Epidemia: Epic World on Fire

7.9

เขียนโดย MiG360Vampire

วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20.33 น.

  25 ตอน
  31 วิจารณ์
  33.63K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) War against the Noble 3 [Part 4]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

2 วันนับจากเริ่มสงคราม ที่ใดที่หนึ่งทางภาคใต้สหภาพเออริคาสตัน เวลาเช้าตรู่ จุดรวมพลกองทัพโนเบิล

 

“รวมพล! รวมพล!”

 

เสียงตะโกนของชายฉกรรจ์ในชุดมาตรฐานของทหารราบติดเครื่องหมายแสดงยศที่สูงกว่าทหารราบทั่วไปดังขึ้นจากกลางค่ายผ่านทางเครื่องขยายเสียงที่ติดตั้งอยู่ทั่วบริเวณ

 

ทันทีที่สิ้นเสียง เสียงเท้าหลายคู่ก็ดังระงมทั้งหนักและเบา ทหารร่วมพันนายต่างรีบวิ่งมายังเวทีที่ชายผู้ที่ประกาศเรียกรวมพลยืนอยู่ รายล้อมเป็นครึ่งวงกลมโดยจัดเป็นกองร้อยอย่างเป็นระเบียบ แล้วเสียงฝีเท้าค่อยๆ เบาลงจนเหลือแต่ความเงียบ

 

นายทหารบทเวทีกวาดตามองไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาร่วมพันคน แล้วเริ่มพูดเสียงดังฟังชัด

 

“ทหาร... วันนี้มีคำสั่งลงมาว่าให้พวกเราเข้ายึดครองจุดยุทธศาสตร์สำคัญจุดนึง สายลับของเรารายงานว่าจุดยุทธศาสตร์จุดนี้เป็นแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่มากแห่งนึงบนดาวดวงนี้ ซึ่งแน่นอนพวกสวะต้องวางกำลังป้องกันไว้อย่างแน่นหนามากและมาโอกาสเป็นไปได้มากที่จะมีพวกซูเปอร์โซลเจอร์ประจำการอยู่ที่นั่นด้วย จริงอยู่ลำพังกำลังของพวกเราแค่ร่วมพันไม่มีทางยึดที่นั่นได้ทางยานธงย่อยจึงมีคำสั่งไปยังกองกำลังของพวกเราที่อยู่รอบๆ พื้นที่เป้าหมายให้ร่วมปฏิบัติการด้วย แล้วก็มีข่าวดี ข่าวดีมากด้วย ในปฏิบัติการครั้งนี้จะมี สตอร์มวอร์ริเออร์ 6 หน่วยร่วมด้วย นับเป็นความผิดพลาดที่น่าให้อภัยที่พวกเขาส่งลงมาช้ากว่ากำหนดจึงไม่ถูกกวาดด้วยลำแสงพิฆาตของพวกสวะ เลาล่ะปฏิบัติการจะเริ่มในอีกราวๆ 2 นาที ขอให้โชคดี ขอองค์เอกกริ๊ซมอบพลังแก่พวกท่าน”

 

นับเวลาย้อนหลังไป 1 ชั่วโมงครึ่ง

 

ภายในเต็นท์รูปโดมหลังหนึ่งที่จุดรวมพลจุดหนึ่งของกองทัพผู้ประเสริฐ นายทหารหลายคนยืนล้อมรอบโต๊ะวางแผนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งฉายภาพสามมิติขึ้นเป็นเป็นรูปหุบเขาแบบละเอียดยิบ

 

ภายในหุบเขามีถ้ำมากมายที่ดูเหมือนจะเป็นเหมืองอะไรสักอย่างหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่แสดงให้เห็นโดยง่ายก็คืออุปกรณ์ทำเหมืองนั่นเอง เหนือหุบเขาขึ้นเป็นมีไจโรเพลนลอยลำอยู่หลายลำทั่วหุบเขา และเหนือขึ้นไปอีกก็มีวัตถุขนาดเล็กรูปร่างเหมือนกระบอกไม้ไผ่สั้นๆ กระจายตัวเป็นวงรอบหุบเขา

 

นายทหารแต่ละคนต่างมีสีหน้าเครียดขรึม ขณะก้มลงมองดูภาพสามมิติ บ้างก็หันไปกระซิบกับคนที่อยู่ข้างๆ บรรยากาศนั้นเงียบกริบ ถ้าไม่นับว่ามีเสียงกระซิบดังเป็นระยะๆ จนกระทั่งนายทหารคนหนึ่งโพล่งขึ้นทำลายความเงียบ

 

“ข้ารู้ว่าพวกท่านคิดอะไรอยู่ เพราะข้าเองก็คิดแบบเดียวกับพวกท่าน”

 

เขาหยุดแล้วถอนหายใจยาวอย่างกลุ้มๆ ก่อนจะพูดต่ออย่างเยือกเย็น

 

“มีแต่ข้อมูลพื้นที่กับเป้าหมาย แต่ไม่มีข้อมูลกำลังของศัตรู เห็นบอกว่ามองจากข้างบนลงมาไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหุบเขาเปล่าๆ ดูท่าทางวัตถุทรงกระบอกพวกนี้จะเป็นหุ่นยนต์ที่ใช้สำหรับสร้างสนามพลังอำพรางไม่ให้มองเห็นจากตำแหน่งสูง เท่าที่สายลับของเรารายงานมากำลังของข้าศึกมีค่อนข้างน้อย แต่ก็ยืนยันไม่ได้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่บ้าง”

 

“ก็เพราะแบบนี้ถึงได้ให้เราโจมตี 7 ทิศพร้อมๆ กัน ซึ่งก็น่าจะพอที่จะยึดทีนี่ได้ แถมยังมีสตอร์มวอร์ริเออร์อีกตั้ง 6 หน่วย แล้วก็กลอรี่ลิเบอเรเทอร์อีก 3 คน”

 

นายทหารหญิงคนหนึ่งพูดอย่างช้าๆ พร้อมรอยยิ้มแห่งความมั่นใจ แต่นายทหารอีกคนก็แย้งขึ้นทันที

 

“แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าฝ่ายนู้นมีซูเปอร์โซลเจอร์อยู่อีกนะ แล้วไม่รู้ว่าจะมีกี่คนด้วย จุดยุทธศาสตร์จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญมาก ถ้าพวกสวะระแคะระคายแผนการของเรา...”

 

เขาหยุดชะงักไป ทำหน้าอึดอัดพลางกวาดตามองไปยังนายทหารทุกคน

 

“พูดต่อไปสิ”

 

นายทหารที่เปิดการสนทนาเอ่ยปากบอก

 

“ที่จริงข้าก็ไม่อยากทำให้เสียขวัญกันหรอกนะ ถ้าหน่วยข่าวกรองของพวกสวะระแคะระคายแผนของพวกเราในเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงพวกเราอย่างน้อย 1 กลุ่มจะถูกถล่มด้วยปืนใหญ่ที่มีพิสัยข้ามทวีปหรือไม่ก็อาวุธปล่อยข้ามทวีป พวกผู้ใหญ่ที่ผ่านศึกครั้งก่อนเล่ากันมาแบบนี้”

 

เมื่อสิ้นเสียงนายทหารหญิงก็หัวเราะออกมาทันทีอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขัน นายทหารทุกคนหันไปมองเธอด้วยความประหลาดใจแต่ในขณะเดียวกันก็มองเธออย่างผู้ใหญ่มองเด็ก

 

“ปืนใหญ่เหรอ ขีปนาวุธเหรอ อาวุธล้าสมัยอายุเป็นร้อยๆ ปีพวกนั้นน่ะเหรอ ถ้าเราจะตายเพราะพวกมันก็คงจะเพราะถูกพวกมันพุ่งลงมาทับตายเท่านั้นแหละ”

 

แล้วเธอก็หัวเราะต่อไปอย่างขบขัน นายทหารที่เตือนเรื่องการถูกถล่มจ้องตานายทหารหญิงผู้กำลังประมาทศัตรูอย่างแรงเขม็ง ก่อนจะเริ่มตวาดออกมา

 

“น่าขำนักรึไง อย่าคิดนะว่ากองทัพพวกสวะเป็นกองทัพล้าสมัย พวกมันไม่ได้ล้าสมัยเลย เราสิ เราแค่ล้ำยุคเท่านั้น ไม่เห็นลำแสงที่มันกวาดสตอร์มวอร์ริเออร์ของพวกเราเกือบหมดเหรอ นั่นแหละอาวุธล้าสมัยอายุเป็นร้อยๆ ปีล่ะ เชิญดูถูกศัตรูซะให้พอใจเถอะ รอให้นรกแตกก่อนเถอะแล้วจะรู้สึก”

 

ก่อนที่จะกลายเป็นการทะเลาะนายทหารหญิงอีกคนก็โพล่งขึ้นห้ามไว้ แล้วพูดต่อไปว่า

 

“ในเมื่อมีคำสั่งลงมาแล้วไม่ว่ายังไงเราก็ต้องปฏิบัติ อย่างน้อยถ้าเราตาย คนที่มาทีหลังจะได้รู้ว่าข้าศึกมีกำลังมากขนาดไหน”

 

ในขณะเดียวกันทางด้านกองทัพเอไพด์เมียร์

 

ฐานทัพแห่งหนึ่งในภาคกลางของเออริคาสตัน ณ เมืองหลวงมอเชน ในห้องวางแผนที่มีบรรยากาศคล้ายๆ กับที่เต็นท์วางแผนของกองทัพโนเบิลที่จุดรวมพลทางภาคใต้

 

“จังค์ยาร์ดเหรอ”

 

เสียงใหญ่ของโทรลวัยกลางคนดังโพล่งขึ้นกลางห้องด้วยความประหลาดใจจนทุกคนที่ทำงานอยู่หันมามองเป็นตาเดียว นายทหารโทรลติดยศนายพลเอกทำหน้าเบ่ ตาจ้องมองไปยังนายทหารดาร์คเอลฟ์ที่มียศต่ำกว่า

 

“แน่ใจเหรอ”

 

เขาถามอีกครั้ง

 

“ครับ หน่วยลาดตระเวนที่ประจำอยู่ในพื้นที่นั้นรายงานมาแบบนี้”

 

นายทหารดาร์คเอลฟ์ตอบเต็มเสียงพร้อมยื่นแผ่นศิลาสีขาวกลมแบนไปข้างหน้าสุดแขนแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือเคาะเบาๆ สองครั้ง จากนั้นภาพที่ดูเหมือนจะถ่ายจากกล้องอะไรสักอย่างหนึ่ง แม้จะไม่ชัดนักแต่เสียงที่ได้มานั้นชัดเจนดีมาก ภาพที่ปรากฏขึ้นมาเป็นภาพของนายทหารโนเบิลยืนอยู่บนเวทีและทหารนับร้อยๆ ยืนล้อมรอบเวที พร้อมกับมีเสียงพูดที่ดูเหมือนจะเป็นเสียงของนายทหารที่ยืนอยู่บนเวที มีความว่า

 

“ทหาร... วันนี้มีคำสั่งลงมาว่าให้พวกเราเข้ายึดครองจุดยุทธศาสตร์สำคัญจุดนึง สายลับของเรารายงานว่าจุดยุทธศาสตร์จุดนี้เป็นแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่มากแห่งนึงบนดาวดวงนี้ ซึ่งแน่นอนพวกสวะต้องวางกำลังป้องกันไว้อย่างแน่นหนามากและมาโอกาสเป็นไปได้มากที่จะมีพวกซูเปอร์โซลเจอร์ประจำการอยู่ที่นั่นด้วย จริงอยู่ลำพังกำลังของพวกเราแค่ร่วมพันไม่มีทางยึดที่นั่นได้ทางยานธงย่อยจึงมีคำสั่งไปยังกองกำลังของพวกเราที่อยู่รอบๆ พื้นที่เป้าหมายให้ร่วมปฏิบัติการด้วย แล้วก็มีข่าวดี ข่าวดีมากด้วย ในปฏิบัติการครั้งนี้จะมี สตอร์มวอร์ริเออร์ 6 หน่วยร่วมด้วย นับเป็นความผิดพลาดที่น่าให้อภัยที่พวกเขาส่งลงมาช้ากว่ากำหนดจึงไม่ถูกกวาดด้วยลำแสงพิฆาตของพวกสวะ เลาล่ะปฏิบัติการจะเริ่มในอีกราวๆ 2 นาที ขอให้โชคดี ขอองค์เอกกริ๊ซมอบพลังแก่พวกท่าน”

 

เมื่อสิ้นสุดทั้งภาพและเสียง โทรลยศนายพลก็หัวเราะร่าออกมาอย่างขบขัน พอสร้างบรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาได้บ้าง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งหัวเราะ

 

“บ้าสิ้นดี หวังสูงเกินไปหน่อยมั้ง ที่นั่นแม้จะมีทรัพยากรเยอะมากก็จริงอยู่ แต่มันก็เป็นพื้นที่หุบเขาที่สลับซับซ้อน ฝ่ายตั้งรับได้เปรียบแทบทุกประตู ถ้าเป็นฉันจะจัดการกับฐานอัลตร้าแคนนอนที่อยู่ไกลกว่า แต่เข้าตีง่ายกว่าก่อน นอกจากมีโอกาสตีได้แล้ว ถ้าตีได้ยังจะยึดปืนใหญ่ของเรามายิงเราเองได้อีก เอาเถอะ ก็ดี ฉันชอบพวกโนเบิลก็ตรงนี้แหละ พวกบ้าเกียรติยศและศักดิ์ศรี ติดต่อซูเปอร์โซลเจอร์ที่ประจำการอยู่ที่นั่นให้หน่อย”

 

ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับเจ้าหน้าที่สื่อสาร

 

“นี่เดสตรอยเยอร์พูดครับ”

 

จอภาพแก้วในห้องวางแผนตรงหน้าของโทรลนายพลแสดงภาพของโทรลหัวเกรียนคนหนึ่งตั้งแต่หัวลงไปจนถึงอก ผิวกายสีเทาเข้ม สวมเสื้อเชิ้ตสีดำ และแว่นตากันแดดบังลมสีดำ ประกอบกับ
โครงหน้าเหลี่ยม และใบหน้าโหดๆ ทำให้ดูเหมือนพวกดาราภาพยนตร์มากกว่าจะเป็นซูเปอร์โซลเจอร์

 

โทรลผู้บังคับบัญชาตาค้างไปบ้างด้วยความอิจฉากับหน้าตาของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่สติของเขาก็ปลุกเตือนเขาขึ้นมาจากเรื่องไร้สาระ แล้วเขาก็เอ่ยปากพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเป็นการเป็นงาน

 

“รู้ใช่มั้ยว่าผมติดต่อคุณเพื่ออะไร เอาล่ะอย่ามากความกันเลย...”

 

เขาชะงัก เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้บางอย่างพลางสายตาก็จับจ้องไปที่แว่นบังลมของผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อนจะชี้หน้าตัวเองบริเวณดั้ง

 

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็นึกขึ้นได้เหมือนกัน จึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นถอดแว่นออก เผยให้เห็นนัยน์ตาสีเขียวมรกต มันก็ยิ่งกระตุ้นผู้บังคับบัญชาของเขาให้เริ่มอิจฉาขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ขอโทษครับ”

 

เดสตรอยเยอร์กล่าวพร้อมยิ้มเห็นฟันที่เรียงเป็นระเบียบอย่างสวยงาม มันยิ่งทำให้ความอิจฉาเพิ่มขึ้นไปอีกจนกระทั่งโทรลยศนายพลเกิดหลุดปากพึมพำออกมาเบาๆ ว่า

 

“อิจฉาหน้าตาแกจริงๆ เลยว่ะ”

 

แล้วเสียงพึมพำเบาๆ นั้นก็เกิดไปเข้าหูของเดสตรอยเยอร์เข้าพอดี แต่ก็เป็นแค่เสียงบ่นเบาๆ เขาจึงเอ่ยถามเพื่อความกระจ่าง

 

“ท่านว่าอะไรนะครับ”

 

“อ่อ เปล่าไม่มีอะไร แค่รู้สึกเหม็นหน้าคนในหน่วยข่าวกรองบางคนเลยเผลอบ่นออกมาเท่านั้นแหละ”

 

ผู้ถูกถามกล่าวปัดอย่างแนบเนียน แต่นายทหารดาร์คเอลฟ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นกำลังอมยิ้มด้วยความขบขัน ดูเหมือนข้อดีของเผ่าพันธุ์ของเขาทำให้เขาได้ยินทุกอย่างที่โทรลทั้งคู่พูดคุยกัน ซึ่งก็ไม่มีใครสังเกต

 

“เข้าเรื่องกันเถอะ คุณคงได้รับรายงานจากหน่วยลาดตระเวนแล้วนะ ผมอยากให้พวกคุณยันพวกมันไว้ให้ห่างจากที่นั่นสักระยะนึง เราจะใช้อัลตร้าแคนนอนถล่มมันให้ยับเป็นจุดๆ ไป หลังจากนั้นกองทัพอากาศจะจัดการที่เหลือเอง เข้าใจใช่มั้ย ผมมีเรื่องจะกำชับกับคุณเท่านี้ ขอใช้โชคดี เลิกติดต่อได้”

 

แล้วภาพใบหน้าของเดสตรอยเยอร์ก็สลายหายไปกับจอแก้ว

 

กลับสู่เวลาปัจจุบัน จุดรวมพลจุดหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดที่กำลังจะเข้าตีจังค์ยาร์ด และเป็นจุดที่นายทหารหญิงผู้มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่ทว่าเรื่องน่ากลัวกำลังจะเกิดขึ้น

 

“เคลื่อนพลได้”

 

เธอตะโกนสั่งผ่านเครื่องมือสื่อสารในยานเกราะแบบลอยเหนือพื้นด้วยพลังแม่เหล็กรูปทรงเพรียวสีขาว ซึ่งไม่ติดอาวุธ เหล่าทหารราบโนเบิลจำนวนร่วมพันนายเริ่มออกก้าวเดินไปเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ โดยมีหุ่นยนต์รบรูปคนตัวยักษ์เดินตามหลัง 3 หน่วย

 

ภายในยานเกราะที่นายทหารหญิงนั่งอยู่นั้นเป็นห้องวางแผนขนาดย่อม โดยมีนายทหารหญิงนั่งเผชิญหน้าอยู่กับหน่วยรบพิเศษเพศหญิงคนหนึ่ง

 

“ผู้การ ข้ามีคำถามอยากจะถามหน่อย”

 

กลอรี่ลิเบอเรเทอร์หญิงเอ่ยถามขึ้นเรียบๆ

 

“ว่ามา”

 

นายทหารหญิงตอบอย่างเรียบๆ

 

“ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีฐานปืนใหญ่โบราณของพวกสวะตั้งอยู่ ทำไมไม่เข้าโจมตีที่นั่นก่อนเพื่อยึดอาวุธของพวกมันมายิงพวกมันเอง”

 

นายทหารหญิงยิ้ม แล้วตอบอย่างภาคภูมิว่า

 

“ก็เพราะเราไม่จำเป็นต้องพึ่งอาวุธของพวกสวะไง พูดถึงเรื่องนี้ ไม่รู้ทำไมฝ่ายเทคโนโลยีกับฝ่ายเสนาธิการรุ่นเก่าๆ บางคนถึงได้จับมือกันทำโครงการกลยุทธ์ของพวกสวะด้วย ทั้งที่สิ่งเหล่านั้นมันเป็นของพวกขี้ขลาดแท้ๆ มีแต่พวกสวะขี้ขลาดเท่านั้นแหละที่จะใช้วิธีลอบกัด”

 

กลอรี่ลิเบอเรเทอร์หญิงหัวเราะร่วนแล้วสวนกลับ

 

“ก็เพราะวิธีลอบกัดไม่ใช่เหรอที่ทำให้พวกมันชนะเราได้ถึงสองครั้ง เพราะพวกมันลอบกัดเราไม่ใช่เหรอกองกำลังจู่โจมของเราถึงได้ถูกเล่นงานย่อยยับไปตั้ง 1 ใน 3”

 

แม้จะเป็นความจริงที่ใครๆ ก็รู้กัน แต่ดูเหมือนจะเป็นคำพูดต้องห้ามสำหรับชาวโนเบิลผู้ประเสริฐ นายทหารหญิงจึงสวนกลับไปอย่างเดือดดาล

 

“ซินเทีย มอร์นิ่งเชด ระวังคำพูดของเจ้าหน่อยนะ เจ้ารู้รึเปล่าว่ากำลังเข้าข้างพวกสวะ”

 

“ข้าพูดผิดตรงไหน ก็เพราะเราเอาแต่คิดว่าตัวเองดีเลิศนี่แหละเราถึงได้พ่ายแพ้เผ่าพันธุ์ที่ต่ำต้อยอย่างพวกสวะไง”

 

ในขณะที่ผู้บังคับการหญิงกำลังโมโห ซินเทียกลับตรงกันข้าม เอาแต่ตอกย้ำประวัติศาสตร์ที่แทบจะยอมรับไม่ได้สำหรับเผ่าพันธุ์ของตน ส่วนนายทหารหญิงก็เอาแต่ตวาดใส่ด้วยโทสะ จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 15 นาที ก็มีเสียงของชายฉกรรจ์ดังขึ้นผ่านลำโพงว่า

 

“เรามาถึงแล้ว แต่ไม่เห็นพวกสวะเลยสักคนเดียว ดูท่ามันจะมีกำลังน้อยกว่าที่เราคาดไว้เยอะ เลยกลัวหัวหดหนีไปหมดแล้วมั้ง เจอกันตรงกลางนะทุกท่า...”

 

ยังไม่ทันได้พูดจบก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นแทรกเข้ามาพร้อมกับเสียงแห่งความโกลาหล ซินเทียเลิกคิ้วยิ้มมุมปากอย่างมีชัยในการเถียง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยๆ ว่า

 

“นี่ไงพวกขี้ขลาดเริ่มเล่นงานเราแล้ว”

 

นายทหารหญิงเงียบ ได้แต่ทำหน้าดุใส่

 

ภายในไม่กี่วินาทีก็เกิดเสียงที่คล้ายเสียงรัวกลองแต่ความถี่รัวน้อยกว่าเล็กน้อยแทรกมาด้วยเสียงดังซ่าๆ ก่อนตามด้วยเสียงเอะอะของทหารจากภายนอกยานเกราะก็ที่ทั้งคู่นั่งอยู่ก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

 

“นรกกำลังจะแตก”

 

ซินเทียพูดเรียบๆ เป็นนัย ในขณะที่ลำโพงมีเสียงแทรกเข้าไปอย่างเบามากๆ แต่ก็พอจับได้ว่า ‘ลูกปืนยักษ์’ สิ้นเสียงเพียงไม่ถึง 3 วินาทีเท่านั้น เสียงหวีดแหลมของวัตถุทรงเรียวที่กำลังร่วงลงจากความสูงดังขึ้นอย่างน่ากลัวราวเสียงโหยหวนจากนรก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกัมปนาถของระเบิดดังมากจนไม่ต้องผ่านลำโพงก็ได้ยิน ซึ่งลำโพงนั้นก็ได้เงียบไปแล้วตั้งแต่เสียงระเบิดตูมแรก แม้จะเตรียมใจมาแล้ว แต่ทั้งซินเทียและนายทหารหญิงต่างขนลุกชูชัน

 

“ปืนใหญ่โบราณ พวกสวะเรียกมันว่า อัลตร้าแคนนอน ขนาดลำกล้อง 3 ไคซ์ (หน่วยตั้งขึ้นเอง มีขนาด 10 นิ้ว หรือ 254 มิลลิเมตร) 4 ลำกล้อง อัตรายิง 800 นัดต่อมานิค (หน่วยตั้งขึ้นเอง เท่ากับ 2 นาที) หลังจากยิงไปแล้ว 80 นัดต้องเปลี่ยนลำกล้องพร้อมบรรจุกระสุนใหม่ใช้เวลาอย่างเร็วก็ราวๆ 20 มานิค เพราะฉะนั้นข้าแนะนำให้บุกเข้าไปให้ได้ก่อนโดนถล่มดีกว่า”

 

ก่อนจะหมดประโยคก็มีการติดต่อเข้ามาอีก คราวนี้เป็นเสียงของชายวัยกลางคน

 

“คิงส์แอทแทกเกอร์ถึงทุกหน่วย ขอให้ฟังทางนี้หน่อย ถึงแม้ข้าอาจจะไม่ควรก็ตาม ในฐานะที่ข้าเคยผ่านศึกครั้งก่อนมา ข้ากับสหายของข้าเคยถูกเล่นงานแบบนี้มาแล้ว ขอให้ข้าเป็นผู้สั่งการเองจะได้รึเปล่า ข้าได้รับความยินยอมจากนายทหารที่อยู่กับข้าแล้ว”

 

เมื่อสิ้นเสียงก็มีเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้นมา

 

“ที่ข้าเห็นด้วยก็เพราะว่า...”

 

ยังไม่ทันจะขาดคำ นายทหารหญิงผู้กำลังโกรธเกรี้ยวอยู่เพราะกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ตรงหน้าก็โพล่งสวนออกไปทันที

 

“เพราะท่านเป็นบุตรชายของเขา... พันโท โรแนน กิลเดอร์โรป ท่านก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าในกองทัพไม่มีพ่อลูก”

 

และแล้วไม่ทันไรก็มีเสียงของนายทหารอีกคนหนึ่งดังเข้ามาอีกว่า

 

“พันเอกหญิง ฮากาเนะ โอนิคามะ ท่านใช้เหตุผลหน่อย จริงอยู่ พันโท โรแนน กิลเดอร์โรป กับ คิงส์แอทแทกเกอร์ เป็นพ่อลูกกัน แต่ก็จริงเหมือนกันที่ คิงส์แอทแทกเกอร์มีประสบการณ์มากที่สุดในหมู่พวกเรา เพราะฉะนั้น ข้าเห็นด้วยกับคิงส์แอทแทกเกอร์ที่จะให้เขาเป็นคนสั่งการ ตัดสินใจกันเถอะทุกคน เวลามีไม่มาก รีบตัดสินใจก่อนจะหมดเวลา 20 มานิค เกิดอะไรขึ้นข้ารับผิดชอบเอง”

 

เมื่อสิ้นเสียง ทุกอย่างก็เงียบลงอีกครั้ง ยกเว้นแต่ภายในยานเกราะที่สองหญิงต่างมุมมองนั่งเผชิญหน้ากันอยู่

 

“ตาแก่ขี้เมานั่นน่ะเหรอ อย่าหวังเลย”

 

ฮากาเนะพูดกระชาก สะบัดหน้าหนี เอามือกอดอก แล้วนั่งไขว่ห้าง ซินเทียยิ้ม พลางหัวเราะในใจอย่างเห็นเป็นเรื่องขบขันทั้งที่กำลังอยู่ในสถานการณ์คอขาดบาดตาย ด้วยเวลาทุกๆ ประมาณ 40 นาที ห่าฝนมรณะจะโปรยปรายลงมาทำลายล้างทุกสิ่งในขอบเขตตำบลของมัน

 

“ข้าเคยได้ยินข่าวลือจากหน่วยข่าวกรองลือกันว่าพวกสวะพัฒนาปืนใหญ่โบราณขึ้นไปอีก ขนาด 5 ไคซ์ ใช้เวลาเปลี่ยนลำกล้องกับบรรจุกระสุนน้อยลง ได้ยินชื่อก็ขนลุกแล้ว อะไรสัตวประหลาดเนี่ยแหละ”

 

ในระหว่างที่กำลังรอเสียงโหวตอยู่นั่น ซินเทียก็พูดอะไรไปดูเหมือนจะเรื่อยเปื่อยอย่างชัดถ้อยชัดคำ จงใจให้ ฮากาเนะ ได้ยินเต็มๆ รูหู

 

ชื่ออาวุธใหม่ที่นายทหารหญิงผู้กำลังโกรธเกรี้ยวได้ยิน ทำให้เธอขนลุกขึ้นมาจริงๆ ...ปืนใหญ่สัตวประหลาด... เธอคิด แต่ก็ยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว ซินเทียเพิ่มความสยองเข้าไปด้วยการพรรณนาเอกลักษณ์

 

“เวลามันรัวกระสุนออกมา มันมีเสียงเหมือนปีศาจกำลังคำรามอย่างเกรี้ยวกราด แม้จะอยู่ห่างไกลเป็นร้อยเทอริน (หน่วยตั้งขึ้นเอง มีขนาดเท่ากับ 700 เมตร) ก็ยังได้ยินเสียงคำรามของมันลอยแว่วมาเข้าหู เมื่อมันตกลงกระทบพื้นที่เป้าหมาย ต่อให้ไม่ได้ยินเสียง แต่ก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนราวแผ่นดินไหว ข้าได้ยินเขาเล่ากันมาแบบนี้ ถ้ารุ่นพี่ของมันทำได้ขนาดนี้ แล้วรุ่นน้องของมันจะขนาดไหน แต่ไม่ต้องกลัว ต่อให้มันใหญ่ขนาดไหนแต่ถ้าเราเข้ายึดพื้นที่เป้าหมายได้พวกสวะไม่มีทางยิงใส่เราในพื้นที่นั้นเด็ดขาด แต่ถ้าจะมีการโจมตีทางอากาศหรือมาจากใต้ดินก็ไม่แน่”

 

ภายใต้หมวกรบ ตาสีเขียวอ่อนของฮากาเนะเหล่มามองซินเทียด้วยความสนใจในขณะเดียวกันก็ด้วยความสยองกับคำพรรณนา แล้วเธอก็หันหน้ามาเหมือนเดิมก่อนให้คำตอบเห็นด้วยกับการโอนย้ายการบัญชาการไปยังกลอรี่ลิเบอเรเทอร์อาวุโส

 

ภายในเวลาไม่เกิน 10 นาที นายทหารที่เหลืออยู่ทุกนายก็ให้คำตอบเห็นด้วยกว่าครึ่ง คิงส์แอทแทกเกอร์จึงเริ่มออกคำสั่งแรก ผ่านไปยังอุปกรณ์สื่อสารทุกตัวในชุดรบของทหารทุกนาย

 

“คิงส์แอทแทกเกอร์ถึงทุกหน่วย ผู้บัญชาการของพวกท่านทุกคนโอนอำนาจสั่งการหลักมาที่ข้าแล้ว ตั้งแต่ตอนนี้จนจบภารกิจ ข้าจะเป็นคนออกคำสั่งเอง และคำสั่งแรกคือ พวกเรามีเวลาไม่ถึง 20 มานิคที่จะบุกเข้าไปในพื้นที่เป้าหมายให้ได้ ก่อนที่จะถูกปืนใหญ่ของพวกสวะถล่ม ขอให้ทุกหน่วยจัดทีมกันเอง ทีมละอย่างน้อย 4 คน คอยเฝ้าระวังรอบๆ ตัว ถ้าพบบริเวณต้องสงสัยหรือสงสัยบริเวณที่จะมีข้าศึกหรือกับดักของข้าศึกซุ่มอยู่ให้ยิงได้ทันที แต่ระวังกับดักบางประเภท ที่พวกมันต้องการให้เราทำลาย มีจุดสังเกตคือ มันจะวางเอาไว้ให้เราเห็น แม้จะเห็นยากแต่ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะเห็นได้...”

 

ทว่ายังไม่ทันได้สั่งความจบ ก็มีเสียงคัดค้านแทรกเข้ามา เป็นของพันเอกหญิง ฮากาเนะ โอนิคามะ นั่นเอง

 

“ระดมยิงไปตรงบริเวณที่น่าสงสัยเหรอ มันวิธีของคนขี้ขลาดชัดๆ”

 

คิงส์แอทแทกเกอร์ไม่สนใจกับคำคัดค้าน เขายังคงสั่งการต่อไป

 

“ปฏิบัติการครั้งนี้เราประมาทไม่ได้ อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะเป็นคนขี้ขลาด เพราะในการรบถ้าเราไม่คิดแบบที่ศัตรูคิด แต่ศัตรูคิดแบบที่เราคิด เราจะแพ้ แต่ถ้าเราคิดอย่างที่ศัตรูคิด แม้ศัตรูจะคิดเหมือนเรา มันก็จะขึ้นอยู่กับว่าใครจะหัวดีกว่ากัน ดำเนินปฏิบัติการต่อได้แล้ว เวลาหมดลงเรื่อยๆ แล้วเร็วๆ เข้า”

 

เมื่อสิ้นเสียงของผู้บังคับการคนใหม่ นักรบทุกคนก็ลงมือปฏิบัติการในทันที รูปขบวนแถวที่เป็นระเบียบได้กลายเป็นรูปขบวนที่ไม่เป็นระเบียบ ทหารแต่ละคนหันหน้าเข้าหาคนที่อยู่ใกล้ๆ แล้วแยกออกมาเป็นกลุ่มช่วยกันสอดส่องบริเวณต้องสงสัย

 

การดำเนินการเป็นไปได้ไม่นาน คิงส์แอทแทกเกอร์ก็ประกาศสั่งความออกมาอีกว่า

 

“อ่อ อีกอย่างนึง ระวังกับดักระเบิดที่ฝังไว้ใต้ดินด้วย ได้ใครเหยียบเข้าละก็รับรองว่าศพไม่สวยแน่ นอกจากนี้ยังมีระเบิดแบบต่อต้านยานเกราะ แม้พลเดินเท้าไปเหยียบเข้าจะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าล้อของยานพาหนะเกิดไปแล่นทับหรือเซนเซอร์ของกับดักจับได้ว่ามีพลังงานอะไรก็ตามที่ทำให้ยานพาหนะนั้นลอยเหนือพื้นมันจะทำงาน หลังจากนั้นสิ่งที่เลวร้ายน้อยที่สุดก็ยานพาหนะจะต้องออกจากสนามรบ ถ้าเป็นยานเกราะที่หนักที่สุดที่ร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย ถ้าโชคดีหน่อยก็น่าจะเหลือแต่ท่อนบน ขอให้โชคดี”

 

แม้จะไม่ได้เห็นด้วยตา แต่กลอรี่ลิเบอเรเทอร์ผู้มากประสบการณ์ที่สุดในกองกำลังทั้งหมดที่ร่วมปฏิบัติการก็สัมผัสได้ถึงความระแวงที่หนักกว่าเก่าของผู้ใต้บังคับบัญชาชั่วคราว ทางด้านกองกำลังด้านตะวันตก ยานเกราะลอยเหนือพื้นที่ใช้เป็นศูนย์สั่งการเคลื่อนที่บริเวณกลางขบวน ซึ่งเป็นคันที่คิงส์แอทแทกเกอร์กำลังนั่งอยู่กับบุตรชายของเขา

 

“พ่อ...”

 

โรแนนเอ่ยเรียกขึ้นสั้นๆ ผู้เป็นพ่อก็เอ่ยเตือนขึ้นทันที

 

“พันโทกิลเดอร์โรป อย่างที่พันเอกหญิงโอนิคามะบอกนั่นแหละ ในกองทัพไม่มีพ่อลูก ขอให้ท่านระลึกไว้ตลอดด้วย”

 

“ทราบแล้ว คิงส์แอทแทกเกอร์ ว่าแต่ท่านแน่ใจเหรอว่ากองกำลังของพวกเราแค่นี้จะเข้ายึดพื้นที่เป้าหมายได้”

 

โรแนนถามด้วยความไม่มั่นใจ แต่คิงส์แอทแทกเกอร์กลับหัวเราะออกมาอย่างคนที่มั่นใจเต็มเปี่ยมก่อนตอบกลับอย่างเรียบๆ

 

“ตามที่ข้าได้คำนวณไว้อย่างคร่าวๆ นะ หน่วยสตอร์มวอร์ริเออร์ทั้งหมดของเราจะถูกทำลายย่อยยับตั้งแต่เริ่มเหยียบเข้าแนวป้องกันชั้นที่สอง...”

 

“แนวป้องกันชั้นที่สองเหรอ ท่านรู้ได้ยังไง”

 

โรแนนถาม

 

“ใช่ แนวป้องกันชั้นที่ 2 ที่ข้ารู้ก็เพราะว่า สงครามครั้งก่อนพวกเราเคยบุกเข้าโจมตีที่นี่มาแล้ว ถ้าตลอดเวลา 400 กว่าปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงละก็ การป้องกันทั้งหมดจะมีอยู่ 4 ชั้น ได้แก่ ชั้นแรก ก็ดงกับดักที่เรากำลังผ่านกันอยู่นี่แหละ ถ้าทายไว้ไม่ผิด ไม่ช้าก็เร็วก่อนที่จะเข้าถึงแนวป้องกันชั้นที่ 2 ต้องมีใครถูกระเบิดตายแน่นอ...”

 

ยังไม่ทันจะขาดคำ สองพ่อลูกก็ได้ยินเสียงระเบิดดังกึกก้องขึ้นที่ตำแหน่งเบื้องหน้า โรแนนเคลื่อนตัวไปตรงหลังห้องพลขับเปิดฝาทางเข้าออกออกก่อนโผล่หัวขึ้นดูเหตุการณ์ ทันทีที่เปิดฝาออก เขาก็ได้ยินเสียงทหารของเขากำลังตื่นตระหนก เมื่อโผล่หัวขึ้นไป ก็พบกับกลุ่มฝุ่นควันลอยขึ้นจากหัวขบวน นายทหารหนุ่มยศพันโทกลืนน้ำลายลงคออย่างหวาดเสียวแล้วย่อตัวหดหัวกลับเข้ามาในยานเกราะตามเดิมพร้อมปิดฝา

 

“เคลื่อนที่ต่อไป ลากศพไปไว้ข้างทาง เอาไว้แจ้งให้พวกข้างหลังมาจัดการ”

 

กลอรี่ลิเบอเรเทอร์ผู้มากประสบการณ์สั่งการออกไปอย่างเย็นชา มันพอดีกับที่บุตรชายของเขากลับมานั่งที่เดิม ซึ่งดูเหมือนพอจะเข้าใจเหตุผลที่พ่อของเขาสั่งการออกแบบนั้น

 

“แล้วยังไงล่ะครับ”

 

โรแนนทวงเรื่องเล่าประสบการณ์ของผู้เป็นพ่อ

 

“แนวป้องกันชั้นที่ 2 ทหารราบกับยานเกราะที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา แต่ติดอาวุธหนักจะซุ่มซ่อนตัวอยู่ในภูมิประเทศที่เป็นหุบเขาดักรอเล่นงานทุกอย่างที่เห็น ข้างหน้าของพวกมันจะเป็นลานโล่งกว้าง เป็นลานประหารชั้นแรก พวกนั้นสามารถระดมยิงใส่เราได้แทบจะฝ่ายเดียว การจะเจาะเข้าไปต้องอาศัยอาวุธหนักอย่างสตอร์มวอร์ริเออร์ ชั้นที่ 3 เป็นช่องเขาสลับซับซ้อน มีอุโมงค์ทำเหมืองล้อมอยู่รอบตัวเรา พวกสวะจะโจมตีเราแบบผลุบๆ โผล่ๆ ด้วยอาวุธชนิดต่างๆ สร้างความสับสนเป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าพวกมันหายตัวไปโผล่อีกที่ได้ตามใจนึก นอกจากนี้ยังมีแท่นปืนอัตโนมัติซ่อนอยู่อีก และชั้นที่ 4 กองกำลังของเราจะออกปากทางแคบๆ ซึ่งพวกสวะวางกำลังดักรอเรา ซึ่งหมดสภาพเต็มที”

 

“แล้วท่านรอดมาได้ยังไง”

 

“ก็เพราะว่าข้าอยู่แถวหลังๆ เลยไง เกือบจะเอาตัวไม่รอดแล้ว ดีที่สมัยนั้นมีกบฏที่ยอมรับในวิถีของเราเข้าช่วยเหลือเราไว้ ข้าถึงได้รอดมานั่งเล่าให้เจ้าฟังได้ไง”

 

โรแนนผิวปากหวือแล้วย้ำถามอีกครั้งว่า

 

“แล้วท่านมั่นใจรึเปล่าว่าเราจะยึดพื้นที่เป้าหมายไว้ได้”

 

คิงส์แอทแทกเกอร์หัวเราะออกมา แล้วตอบกลับอย่างคนมีประสบการณ์สูง

 

“ไม่มั่นใจนักหรอก เพราะถ้าข้าเป็นผู้บังคับบัญชาของพวกสวะ ตลอดเวลาสี่ร้อยกว่าปีมานี่ข้าจะวิเคราะห์กลยุทธ์ของพวกเราแล้วจัดการหาวิธีแก้ทางให้หมดทุกจุด แต่เท่าที่ดูในตอนนี้กองทัพของเราไม่ค่อยจะพัฒนาอะไรเท่าไหร่ในด้านกลยุทธ์ พวกนายพลหนุ่มๆ รุ่นใหม่ที่มีความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ โดนผู้ใหญ่กดหัวด้วยเหตุผลที่ว่ายุทโธปกรณ์ในครั้งก่อนยังไม่ดีพอ ฝ่ายเทคโนโลยีจึงได้แต่พัฒนายุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น แต่การใช้งานยังคงเดิม แต่ยังไงก็ตามยังดีเหมือนกันที่ผู้ใหญ่บางคนเป็นคนมีหัวคิดกว้างไกลถึงได้มีคำสั่งให้ฝ่ายกลยุทธ์กับฝ่ายเทคโนโลยีร่วมกันพัฒนายุทโธปกรณ์ที่จะใช้ในสงครามแบบพวกสวะ แต่กองกำลังของพวกเราในตอนนี้ไม่ได้มีพวกอาสาทดสอบมาด้วย เพียงแต่มีคนประสบการณ์สูงอย่างข้าร่วมมาด้วยเท่านั้น แต่มันก็ตั้งสี่ร้อยกว่าปีแล้ว ข้ากล้าพนันหมดตัวเลยว่าตอนนี้แนวป้องกันของพวกสวะจะแข็งแกร่งมากจนเราเจาะเข้าไปไม่ได้เลยด้วยมั้ง แต่ยังไงก็ต้องลองดูสักตั้ง...”

 

แล้วคิงส์แอทแทกเกอร์ก็โน้มตัวไปข้างหน้าในขณะที่กวักมือเรียกให้บุตรชายยื่นหน้าเข้ามาก่อนจะพูดด้วยเสียงกระซิบ

 

“แต่ถึงยังไงก็ตามข้าได้วิเคราะห์กลยุทธ์ของพวกสวะเอาไว้หมดแล้ว ด้วยกองกำลังของเราตอนนี้ถ้าข้าไม่สั่งการผิดพลาด ปฏิบัติการครั้งนี้อาจจะประสบผลสำเร็จ จะเอากับข้าด้วยมั้ย โรแนน”

 

ฝ่ายลูกชายยิ้มอย่างเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม แล้วตอบกลับด้วยเสียงกระซิบเช่นเดียวกัน

 

“งานนี้ถึงไหนถึงกันครับพ่อ”

 

คิงส์แอทแทกเกอร์ไม่พูดอะไรต่อ ทั้งคู่กลับไปที่ท่านั่งปกติ

 

ในขณะเดียวกันทางฝ่ายที่เฝ้ารอการมาของศัตรูที่ถือตัวเป็นผู้ประเสริฐ ย้อนเวลาไปเมื่อก่อนที่จะมีการกระหน่ำลูกปืนยักษ์

 

โทรลผู้มีรูปลักษณ์หล่อเข้มราวดาราภาพยนตร์กำลังนั่งชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น โดยบนไหล่แบกเครื่องยิงจรวดแบบสี่ท่อเอาไว้ข้างละเครื่อง นัยน์ตาสีเขียวมรกตมองผ่านแว่นกันแดดบังลม ซึ่งที่แท้จริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งที่ทำงานร่วมกับเครื่องยิงจรวด

 

“กองกำลังโนเบิลส่วนนึงกำลังใกล้เข้ามาแล้วครับ”

 

ทหารฮ็อบบิทนายหนึ่งพูดขึ้นขณะกำลังส่องกล้องส่องทางไกลในท่านอนหมอบ

 

“เชื่อมต่อภาพเข้ากับแว่นฉันให้หน่อย รหัสเชื่อมต่อ เอสเอส510092”

 

เดสตรอยเยอร์พูดกับทหารฮ็อบบิทนายนั้นอย่างเรียบๆ

 

“ทราบแล้วครับ”

 

ตอบเสร็จเขาก็กดไปที่ด้านบนของแผงระหว่างลำกล้องทั้งคู่ก่อนจะมีจอแอลซีดีขนาดจิ๋วเปิดขึ้นมาด้านล่างเป็นปุ่มเหมือนโทรศัพท์ เขากดมันอย่างคล่องแคล่ว ป้อนรหัสที่ได้รับมา

 

เมื่อกดรหัสเสร็จเขาก็ปิดจอลงตามเดิม ที่แว่นของซูเปอร์โซลเจอร์โทรลมาดเข้มปรากฏเป็นภาพของขบวนทหารในชุดรบสีดำหุ้มทั้งตัวเดินกันมาอย่างเป็นระเบียบ ไกลออกไปเป็นยานหุ่มเกราะลอยเหนือพื้นตามมาด้วยขบวนพลเดินเท้าอีกก่อนจะปิดท้ายด้วยหุ่นยนต์รบตัวเท่าตึก 5 ชั้น 3 หน่วย เดสตรอยเยอร์ยิ้มออกมาด้วยความพอใจก่อนจะสั่งการไปยังทหารสองนายที่ประจำปืนครกอยู่ว่าให้ยิงไปยังตำแหน่งใด

 

พลประจำปืนครกรับทราบแล้วปรับมุมยิงอย่างรวดเร็วก่อนยิงออกไปเสียงแตกๆ ดังป๊ะ

ภาพที่โทรลมาดเข้มเห็นก็คือ กระสุนปืนครกลอยไปตกยังตำแหน่งท้ายขบวนอย่างแม่นยำ เรียกความสนใจได้ไม่น้อย จากนั้นเจ้าตัวจึงกดไกซัลโวจรวดออกไปทั้งหมด 8 นัด ภาพที่เห็นต่อมา คือ จรวดทั้ง 8 นัดพุ่งไปยังตำแหน่งเหนือหัวของขบวนพลเดินเท่าแถวหน้าๆ กระจายกันออกไปก่อนระเบิดออกมาเป็นลูกไฟแผ่กระจายออกย่างสดเหล่าผู้ประเสริฐ สร้างความโกลาหลให้กับกองกำลังของข้าศึกเป็นอย่างมาก ซึ่งในขณะนี้พวกเขาได้หยุดอยู่กับที่แล้ว เดสตรอยเยอร์ไม่รอช้า รีบดำเนินตามแผนที่ผู้บังคับบัญชาของเขาได้เตรียมไว้ทันที เขาติดต่อไปยังที่ที่หนึ่งผ่านทางอุปกรณ์สื่อสารหน้าตาเหมือนโทรศัพท์มือถือที่ทหารซึ่งเป็นมนุษย์ครึ่งสิงโตเป็นผู้ยื่นให้

 

“เดสตรอยเยอร์ถึงธรณีพิโรธ เป้าหมายอยู่กับที่แล้ว ย้ำเป้าหมายอยู่กับที่แล้ว”

 

“ธรณีพิโรธ ทราบแล้วเดสตรอยเยอร์ จะทำการยิงเดี๋ยวนี้ เลิกกัน”

 

สิ้นเสียงได้ไม่นาน ก็มีเสียงแบบเดียวกับที่ทหารหญิงแห่งกองทัพผู้ประเสริฐในยานหุ้มเกราะได้ยินล่องลอยมาแต่ไกล

 

โดยไม่ต้องพึ่งภาพที่ผ่านการขยายก็สามารถมองเห็นหัวกระสุนปืนหน้าตัดขนาด 76.2 เซนติเมตรหลายนัดลอยมาแต่ไกลในรูปขบวนสะเปะสะปะก่อนจะย้อยโค้งลงยังพื้นที่เป้าหมายที่เต็มไปด้วยกองกำลังฝ่ายข้าศึกเกิดเป็นเสียงหวีดหวือ เมื่อกระสุนนัดแรกตกลงกระทบพื้นก็เกิดเสียงดังสนั่น ตามด้วยนัดต่อๆ มาเกิดเป็นเสียงตูมตามบูมบาม พื้นดินที่เหยียบยืนกันอยู่ก็ส่งผ่านคลื่นแผ่นดินไหวมาให้ได้รับรู้กันทุกครั้งที่กระสุนแต่ละนัดตกกระทบและระเบิดออก ภาพที่เห็นคือพื้นที่ที่เป็นป่าบางๆ ถูกระเบิดต้นไม้ถอนรากหักสะบั้น ฝุ่นฟุ้งกระจายลอยขึ้นบนอากาศและกระจายออกเป็นวงกว้างจากแรงระเบิด

 

หลังการระดมยิงฝนลูกปืนยักษ์ภาพที่เห็นต่อมา คือ ฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจายเริ่มเบาบางลงจนเริ่มจะมองเห็นอะไรได้บ้าง จนเมื่อมันเบาบางลงจนเห็นอะไรชัดเจน พื้นที่เป้าหมายของปืนใหญ่โบราณเละเทะราวพายุนับสิบๆ ลูกพัดผ่านในคราวเดียว พร้อมกับมีเศษดาวเคราะห์น้อยร่วงใส่ ทุกคนจับกล้องส่องทางไกลขึ้นดูภาพที่เห็น คือ ซากศพของพลเดินเท้าในสภาพที่ไม่มีร่างไหนครบสมบูรณ์เกลื่อนกราดอยู่ทั่วไปหมดราวกับขนมาทางอากาศแล้วเทลงมา ยานหุ้มเกราะอันเป็นศูนย์สั่งการเคลื่อนที่บัดนี้กลายเป็นเศษชิ้นส่วนชิ้นเล็กๆ กระจัดกระจายเกลื่อนกราดไปหมด สตอร์มวอร์ริเออร์ ทั้ง 3 หน่วยบัดนี้เหลือแต่ซากที่พอจะดูออกว่าเป็นซากของอะไร

 

เดสตรอยเยอร์คว้าอุปกรณ์สื่อสารจากซองที่เอวของมนุษย์ครึ่งสิงห์โตขึ้นรายงานผลกลับไปยังฐานปืนอัลตร้าแคนนอนทันที

 

“เดสตรอยเยอร์ถึงธรณีพิโรธ เป้าหมายถูกทำลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ย้ำ เป้าหมายถูกทำลายร้อยเปอร์เซ็นต์”

 

“ธรณีพิโรธ ทราบแล้วเดสตรอยเยอร์ ธรณีพิโรธถึงจังค์ยาร์ด อีก 40 นาทีเราจะพร้อมยิงอีกครั้ง เลิกกัน”

 

เมื่อสิ้นสุดการติดต่อ ซูเปอร์โซลเจอร์โทรลมาดเข้มคืนเครื่องมือสื่อสารกลับไปให้ผู้รับผิดชอบ ก่อนจะเก็บเครื่องยิงจรวดกลับเข้าคลังแสงพกพา ซึ่งเป็นกระเป๋าเป้ที่สะพายไว้บนหลัง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังกลับพร้อมกับทหารทุกนายที่อยู่ใกล้ๆ ว่า

 

“ไปเสริมที่จุดอื่นกันเถอะ”

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังรีบวิ่งไปนั้นภายในเวลาไม่กี่นาทีพวกเขาก็ได้รับรายงานอันเหลือเชื่อด้วยน้ำเสียงที่ฟ้องถึงความประหลาดใจสุดขีดเข้ามาว่า

 

“โจ๊กเกอร์ถึงทุกหน่วย พวกนายต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าเราเห็นอะไร พวกโนเบิลกำลังจัดกันเป็นกลุ่มๆ เดินกวาดกับดักของเรา”

 

ทันทีที่สิ้นเสียงก็มีเสียงรายงานเข้ามาอีกว่า

 

“เครซี่ฮีโร่ถึงโจ๊กเกอร์ พวกเราเชื่อแกว่ะ พวกโนเบิลกำลังเดินทำลายกับระเบิดเราจริงๆ”

 

“พวกโนเบิลมีอายุขัยยืนยาวกว่าพวกเรามาก ไม่แน่ในกองกำลังทั้งหมดที่จะโจมตีเรามีคนที่ศึกษากลยุทธ์ของพวกเรามาเป็นอย่างดีร่วมมาด้วย”

 

คราวนี้เป็นเสียงใสของผู้หญิงที่ฟังดูตื่นเต้น แต่โจ๊กเกอร์ก็แย้งว่า

 

“เป็นไปไม่ได้หรอก พวกโนเบิลผู้ดีจัดจะตายไป ขนาดมีโอกาสเล่นงานผู้บัญชาการของฝ่ายเราตั้งหลายครั้งยังไม่ทำเลย แล้วก็มักจะถือว่าการระวังตัวจัดเป็นการกระทำของคนขี้ขลาดด้วย ถ้าจะให้ฉันเดาละก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นทหารผ่านศึก”

 

“ทหารผ่านศึกเหรอ มีเหตุผลดีนะ พวกแม่ทัพทั้งหลายไม่ได้มาเจอนรกแบบทหารเลวไม่รู้หรอกว่ามันเป็นยังไง รบกับโนเบิลก็ดีแบบนี้แหละ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกลอบโจมตี แต่คงจะมียกเว้นรายนี้แหละ”

 

เครซี่ฮีโร่เอ่ยอย่างเห็นด้วยแล้วหัวเราะในตอนท้ายอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุก

 

“เออ ขอให้เรียงหน้ากันเข้ามาเลย ฉันจะเอาจรวดหัวโอเวอร์บูมเมอร์ระเบิดมันให้เรียบเลย”

 

ผู้พูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมคือเดสตรอยเยอร์ แต่ก็ต้องประสบกับคำปรามาสของโจ๊กเกอร์

 

“ฉันว่าแกใช้เวทมนตร์โจมตีใส่พวกมันจะได้ผลกว่ามั้ง พอพวกมันเห็นจรวดของแกมาแต่ไกลมันก็จะพากันเปิดสนามพลังคลุมตัวกันหมดแล้ว”

 

“แล้วจะได้รู้กัน เลิกกัน”

 

โทรลมาดเข้มตัดบทอย่างง่ายๆ แล้วยุติการติดต่อไป 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา