Candine The Poserry

10.0

เขียนโดย SilverFox

วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 18.48 น.

  7 chapter
  5 วิจารณ์
  11.82K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) กระจกมายา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

    จากใจคนเขียนฝากให้ผู้อ่าน

             ในที่สุดก็อัพเสร็จไปอีกตอน ดองจนเค็มแล้วมั้ง? หวังว่าตอนนี้จะทำให้คนอ่านทุกคนพอ ใจ และเพียงพอแทนคำขอโทษที่ดองซะนาน ขอขอบคุณที่ติดตามจริงๆ งั้นวันนี้ก็ไปดูการผจญภัยของแคนดี้และเพื่อนใหม่ได้เลย

     เพียงแค่เห็นคนอ่านยิ้ม แค่นี้ก็ทำให้ไรเตอร์มีความสุขแล้ว รักคนอ่านทุกคนค่ะ ขอขอบคุณจริงๆที่ติดตามอ่าน
By Ranna
       

              
_________________________________________________________________________________________         

                ผ่านไป 30 นาที หลังออกจากท่าเรือ

                สายลมพัดผ่าน เส้นผมของหญิงสาวเจ้าของเส้นผมสีเงินสลวยอย่างแผ่วเบา หญิงสาวเอาผมทัดหูยาวเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เส้นผมบังตาจนมองไม่เห็นทาง เมื่อเอาผมทัดหู เผยให้เห็น ใบหน้าที่ขาวนวล ดวงตาสีเงิน ที่ทอประกายดุจเพชรเม็ดงาม สีหน้าของหญิงสาวบ่งบอกถึงความรู้สึกของเธอ คิ้วที่ดูหงิกเล็กน้อย กับปากที่ยกขึ้น  ‘น่าเบื่อชะมัด’ หญิงสาวเจ้าของผมสีเงินคิด พลางทำหน้า เหมือนคนเบื่อโลกซะเต็มประดา

 

“......” ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมสีดำ ดวงตาสีนิล เงยหน้ามองแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินอยู่ตรงหน้าและแผ่รังสีออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะมองไปทางอื่นแล้วเดินตามต่อไป

                ‘ตานั่น! ตั้งแต่เดินมาด้วยกันก็เงียบมาตลอดเลย นี่ก็ปาเข้าไปครึ่งชั่วโมงแล้วนะ หรือไม่พอใจเราที่เอาแต่ใจ โกรธเรารึเปล่านะ น่าเบื่อชะมัด!’ หญิงสาวทำท่าจะหันหลังไปมอง แต่ก็ต้องหยุดการกระทำเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ลืมอะไรไปเสียสนิทเลย ในขณะที่ ชายหนุ่มทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ต้องหยุดพร้อมกับอีกฝ่าย เมื่อหญิงสาวหยุดเดินหันหน้ามาหาเขา แล้วพูดขึ้นพร้อมเขาว่า

 

                “ค.../อ๊ะ! โทษทีนะรูฟแป๊บนะ” หญิงสาวเจ้าของดวงตาสีเงิน ชะเง้อหน้าไปซ้ายที ขวาที เหมือนหาอะไรบางอย่าง ก่อนสายตาจะหยุดไปกับท้องฟ้าที่อยู่เหนือหัวเขา หญิงสาวยกนิ้วชี้ออกมาข้างหน้า ก่อนจะมีอะไรบางอย่าง ที่เล็กมาก พุ่งลงมาจากฟ้า

 

                “มีอะไรหรอ?” สีแหลมเล็กของสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก ที่มีหน้าตาเหมือนนกเอ่ยถามขึ้น พลางบินไปเกาะนิ้วชี้ของหญิงสาว

 

                “ช่วยส่งเกรด้า* ให้หน่อยได้ไหม?” สิ่งมีชีวิตตัวเล็กผงกหัวรับคำหญิงสาว

 

*เป็นกระดาษมนตรา ที่นอกจากผู้ร่ายมันขึ้นมาและผู้ที่ต้องการจะส่ง ถึงจะทำลายมันได้ ผู้ที่ไม่ใช่คนร่ายและคนที่ต้องการส่ง จะไม่สามารถอ่านเนื้อหาในกระดาษนั้นได้โดยง่าย เพราะมันจะไม่ปรากฏตัวอักษรให้ผู้อื่นที่ไม่ใช่ เป้าหมายของผู้ร่ายเห็น  และนอกจากชนเผ่าเอลฟ์แล้วไม่มีผู้ใดสามารถใช้มนต์บทนี้ได้ เพราะมันคือ มนต์ตราของชนเผ่าเอลฟ์โบราณ ในปัจจุบันในหมู่เอลฟ์ด้วยกันมีน้อยนักที่จะสามารถใช้มนต์บทนี้ได้

 

 

หญิงสาวยิ้มให้นกตัวน้อยนั่น แล้ววาดบางสิ่งบางอย่างกลางอากาศ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สิ่งนั้นเรืองแสงแล้วกลายเป็นกระดาษขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าขึ้นเมื่อหญิงสาววาดเสร็จ หญิงสาวหยิบมาไว้ในมือ พลางนกน้อยบินไปเกาะบนบ่าของหญิงสาวแทนอย่างรู้งาน หญิงสาวนำกระดาษที่อยู่ในมือมากอด พลางหลับตาทำให้มองไม่เห็นดวงตาสีเงินที่อยู่ข้างใน  แสงสว่างสีเขียว เกิดขึ้นรอบอกของหญิงสาวโดยต้นกำเนิดอยู่ที่กระดาษ ไม่นานแสงนั้นก็หายไป หญิงสาวนำเส้นด้ายมีต**ที่เรืองแสงสีเขียว ออกมาจากไหนไม่รู้มาผูกกระดาษที่ตอนนี้ หญิงสาวม้วนเอาไว้ แล้วส่งให้นกน้อย

 

**เป็นด้ายมนตรา ที่มีขนาดความยาวตามที่ผู้ร่านต้องการ ด้ายนี้เป็นมนตรา ที่มีไว้ปกปักษ์ รักษาสิ่งที่มีความสำคัญกับผู้เป็นนาย นอกจากผู้ที่มีสายเลือดเดียวกับผู้ร่าย ไม่สามารถปลดปมออกได้ และนอกจากชนเผ่าเอลฟ์แล้วไม่มีผู้ใดสามารถใช้มนต์บทนี้ได้ เพราะมันคือ มนตราของชนเผ่าเอลฟ์โบราณ ในปัจจุบันในหมู่เอลฟ์ด้วยกันมีน้อยนักที่จะสามารถใช้มนต์บทนี้ได้เช่นกัน

 

นกน้อยใช้จงอยปากแหลมเล็กคาบกระดาษไว้แล้ว บินจากไปโดยแล้วพูดบางอย่างทางกระแสจิตว่า

 

            ‘เจ้าจะไป เมืองมิซุขิโตะสินะ ระวังตัวด้วยล่ะแคนดิเน่ เส้นทางข้างหน้าของเจ้าเต็มไปด้วยอุปสรรค เหนือคณานับเชียวล่ะ ไม่ว่าเจ้าจะพบเจอกับสิ่งใด อย่าได้หวั่นเกรง จงมุ่งไปข้างหน้า อย่าได้หันหลังกลับ แล้วหนทางของเจ้าจะเปิดออก แล้วก็ เจ้าอสูรที่อยู่ข้างๆเจ้า มิใช่ศัตรู อย่าได้เคลือบแคลงในตัวเขา และพรรคพวกของเจ้า เด็กพวกนั้นจะเป็นคนคอยค้ำจุนเจ้าจนถึงวินาทีสุดท้าย จำไว้ วินาทีสุดท้าย’ แคนดี้ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย พลางเดินไปตามทางโดยไม่มองข้างหน้าไปเรื่อยๆ ’พรรคพวก? ค้ำจุน เคลือบแคลง? วินาทีสุดท้าย??’ในหัวของแคนดี้ตอนนี้มีแต่คำถามผุดขึ้นมาเต็มไปหมด ดูเหมือนชายหนุ่มจะรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงเอ่ยทำลายความผิดปกตินั้นเมื่อเห็นถ้าไม่ดี เมื่อนึกถึงเส้นทางที่ หญิงสาวกำลังจะเดินไป

 

                “เมื่อกี๊…”ชายหนุ่มหยุดเดิน แล้วพูดขึ้น

 

                “....?”แคนดี้หันมามองพลางทำสีหน้างงแต่ท่าทางนั้น ทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าหญิงสาวหลุดจากห้วงความคิดแล้ว

 

                “นกวาเนรี***”เพียงแค่นั้นแคนดี้ก็เข้าใจได้ทันที

                ***เป็นนกพันธุ์หนึ่งที่พิเศษกว่านกตัวอื่นๆในประเทศนี้ วาเนรี เป็นนกที่พบได้ในประเทศนี้เท่านั้น ตัวมันมีสัดส่วนที่ไม่ต่างจากนกฮัมมิ่งเบิรด์ ลำตัวและปีกมีสีฟ้า ที่กลางอกมีอัญมณีรูปหยดน้ำ ส่วนหัวมีสีดำ วาเนรี โดยปกติจะมีปีกสีฟ้าครามแต่พอสยายปีกแล้วบินจะพบว่าเมื่อขนสีฟ้าครามของมันกระทบกับแสง จะส่องประกายเป็นสีเงิน นกพันธุ์นี้พิเศษกว่าพันธุ์อื่นๆ ตรงที่มันสามารถสื่อสารโดยสามารถพูดภาษาเดียวกับมนุษย์และชนเผ่าอื่นๆได้ นอกจากนั้นว่ากันว่า ฉลาดหลักแหลม รู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้ด้วยการทำนายเป็นนกที่สืบทอดภูมิปัญญาเก่าแก่ เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของประเทศมิซุขิโตะแห่งนี้ และยังเล่ากันอีกว่าเป็นสาวกของสัตว์เทพผู้ปกปักษ์ ที่เป็นเทพที่ปกปักษ์รักษาดินแดนแห่งนี้

                “อืม เค้าเป็นเพื่อนฉันน่ะ รู้จักกันโดยบังเอิญที่หมู่บ้านเอิล”ชายหนุ่ม ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาสีนิลฉายแววสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะพูดในสิ่งที่ตนเองสงสัย

 

                “รู้จัก? เพื่อน? หมู่บ้านเอิล?”หญิงสาวหัวเราะกับท่าทางของชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีนิล ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายส่งสายตาดุใส่ คงจะหัวเราะไปอีกพักใหญ่ๆ

 

                “ก็...แบบว่า...”หญิงสาวพูดแล้วเว้นนิดนึง ก่อนจะมีสีหน้าระเรื่อขึ้น ทำให้อีกฝ่ายตกใจเล็กน้อย

 

                ‘คือ...ตอนเด็กๆข้าฝึกใช้มนตรากับท่านพ่อ...แล้วแบบว่า’แคนดี้ยังคงมีสีหน้าระเรื่อ ทำท่าเขินอาย บิดตัวไปมา แล้วพูดคำเว้นคำ ทำให้อีกฝ่ายเริ่มหงุดหงิด จึงพูดด้วยน้าเสียงที่ดังขึ้น

 

                “มนตราอะไร” เฮือก! แคนดี้สะดุ้งเล็กน้อยเป็นผลให้หยุดการกระทำนั้นลง แล้วทำหน้ายู้ใส่อีกฝ่ายแทน

 

                “มนต์...มนตราเคลื่อนย้ายกับมนตราอัญเชิญน่ะ”อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นจึงพอจะเข้าใจเรื่องราวได้ลางๆ

 

                “คือในระหว่างที่ฝึกนั้นฉันเกิดคิดอะไรแผลงๆขึ้นน่ะ แหะๆ”แคนดี้พูดพลางมีสีหน้าระเรื่อ แล้วหัวเราะแห้งๆให้อีกฝ่าย

 

                “แล้ว..ในระหว่างที่ท่านพ่อแวะไปหาท่านแม่ ฉันก็เลย....”แคนดี้พูดแล้วเสียงอ่อย แต่ในระหว่างที่จะพูดต่อ เจ้าของดวงตาสีนิลก็พูดทรกขึ้น

 

                “ฉันก็เลย ร่ายมนตราทั้งสองพร้อมกัน”แคนดี้มีสีหน้าระเรื่อหนักกว่าเก่า เมื่ออีกฝ่ายเดาถูก

 

                “แล้วผลที่ได้จากการร่ายเวทย์นั้น ทำให้ฉันได้เพื่อนใหม่น่ะ”ชายหนุ่มส่ายหน้าระอา แล้วพูดสรุปรวบยอดให้กับคนที่ตอนนี้หน้าแดงเป็นลูกตำลึงว่า

 

                “พูดง่ายๆ พอร่ายมนตราทั้งสองพร้อมกัน ทำให้เจ้า สามารถอัญเชิญและเคลื่อนย้ายในคราวเดียวกัน ผลก็คือ วาเนรี โดนเจ้าอัญเชิญจากที่ไกลๆได้ ด้วยผลของมนตราเคลื่อนย้ายที่ไม่สมบูรณ์สินะ”แคนดี้รู้สึกฉุนกึก เมื่ออีกฝ่ายอยากจะบอกเค้าเป็นนัยๆว่า‘ใช่ ฉันทำพลาดรู้อยู่แล้วน่า เพราะงั้นถึงได้อายอยู่นี่ไง”แคนดี้พยายามเก็บอารมณ์สุดชีวิตแล้วเดินกระฟัดกะเฟียดไปข้างหน้าอย่างเร็ว เป็นผลให้ชายหนุ่มต้องรีบคว้าตัวหญิงสาวเอาไว้

 

                “อะไร?”หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่ยียวนเป็นที่สุด ทำให้เจ้าของดวงตาสีนิลส่ายหน้าให้อย่างระอากับคนที่ไม่ดูสถานการณ์ในตอนนี้เอาซะเลย

 

                “เดินหัดดูทางบ้าง ติดกับเข้าจนได้”หญิงสาวมองไปข้างหน้าทำให้รู้ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการบอก คืออะไร แคนดี้หันมาหัวเราะแหะๆให้อีกฝ่าย ก่อนจะขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แคนดี้สูดลมหายใจให้เข้าเต็มปอด แล้วปล่อยออกมา เมื่อตั้งสติได้จึงหันไปหาชายหนุ่ม แล้วส่งยิ้มแห้งๆไปให้ ส่วนอีกฝ่ายก็ถอนหายใจให้กับการกระทำของอีกฝ่าย

 

                “อาณาเขตของ...กระจกมายา”ชายหนุ่มพูดขึ้น แคนดี้พยักหน้าตอบ

 

                “จะเอายังไง”แคนดี้ยิ้มเหมือนคนมีชัยแล้วตอบกลับไปว่า

 

                “ก็ไม่ต้องทำอะไร เดินไปเรื่อยๆน่ะแหละ ถ้าเราไม่ได้มาร้ายก็ไม่เห็นมีปัญหาเลยนี่”อีกฝ่ายส่ายหน้าให้เป็นคนตอบ

 

                “มันก็ใช่ ถ้ามันเหมือนทุกที”

 

                “ทุกที?”แคนดี้ขมวดคิ้วจนเป็นปม แล้วก็ต้องคลายออกเมื่อนึกขึ้นได้ หรือว่า..

 

                “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทำไมถึง อ๊ะ! รูฟ”ในระหว่างที่แคนดี้พูด ก็สัมผัสได้ถึงไอเวทย์ และก็เป็นไปตามที่คาด เส้นทางที่เคยเป็นแค่ถนนเส้นใหญ่ ที่แค่เดินตรงไปเรื่อยๆก็ถึงประตูเมือง ตอนนี้กลับกลายเป็นป่าดงดิบรอบด้าน

 

                “ภาพลวงตา!”แคนดี้ตะโกนจนเสียงดังก้องไปทั่วป่า ความเงียบของป่าทำให้แคนดี้เริ่มระแวง ถ้าเป็นปกติคงไม่ระแวงหรอก เพราะถ้าอยู่ในป่า จะเงียบก็ไม่แปลก แต่ที่นี่ไม่ใช่ ไม่มีทั้งเสียงของสัตว์ เสียงลม เสียงน้ำ มันเงียบจนเกินไป สถานที่แบบนี้มักมีอันตราย เธอรู้ดีเพราะ อาศัยอยู่ในป่าตั้งแต่เกิด รูฟมองซ้ายมองขวา เพื่อความไม่ประมาท เพราะสัญชาตญาณของเค้าเองก็บอกว่า ที่นี่อันตราย!

 

                “คิกๆๆๆ”เสียงแหลมดังขึ้นรอบป่า ทำให้รูฟกับแคนดี้หันหลังชนกันเพื่อป้องกัน

 

                “คิกๆๆ”เสียงนั้นยังคงหัวเราะไปเรื่อยๆ จนแคนดี้หมดความอดทน จึงตะโกนออกไป

 

                “หยุดหัวเราะซะทีเถอะ มันน่ารำคาญ จงปรากฏตัวออกมาเดี๋ยวนี้ แล้วคลายเขตแดนลวงตานี่ซะ!”

 

                “....”เสียงหัวเราะหยุดลง เหมือนตกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายพูดแบบนั้น

 

                “ก็ได้ ข้าจะปลดเขตแดนลวงตาให้ ถ้าพวกเจ้า...”รูฟและแคนดี้ หันซ้าย ขวา เพื่อหาต้นเสียงแต่ก็ไม่เจอ แม้แต่ไอเวทย์ก็สัมผัสไม่ได้ คนๆนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่แคนดี้จะตอบอีกฝ่าย

 

                “ถ้าพวกข้าทำไม?”

 

                “ถ้าพวกเจ้าตอบคำถามของข้าได้ ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป”ทั้งสองมองหน้ากัน แคนดี้ขอความเห็นทางสายตาและก็ได้คำตอบจากอีกฝ่ายว่า’ตกลง’

 

                “คำถามอไรก็รีบๆว่ามาสิ”

 

                “คนมองเห็นน้ำหมายความว่าอะไร”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา