คู่หมั้น

10.0

เขียนโดย Mawmeaw

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 22.13 น.

  10 ตอน
  24 วิจารณ์
  20.34K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 16.32 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ผมไม่ยอมแพ้หรอก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

หลังจากหญิงสาวรู้ความจริงจากเขาในวันนั้น หล่อนก็เอาแต่หลบหน้าเขาตลอด ไม่ว่าชายหนุ่มจะมาดักรอพบเธออย่างไรก็ตาม เธอก็มักจะหาทางหลบเลี่ยงเขาไปได้เสียทุกครั้ง

 

สุกริชโทรศัพท์ไปคุยกับคุณสุดาแม่ของเขา เมื่อคุณสุดาทราบเรื่องทั้งหมด เธอก็ได้แต่ให้กำลังใจลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของเธอ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างไร

 

ชายหนุ่มได้ขออนุญาตแม่ของเขาขอพักอยู่ต่างจังหวัดสักระยะเพื่อจะได้หาโอกาสพูดคุยทำความเข้าใจกับเมรียาได้สะดวก

 

ซึ่งเรื่องนี้คุณสุดาก็เห็นดีด้วย สุกริชบอกผู้เป็นแม่ว่า

 

"แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมไม่ยอมแพ้หรอกครับ ผมต้องเอาชนะใจเมรียาให้ได้ครับแม่" 

 

นั่นเป็นสิ่งยืนยันได้อย่างชัดเจนแล้วว่าลูกชายของเธอไม่ได้รู้สึกฝืนใจกับการคลุมถุงชนในครั้งนี้แล้วอย่างแน่นอน

 

แต่มันก็ติดอยู่ตรงที่เมรียา ว่าที่ลูกสะใภ้ของหล่อนนี่สิ ทำอย่างไรจึงจะทำให้เมรียาหันมาสนใจและเห็นอกเห็นใจลูกชายของเธอบ้าง

 

คิดแล้วก็อดสงสารลูกชายคนเดียวของตนเองไม่ได้ เธอได้แต่ภาวนาขอให้เรื่องทุกอย่างลงเอยด้วยดีโดยเร็วด้วยเถอะ

 

ทางด้านเมรียาเมื่อเธอทราบความจริงทั้งหมดและได้รับคำยืนยันจากคุณอาลิสาแม่ของเธอแล้ว

 

นั่นก็ยิ่งทำให้เธอหลีกเลี่ยงการพบหน้าชายหนุ่มมากขึ้น โดยที่ลึกๆ ูแล้วหล่อนเองก็รู้สึกสงสารคุณอาลิสาผู้เป็นแม่อยู่ไม่น้อยที่ทำให้ท่านต้องพลอยรู้สึกไม่สบายใจไปกับเธอด้วย

 

และเธอก็อดรู้สึกสงสารชายหนุ่มไม่ได้ ทุกครั้งที่เห็นสีหน้าผิดหวังของเขาในยามที่เขามาดักรอเพื่อพบกับหล่อน

 

แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังยอมรับไม่ได้กับเรื่องที่เธอมีคู่หมั้นทั้งๆ ที่เธอไม่ได้ต้องการเลยสักนิดเดียว 

        

ค่ำวันหนึ่งขณะที่เมรียากำลังเดินกลับจากมหาวิทยาลัยพร้อมด้วยสุมลรัตน์เพื่อนสนิทของเธอ

 

เนื่องจากวันนี้มีงานกลุ่มที่ต้องอยู่ทำด้วยกันจนถึงค่ำ ทำให้สองสาวต้องกลับบ้านเมื่อบรรยากาศเริ่มมืดมากแล้ว

 

ถึงแม้ว่าหอพักของสองสาวจะอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก แต่การเดินทางที่มืดมากเช่นนี้ก็ทำให้สองสาวต้องรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อที่จะกลับไปให้ถึงหอพักโดยเร็ว

 

อีกไม่กี่อึดใจก็จะถึงหอพักอยู่แล้ว แต่ทว่า!

ทันใดนั้นเอง ก็มีวัยรุ่นชาย 4 คนโผล่ออกมาขวางทางเดินเอาไว้เสียก่อน

 

สองสาวรู้ทันทีว่างานนี้ต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเป็นแน่ ทั้งคู่จับมือกันแน่น วัยรุ่นทั้ง 4 ค่อยๆ เดินล้อมวงเข้ามาหาสองสาวทีละน้อย ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

ทั้งคู่ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมอย่างช่วยไม่ได้ ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว

 

เมรียาตัดสินใจบีบมือเพื่อนแน่นเป็นเชิงให้ความมั่นใจ และมองหน้าสุมลรัตน์เพื่อเป็นการส่งสัญญาณที่ทั้งคู่ต่างรู้กันดี

 

จากนั้นทั้งสองสาวก็อาศัยแม่ไม้มวยไทยที่พอจะมีฝีมือกันอยู่บ้าง เข้าจัดการแลกหมัดกับวัยรุ่นกลุ่มนั้นอย่างดุเดือด

 

ผลปรากฏว่า ทั้งสองสาวสามารถจัดการซัดวัยรุ่นทั้ง 4 คนลงไปกองรวมกันอยู่ที่พื้นได้เป็นผลสำเร็จ

 

สองสาวยิ้มให้กันอย่างภูมิใจ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นซ้ำอีก เมื่อมีวัยรุ่นอีกกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาสมทบ คราวนี้จาก 4 คนที่นอนหมอบอยู่กับพื้น กับวัยรุ่นกลุ่มที่มาใหม่อีก 10 คน รวมแล้วเป็น 14 คน

 

นาทีนี้สองสาวถึงกับหน้าซีดเผือด เพราะถ้าคู่ต่อสู้มีจำนวนมากขนาดนี้ พวกเธอก็เริ่มไม่มั่นใจว่าจะรับมือได้หรือเปล่า

 

ด้วยความที่เป็นผู้หญิงทั้งคู่ พละกำลังรวมกันจึงมีน้อยกว่า เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยที่จะเอาตัวรอดออกไปจากสถานการณ์อันสุ่มเสี่ยงนี้ได้ 

 

เมรียารวบรวมความกล้าและสติที่ยังพอมีเหลือฉุดแขนเพื่อนที่ยังยืนตกตะลึงอยู่ออกวิ่งไปเท่าที่กำลังจะพาไปได้มุ่งหน้ากลับไปยังมหาวิทยาลัยที่เพิ่งเดินออกมา

 

ในขณะที่ฝนก็กำลังตกลงมาปรอยๆ พอให้ถนนลื่นและเปียกแฉะ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการวิ่งพอสมควร

 

ทั้งสองสาววิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต โดยมีกลุ่มวัยรุ่นวิ่งตามหลังไปเป็นพรวน

 

เมื่อจวนจะถึงบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยแล้ว ปรากฏว่าสุมลรัตน์ลื่นล้มเพราะเหยียบโคลนที่อยู่ตามถนน ทำให้ทั้งสองสาวต้องตกอยู่ในท่ามกลางวงล้อมของบรรดาวัยรุ่นชายอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

 

ในขณะที่วัยรุ่นทั้ง 14 คนค่อยๆ เดินตีวงล้อมเข้ามาหาสองสาวดุจเสือร้ายที่กำลังตรงเข้าตะปบเหยื่อ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

ก่อนที่วงล้อมนั้นจะเคลื่อนเข้าไปถึงตัวทั้งสองสาว ก็ปรากฏเสียงชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น

 

“หยุดนะ เป็นผู้ชายประสาอะไรวะ รังแกผู้หญิงเหรอ เก่งจริงก็มาตัวต่อตัวสิวะ”

 

วัยรุ่นทั้งหมดต่างหันไปเพ่งมองหาต้นเสียงที่ดังมาจากในความมืด

 

และเมื่อเขาก้าวออกมา ก็ปรากฏใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นอย่างชัดเจน

 

เมรียาและสุมลรัตน์อุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ

 

“คุณสุกริช!!”

 

ใช่เป็นเขาจริงๆ เขามารอพบเมรียาอยู่ที่มหาวิทยาลัย แต่ก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อไม่ได้พบเธออย่างที่ต้องการ

 

หลังจากชายหนุ่มกลับออกไปไม่นานก็พบกับเพื่อนของเมรียา กลุ่มหนึ่งบอกกับเขาว่า เพิ่งจะทำงานกลุ่มกันเสร็จและทั้งสองสาวก็เดินกลับหอพักเมื่อครู่นี้แล้ว

 

เขามีความรู้สึกเป็นห่วงเมรียาขึ้นมาจับใจ จึงได้ย้อนกลับมาหาเธอที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง

 

แม้ว่าสองสาวจะเดินกลับหอพักของมหาวิทยาลัยไปแล้ว แต่ชายหนุ่มยังคงเดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่หน้ามหาวิทยาลัยด้วยความเป็นห่วงหญิงสาวอย่างบอกไม่ถูก

 

และเขาไม่รู้ด้วยว่าทั้งสองสาวเดินกลับกันไปทางไหน เนื่องจากทางเดินมืดมากและฝนกำลังตกลงมาปรอยๆ อีกด้วย

 

จนกระทั่งเขาเริ่มสังเกตเห็นเงาตะครุ่มๆ ของสองสาววิ่งกลับมาที่หน้ามหาวิทยาลัย และเห็นเงาของใครอีกหลายคนวิ่งตามสองสาวมาเป็นขบวน จึงได้นึกเอะใจ

 

และพบว่าหญิวสาวทั้งสองตกอยู่ในท่ามกลางวงล้อมดังกล่าวเสียแล้ว 

 

คราวนี้พวกกลุ่มวัยรุ่นหันมาสนใจชายหนุ่มแทน ทั้งหมดกรูกันเข้ามาหาชายหนุ่มและจัดการโทษฐานที่เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยสักนิด

 

แต่เขาก็อาศัยชั้นเชิงที่เหนือกว่า จัดการซัดกลุ่มวัยรุ่นลงไปหมอบกับพื้นได้กว่าครึ่ง แต่ลำพังเขาคนเดียวที่รับมือกับคนนับสิบ ร่างกายของชายหนุ่มเริ่มอ่อนล้าลงเรื่อยๆ จากทีแรกที่เขาเป็นฝ่ายรุก ก็กลับกลายมาเป็นฝ่ายรับแทน เมื่อสังเกตท่าทางของชายหนุ่มแล้วทำให้สองสาวนึกหวั่นใจขึ้นมาทันที

 

ฉับพลันนั้นเมรียาตั้งสติได้ เธอรีบกระซิบบอกสุมลรัตน์ทันที

 

“ยัยส้ม แจ้งตำรวจเร็วเข้า ”

 

เพื่อนของเธอยังตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น จึงทำให้การค้นหาโทรศัพท์เป็นเรื่องที่ยากลำบากกว่าปกติ

 

เมรียาตัดสินใจ ร้องตะโกนเสียงดังแทน

 

“ตำรวจๆ ช่วยด้วยค่ะ คุณตำรวจ ”

 

วัยรุ่นที่กำลังรุมกระทืบชายหนุ่มอยู่ หยุดชะงักทันที พวกมันมองหน้ากันไปมา และเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เมรียาแทน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีตำรวจมาจริงๆ

 

คราวนี้ชายหนุ่มถึงกลับตกตะลึงในความใจกล้าบ้าบิ่นของหญิงสาวคู่หมั้นของเขา

 

นาทีนั้นเขาตัดสินใจ ตะโกนออกไปว่า

 

“ตำรวจมาจริงๆ พวกนายไม่เชื่อหรือไง  ดูสิ ตรงนั้นไง”

 

เขาพูดพลางชี้นิ้วไปยังแสงสีแดงที่มองเห็นวิบวับอยู่ไกลเบื้องหลังของกลุ่มวัยรุ่นพวกนั้น แสงสีแดงค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

โดยไม่รอช้า เขาพยายามพยุงตัวลุกขึ้นจากอาการบาดเจ็บในการต่อสู้เมื่อครู่ พาสองเท้าแข็งแรงวิ่งฝ่าวงล้อมเข้าไปดึงแขนหญิงสาวทั้งสองหนีไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว

 

ในขณะที่วัยรุ่นกลุ่มนั้นยังมองหน้ากันเลิกลั่กอยู่ จากความไม่แน่ใจว่าแสงสีแดงที่เห็นนั้นเป็นรถตำรวจจริงหรือไม่ 

 

สุกริชอาศัยช่วงจังหวะนั้นพาเมรียาและสุมลรัตน์หนีรอดออกไปได้อย่างหวุดหวิด

 

เนื่องจากเขาพาทั้งสองสาววิ่งไปที่รถและขับฝ่าความมืดออกไปจากบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว

 

( โปรดติดตามตอนต่อไป )

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา