะลอครับ จังค์ยาร์ดถูกยึด ประกอบกับงบประมาณต้องแบ่งสรรค์ไปยังฝ่ายอื่นด้วย แล้วยิ่งตอนนี้พวกโนเบิลกำลังจะบุกขนานใหญ่ทางกระทรวงกะลาโหมคงเปลี่ยนอัตราส่วนงบประมาณเป็นแน่ กว่าผลงานชิ้นแรกจะเสร็จผมว่าน่าจะประมาณ 4 ปีเป็นอย่างน้อย”

 

นายทหารพันเอกรายงานผลด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งราวคนแก่ ทั้งที่รูปลักษณ์ภายนอกยังหนุ่มยังแน่น เหมือนคนเป็นมะเร็งกล่องเสียง

 

ภายในเวลา 1 ชั่วโมงต่อมา ข่าวเกี่ยวกับกองกำลังของกบฏและข่าวฐานยิงแมจิคเดธเรย์ถูกทำลายก็แพร่สะพัดไปยังทุกประเทศ ผลที่ตามมา คือ เกิดการเคลื่อนไหวทางทหารครั้งใหญ่พร้อมๆ กับทั่วทั้งดวงดาว มิสไซล์ขนาดใหญ่นับสิบๆ นัดถูกปล่อยขึ้นสู่อวกาศ ตรงเข้าไปยังกองยานของผู้บุกรุก เกิดแสงวูบวาบขึ้นมองเห็นได้ชัดแม้จะยืนอยู่บนพื้นผิวของดาว แต่ถึงแม้จะยิงขึ้นไปขนาดนั้นด้วยหัวรบนิวเคลียร์ แต่ก็ไม่อาจหยุดกองยานของผู้บุกรุกได้ สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่ชะลอลงเท่านั้น เพื่อให้กองกำลังที่อยู่เบื้องล่างได้มีโอกาสทำลายกองกำลังของศัตรูให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

ที่ภาคพื้นดิน ทั้งรถถังทั้งวอล์กเกอร์วิ่งกันให้พล่าน เพื่อไล่กวาดล้างกองกำลังโนเบิลที่ยังซุ่มซ่อนตัวอยู่ โดยมีไจโรเพลนช่วยบินค้นหาอีกแรง ที่ชายฝั่งทะเลบางจุดปืนจากเรือพิฆาตนับสิบกระบอกก็ระดมยิงขึ้นฝั่งแบบไม่เลี้ยงจนดูเหมือนการยิงทิ้งยิงขว้าง ปืนใหญ่ขนาดเล็กและอาวุธยิงสนับสนุนระยะไกลขนาดเล็กภาคพื้นดินก็ผสมโรงด้วย เครื่องบินรบขนาดใหญ่ประเภทป้อมบินและยานระวังภัยก็บินกันให้พล่านเต็มท้องฟ้าไปหมด

 

กองกำลังโนเบิลทุกหน่วยที่ถูกตรวจพบถ้าไม่ถูกล้างบางจนสิ้นซากก็แตกทัพกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง ก่อนจะถูกตามล่าแบบกัดไม่ปล่อย บ้างก็หนีไปได้ บ้างก็ถูกจับเป็นเชลย แต่ส่วนมากมักจะถูกฆ่า กองยานเกราะที่พวกเขาภาคภูมิใจถูกรุมถล่มด้วยกองกำลังที่เหนือกว่าอย่างล้นเหลือ

 

เมืองทุกเมืองของทุกประเทศมีทหารราบในสภาพพร้อมรบเต็มอัตราศึกเดินกันให้เต็มบ้านเต็มเมืองทั้งเพื่อป้องกันและปิดล้อมในเวลาเดียวกัน ในขณะที่เหล่าซูเปอร์โซลเจอร์แฝงตัวเข้ากับพลเรือนเดินหาแหล่งชุมนุมของกองกำลังกบฏ ในขณะเดียวกันกองกำลังกบฏต่างก็ย้ายหนีกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้จับได้

 

ในตอนนี้เอไพด์เมียร์มีสภาพไม่ต่างอะไรกับผึ้งแตกรัง องค์กรทางทหารต่างเคลื่อนไหวกันอย่างเต็มที่ เมืองบางเมืองถูกประกาศเป็นพื้นที่เขตสงคราม จากที่มีประชาชนดำเนินชีวิตอยู่เต็มเมือง บัดนี้เต็มไปด้วยทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้เมืองบางเมืองยังถูกประกาศว่าเป็นฐานทัพชั่วคราวด้วยซ้ำ 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา