นักสืบชิดชัยกับคดีฆาตกรรมปริศนา

7.7

เขียนโดย miracle

วันที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 01.07 น.

  10 chapter
  18 วิจารณ์
  21.44K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) กำเนิดนักสืบคิด ตอนที่ 5 หนี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ


มนุษย์ เมื่อปราศจากเลือดเนื้อ เสียงหัวใจ และจิตวิญญาณ ก็เป็นเพียงร่างที่ไร้แม้แต่กลิ่นอายของความมีชีวิต ร่างที่ไร้วิญญาณของก้อยที่อยู่ตรงหน้าผมทำให้ผมรู้สึกหมดสิ้นทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกของอิสรภาพ กลับจมดิ่งลงไปในห้วงของความกลัว ความเสียใจ เพราะตอนนี้ผู้หญิงที่มาเกี่ยวข้องกับผมนั้นโดนฆาตกรรมโหดไปแล้วถึงสองคน ต่อไปจะเป็นใครนะ ต่อไปมันจะฆ่าใครอีก ไอ้โรคจิตนั่นมันต้องการอะไรจากผมกันแน่ ผมไปทำอะไรให้มันโกรธ หรือเคียดแค้นอะไรนักหนา ขาผมอ่อนแรง และทรุดลงตรงหน้าศพของก้อย แต่สายตาของผมยังคงจ้องมองร่างที่ไร้วิญญาณร่างนี้อยู่ และผมพยายามหลีกเลี่ยงดวงตาของก้อยคู่นั้นที่เหมือนกับจะมองผมอยู่ตลอดเวลา ในใจผมรู้สึกผิดและเสียใจกับการตายของก้อยมาก ถ้าไม่ใช่เพราะผม ก้อยคงไม่ตาย


ผมพยายามตั้งสติ และพยายามสลัดความกลัวที่มีอยู่ทั้งหมดทิ้งไป ตอนนี้ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่าง โทษที่ผมจะได้รับมีเพียงอย่างเดียวนั่นคือโทษประหาร แล้วไอ้ฆาตกรโรคจิตนั่นมันก็จะยังคงลอยนวล และหาเหยื่อคนที่สอง คนที่สามมาเป็นแพะรับบาปให้มันไม่มีวันจบสิ้น


ผมมองไปรอบๆห้อง สังเกตสิ่งที่จะนำมาเป็นหลักฐานเพื่อหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายผมใน ครั้งนี้ ห้องของก้อยถูกรื้อจนไม่มีชิ้นดี มองไปทั่วๆ เห็นกระเป๋าก้อยวางอยู่ที่พื้นข้างๆฟูกที่ผมนอน ผมไม่รอช้า หยิบกระเป๋าของก้อยขึ้นมาเทของที่มีอยู่ข้างในออกมาจนหมด ค้นหาหลักฐานที่อาจจะหลงเหลือ ผมเก็บโทรศัพท์มือถือของก้อยไว้ เผื่อจะได้ใช้โทรหาหนุ่ยได้ เพราะผมคาดว่าตอนนี้ตำรวจคงจะหาทางดักฟัง โทรศัพท์ของผมได้แล้ว พูดถึงหนุ่ยแล้ว ผมก็เริ่มเป็นห่วงเพื่อนขึ้นมาในทันใด ถ้าหนุ่ยเป็นอะไรไปอีกคนผมคงไม่มีทางรอดแน่ๆ


ผมเดินกลับไปที่ ศพของก้อยพยายามมองหาหลักฐานที่เหลืออยู่อย่างละเอียด ยิ่งดูร่างของก้อย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความวิปริต อุบาท ชาติชั่วของไอ้ฆาตกรรายนี้ ดวงตาที่เปิดกว้างของก้อยที่มองมาทางผมนั้นถ้ามองให้ดีจะเห็นว่าไอ้โรคจิต นั่นมันจงใจทางกาวไว้ไม่ให้เธอหลับตาขณะมันกำลังดื่มด่ำไปกับความสะใจในขณะ ที่มันลงมือชำแหละ ร่างของเธอ แต่ผมยังแปลกใจที่ว่าปากของเธอไม่มีรอยผ้าเทปปิดเหมือนในกรณีของเมย์คนรัก ของผม ผมสันนิษฐานว่า มันคงจะบอกกับเธอให้เงียบ ไม่งั้นมันจะกระซวกท้องเธอด้วยมีดปลายแหลมก็เป็นได้ เพราะผมพบมีหั่นสเต็กด้ามยาวตกอยู่ที่บริเวณข้างๆร่างของเธอ ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามือขวาของผมเต็มไปด้วยเลือดที่แห้งแล้ว ไม่ต้องคิดเลยว่ามีดเล่มนั้นจะต้องมีรอยนิ้วมือของผมอยู่แน่นอน ผมเหลือบมองไปเห็นที่มือขวาของก้อยกำอะไรไว้อยู่ ผมจึงพยายามคลายมือของเธอออกเพื่อจะได้นำสิ่งที่เธอกำอยู่ออกมา แต่เพราะเธอตายมานานกว่าสองสามชั่วโมงเห็นจะได้ ศพจึงเริ่มแข็งตัว ผมใช้แรงง้างนิ้วและกระดาษที่เธอกำอยู่ออกมา พบเป็นเศษกระดาษที่ฉีกออกมาจากหนังสือพิมพ์ Sydney morning Herald อ่านได้ใจความว่า


"for the most wanted of an International Union of Native species of Australia…"


ณ ตอนนี้ผมยังไม่เข้าใจความหมายของมันว่าก้อยต้องการจะสื่ออะไรถึงผมกันแน่ แต่มันต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อจะบอกอะไรกับผมสักอย่างเป็นแน่ ผมจึงเก็บใส่กระเป๋าสตางค์ไว้เป็นอย่างดี ณ ตอนนี้ผมคงต้องไปแล้ว ต้องหนีอีกครั้งแล้ว และการหนีคราวนี้ อาจจะเป็นการหนีครั้งสุดท้ายของผมก็เป็นได้ เพราะถ้าไม่ถูกจับก่อน ผมจะต้องหาไอ้ฆาตกรรายนี้ให้ได้ ผมเก็บของทั้งหมดใส่ในกระเป๋าสะพาย เก็บเสร็จผมก็หันไปหาร่างของก้อย


"พี่ก้อย ผมสัญญา ผมจะต้องหาไอ้ฆาตกรที่ฆ่าพี่ก้อยให้ได้ ไม่ว่ามันจะเป็นใคร ไม่ว่ามันจะอยู่ไหน ผมจะต้องหาตัวมันออกมาให้ได้ ไปสู่สุขตินะครับ พี่ก้อย ถ้าชาติหน้ามีจริงขอให้เกิดมาเป็นเพื่อนรักกัน แล้วผมจะชดใช้ให้พี่มากกว่านี้" ยังไม่ทันพูดจบ


"โครม!!!"


" หยุด และหมอบลงไปบนพื้น" ตำรวจสองนายพังประตูเข้า และใช้ปืนเล็งมาที่ผม


"ผมไม่ได้ฆ่าใคร ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ทำ" ผมตอบพร้อมกับหมอบลงไปกับพื้น ในใจก็คิดถึงพ่อแม่ และอฐิษฐานให้ท่านช่วย


"คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด เพราะสิ่งที่คุณพูดจะสามารถใช้เป็นหลักฐานในศาลได้ คุณมีสิทธิ์จ้างทนาย ถ้าคุณไม่มี ทางเราจะเป็นผู้จัดหามาให้"  พูดเสร็จตำรวจนายหนึ่งก็เดินมาทางผม บอกให้ผมยกมือทั้งสองไว้เหนือศีรษะ


"คุณคิด คุณถูกจับเป็นผู้ต้องสงสัยข้อหาฆาตกรรมหญิงสาวชาวจีนเมื่อวานนี้"  ตำรวจมองไปที่ร่างของก้อย


"และอาจจะเป็นฆาตกรที่ฆ่าผู้หญิงรายนี้อีกคน ด้วย" ตำรวจพูดเสร็จ ก็นำกุญแจมือมาใส่ จากนั้นก็สั่งให้ผมลุกขึ้นเดิน และผลักผมออกไปจากห้อง ผมหันหลังกลับไปมองร่างก้อยอีกครั้งก่อนเดินออกจากห้องไป



******************************



ขณะกำลังเดินไป ที่รถตำรวจ ตำรวจนายหนึ่งก็ถามผมขึ้นมาว่า


"จิตใจนายทำด้วย อะไร นายอายุเพียงแค่นี้ แต่กลับมีจิตใจที่โหดเหี้ยมอำมหิตราวกับไม่ใช่คน"


ผมไม่ตอบ ผมคิดได้อย่างเดียวว่าตอนนี้มันจบแล้ว ชีวิตของผมมันจบแล้ว ผมขึ้นรถมือก็ยังมีกุญแจมือสวมอยู่ ผมได้แต่รู้สึกสำนึกผิด สำนึกผิดต่อคนที่ตาย และสำนึกผิดต่อบุพการี สักพักตำรวจก็ออกรถ


ขับรถไปได้สักพัก ตำรวจนายหนึ่งที่เป็นคนขับรถ ก็พูดขึ้นว่า


"จอห์นนี่ วันนี้วันเกิดลูกนายไม่ใช่เหรอไง ไม่กลับไปฉลองกับลูกเมียที่บ้านหน่อยเรอะ ตอนนี้แม้จะตีสามแล้ว แต่กลับไปก็ยังทันนะ ลูกนายจะได้ไม่คิดกับนายว่านายไม่เคยมีเวลาให้กับครอบครัว"


"แต่เราต้องไปส่ง ตัวคนร้ายคดีอุกฉกรรณ์นี่ก่อนสิ กว่าจเสร็จก็คงเช้าแล้วด้วย คดีนี้ยิ่งถูกจับตามองเป็นพิเศษอยู่ ฉันทำใจเรื่องลูกคิดยังไงกับฉันแล้วล่ะ" จอห์นนี่ตอบ


นายตำรวจที่ขับรถ ก็เลยพูดเสริมว่า


"ไม่เป็นไรน่า เดี่ยวฉันขับรถพาหมอนี่ไปส่งที่สถานีเอง เรื่องแค่นี้ฉันจัดการได้เดี๋ยวเรื่องรายงานฉันก็จะเขียนแทนให้" นายกลับบ้านไปเถอะ


"จะดีเหรอ" จอห์นนี่ย้อนถาม


"ไปเถอะน่า ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เด็กตัวแค่นี้ฉันรับมือได้"  นายตำรวจที่ขับรถตอบ


"งั้นฉันฝากด้วย ละกัน จอดฉันลงข้างทางนี่แหล่ะ นายจะได้รีบไปส่งตัว ขอบคุณนะ ไอ้เพื่อนยาก" จอห์นนี่พูดเสร็จรถก็จอด แล้วจอห์นนี่ก็ลงจากรถไป


ตอนนี้เหลือเพียง ตำรวจคนนี้กับผมสองคนเท่านั้น ตำรวจคนนี้ขับรถมาเรื่อยๆ ขับมาไกลพอสมควร จนถึงทางเปลี่ยวแห่งหนึ่ง ถ้าผมจำไม่ผิดแถวนี้น่าเป็นย่าน นอร์ทซิดนีย์ ตอนนี้ดึกมากแล้วไม่มีผู้คนแม้สักคน


ตำรวจจอดรถ และสั่งให้ผมลงจากรถ ตำรวจนายนี้พาผมเดินเข้าไปในตรอกข้างทาง ผมคิดว่าผมคงถูกเก็บแน่นอน ยังไม่ทันคิดอะไรมากไปกว่านั้น ตำรวจก็พูดกับผมว่า


"ฉันชื่อว่า อัลเลน ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แมททิว โฮมสเตย์ ที่ดูแลแกอยู่ขอให้ฉันมาช่วยเหลือแกหน่อย ที่ฉันทำได้ก็มีเท่านี้แหล่ะ ฉันจะปล่อยแกไปก่อน แต่ฉันจะให้เวลาแกแค่หนึ่งอาทิตย์หนึ่งอาทิตย์เท่านั้น แกจงไปหาหลักฐานที่จะนำไปสู่ทางรอดของแกซะ ฉันไม่สนหรอกนะว่าแกจะเป็นฆาตกรโรคจิตหรือไม่ แต่ฉันเชื่อในตัวเพื่อนฉัน ฉันเชื่อในตัวแมททิวเหมือนที่เขาเชื่อมั่นในตัวแก และขอเวลาให้แกหนีเพิ่ม อีกหนึ่งอาทิตย์ถ้าไม่มีอะไรคืบหน้า แกจงกลับมามอบตัวกับฉันที่นี่ และนี่เบอร์โทรฉันมีปัญหาหรือว่าต้องการความช่วยเหลือก็โทรมาซะ แต่ทว่าตอนนี้ จงวิ่งไปซะ วิ่งไปเพื่อชีวิตของตัวเอง"


ผมหยิบกระเป๋าสะพายที่อัลเลนยื่นให้ และวิ่งออกไปสุดกำลัง ผมหยุดและหันกลับมาตะโกนบอกกับอัลเลนว่า


"ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก ขอบคุณที่เชื่อใจในตัวผม ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง"


แล้วผมก็วิ่งออกไปอย่างสุดแรง ตรงไปยังสวนสาธารณะบริเวณหลังสถานีรถไฟสายนอร์ทซิดนีย์ ขณะที่ผมกำลังวิ่งหนี ผมก็รู้สึกได้ทันทีว่าบนโลกนี้ยังมีพระเจ้าอยู่จริง ถ้าเรามีความเชื่อเราก็จะผ่านพ้นวิกฤติเหล่านั้นมาได้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา