Epidemia: Epic World on Fire

7.9

เขียนโดย MiG360Vampire

วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20.33 น.

  25 ตอน
  31 วิจารณ์
  33.58K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

15) Full scale assault [Part 5]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เสียงปืนชนิดต่างๆ แข่งกันแผดระเบิดดังระงม ส่งกระสุนพุ่งสวนกันระหว่างนักรบสองฝ่าย ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีฝ่ายไหนมีทีท่าว่าจะหมดกระสุนกันเลย สำหรับฝ่ายทหารโวลกันและจอมเวทเออริคาสตันอีก 1 นายนั้นไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะลังกระสุนเวทมนตร์และทหารที่สับเปลี่ยนกันมาประจำ แต่สำหรับฝ่ายกบฏนั้นทั้งกำลังทหารและกระสุนดูเหมือนจะมีการส่งเข้ามาอย่างไม่ขาดสายผิดกับกำลังที่น่าจะมีไม่มาก แต่ก็ไม่มีใครเอะใจสำหรับเรื่องนี้

 

ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาเหนี่ยวไกสาดกระสุนออกไปอย่างสุดชีวิต ปลอกกระสุนก็ถูกคายออกมาเกลื่อนกลาดเหลืองอร่ามขึ้นมาราวกับกองทองเมื่อต้องกับแสงไฟทั้งจากปืนและเวทมนตร์ ขีปนาวุธร่อนก็ประดังบินเข้าใส่โดมเวทมนตร์พิทักษ์อย่างไม่ขาดสาย ทำเอาจอมเวทที่ประจำอยู่ก่อนแล้วต้องรับงานหนักเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์เมื่อก่อนที่ซูเปอร์โซลเจอร์ทั้งสามจะนำกำลังมาเสริมจะมีการยิงมาจากเพียงแค่ด้านหน้าเท่านั้น แต่บัดนี้มันกลายเป็นการปิดล้อมไปแล้ว ซ้ำร้ายเมื่อมีเสียงของล้อสายพานปนมากับเสียงปืนกำลังใกล้เข้ามาแต่มีเพียงรองผู้บัญชาการกองกำลังปกป้องเมืองเท่านั้นที่ได้ยิน

 

“ไปเอาอาเรียอาร์มมา”

 

ร้อยโทครึ่งแวมไพร์สาวร้องตะโกนสั่งแข่งกับเสียงปืน แต่ทว่าคงเพราะทุกคนหูอื้อกับเสียงปืนที่ดังรัวถี่ยิบตลอดเวลาจึงไม่มีใครขยับตัว เธอจึงต้องเดินเข้าไปหาทหารสองคน ซึ่งกำลังประทับไรเฟิลจู่โจมอยู่แล้วตบบ่าพร้อมๆ กันเบาๆ แล้วตะโกนสั่งแทบจะกรอกหูเน้นถ้อยคำว่า

 

“ไปเอาอาเรียอาร์มมา มียานเกราะสายพานกำลังใกล้เข้ามา”

 

เมื่อนั้นทหารสองคนนั้นจึงกระวีกระวาดลุกขึ้นวิ่งลงไปยังที่มั่นชั่วคราว ครู่หนึ่งก่อนจะกลับขึ้นมาพร้อมกับทหารราบอีกสองนายและอาวุธทรงกระบอกมีตัวอักษรภาษาโวลกันกำกับว่า “อาเรียอาร์ม” ส่วนทหารอีกสองคนที่ตามขึ้นมาก็แบกเป้ใบโตดูเทอะทะ พวกเขาปลดมันลงเมื่อทหารสองคนที่ลงไปเรียกพวกเขาขึ้นมาหยุดแล้วนั่งคุกเข่าลง

 

มาถึงทหารสองคนที่นำเอาเครื่องยิงขีปนาวุธปัญญาประดิษฐ์ขึ้นมาก็จัดการกางขาทรายทั้งสี่ด้านออกหันปากกระบอกขึ้นฟ้าตั้งฉากกับพื้น ก่อนเปิดจอแอลซีดีที่แนบกับตัวปืนออกมาแล้วเปิดสวิทซ์ จอแอลซีดีก็ปรากฏภาพเป็นแผงแถบตัวเลือกเรียงกันสามบรรทัด มันเป็นจอสัมผัส ตัวเลือกบนเป็นการยิงแบบไม่นำวิถี ถัดลงมาเป็นการยิงแบบนำวิถี และสุดท้ายเป็นการยิงโดยค้นหาเป้าด้วยดาวเทียม พวกเขาเลือกเอาแถบล่างสุด ภาพจึงเปลี่ยนเป็นแผงตัวเลข 0-9 พวกเขากดรหัสเข้าไปแล้วชะงัก เอ่ยปากถามร้อยโทแวมไพร์สาวขึ้นว่า

 

“เมืองนี้รหัสอะไรครับ”

 

“06694”

 

ผู้มีอำนาจสั่งการสูงสุดบอกไปโดยไม่หันไปมอง เพราะตาของเธอจับจ้องอยู่ที่ศูนย์ปืน

 

“ศูนย์ หก หก เก้า สี่”

 

ทหารราบทั้งสองทวนรหัสพลางป้อนมันลงไป จากนั้นจอภาพจึงเปลี่ยนเป็นภาพที่ส่งมาจากดาวเทียมมองเห็นทั้งเมือง พวกเขาเลือกเอาจุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งมีจุดอะไรสักอย่างเรียงกันเป็นแถวเคลื่อนไปตามถนนในเมือง โดยการแช่นิ้วค้าง แล้วภาพก็ซูมเข้าไปอีก เห็นเป็นขบวนรถถัง เป็นรถถังของพวกเขาเอง แต่ตอนนี้มันเป็นของกบฏ มีแถบปุ่มอยู่มุมบนขวาของจอ กดเลือกที่รูปศูนย์ปืน ก่อนจะมากดที่รถถังคันหน้าสุด เป้าหมายจึงถูกล็อก

 

“ปล่อยขีปนาวุธ”

 

ทหารที่ล็อกเป้าได้ก่อนร้องขึ้น ก่อนจะกดปุ่มยิง แล้วก้มหัวลง เกิดเป็นเสียงดัง ปุ๊ ขีปนาวุธถูกดีดขึ้นจากปากลำกล้อง 1 เมตร ก่อนจะจุดเครื่องยนต์จรวดของมันเสียงคำรามแผดลั่นแล้วพุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศหลายเมตรจึงเลี้ยวไปตามหาเป้าหมายของมัน เป็นการยิงแบบยิงแล้วลืม (Fire and Forget)

 

“ปล่อยขีปนาวุธ”

 

ไม่นานนักทหารอีกนายก็ร้องเตือนขึ้นบ้าง ในขณะที่พลบรรจุของทหารคนแรกเริ่มนำขีปนาวุธนัดใหม่บรรจุเข้าทางปากลำกล้องจนหัวจมมิด แล้วกดคันรั้งที่ข้างกระบอกลงจนสุดร่อง แล้วตบหัวเพื่อนเบาๆ เป็นการบอกว่าพร้อมจะใช้ได้อีกครั้งแล้ว พลยิงจัดการล็อกเป้าอย่างรวดเร็ว แล้วร้องเตือนการยิงพร้อมๆ กับกดปุ่มยิง

 

ด้านยูคิเอะกดไกกระหน่ำอย่างเพลินมือมากกว่าตั้งใจกดยิงจนมือเกร็งแข็งเหมือนติดตายกับด้ามปืนมาตั้งแต่แรก อุณหภูมิลำกล้องปืนคู่ก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะติดไฟ กล่องกระสุน ซึ่งเคยติดอยู่บัดนี้ถูกถอดออกเพื่อให้วางสายกระสุนที่มีจำนวนล้นกล่องลงกับพื้นได้และเพื่อประหยัดเวลาบรรจุใหม่ด้วย ไม่ว่าเธอหันยิงไปทางไหน ปืนของฝ่ายศัตรูทางนั้นต่างเงียบเสียงไปในทันทีและเป็นการทำลายที่กำบังไปในตัวเพราะอำนาจกระสุนที่เกือบเป็นกระสุนปืนใหญ่ไม่เพียงแค่เจาะทะลวง แต่มันทำให้ผนังอาคารส่วนนั้นๆ ทะลายลงเป็นแถบจนแทบจะกลายเป็นการยิงเพื่อถล่มตึกแทนที่จะเป็นการยิงต่อสู้ด้วยปืนกลหนักทั่วไป

 

เมื่อกระสุนหมดก็แทบจะถอนมือไม่ออก จนเมื่อปล่อยออกได้ก็ต้องบริหารมืออยู่ครู่ก่อนจัดการร่ายเวทละอองหิมะหล่อเย็นลำกล้องรวมถึงรังเพลิง ซึ่งเมื่อเปิดฝาครอบรังเพลิงออกมาก็ส่งควันโขมง แต่เนื่องจากข้อจำกัดทางเผ่าพันธุ์เธอจึงต้องใช้พลังมากกว่าปกติในการเพิ่มความเย็นแข่งกับรังสีความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกาย จากนั้นจึงบรรจุกระสุนใหม่ พร้อมกับแยกเขี้ยวจากอาการเหน็บชาตั้งแต่เอวลงไป เมื่อบรรจุเสร็จก็ต้องใช้เวทมนตร์สร้างกำแพงอากาศกวาดปลอกกระสุนเก่าออกไปเพื่อเปิดทางให้ปลอกกระสุนชุดใหม่ที่จะถูกคายออกมา จากนั้นจึงเริ่มยิงต่อ

 

แต่ทว่าเธอเองก็เริ่มเอะใจแล้วว่าทำไมยิงไปเท่าไรก็ไม่มีทีท่าว่าพวกกบฏจะรามือทั้งที่เป้าหมายการมอบเมืองให้กองกำลังโนเบิลสำเร็จไปแล้ว และน่าจะถอนกำลังไปหมดแล้ว และพวกกบฏไม่น่าจะมีเยอะขนาดนี้ เสียงอาวุธปล่อยปัญญาประดิษฐ์ทำให้รับรู้ได้ว่าพวกกบฏกำลังใช้ยานเกราะของฝ่ายตนเล่นงานพวกตนอยู่ เพียงแต่ยังมาไม่ถึงเท่านั้น

 

“พลซุ่มยิง!”

 

มีเสียงร้องตะโกนลั่นฝ่าเสียงปืนขึ้นมา จากนั้นก็ตามด้วยเสียงของร้อยโทครึ่งแวทไพร์สาวว่า

 

“ลากเขาลงไป ไปตามสิบตรีธรณีเทพขึ้นมาแทน บอกด้วยว่าศัตรูใช้กระสุนเอเอ็มโอ” (AMO = Anti-Magic Ore = แร่ต่อต้านเวทมนตร์)

 

ได้ยินดังนั้นยูคิเอะถึงกับรนรีบมองหาพลซุ่มยิงดังกล่าว แต่ทว่าร่างของเธอก็ถูกอะไรบางอย่างพุ่งเข้าปะทะอย่างแรงกระเด็นหงายหลังไป จากนั้นที่หัวไหล่ซ้ายก็มีเลือดไหลออกมา

 

หัวกระสุนต่อต้านเวทมนตร์พุ่งทะลุม่านเวทมนตร์พิทักษ์เข้าหาหัวไหล่ของเธอโดยตรง ซูเปอร์โซลเจอร์สาวกึ่งภูติเพลิงเลือกที่จะไม่ลุกขึ้นและไม่เอามือกุมบาดแผล เพราะคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ศัตรูยิงพลาด ประกอบกับความมืดที่ปกคลุมอยู่ในขณะนี้ รังสีความร้อนที่ปกติจะแผ่ออกมาเธอได้หรี่มันลงจนเหมือนคนปกติ และแกล้งทำเนียนนอนแน่นิ่งเหมือนคนตาย แต่หูยังคอยฟังผลการกำจัดพลซุ่มยิงของศัตรูอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

 

เสียงปืนของยูคิเอะเงียบไปจนผิดปกติ โอเคอร์จึงทักขึ้นพลางบุ้ยไปทางช่องที่เพื่อนสาวกึ่งภูติเพลิงได้เจาะไว้

 

“เอสดีเอสถูกยิง แต่ไม่ต้องห่วงสัญญาณชีวิตยังดีอยู่ คงจะแกล้งนอนเพื่อไม่ให้ถูกยิงซ้ำ”

 

เฟลเซียอธิบายอย่างรู้เท่าทัน ความจริงเธอสังเกตแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ พลบินโทรลก็เพียงหันหน้ามาพยักหน้ารับรู้เอาไว้ แล้วหันกลับไปจากนั้นจึงเกิดเสียงหัวกระสุนกระทบกับหมวกเกราะอย่างแรง โอเคอร์ล้มทั้งยืน แต่ซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่ก็รู้เท่าทันอีกเช่นกันว่าเพื่อนร่างยักษ์คนนี้ไม่เป็นอะไรแน่นอน ซึ่งแน่นอน ถ้าขนาดปืนที่มีขนาดลำกล้องใหญ่ถึง 37 มิลลิเมตรยังทำได้แค่เจ็บๆ ช้ำๆ แล้วกับขนาดแค่ไม่ถึง 1 เซนติเมตรจะมีอะไรให้กลัว

 

โอเคอร์ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วสบถออกมาอย่างหัวเสีย แล้วเริ่มร่ายเวทบทใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็คือระเบิดสุริยะทมิฬนั่นเอง แต่เมื่อร่ายเสร็จเขากลับหน่วงมันเอาไว้ แล้วหันมาหาเฟลเซียก่อนจะพูดอย่างติดๆ ขัดๆ ว่า

 

“ขอตำแหน่ง”

 

เฟลเซียเริ่มคำนวณตำแหน่งทันทีหลังจากที่พลซุ่มยิงตัวแสบได้ลั่นกระสุนออกไปหลายนัด มันต้องใช้เวลาอยู่บ้างจนโอเคอร์เร่งมา เธอจึงบอกตำแหน่งไป

 

“สิบเอ็ดนาฬิกา ตึกโรงงานทำลูกกวาด”

 

“เอานี่ไปกิน ไอ่พลซุ่มยิงระยำ ระเบิดสุริยะทมิฬ”

 

โอเคอร์ทุ่มระเบิดเพลิงสีดำออกไปยังทิศทางที่ได้รับการบอกมา แทบจะไม่มีใคร ซึ่งเป็นพวกเดียวกันสังเกตว่ามีเวทมนตร์บทใหญ่ได้ถูกปล่อยออกไป เพราะสีที่ดำสนิทกลืนไปกับความมืดของยามค่ำคืน แต่ทางด้านฝ่ายศัตรูนั้นถึงกับมีคนร้องเสียงหลง ส่วนเจ้าตัวคนปล่อยหลังจากปล่อยออกไปแล้วก็ถึงกับเข่าอ่อนในบันดล เสียงหอบหายใจอย่างแรงดังออกมาพอให้ได้ยินในบริเวณใกล้เคียง

 

“แมดอาร์ม นายไปพักก่อน ล่อมนตร์บทใหญ่ 2 ครั้งในเวลาไม่ถึง 6 ชั่วโมง ถึงจะเคยเป็นหน่วยจอมเวทชั้นเซียน ฉันว่าก็แย่เหมือนกันนะ”

 

อดีตหน่วยจอมเวทชั้นหัวกะทิไม่มีแรงแม้แต่จะเอ่ยปากตอบ เปลือกตาหรี่ลงส่วนลูกตาก็กวาดซ้ายขวาอย่างเรื่อยเปื่อยแบบสติเลื่อนลอย ได้แต่พยักหน้าครั้งเดียวเป็นการตอบตกลง เกราะเวทมนตร์ก็สลายไปเพราะความอ่อนแรง ทหารราบออร์คสองนายอาสาหิ้วปีกกึ่งๆ ลากลงไปพักที่สถานีเติมกระสุนร่วมกับผู้บาดเจ็บ ซึ่งที่จริงเป็นทหารสองคนที่พลยิงอาเรียอาร์มทั้งสองคนไปตามขึ้นมานั่นเอง ข้างหนึ่งหิ้วปีกข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็สะพายเป้กระสุนแฟบอันว่างเปล่า ส่วนเบื้องนอกก็มีเสียงตะโกนร้องบอกต่อๆ กันว่า

 

“พลซุ่มยิงถูกกำจัดแล้ว”

 

ทันใดนั้นเสียงปืนกลหนักแฝดที่เงียบไปก็กลับมากระหน่ำรัวอีกครั้งพร้อมกับขวัญกำลังใจของทหาร ซึ่งเกือบหมดไปเมื่อเสียงปืนกลหนักของยูคิเอะเงียบหายไปนาน

 

“เสนารักษ์!”

 

ทหารคนซ้ายร้องขึ้น ทหารดวอร์ฟยศสิบเอกคาดปลอกแขนสีขาวติดสัญลักษณ์หน่วยแพทย์สนามเงยหน้าขึ้นจากการเพ่งพลังเวทรักษาบาดแผลของจอมเวทที่ถูกกระสุนแร่ต่อต้านเวทมนตร์เมื่อครู่นี้ แล้วรีบเดินอ้อมแถวผู้บาดเจ็บพร้อมชี้นิ้วสั่ง

 

ร่างใหญ่โตของซูเปอร์โซลเจอร์ค่อยๆ วางลงทั้งสภาพหมดสติในท่านอนราบ ร่างเล็กของเสนารักษ์เคลื่อนที่ไปรอบๆ ตัวของโอเคอร์พลางเอามือคลำไปเรื่อยอย่างคล่องแคล่ว ส่วนทหารออร์คทั้งสองก็ผละไปที่รังกระสุนรีบจับเอาขีปนาวุธปัญญาประดิษฐ์ยัดใส่เป้มือเป็นพัลวันจนเต็มแน่นยิ่งกว่าเที่ยวแรก ก่อนจะโยนขึ้นหลังแล้ววิ่งกลับขึ้นไป แต่ทว่าก่อนจะกลับขึ้นไปนั้น สิบเอกดวอร์ฟก็ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงร้อนรน

 

“ไปตามซูเปอร์โซลเจอร์ข้างบนนั่นมาด่วนเลย ใครก็ได้”

 

พลเติมกระสุนทั้งสองนายหายขึ้นไปเบื้องบนครู่หนึ่ง เฟลเซียก็วิ่งเหยาะๆ กลับลงมาด้วยสีหน้าตื่นงง (แม้จะเป็นหน้าที่คนปกติสมควรจะแสดงก็ตาม) ก็เห็นเสนารักษ์ยืนเท้าเอวขั้นระหว่างเธอกับร่างของโทรลสหายศึก

 

“เขาเป็นแบบนี้ได้ยังไง ไม่มีรอยถูกยิง มีแต่รอยช้ำเพราะถูกกระแทกอย่างแรงแต่ก็ไม่ได้อยู่ในจุดอันตราย เป็นโทรลร่างกายล่ำบึ้กแบบนี้ แถมเป็นซูเปอร์โซลเจอร์ด้วย เมื่อกี้ก็ยังเห็นดีๆ อยู่เลย”

 

เสนารักษ์เป็นฝ่ายเปิดการสนทนาขึ้นก่อน เป็นการสอบถามตามประสาแพทย์

 

“ร่ายเวทมนตร์โจมตีชั้นสูง 2 บทในวันเดียว แถมในเวลาไม่ถึง 6 ชั่วโมง”

 

เฟลเซียตอบเรียบๆ ส่วนสิบเอกดวอร์ฟตาเหลือก

 

“เวทมนตร์โจมตี... อะไร”

 

เสนารักษ์ถามต่อขึ้นเสียงนิดๆ

 

“ระเบิดสุริยะทมิฬ”

 

“ตายห่า!!”

 

เสนารักษ์ร้องเสียงหลง เรียกความสนใจจากทหารที่พักอยู่และที่กำลังเติมกระสุนกันอยู่ไม่น้อย เฟลเซียเองฟังจากน้ำเสียงก็ตกใจไม่น้อย แต่สีหน้ายังคงเดิม

 

“ถ้าเขาไม่ได้น้ำเกลือแร่ผสมผงเอเอ็มโอในประมาณที่พอเหมาะทดแทนในปริมาณอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ของที่ร่างกายต้องการ ภายใน 5 ชั่วโมง เขาจะแห้งตาย แล้ว...”

 

พูดยังไม่ทันขาดคำก็เหลียวหลังไปมอง ปากเริ่มซีดแห้งแตก ใบหน้าเริ่มผอมตอบและซีดลง แพทย์สนามครางในลำคอแล้วพูดต่อ

 

“จากนั้นต่อให้เวทชุบชีวิตขั้นเหนือพระเจ้าก็ช่วยเขาไม่ได้”

 

“ฉันพอจะช่วยอะไรได้บ้าง”

 

เฟลเซียถามเรียบๆ

 

“ช่วยเตือนสติเขาว่าคราวหน้าไม่ให้ใช้เวทมนตร์บทนี้ติดต่อกันในเวลา 20 ชั่วโมง คุณจะเตือนด้วยอะไรก็แล้วแต่คุณ แต่ว่าห้ามเขาทำแบบวันนี้อีกเด็ดขาด สำหรับตอนนี้คุณกลับขึ้นไปได้แล้ว”

 

สิ้นเสียงสิบเอกดวอร์ฟก็หันหลังกลับไปดูแลผู้บาดเจ็บคนอื่นต่อ ทิ้งให้โอเคอร์นอนต่อไปโดยไม่ได้ทำอะไร ส่วนเฟลเซียก็รีบวิ่งขึ้นไปสบทบกับทหารราบเบื้องบน พลางนึกในใจไปว่าเพื่อนของตนนี่บ้าบิ่นเกินไปแล้ว ทั้งที่รู้ว่าอันตรายถึงชีวิตแต่ก็ยังทำ ทั้งที่สามารถใช้ไรเฟิลซุ่มยิงยิงสวนเอาก็ได้ มันเป็นการเสียสละที่ไม่คุ้มเอาซะเลย

 

เครื่องยิงลูกระเบิดขนาดเล็กถูกชักออกมาจากคลังแสงส่วนตัวแล้วเริ่มปล่อยลูกระเบิดสนับสนุนพวกตนอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ได้เป็นระเบิดสะเก็ด เธอเลือกใช้ระเบิดเพลิงอย่างเต็มรูปแบบ โดยการยิงมุมสูงให้หัวรบย้อยตกลงมาบนหลังคาของอาคารตรงๆ

 

ช่วงเริ่มแรกเหล่าข้าศึกเข้าใจว่าเป็นการยิงเจาะเพดานเพื่อที่จะตามด้วยระเบิดแรงสูง แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ พวกเขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนตัดกับอากาศที่เย็นในช่วงกลางคืนของภูมิประเทศทะเลทราย มันร้อนราวกับอยู่ในเตาอบไอน้ำ แต่แล้วก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่เนื่องด้วยเสียงปืนที่แข่งกันแผดระเบิดรัวเสียงไฟไหม้อาคารจึงถูกกลบไปหมด พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จนกระทั่งมีเสียงคนร้องว่า

 

“ไฟไหม้! ไฟไหม้! มันวางเพลิงพวกเรา”

 

“ร่ายปืนใหญ่ใต้ศูนย์ดับมัน เร็ว”

 

อีกคนตะโกนต่อ แต่พวกเขาคิดผิดมหันต์ ความพยายามที่จะดับไฟที่เกิดจากระเบิดเพลิงผสมเวทมนตร์ด้วยเวทมนตร์น้ำแข็งประสบความล้มเหลวตั้งแต่เริ่ม

 

“ลูกระเบิดผสมเวทมนตร์ชั้นสูง! ดับมันด้วยเวทมนตร์ธรรมดาไม่ได้ อพยพ”

 

และแล้วคำสั่งถอนกำลังก็ลั่นขึ้น การยิงต่อสู้ระยะใกล้จบลง เหล่าทหารราบต่างโห่ร้องเฮลั่นด้วยความปีติ แต่ทว่าขีปนาวุธร่อนยังคงยิงเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จนหน่วยจอมเวทเริ่มบ่นเรื่องความเมื่อยล้าแล้ว ตอนนั้นเองร้อยโทครึ่งแวมไพร์สาวจึงเริ่มออกคำสั่งชุดใหญ่

 

“อาเรียอาร์ม ค้นหาที่ตั้งยิงขีปนาวุธร่อนแล้วยิงถล่มมันให้หมด ส่วนอีกทีมดำเนินการยิงสกัดรถถังต่อไป ถ้าเข้ามาใกล้ที่นี่ในระยะ 5 ช่วงตึกให้แจ้งด้วย เอสดีเอส เปลี่ยนตำแหน่งยิง แมนิแอค จัดทีมคุ้มกันอาเรียอาร์มจากทหารราบ เรามีกำลังยิงไรเฟิลซุ่มยิง 2 กระบอก ขออาสา 2 คนแยกต่างหากจากทีมของแมนิแอค ส่วนไรเฟิลซุ่มยิงต่อต้านเป้าวัตถุฉันจะใช้เอง ส่วนที่เหลือให้คอยสนับสนุนกระสุนให้คนที่ประจำตำแหน่ง ยกเว้นกับซูเปอร์โซลเจอร์ ส่วนหน่วยจอมเวทหลังจากไม่มีขีปนาวุธร่อนบินใส่เราแล้วให้คอยฟังสัญญาณขอเติมกระสุน แล้วกำกับเรื่องการลำเลียงกระสุน จัดการได้เลย”

 

หลังจากสั่งการเสร็จ เธอก็รั้งซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่ไว้ก่อนเพื่อคุยอะไรบางอย่าง สีหน้าเคร่งเครียด ตาต่อตาจ้องกันไม่กระพริบ

 

“หลังจากแมดอาร์มล้มลงไปได้ไม่นาน เหมือนฉันจะได้ยินเสียงเสนารักษ์อุทานเสียงหลง เกิดอะไรขึ้นบอกมาตามตรง”

 

เฟลเซียสะอึกในใจ ...อะไรจะหูไวขนาดนั้นแม่คุณ ขนาดเสียงปืนดังกันระงมหูแทบดับยังอุตส่าห์ได้ยินอีก... เธอบ่นในใจพลางคิดเรื่องโกหกอย่างเร็วที่สุด

 

“เห็นบอกว่าผลจากการร่ายเวทมนตร์ชั้นสูง 2 ครั้งในเวลาไม่ถึง 6 ชั่วโมงทำให้เขาอ่อนแรงมาก ต้องพักฟื้นอย่างน้อย 18 ชั่วโมง ในขณะพักฟื้นจะหลับเป็นตาย ตอนนี้เราคงพึ่งเขาไม่ได้แล้ว”

 

รองผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันเมืองพยักหน้าเนิบๆ และไม่มีท่าทีจะส่อว่าจับโกหกได้ เนื่องจากเธอเองก็เป็นทหารราบที่เรียนรู้เวทมนตร์มาแค่ระดับกลาง จึงเออออตามแต่โดยดี จากนั้นเธอจึงเดินลงไปที่คลังแสงชั่วคราวอย่างเร็ว ตรงไปที่ไรเฟิลซุ่มยิงต่อต้านเป้าวัตถุที่ตั้งอยู่บนพื้นโดยกางขาทรายไว้อยู่

 

เมื่อหยิบขึ้นมาก็เปิดฝารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าในแนวตั้งข้างลำตัวด้านขวาเพื่อตรวจดูกระสุน พบว่าบรรจุอยู่เต็ม 3 นัด จากนั้นจึงเดินมาที่ลังกระสุนเวทมนตร์ จ้วงหยิบเอากระสุนขนาดใหญ่ขึ้นมาใส่ตุนไว้ทุกที่เท่าที่จะใส่ได้โดยไม่สนท่าทีของคนรอบข้าง แต่นอกจากกระสุนแล้ว เธอยังหยิบเอาระเบิดควันสีออกมาด้วย จนกระทั่งมีจ่าสิบตรีเอลฟ์หญิงเอ่ยปากถามขึ้นอย่างสนิทสนมว่า

 

“นี่หมวดชิซุเนะจะลุยเองเลยเหรอคะ”

 

ร้อยโทสาวครึ่งแวมไพร์ไม่หันไปมองเพียงตอบเรียบๆ ว่า

 

“งานนี้คงชี้นิ้วสั่งอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ทุกคนเป็นทหาร แต่ละคนมีหน้าที่ของตน แล้วถ้าใครเป็นอะไรไปก็ต้องมีคนแทนที่ ว่าแต่เธอเถอะวิ่งให้เร็วแล้วกันเพราะตอนนี้เธอเป็นหนึ่งในพวกที่มีหน้าที่ลำเลียงกระสุนไปให้พวกที่ประจำตำแหน่งตั้งรับ พวกจอมเวทจะกำกับดูแลเรื่องนี้เอง ไปตามคำบอกก็พอ”

 

เมื่อการสำรองกระสุนเสร็จ ชิซุเนะก็ลุกขึ้นยืนอย่างระมัดระวังไม่ให้กระสุนที่ตุนเอาไว้ร่วงแล้วนัดแนะกับพลลำเลียงกระสุน ก่อนจะเดินไปหาพลประจำรถถังที่กำลังทำงานอย่างคร่ำเคร่งเอ่ยปากถามเรื่องเวลา

 

“อีกนิดเดียว คาดว่าไม่เกิน 10 นาที”

 

ฮ็อบบิทหนุ่มทำงานงกๆ ตอบอย่างเรียบๆ โดยไม่หันมาเผชิญหน้า ก่อนจะเอ่ยปากขอไขควงหัวแบนอย่างห้วนๆ โดยไม่สนว่าใครอยู่ข้างหลัง รองผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันเมืองหยิบไขควงยื่นให้ ซึ่งช่างเครื่องก็รับไปโดยทันที จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นเอาปืนสะพายเฉียงหันกลับเดินออกจากที่มั่นชั่วคราวเพื่อหาจุดซุ่มยิงด้วยท่าทีไม่รีบร้อนอะไรนัก แต่ที่จริงเธอไม่กล้าเร่งต่างหาก เพราะกลัวกระสุนที่ตุนไว้หล่นกระจายแล้วจะเสียเวลามากกว่าเก่า

 

ก่อนที่ร้อยโทสาวครึ่งแวมไพร์จะได้ก้าวขึ้นบันได เธอก็ได้เหลือบไปเห็นร่างของโทรลร่างบึกบึน แต่บัดนี้ร่างนั้นเริ่มจะผอมซีดจนเริ่มเห็นกระดูก ...เนี่ยนะต้องพักฟื้น 18 ชั่วโมง ดูเหมือนโดนผลข้างเคียงของเวทมนตร์ชั้นสูงเล่นงานเลย... ชิซุเนะบ่นในใจพลางมองดูร่างนั้นอย่างเป็นห่วง ว่าแล้วก็ต้องเอ่ยปากเรียกสิบเอกดวอร์ฟมาคุย

 

“ไหนบอกว่าต้องพักฟื้น 18 ชั่วโมง”

 

ชิซุเนะถามเสียงขุ่น เสนารักษ์ทำหน้างงแล้วตอบกลับไปอย่างมีอารมณ์เล็กน้อย

 

“ใครบอกคุณ... หรือว่าจะเป็นซูเปอร์โซลเจอร์คนนั้น นี่ผมบอกตามตรงเลยนะ ถึงผมจะไม่ค่อยได้เรียนการใช้เวทมนตร์ชั้นสูง แต่บางทีผมก็รู้จักพวกมันดีกว่าพวกจอมเวทขั้นเทพหลายๆ คนด้วยซ้ำ ที่หล่อนบอกคุณก็แค่อยากให้คุณมีกำลังใจ ไม่มาคอยเป็นห่วงเขา... เอาเถอะ ผมรู้ว่าคุณจะถามอะไร สำหรับรายนี้ล่อเวทมนตร์อันตราย 2 บทต่อเนื่องในเวลาไม่ถึง 20 ชั่วโมง ซึ่งก็คือ ระเบิดสุริยะทมิฬ ผลก็คือ เขาจะแห้งตายในเวลาประมาณ 5 ชั่วโมงถ้าไม่ได้น้ำเกลือแร่ผสมผงเอเอ็มโอในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งต้องใช้ในปริมาณอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ของที่ร่างกายของเขาต้องการ แต่ถ้าไม่ ถึงตอนนั้นต่อให้เวทมนตร์ชุบชีวิตขั้นมหาเทพก็ช่วยเขาไม่ได้ คุณไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก ที่ศูนย์การแพทย์เมืองทอชกิน่ามีของพร้อมพอจะรักษาอาการแบบนี้ได้คราวละเป็นร้อย ปัญหาอย่างเดียว คือ เราจะออกจากที่นี่ได้เร็วขนาดไหน”

 

เมื่อได้รับคำตอบอันเป็นที่น่าพอใจแล้ว ชิซุเนะก็เดินต่อไปตามเป้าหมายเดิม แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ...ถ้าจอมเวทคนนั้นใช้เวลานานเกินไป จะไม่ใช่แค่แมดอาร์มที่จะตาย แต่จะรวมถึงพวกเราด้วย ถึงจะถูกตรึงไว้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่เล่นยิงถล่มกันต่อเนื่องแบบนี้ทหารก็คงอ่อนแรงกันไปหมดก่อน... เธอนึก

 

ขีปนาวุธร่อนค่อยๆ ลดจำนวนลง ในขณะที่ขีปนาวุธปัญญาประดิษฐ์ยังคงยิงกันอย่างต่อเนื่อง ทีมหนึ่งค้นหาและทำลายจุดยิงขีปนาวุธร่อน ส่วนอีกทีมยิงเพื่อสกัดขบวนรถถัง กองไฟที่เฟลเซียก่อไว้ก็กำลังลุกโชตช่วงไหม้หลอมละลายอาคารฝั่งตรงข้ามแนวป้องกัน เป็นช่วงเวลาพักของทั้งสองฝ่าย เว้นแต่ทีมขีปนาวุธ จนกระทั่งขีปนาวุธร่อนทั้งหมดหยุดลง ทีมยิงอาเรียอาร์มและเหล่าจอมเวทก็หลบเข้าที่ซ่อนเตรียมซุ่มโจมตีโดยคำสั่งของร้อยโทชิซุเนะ

 

ทั้งสองฝ่ายยังคงรอกันต่อไป จนกว่ากองไฟจากระเบิดเพลิงผสมเวทมนตร์จะดับลงจะไม่มีการยิงกันเกิดขึ้น อย่างน้อยก็จากทหารราบ แต่สำหรับขบวนรถถังนั้นยังคงหาเส้นทางที่จะเข้าถึงพื้นที่เป้าหมายต่อไป ถนนหลายสายถูกยิงทำลายเพื่อตัดเส้นทาง บ้างก็เป็นรถถังคันหน้าสุดที่ถูกระเบิดกลายเป็นสิ่งกีดขวาง สำหรับทหารราบมันยังคงเป็นเมืองที่มีทางเชื่อมถึงกันได้หมดอยู่ แต่สำหรับยานพาหนะทางบกมันไม่ต่างจากเขาวงกต ในบางครั้งก็ต้องยิงทำลายผนังตึกเพื่อเปิดเส้นทางใหม่เสียเอง แต่ก็กินเวลาไม่น้อย

 

ช่างเครื่องฮ็อบบิทหนุ่มยศจ่าสิบโท วิ่งตาลีตาเหลือกขึ้นมาจากที่มั่นชั่วคราวเพื่อมองหาร้อยโทชิซุเนะ แต่แทนที่จะเป็นรองผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันเมือง กลับเป็นจอมเวทดาร์คเอลฟ์หนุ่มนามอัจฉริยะ ที่กวักมือพร้อมส่งเสียงเรียกเบาๆ ให้เข้ามาหลบ

 

“จ่ากำลังตามหารองผู้การอยู่เหรอ”

 

สิบตรีอัจฉริยะเอ่ยถามด้วยเสียงกระซิบ ช่างเครื่องฮ็อบบิทยศสูงกว่าพยักหน้าตอบ

 

“ตึกทางขวา ชั้น 3 ออกทางประตูหลังนะ”

 

“ขอบใจมาก”

 

ว่าแล้วพลประจำรถถังก็กิ่งวิ่งกึ่งย่องไปทางประตูหลังตามคำบอก แต่ทว่าเมื่อเปิดประตูหลังออกไปใจก็แทบจะตกลงไปอยู่ตาตุ่ม มีวัตถุขนาดใหญ่พอๆ กับรถถังหลังสัญชาติโวลกันจอดอยู่ แต่เมื่อมองดูดีๆ มันเคยเป็นต่างหาก รถถังคันนั้นถูกระเบิดท้ายกระจุยจอดปิดถนนอยู่แบบนั้น เมื่อหันไปมองซ้ายขวาก็เห็นจอดพังอยู่ลิบๆ อีกคันหนึ่งกำลังส่งควันกรุ่น ในใจก็คิดขึ้นได้ว่าต้องมีการโจมตีตลบหลังแน่ๆ หลังจากที่กองไฟของอัลตร้าแมนิแอคมอดลง เขาไปต่อยังประตูหลังของอาคารที่ได้รับการบอกไว้ แล้วรีบขึ้นไปหารองผู้บัญชาการทันที

 

เมื่อขึ้นมาถึงก็เห็นประตูห้องหนึ่งเปิดอ้าเอาไว้ มีไรเฟิลซุ่มยิงต่อต้านเป้าวัตถุตั้งอยู่บนโต๊ะที่เลื่อนไปชิดหน้าต่าง แต่ไม่เห็นตัวรองผู้บัญชาการ เมื่อก้าวเข้าไปรองผู้บัญชาการก็จ่อปืนพกติดปลอกเก็บเสียงภูมิปัญญาชาวบ้านไว้ที่หัว แต่ยังไม่ทันที่จะออกท่าทางอะไร ปลายปืนก็สะบัดเป็นสัญญาณให้เดินเข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งอีกร่างหนึ่งเดินตามเข้ามาอยู่ในทางปืน รองผู้บัญชาการที่แอบอยู่หลังประตูก็เหนี่ยวไกโดยไม่ลังเล

 

ร่างที่เดินตามมาล้มทั้งยืนไปตามแรงปะทะ ปรากฏว่าเป็นทหารสัญชาติโวลกัน ตราที่แขนแสดงว่าเป็นหน่วยคอมมานโด ช่างเครื่องหนุ่มแทบจะร้องเหวอออกมา แต่ยังคงคุมสติเอาไว้ได้มองหน้ารองผู้บัญชาการไม่วางตา แต่ชิซุเนะกลับมองไปที่ศพนั้นอย่างเย็นชาพลางหัวเราะหึหึในลำคอ ก่อนจะลงมือร่ายเวท ท่องมนตร์ปากขมุบขมิบ กางฝ่ามือไปทางศพนั้น

 

“สลาย”

 

ทันทีที่สิ้นเสียง จากศพหน่วยคอมมานโดก็กลายเป็นนักรบกบฏในบัลดล จ่าสิบโทฮ็อบบิทตกใจกว่าเก่า

 

“การติดต่อสื่อสารทำไม่ได้ แล้วหน่วยคอมมานโดของเราจะมาอยู่นี่ได้ไง คิดดู”

 

ชิซุเนะว่าอย่างรู้เท่าทัน ก่อนจะหันมาถามช่างเครื่องว่า

 

“มีอะไร”

 

“ผมซ่อมรถไฟเสร็จแล้ว แต่จอมเวทหญิงคนนั้นยังไม่เห็นแม้แต่เงา จะเอายังไงดีครับ”

 

“รอต่อไป...”

 

ร้อยโทชิซุเนะตอบห้วนๆ แล้วถามต่อ

 

“พกอาวุธอะไรมาบ้าง”

 

พลประจำรถถังชักปืนพกออกมาแล้วพูดว่า

 

“มีแค่นี้ครับ”

 

“ดี ระวังหลังให้หน่อย ถ้ากระสุนหมดก็ยึดอาวุธจากพวกมัน แล้วก็ถ้าเห็นเป็นพวกเดียวกันก็ไม่ต้องสน ยิงได้เลย พวกกบฏปลอมตัวมาทั้งนั้นแหละ ยกเว้นพลลำเลียงกระสุน”

 

จ่าฮ็อบบิทหนุ่มขานรับคำสั่งด้วยท่าทางไม่มั่นใจนัก แต่ก็ไม่มีท่าทีขัดแย้ง เพราะเธอเป็นหนึ่งในมันสมองของกองกำลังที่เหลืออยู่ในตอนนี้นอกจากซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่ ว่าแล้วเขาก็เดินออกจากห้องไปหาที่ซุ่มโจมตี

 

เวลาผ่านไป 10 นาที กองไฟของเฟลเซียเพียงเริ่มจะลดขนาดลง แต่ทว่ารถถังคันแรกได้เข้ามาถึงแล้ว แต่ยังไม่มีการยิงต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่งคันต่อๆ ไปเริ่มเข้ามาล้อม และในตอนนั้นเอง ชิซุเนะก็เหนี่ยวไกปล่อยกระสุนขนาด 13 มิลลิเมตรออกไปใส่เซนเซอร์บนป้อมรถถังคันหนึ่งแหลกละเอียด เป็นการส่งสัญญาณให้เริ่มเปิดฉากยิงอีกครั้ง พลยิงอาเรียอาร์มก็เล็งท่อยิงขีปนาวุธใส่รถถังจากที่สูงแล้วยิงออกไปโดยไม่นำวิถี ป้อมปืนถูกระเบิดลอยละลิ่ว

 

ทหารราบฝ่ายศัตรูก็วิ่งตามหลังรถถังเข้าร่วมการรบในเวลาต่อมาไม่นานนัก ปืนอัตโนมัติในมือของทหารฝ่ายตั้งรับก็เปิดฉากยิงอีกครั้ง ยูคิเอะเองก็ฝืนใจจากแผลที่รักษาไม่ได้เพราะฤทธิ์กระสุนแร่ต่อต้านเวทมนตร์มาจับด้ามปืนกลหนักแล้วยิงต่อ โดยพุ่งเป้าไปที่รถถัง เน้นระดมยิงไปที่หลังคาป้อม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่บอบบางที่สุดของรถถัง รองลงมาก็เป็นส่วนท้ายรถที่เป็นแหล่งพลังงานและเครื่องยนต์

 

ในเวลาไม่นานนัก สิ่งที่ไม่คาดคิดและที่คิดคิดไว้ก่อนแล้วก็มาเยือน มันคือ ไจโรเพลนโจมตีที่นั่งเดี่ยว ทุกคนคิดอย่างเดียวกัน คือ พวกกบฏมีมันได้อย่างไร หรือว่ามีฐานทัพอากาศแห่งใดแห่งหนึ่งถูกยึด และการโจมตีตลบหลังได้เกิดขึ้นจริงๆ เฟลเซียร้องสั่งให้ทหารสามนายไปคอยระวังหลัง ในมือของเธอตอนนี้ไม่ใช่เครื่องยิงลูกระเบิด หรือไรเฟิลจู่โจม แต่เป็นปืนกลกล้องหมุน ซึ่งนำมาพาดกับขอบหน้าต่างและยึดมันด้วยก้ามยึดอย่างแน่นหนา

 

ซูเปอร์โซลเจอร์สาวกึ่งภูติเพลิงไม่รอช้า เปลี่ยนจากเป้าบนพื้นเป็นเป้าในอากาศแทน แต่ก็เป็นแค่การยิงเพื่อไล่ไปให้พ้นทาง และไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะยิงสวนได้ จากนั้นเธอจึงรีบเปลี่ยนกระสุนอย่างเร็วที่สุดทั้งสองกระบอกพร้อมๆ กัน ถอดเอาสายกระสุนเก่าออก ซึ่งหัวกระสุนเป็นสีทอง แล้วเอาสายกระสุนที่หัวกระสุนเป็นสีเทามาใส่แทน ขึ้นลำแล้วยิงต่อทันที คราวนี้มันเป็นหัวกระสุนระเบิดสะเก็ดแตกอากาศ ทำให้เป้าขนาดเล็กมีสภาพไม่ต่างจากเป้าขนาดใหญ่

 

ไจโรเพลนต่างบินโยกหลบกันจ้าละหวั่น หลังจากที่มี 2 ลำถูกยิงตก พยายามหาช่องทางยิงสวน หรือไม่ก็ยิงสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดิน แต่ด้วยการกวาดส่ายปืนสาดกระสุนอย่างบ้าคลั่งของฝ่ายซูเปอร์โซลเจอร์ทำให้ได้แค่หลบ ซึ่งคงจะทำได้ก็มีแค่ตอนกำลังบรรจุกระสุนเท่านั้น แต่กว่าจะหมดกระสุนมันก็ช่างยาวนานเหลือเกิน

 

และแล้วกระสุนก็หมดลง ยูคิเอะรีบใส่กระสุนใหม่มือเป็นพัลวัน ในขณะที่เหล่าไจโรเพลนเริ่มตั้งลำได้ แต่เหล่านักบินยานโจมตีก็ลืมนึกถึงภัยคุกคามอีกอย่างหนึ่ง

 

ขีปนาวุธปัญญาประดิษฐ์นัดนึ่งพุ่งเลี้ยวเข้าหาเป้าบินระเบิดเละกลางอากาศ ทำให้ที่เหลือต้องตั้งลำกันใหม่ แต่เพื่อไม่ให้ตั้งตัวได้พลยิงอีกคนก็ยิงใส่แบบไม่นำวิถีและแทบไม่ได้เล็งเพื่อให้เสียขบวนโจมตี

 

การหลอกล่อความสนใจเป็นผล ยูคิเอะกลับมายิงอีกครั้งได้ทันเวลา ในขณะที่ทีมอาเรียอาร์มกลับไปยิงรถถังดังเดิม

 

ประมาณ 20 นาทีผ่านไป เริ่มมีเสียงร้องขอกระสุนเพิ่มดังขึ้นมา คนที่โผล่ขึ้นมาจากที่มั่นชั่วคราวก่อนคือจอมเวทชายครึ่งเอลฟ์นิโกร โล่เวทมนตร์ถูกกางออกพอจะบังตัวคน 4 คนสบายๆ จากนั้นจึงตามด้วยพลลำเลียงกระสุนที่ทั้งแบกทั้งหิ้วเป้ที่ยัดกระสุนไว้เต็ม วิ่งตามจอมเวทที่กางโล่ให้เข้าไปในอาคาร มีการเผชิญหน้ากับนักรบฝ่ายศัตรูที่ตีตลบหลังบ้าง แต่ก็ถูกโจมตีด้วยเวทมนตร์ของจอมเวทที่ทำหน้าที่คุ้มกัน แต่เนื่องจากเป็นเวทมนตร์ที่เน้นความรวดเร็ว จึงทำได้แค่ลดความสามารถในการรบเท่านั้น ส่วนที่เหลือทหารราบที่รอรับกระสุนอยู่ชั้นบนเป็นผู้จัดการ

 

กระสุนที่ร้องขอถูกเทรวมไว้เป็นหมวดหมู่อย่างลวกๆ เว้นแต่เป็ที่บรรจุขีปนาวุธปัญญาประดิษฐ์เท่านั้นที่แค่ปลดลงจากหลังแล้ววางทิ้งไว้เฉยๆ ก่อนจะนำขีปนาวุธที่เหลือในเป้ใบที่วางไว้อยู่แล้วออกมาตั้งกับพื้น แล้วเอาเป้ที่ว่าเปล่ากลับไปแทน ส่วนเทียวขากลับก็ทำเหมือนดังขามา

 

ด้านร้อยโทชิซุเนะเองก็ตั้งป้อมยิงจนติดลม ระเบิดกระสุนชุดละ 3 นัดอย่างต่อเนื่องแล้วเปิดรังเพลิงออกจนได้ยินเสียงดังกึกก่อนบรรจุใหม่ทีละนัดจนเต็มก็ตบสไลด์ก้านคันรั้งเบาๆ ให้เลื่อนกลับเข้าที่ก่อนยิงต่อ ส่วนจ่าสิบโทพลประจำรถถังก็ได้ยึดปืนกลอเนกประสงค์มาจากกองกำลังของศัตรูกางขาทรายนอนหมอบราบยิงออกมาจากห้องน้ำ ซึ่งอยู่เคียงข้างห้องที่ชิซุเนะซุ่มอยู่ แต่ตรงข้ามกับบันไดพอดี นานๆ ทีจะมีระเบิดมือขว้างออกไปเพื่อขัดจังหวะศัตรูระหว่างที่ตนกำลังเติมกระสุน เมื่อกระสุนหมด ก็คว้าปืนลูกซองข้างกายเดินออกไปพลางปาระเบิดมือนำไล่ข้าศึกให้พ้นทางแล้วก้มลงเก็บกระสุนมาตุนไว้อย่างรีบเร่งก่อนจะวิ่งกลับไปยังที่มั่น เมื่อมีระเบิดมือถูกโยนเข้ามาบ้าง เขาก็ยกปืนขึ้นแล้วหลบเข้าไปในอ่างอาบน้ำ ก่อนจะขว้างระเบิดมือสวนกลับไป

 

“ทำไมยุทโธปกรณ์มันพร้อมแบบนี้วะ มีคนในสนับสนุนอาวุธให้พวกแมร่งรึไง”

 

ช่างเครื่องฮ็อบบิทหนุ่มบ่นพึมพำอย่างอึดอัด ก่อนจะคลานออกมาหลังจากระเบิดมือที่ถูกขว้างเข้ามาระเบิดแล้ว

 

“เตรียมรับพลลำเลียงกระสุนด้วยจ่า”

 

ขาดคำของรองผู้บัญชาการ ก็มีเสียงยิงเวทมนตร์ดังแทรกเสียงปืนขึ้นมาให้ได้ยิน ในเวลาไม่นานก็เห็นพลทหารมนุษย์แบกเป้กระสุนกำลังวิ่งขึ้นบันไดมา ตามด้วยสิบตรีอัจฉริยะที่กลางโล่ไปพลางปล่อยเวทมนตร์สวนกับลูกปืน

 

“รองผู้การอยู่ในห้องนั้น”

 

จ่าสิบโทหนุ่มบอกสั้นๆ แล้วจับระเบิดมือขว้างลงไป แล้วหันกลับมามองพลทหารที่เดินเข้าห้องไป แต่ไม่ใช่เพื่อนำกระสุนมาให้ ปืนพกถูกชักออกจากซองเล็งไปที่ศีรษะของร้อยโทสาวครึ่งแวมไพร์

 

“ระวังข้างหลังหมวด!”

 

จ่าสิบเอกฮ็อบบิทหนุ่มร้องลั่น ร้อยโทชิซุเนะพลิกตัวกลับมามองก็ยกแขนขึ้นป้องตามสัญชาตญาณแล้วกลิ้งตัวหลบ ในขณะที่พลประจำรถถังกำลังจะชักปืนพกนั้นเอง จอมเวทดาร์คเอลฟ์หนุ่มก็ชักปืนพกประจำตัวขึ้นยิงเข้าที่ศีรษะของศัตรูที่แฝงตัวก่อนแล้ว

 

“ปลอดภัยแล้วครับรองผู้การ”

 

ผู้พูดคือสิบตรีอัจฉริยะ พลางเก็บปืนเข้าซอง ในขณะที่จ่าสิบโทฮ็อบบิทรุดเข้าไปที่ศพของมือสังหารแล้วลากออกมา

 

“ยังจนกว่าเราจะไปจากที่นี่ ขอบคุณมากหมู่”

 

ชิซุเนะว่า แต่อัจฉริยะก็ยังไม่จากไป เดินเข้าห้องไปเปิดเป้เอากล่องกระสุนออกมาวางตั้งไว้ให้จนหมด แล้วสะพายเป้ว่างเปล่ากลับไปคนเดียว จ่าสิบโทช่างเครื่องยิงคุ้มกับไปพลางก็ตะโกนไล่หลังไปว่า

 

“ห้ามบอกเรื่องมือสังหารกบฏให้พวกนั้นรู้นะหมู่”

 

อัจฉริยะไม่ตอบกลับเพราะง่วนอยู่กับการป้องกันตัวเอง จนกระทั่งกลับไปถึงที่มั่นชั่วคราว ได้มีจอมเวทหญิงคนหนึ่งมายืนสอบถามเหตุการณ์กับพลลำเลียงกระสุนอยู่ ดาร์คเอลฟ์หนุ่มดีใจจนแทบร้องไห้

 

“หัวหน้า!”

 

สิบตรีอัจฉริยะร้องทักขึ้นยิ้มหน้าบาน

 

“ไง ยังไม่ตายเหรอ แสง”

 

จอมเวทหญิงทักกลับอย่างสนิทสนม

 

“ตอนนี้จะคุยอะไรก็เอาไว้ก่อนดีกว่าหัวหน้า สถานการณ์กำลังแย่เต็มที ผมต้องรีบไปบอกรองผู้การเดี๋ยวนี้เลย”

 

พูดจบเขาก็ไปยังลังกระสุนเวทมนตร์ หยิบเอาซองกระสุนปืนพกขึ้นมาสำรองเอาไว้ 5 ซอง ก่อนจะรีบวิ่งออกไป ซึ่ง ‘หัวหน้า’ ก็วิ่งตามออกไปด้วย และคอยกางโล่เวทมนตร์ให้กันและกัน จนกระทั่งไปถึงอาคารที่ซุ่มของรองผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันเมืองและจ่าสิบโทพลประจำรถถัง แสงก็เปลี่ยนหน้าที่มาเป็นมือปืน จับปืนพกสองมืออย่างมั่นคง เหนี่ยวไกยิงกระสุนออกไปอย่างแม่นยำตามที่ได้รับการฝึกมา

 

เนื่องจากกระบุกที่ขาดตอนทำให้ผู้ที่ซุ่มโจมตีอยู่ชั้นบนรับรู้ได้ถึงการมาของพวกตนและได้ลงไปเตรียมรับอย่างแข็งขัน คราวนี้มีเสียงปืนพกยิงมาตลอดทางไม่ใช่เสียงการยิงเวทมนตร์ คนแรกที่โผล่มาคือสิบตรีอัจฉริยะ ก่อนที่จ่าสิบโทฮ็อบบิทจะได้อ้าปากถามอะไร ก็เห็นคนที่ตามมาด้วยจึงเปลี่ยนเป็นร้องเรียกแทน แล้วตามด้วยระเบิดมือ 1 ลูกเพื่อเพื่อไล่ข้าศึก ก่อนจะหันไปเรียกร้อยโทสาวครึ่งแวมไพร์

 

“รองผู้การ จ่าสิบเอก ซาแมนธ่า แมคโกเฮล์ม กลับมาแล้วครับ”

 

ได้ยินดังนั้น ชิซุเนะก็เปิดรังเพลิงแล้วบรรจุกระสุนจนเต็มก่อนเก็บปืนขึ้นสะพายเฉียงแล้วเอ่ยปากของระเบิดมือจากจ่าพลประจำรถถัง ช่างเครื่องหนุ่มโยนไปให้ลูกหนึ่ง แต่เธอก็ยังไม่ใช้ แต่เดินไปที่ห้องน้ำหยิบเอาปืนกลมือโยนให้จอมเวทดาร์คเอลฟ์ไปตามด้วยซองกระสุนสำรอง 2 ซอง และหยิบปืนลูกซองเอามาไว้กับตัว ก่อนจะหันมาสั่งกับทุกคนให้ไปได้ จากนั้นจึงกดปุ่มปลดนิรภัยระเบิดมือแล้วโยนเข้าไปในห้องที่ตนเคยซุ่มอยู่เพื่อทำลายยุทโธปกรณ์ที่เหลืออยู่เพื่อไม่ให้ศัตรูสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ จากนั้นจ่าสิบโทฮ็อบบิทหนุ่มก็ทำตาม เป้าหมายอยู่ที่ห้องน้ำ

 

ทั้งสี่คนเดินลงมาจากที่ซุ่มยิงปะทะกับศัตรูไปพลาง ในขณะที่ซาแมนธ่ากางโล่เวทมนตร์กำบังให้ กว่าจะออกจากมาได้ก็ทุลักทุเลทีเดียว แต่ความลำบากยังไม่หมดเท่านั้น เนื่องจากอุปกรณ์สื่อสารใช้ไม่ได้ พวกเขาจึงต้องเดินไปเคาะประตูทีละห้อง เรียกรวมพลทหารของฝ่ายตน ซึ่งแต่ละที่ที่จากมา จ่าสิบโทช่างเครื่องก็ไม่ลืมที่จะโยนระเบิดมือทำลายยุทโธปกรณ์ จนกระทั่งมาถึงคนสุดท้าย ก็คือยูคิเอะ ในระหว่างที่เธอกำลังเก็บปืนกลหนักประจำกายนั้น พลอาเรียอาร์มทั้งสองคนก็เดินขึ้นหน้ามายิงขัดจังหวะไจโรเพลนให้ แล้วถอยไป มันพอดีกับที่ปืนกลหนักทั้งสองกระบอกและขาหยั่งถูกเก็บเข้าไปในคลังแสงพอดี

 

ทีมอาเรียอาร์มวิ่งไปบรรจุขีปนาวุธที่เอามาสำรองไว้ไปอย่างทุลักทุเล แสงเองก็เอาปืนกลมือสะพายเฉียงแล้วกลับมาทำหน้าที่จอมเวทอีกครั้ง ช่วยซาแมนธ่ากางโล่เวทมนตร์อีกแรง ปกป้องทุกคนจากการระดมยิงด้วยปืนใหญ่อากาศจากไจโรเพลนอันรัวถี่ยิบ จนกระทั่งออกจากตัวอาคารกำลังจะลงไปยังที่มั่นชั่วคราว พลอาเรียอาร์มทั้งสองก็ยิงขีปนาวุธขึ้นฟ้าแบบไม่นำวิถีอีกครั้ง ก่อนจะพากันกรูลงไป

 

เหล่าทหารที่กำลังรอกันอยู่ก็ย้ายลังกระสุน อาวุธ และคนเจ็บเข้าไปไว้ในตู้รถไฟหมดแล้ว เหลือเพียงไม่กี่คนที่มารอรับ และเล็งปืนขึ้นไปยังปากทางเพื่อยิงสกัดข้าศึกทุกคนที่จะเข้ามา

 

“มาเร็วทหาร”

 

รองผู้บัญชาการร้องเรียก ทหารสองคนก็หันหลังวิ่งกลับมาที่รถไฟ แต่ทันใดนั้นระเบิดมือลูกหนึ่งก็ถูกโยนลงมา

 

สายเกินไปที่จะร้องเตือน ดูเหมือนระเบิดลูกนั้นจะมีการปล่อยชนวนทำงานก่อนขว้างลงมา ด้วยเวลาอันแม่นยำ ระเบิดมือสาดสะเก็ดระเบิดเข้าใส่บริเวณโดยรอบและแผ่นหลังของทหารทั้งสองนายจนพรุนขาดใจตายทันที

 

“ปิดประตูเลยจ่า”

 

เฟลเซียร้องบอกกับพลประจำรถถัง ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นคนขับรถไฟ

 

ระบบไฟฟ้าถูกเปิดขึ้น หลอดไฟทุกดวงก็ส่องสว่าง ประตูก็เลื่อนปิดเข้าหากัน พอดีกับที่นักรบฝ่ายตรงข้ามกรูกันลงมา รถไฟก็เริ่มออกตัว ข้าศึกเริ่มตั้งแนวยิงในขณะที่ความเร็วของรถไฟค่อยๆ เพิ่มขึ้น ชิซุเนะตะโกนบอกให้ทุกคนก้มหลบ เมื่อกระสุนนัดแรกถูกยิงออกมา แต่ก็ยิงไม่เข้า ทุกคนรู้สึกดีใจมากที่มีที่กำบังกันกระสุน

 

มองๆ ดูไปก็เหมือนกับทหารฝ่ายเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน ชุดรบยามค่ำคืนพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานของทหารราบ ติดตราสัญชาติโวลกัน รวมถึงอาวุธที่ใช้ แต่อย่างไรก็ตามสำหรับทุกคนที่อยู่บนรถไฟแล้ว คนเหล่านั้นคือพวกกบฏ

 

ความดีใจอยู่ได้ไม่นาน เมื่ออีกฝ่ายนำขีปนาวุธร่อนออกมาและยิงเข้าใส่ทันที หน่วยจอมเวททั้งสามคนร่ายเวทโล่เวทมนตร์ผ่านกระจกกันกระสุนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

 

เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ตู้รถไฟและหัวรถจักรไม่เป็นอะไร ขีปนาวุธร่อนบินชนเข้ากับโล่เวทมนตร์อย่างจัง แล้วความเร็วของรถไฟก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนทั้งขบวนลับเข้าไปในอุโมงค์ เหล่าทหารราบกองกำลังป้องกันเมืองร้องเฮลั่นราวกับงานฉลองการชนะสงคราม แต่สงครามยังไม่จบ ในใจของพวกเขาอยากจะลุกเต้นแต่ก็ไม่มีแรงเต้น ยูคิเอะนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวโดยมีเสนารักษ์ปฐมพยาบาลให้อยู่ ส่วนเหล่าทหารราบจับกลุ่มกันเป็นหลายกลุ่มโดยไม่แบ่งแยกยศ คุยกันเฮฮาสนุกปาก ร้อยโทชิซุเนะก็เข้าร่วมวงด้วย ส่วนเฟลเซียกลับมายืนมองอดีตหน่วยจอมเวทชั้นเซียนที่อยู่ในระหว่างความเป็นความตายด้วยสายตาที่เศร้าๆ แม้ว่าใบหน้ายังยิ้มเหมือนคนเป็นไฮเปอร์ก็ตาม เสนารักษ์เสร็จจากยูคิเอะแล้วก็เดินเข้ามาปลอบเฟลเซีย

 

“ไม่ต้องกังวลหรอก เขาจะไม่ตาย ผมโตที่ทอชกิน่า ระยะทางจากมอสกาเชียไปทอชกิน่าใช้เวลาแค่ชั่วโมงเศษเท่านั้น และจากสถานีไปถึงศูนย์การแพทย์ก็ไม่น่าจะเกิน 1 ชั่วโมง ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 2 ชั่วโมงกว่าต่อให้คิวเยอะก็เถอะยังไงทัน”

 

สิบเอกดวอร์ฟไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดไปได้เข้าหูซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่รึเปล่า แต่สิ่งที่เขารู้คือ แม้ใบหน้าจะยิ้มละไมอยู่อย่างนั้น แต่สิ่งที่เขาเห็นผ่านแววตาคือความเศร้าอย่างจริงใจ เฟลเซียยืนเหมือนสงบนิ้งไว้อาลัยคนตายเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างอยู่หรือไม่ก็สติกำลังเลื่อนลอย แต่แล้วก็กลับมาเป็นคนเดิมอย่างเฉียบพลัน เมื่อโทรทัศน์เหนือหัวได้เปิดขึ้น ‘เครือข่ายความมั่นคงเอไพด์เมียร์’ นั่นเอง

 

ภาพที่ปรากฏขึ้นมาเป็นภาพที่ถ่ายทอดสดมาจากพื้นที่ ซึ่งมีสภาพแวดล้อมแบบขั้วโลก นักข่าวก็เป็นนักข่าวทหาร ภาพเบื้องหลังแถวยานเกราะและพลเดินเท่ากำลังเคลื่อนไปอย่างช้าๆ และดูสะบักสะบอมกันถ้วนหน้า แม้ไม่ต้องพึ่งคำพูดอะไรแต่ทุกคนที่ดูอยู่สามารถบอกได้ทันทีว่านี่คือการถอนกำลัง

 

“ที่แนวหน้าเป็นกองทัพผู้ดีจอมปลอม ส่วนแนวหลังก็เป็นกบฏขายชาติ เรากำลังเผชิญศึกสองด้าน นี่เป็นการถ่ายทอดสดจากประเทศสหพันธรัฐวีเนเชีย เขตปกครองพิเศษศาสนจักร อือฉิน เมืองเชงกัง ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับเมืองลู่เหวินไฉ เมื่อเร็วๆ นี้พวกโนเบิลเพิ่งจะยึดเมืองลู่เหวินไฉได้ แต่พวกมันจะไม่มีทางทำสำเร็จถ้าไม่มีพวกกบฏคอยป่วนแนวหลังของเรา มีคำถามว่าพวกเรากำลังจะแพ้เหรอ...”

 

ตั้งปฏิปุจฉาไว้แค่นั้นภาพก็เปลี่ยนไปเป็นจอสีน้ำเงินขึ้นหัวเป็นภาษาโวลกันว่า “มาร่วมต่อสู้กันเถิด”

 

“เปล่าพวกเราจะไม่แพ้ถ้ายังไม่สู้จนเลือดหยดสุดท้าย พวกท่านประชาชนแห่งเอไพด์เมียร์สามารถร่วมต่อสู้กับพวกเราได้ โดยการเป็นทหารอาสา ใครก็ตามที่บรรลุนิติภาวะตามเกณฑ์ของเผ่าพันธุ์นั้นๆ ใช้เวทมนตร์เป็นในระดับ ซี ขึ้นไป และไม่มีความพิการทางร่างกาย สามารถมาสมัครได้ที่ศูนย์กำลังสำรองทั่วโลก แม้พวกท่านจะไม่มีส่วนร่วมในแนวหน้า แต่พวกท่านสามารถช่วยเหล่าทหารหาญของเราได้ด้วยไล่ล่าพวกกบฏระยำได้ที่แนวหลังร่วมกับหน่วยรบพิเศษ ซูเปอร์โซลเจอร์...”

 

ระหว่างที่พูดไปจอสีน้ำเงินก็ขึ้นเงื่อนไขเป็นข้อๆ ไปด้วย ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นรูปหลุมศพช่วงเวลาสั้นๆ แล้วเปลี่ยนต่อไปเป็นทั้งรูปเงินตราสกุลต่างๆ เหรียญกล้าหาญ และป้ายประกาศนียบัตร แล้วจึงต่อด้วยภาพของห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์

 

“ถ้าท่านตายล่ะ... ไม่ต้องห่วง เราจะจ่ายเงินชดเชยให้ครอบครัวหรือคนใกล้ชิดของท่านอย่างงาม และท่านจะได้รับการเชิดชูเกียรติเป็นยอดพลเมืองแห่งเอไพด์เมียร์ แต่ถ้าท่านรอดไม่ว่าจะอยู่ประจำการจนจบสงครามหรือไม่ ท่านจะได้เป็นสองเท่า ชื่อของท่านจะมาปรากฏในห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก พูดง่ายๆ คือ ท่านจะได้มาเป็นส่วนหนึ่งในหนังสือประวัติศาสตร์ให้คนจดจำไม่มีลืม ท่านสามารถมาสมัครเมื่อไหร่ก็ได้ เราเปิดรับตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นแม้วันหยุดราชการ จงเชื่อมั่น เราจะไม่แพ้”

 

แล้วภาพก็เปลี่ยนไปเป็นสัญลักษณ์ดาบใหญ่ติดปีกนกเหล็กดูแข็งกระด้างแต่ก็ให้ความอบอุ่นในขณะเดียวกันล้อมรอบด้วยรัศมีสีเหลืองทอง เบื้องล่างเป็นอักษรภาษาชทัมม่า (ภาษาเยอรมัน) เป็นคำว่า “กองทัพอากาศแห่งสาธาณรัฐชทัมม่า” ครู่หนึ่งภาพก็เปลี่ยนไปเป็นภาพถ่ายพื้นผิวเรียบๆ สีเขียวอ่อนของอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วค่อยๆ ซูมออกก็เริ่มเห็นเป็นลายพราง ซูมออกไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นเป็นรูปร่างของท่อดูดอากาศของเครื่องบิน ซึ่งอยู่ด้านบนของลำตัวเครื่อง ท่อแรงขับที่อยู่เคียงข้างก็โผล่ตามมา ภาพยังคงซูมออกไปเรื่อยๆ จนเห็นห้องนักบิน ท่อแรงขับที่เรียงกันข้างละ 4 ท่อ แพนดิ่งคู่ที่เบนออกจากกันเล็กน้อย โดยรวมแล้วมันเป็นลูกผสมปีกบินอีกลำหนึ่ง แต่กล้องก็ยังซูมออกต่อไป จนกระทั่งผู้ชมรู้ว่ามันเป็นภาพนิ่ง จนเมื่อซูมออกจนเห็นเป็นตัวคน ทุกคนก็ครางออกมาด้วยความตกตะลึง

 

มันเป็นเครื่องบินลำใหญ่ ใหญ่มากๆ ใหญ่ ใหญ่ และใหญ่ เมื่อเทียบขนาดของเครื่องบินแล้วมันไม่ต่างอะไรกับคนกับแมลง มีเสียงเพลงบรรเลงที่ให้ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่อลังการเหนือคำบรรยายและดูเหมือนจะเกินคำพรรณนาด้วยซ้ำจนฟังไปจนลุกไปแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างเปี่ยมล้น แล้วเสียงบรรยายก็ตามมา เป็นเสียงของชายที่ดัดเสียงให้ดูเหมือนเป็นคนหยิ่งทะนง และมีความภูมิใจในตัวเองอย่างมาก แล้วภาพก็เปลี่ยนเป็นแอนิเมชั่นแสดงขีดความสามารถของเครื่องบินมหายักษ์

 

“อาวุธสุดยอดแห่งสาธรณรัฐชทัมม่าได้สร้างขึ้นเสร็จสมบูรณ์อย่างงดงาม เราภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่จะแนะนำให้ท่านได้รู้จักกับ วิงก์ ออฟ ไลท์บริงเกอร์ (Wing of Lightbringer) มันทั้งสง่า และมีความทรงพลังอย่างเหลือล้นทั้งเครื่องยนต์ที่สร้างพิเศษ 8 เครื่องพร้อมพลังแรงขับอภิมหาศาล ซึ่งสามารถนำมันเข้าสู่ความเร็วมัค 3 ในอากาศได้สบายๆ ท่อแรงขับปรับทิศทางได้ช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้มัน ด้วยขุมกำลังเตาปฏิกรณ์ฟิวชั่นทำให้มันไม่จำเป็นต้องลงจอดเพื่อเติมเชื้อเพลิง และเทคโนโลยีที่ผสมกับเวทมนตร์ นักออกแบบได้นำลังกระสุนเวทมนตร์เข้ามาใส่ไว้ในเจ้ายักษ์ลำนี้ด้วย มันจึงไม่จำเป็นต้องง้อเจ้าหน้าที่เติมอาวุธจากสนามบินไหนๆ ข้อเสียใหญ่ของมันเพียงอย่างเดียว คือ มันไม่เหมาะกับสมรภูมิขนาดเล็ก แม้มันจะไม่เหมาะกับการรบในสมรภูมิเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะใช้ไม่ได้ เราเพียงอยากจะบอกว่าสมรภูมิขนาดเล็กเพียงแห่งเดียวต่างหาก อาวุธของมันเป็นเทคโนโลยีโอเวอร์บูมเมอร์ล้วนๆ ทั้งปืนใหญ่ และขีปนาวุธ ติดตั้งอยู่ทั่วไป มีตั้งแต่ขนาดจิ๋วยันขนาดที่เป็นรองเพียงที่ใช้เป็นหนึ่งในเจ็ดหัวรบใหญ่ของซีดเดอร์เท่านั้น ทำให้มันสามารถยิงถล่มไปยังหลายๆ จุดได้พร้อมๆ กัน และยังยิงทำลายเป้าหมายขนาดกระจ้อยร่อยได้ด้วยเมื่อเทียบกับขนาดของมัน นอกจากนี้มันยังติดตั้งเกราะแบบใหม่ล่าสุดทั้งที่เป็นแผ่นเกราะและเกราะพลังงาน ซึ่งสามารถรับการโจมตีขนาดเศษดินหินทรายยันดาวเคราะห์ยักษ์ได้อย่างสบาย มันจะออกบินในเร็วๆ นี้คอยแหงนหน้ามองท้องฟ้าให้ดี วันดีคืนดีมันอาจจะไปบินอยู่เหนือหลังคาบ้านคุณ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา