นิยายไร้เรื่อง

-

เขียนโดย asamon

วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 10.11 น.

  5 บท
  34 วิจารณ์
  12.97K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

อังสุมาลีเคาะโต๊ะด้วยซองจดหมายสีครีมเป็นจังหวะเบาๆขณะนั่งมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างห้องทำงานตัวเอง ข้างนอกอากาศสดใส สายลมเบาๆพัดเอากลิ่นดอกลั่นทมที่ขึ้นอยู่ริมรั้วหลังบ้านหอมกำจายไปทั่วห้อง เสียงป้านีกับนทีหลายชายวัยยี่สิบพูดคุยกันเรื่องต้นไม้ที่เพิ่งติดตาใหม่ดังแทรกความเงียบขึ้นมาเป็นระยะๆ บ้านเธออยู่ท้ายซอยจึงไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่าน นานๆจะมีคนขับหลงมาสักที

สมัยเมื่อเธอกับพี่ชายยังเด็กแม่เคยเล่าว่าพื้นที่แถวนี้เรียกได้ว่าทั้งเปลี่ยวทั้งน่ากลัว แต่พ่อของเธอก็ยังตัดสินใจซื้อไว้ เวลาผ่านไปไม่ทันไร ก็ได้รับการพัฒนาให้ทัดเทียมกับพื้นที่อื่นๆในละแวกนี้ บ้านเรือนของเพื่อนบ้านจากที่กั้นด้วยรั้วไม้เตี้ยๆก็เริ่มเปลี่ยนเป็นอิฐปูนก้อนใหญ่ก่อสูงขึ้นจนแทบไม่รู้ความเป็นไปของคนในบ้าน พ่อจึงจำเป็นต้องทำรั้วอิฐเหมือนกับคนอื่นๆ แต่ด้วยความที่แกเป็นคนไม่ชอบอยู่ในที่แคบๆทึบๆ เมื่อต้องมาอยู่ในบ้านที่ล้อมรอบด้วยรั้วสูงๆแกจึงรู้สึกไม่สบายตัวนัก ไม่กี่วันต่อมาแม่เห็นพ่อลงมือปลูกต้นไม้อยู่ริมรั้ว พยายามถามพ่อว่าต้นอะไร พ่อก็ไม่ยอมตอบเอาแต่ยิ้มจนแม่อ่อนใจ ผ่านไปไม่นานต้นไม้ของพ่อเริ่มเลื้อยไต่ขึ้นไปบนกำแพงรั้ว มาถึงวันนี้ภายในบ้านแทบจะมองไม่เห็นผิวปูนสีขาวของรั้ว มีแต่เจ้าใบไม้เล็กๆเขียวพรึ่ดคลุมเต็มไปหมด

บ้านของเธอไม่ได้มีพื้นที่มากมายแต่เรียกได้ว่าทุกพื้นทีถูกใช้อย่างคุ้มค่าไปกับต้นไม้ของพ่อ ดอกไม้ของแม่ จากโรงเพาะชำกล้วยไม้สมัครเล่นของพ่อแทบจะกลายเป็นร้านขายกล้วยไม้ขนาดย่อมเสียเอง พ่อไม่เคยหวงกล้วยไม้ของตัวเอง เวลามีเพื่อนฝูงมาหาพ่อยินดีแจกจ่ายให้คนละต้นสองต้นไม่เคยขาด บางทีก็แยกหน่อไปให้เขาเลี้ยงเองบ้าง บางคนถึงขั้นขอซื้อเพราะถูกใจกล้วยไม้ของพ่อและหมายตาไว้อีกหลายต้น ยังไม่นับรวมกับต้นไม้อื่นๆของพ่อที่เป็นที่นิยมไม่น้อย "ร้านต้นไม้คุณพร้อมพงศ์" แม่เคยเย้าแหย่พ่อเป็นประจำเมื่อเห็นพ่อเริ่มแยกหน่อกล้วยไม้หรือดูแลต้นไม้ต้นอื่นๆ หญิงสาวจำได้ว่าเธอกับพี่ชายชอบช่วยพ่อดูแลต้นไม้เพราะพ่อมักมีสารพัดเรื่องเกี่ยวกับต้นไม้มาเล่าให้ฟังอีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งวิธีง่ายๆที่เธอกับพี่จะได้เงินค่าขนมพิเศษจากพ่อ

บ้านคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเธอจนเมื่อพ่อมาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ บ้านที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะกลับดูเงียบเหงาลงไปถนัดตาสำหรับเธอ
" พี่อังครับ พี่อัง ยายเรียกให้ลงไปทานข้าวเที่ยงครับ" เสียงเรียกจากนอกห้องปลุกให้เธอตื่นจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
" จ้า จ้า บอกป้านีว่าพี่ใกล้เสร็จแล้ว จะลงไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ" เธอตะโกนตอบก่อนลุกขึ้นบิดขี้เกียจอย่างรวดเร็ว

" โอ้โห อะไรกันนี่ป้านี ทำไมมันมากมายอย่างนี้ละ ทั้งปลาทับทิมนึ่งมะนาว น้ำพริกกะปิกับมะเขือยาวชุบไข่ทอด ผัดผักบุ้ง ต้มจืดสาหร่าย นี่อย่าบอกนะว่ามียำวุ้นเส้นไม่เผ็ดมาก" หญิงสาวหันไปถามผู้สูงวัยที่ยืนยิ้มจัดโต๊ะอาหารอยู่

"ถูกต้องแล้วครับ" นทีพูดเสียงดังขณะยกจานยำวุ้นเส้นออกมาจากครัว

"พอดีเมื่อเช้าพวกคุณๆโทรมาถามว่าคุณอังอยู่หรือเปล่า ถ้าอยู่จะแวะมาทานอาหารเที่ยงด้วยนะค่ะ แนะ คงมากันละเสียงเจ้าใบตองเห่าใหญ่เลย นทีไปเปิดประตูให้คุณๆเขาด้วยนะ" ประโยคท้ายนางหันไปพูดกับหลานชาย

"นึกแล้วเชียว ดูอาหารแต่ละอย่างซิ ของชอบเขากันทั้งนั้น" ผู้สูงวัยยังไม่ทันได้ตอบอะไร ก็เสียงกรีีดกร๊าดดังมาจากกลุ่มผู้มาใหม่

"โอ้ย ตายตายตายยัยอัง ตอนฉันเหยียบเข้ามาในเขตบ้านแกถ้าฉันไม่เห็นประตูบ้านแกฉันคงคิดว่าว่าฉันอยู่ในเขาใหญ่นะนี่ อะไรมันจะครึ้มได้ใจขนาดนี้" ดลนภาพูดขณะวางสัมภาระในมือลงบนเก้าอี้ใกล้ตัวเธอ

" อย่าพูดอย่างนั้นเลยดล ถ้านทีเขาไม่นำทางแกเข้าบ้าน แกจะเข้าทุกทางหรือเปล่า" วิลาวัลย์แซวเพื่อนสาวจนโดนค้อนขวับ

" พอเลยพวกแก นี่อะไรยังไงเห็นบ้านฉันเป็นร้านอาหารตามสั่งหรือไง แหม ดูซิ ทำให้ป้ากับนทีต้องเดือดร้อนไปด้วยเลย" อังสุมาลีทำเสียงดุ

" อุ๊ย คุณอัง พูดอะไรอย่างนั้นค่ะ เดือดร้อนที่ไหนกัน ผักก็ปลูกกินเอง ซื้อมาแต่พวกหมู ปลา ทำแป๊ปๆก็เสร็จ นานๆพวกคุณๆเขาจะมากันซะที " หญิงสูงวัยกล่าวละล่ำละลัก กลัวเพื่อนฝูงจะผิดใจกัน อังสุมาลีได้แต่ยิ้มเจื่อนไม่คิดว่าผู้เป็นป้าจะคิดเป็นจริงเป็นจังกับคำพูดของเธอ พวกคุณๆของป้าอันได้แก่ ดลนภา วิลาวัยล์ มนันยา กับ วีรภาพ กลุ่มเพื่อนสมัยเรียนมัธยมของเธอ ยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างมีชัยอยู่หลังผู้สูงวัย

"เห็นไหม ป้านีเขายังเข้าอกเข้าใจพวกฉัน มีแต่แกแหล่ะชอบหนีพวกฉันไปเที่ยวแล้วไม่ยอมติดต่อหากันบ้าง นี่ยัยดลถึงขั้นลาพักร้อนหยุดบินเพื่อเจอคุณอังของป้าเลยนะจ๊ะ" วีรภาพหรือแมนทำเป็นตัดพ้อเพื่อนสาวก่อนหันไปพูดกับผู้สูงวัยตาปรอย

" นั่นซิคะ คุณอังชอบเดินทางไปโน่นนี่ เพื่อนฝูงคนรักกันก็ต้องคิดถึงกันเป็นธรรมดา" ผู้เป็นป้ากล่าวเสริม หญิงสาวได้แต่ส่ายหน้าระอากับความใจดีของป้าที่ไม่ทันเล่ห์ของเหล่าเพื่อนตัวแสบ นี่ดีนะที่คุณนายพิมพ์ผกาย้ายไปอยู่กับพี่ชายที่เชียงใหม่ ไม่งั้นหล่อนคงโดนเทศน์หูชา

" โอ้ย หนูยอมแพ้ ใครจะไปแสนดีอย่างพวกคุณๆของป้าละจ๊ะ หิวแล้วละ ทานกันเถอะ" หญิงสาวทำเสียงกระเง้ากระงอดใส่ผู้เป็นป้า 

" เดี๊ยว เดี๊ยว เดี๋ยว ฉันมีของขวัญให้กับว่าที่คุณหมอคนใหม่ด้วย" ดลนภายกมือห้ามเพื่อนก่อนค้นของในสัมภาระที่วางอยู่ใกล้ๆ

" อ่ะ พี่ให้ ยินดีด้วยนะจ๊ะที่สอบติดแพทย์" หญิงสาวเดินไปยื่นให้เด็กหนุ่มที่ยืนยิ้มเงียบๆมองดูคุณๆเถียงกัน

"มันจะช้าไปไหมแก นทีเขาเรียนจนจะจบปีหนึ่งละนะ" มนันยาแซวเพื่อนสาว คนถือของมาฝากจึงอดไม่ได้ที่ค้อนให้

"ก็ฉันไม่ได้มีเวลาร่อนไปมาในกรุงเทพเหมือนพวกหล่อนนิยะ ฉันมันนางฟ้า ต้องเหินเวหาอยู่กลางอากาศโน่น"  ดลนภาเท้าสะเอวใส่เพื่อน มาดแอร์โฮสเตสสวยหวานหายไปสิ้น

" รับไว้เถอะนที ถือเป็นรางวัลจากความพยายามของเรา" อังสุมาลีพูดกับเด็กหนุ่มเมื่อเจ้าตัวเอาแต่เมียงมองทางผู้เป็นยายไม่กล้ารับ เพราะรู้ดีว่าของแต่ละชิ้นที่คุณๆให้นั้นมีราคาเสมอ

" ให้แกรับไว้เถอะค่ะป้า ยัยดลอุตสาห์เอามาให้ เดี๋ยวหนึ่งคุณของป้าจะน้อยใจน๊า" หญิงสาวหันไปพูดกับผู้สูงวัยนางจึงจำต้องพยักหน้าอนุญาติให้หลานชายอย่างเสียไม่ได้

" ขอบคุณคุณเขาเสียซินที เห็นไม๊ว่าคุณๆเขาดีกับเราขนาดไหน อย่าทำให้เขาผิดหวังละ"

" ผมไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนครับ" เด็กหนุ่มไหว้ขอบคุณพร้อมกล่าวเสียงหนักแน่น

" ว่าก็ว่านะ ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านทีที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะเป็นคนเดียวกับ เด็กชายตัวดำผอมแห้ง ขี้มูกขี้ตาเกรอะกรัง หน้าตาดูไม่ได๊ไม่ได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน โอ้ย คิดแล้วฉันรุ้สึกแก่ เลิกคิดดีกว่า" ดลนภาพูดติดตลกเรียกเสียงหัวเราะจากคนในกลุ่มได้เป็นอย่างดี

เด็กหนุ่มสบตากับผู้เป็นยายเข้าใจลึกซึ้งถึงความรู้สึกของกันและกันดี เขาจำได้ว่าเกิดมาในหมู่บ้านเล็กๆที่ไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควรของจังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน นับแต่จำความได้เขาต้องเจอกับคำล้อเลียนของเพื่อนรุ่นเดียวกันว่าเป็นเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ อาศัยอยู่กับยายสองคน จนเขาอายุสักหกขวบยายก็เข้ามาหางานทำในกรุงเทพเพราะความแห้งแล้งในท้องถิ่นตัวเองจนไม่สามารถทำการเกษตรได้ การเข้ามาอยู่ในกรุงเทพไม่ใช่เรื่องสนุกสำหรับคนบ้านนอกสำหรับเขากับกับยายเลย เขาเข้ามาอยู่ได้ไม่นานก็ถูกพวกเด็กรุ่นโตบังคับให้ล้วงกระเป๋าสตางค์ชาวบ้าน วันนั้นยายไม่สบายมากเขาจึงตัดสินใจทำ แต่พอวิ่งหนีได้ครู่เดียว ความรู้สึกผิดกลับทำให้ใจเด็กน้อยอย่างเขาร้อนรุ่ม กลัวที่จะต้องตอบคำถามยายว่าเอาเงินมาจากไหนซื้อยาให้ยาย เขาจึงตัดสินใจกลับไปคืนกระเป๋าให้เจ้าของแต่ก็โดนเด็กโตชิงไปเสียก่อน เขาพยามยื้อแย่งคืนมา ทั้งโดนเตะ โดนต่อย จนเขาสะบักสะบอม ได้มาแต่เพียงกระเป๋าใบเปล่า เหลือเพียงเอกสารส่วนตัวไม่กี่ใบ เด็กชายพาร่างกายที่บอบช้ำเดินตามหาเจ้าของกระเป๋าจนเจอผู้ชายร่างผอมสูง ยืนก้มๆเงยๆอยู่หน้าร้านต้นไม้เล็กๆไม่ไกลจากที่เกิดเหตุนัก เขายื่นกระเป๋าคืนให้โดยไม่ยอมสบตา ผู้ชายคนนั้นยืนนิ่งอยู่ครูหนึ่งก่อนนั่งคุกเข่าให้ระดับสายตาเท่ากับเขา

" อะไรไอ้หนู" ผู้ชายคนนั้นถามเสียงนุ่ม เรียบ

" กระเป๋า เอามาคืน" เขาพูดเสียงห้วน ผู้ชายคนนั้นหยิบกระเป๋าไปดู

" เงินไม่มีแล้วนี่ เอาเงินไปทำอะไร" เสียงใจดียังคงถาม

" ข้าไม่ได้เอา พวกไอ้อ้วนมันเอาไป" เด็กชายยังคงตอบเสียงห้วนก่อนพยายามเดินกะเผลกหนีไป แต่มือใหญ่คว้าไว้เสียก่อน

" ที่ถามหมายถึง ที่ทำแบบนี้จะเอาเงินไปทำอะไร ถ้าไม่ตอบลุงจะจับส่งตำรวจนะ" ผู้สุงวัยกว่าขู่เมื่อเด็กชายยังยืนก้มหน้าเงียบ คำว่าตำรวจทำเอาเด็กชายสะดุ้ง เงยหน้าสบตาผู้สูงวัยกว่าอย่างหวาดกลัว

" ยาย ยายไม่สบาย จะเอาเงินไปรักษา" เด็กชายกล่าวเสียงติดขัด พยายามกลั้นก้อนสะอื้นอย่างสุดความสามารถ

" งั้นก็ไป พาไปดูซิ ว่าไม่ได้โกหก"

เด็กชายรีบเช็ดน้ำตาแล้วพาผู้สุงวัยกว่าไปยังเพิงพักคนงานที่อยู่ไม่ไกลออกไปมากนัก เมื่อไปถึงที่พัก "พร้อมพงศ์' มองดูร่างที่สั่นเทาของผู้เป็นยายด้วยความรู้สึกสงสาร ถ้าไม่พาไปโรงพยาบาลเสียแต่ตอนนี้ เด็กชายตัวดำคงได้กำพร้าแน่นอน เขาจัดแจงพาผู้เป็นยายเข้าโรงพยาบาล ช่วยเหลือเรื่องค่ารักษาพยาบาลจนหายดี นับจากวันนั้นผู้คนแถวร้านต้นไม้ชินตากับการที่มีเด็กชายตัวผอมดำ เดินตามหลังพร้อมพงศ์เข้าออกร้านต้นไม้ร้านโน้น ร้านนี้ พิมพ์กาผู้เป็นภรรยาก็ให้ความเอ็นดูสองหลานยาย ด้วยเพราะความเป็นคนซื่อ ขยัน และอดทน ยิ่งได้มารู้ความจริงว่าลูกสาวยายหนีตามผู้ชายเอาหลานกลับมาให้เลี้ยงแล้วไม่เคยกลับมาดูแล พิมพ์ผกายิ่งนึกสงสาร จนท้ายสุดก็รับทั้งสองเข้ามาอยู่ในบ้านเสมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่เรื่องเศร้าก็เกิดเมื่อเด็กชายเข้ามาอยู่ได้ไม่ถึงสองปี คุณพร้อมพงศ์ก็จากไปเสียก่อน ไม่ทันได้อยู่เห็นความสำเร็จอีกหนึ่งก้าวของเด็กที่ตัวเองได้อุ้มชูขึ้นมาให้ได้รับโอกาสดีๆ

" นี่จะยืนเหม่ออีกนานไหมพ่อนที แหม ชมนิดชมหน่อยไม่ได้นะยะ เคลิ้มเชียว"

นทีได้แต่ยิ้มแก้เก้อเมื่อทุกคนหันมามองตามคำแซวของอังสุมาลี เขาหันไปสบตากับยายและมั่นใจว่าเห็นยายแอบเช็ดน้ำตาก่อนแสร้งเดินร่าเริงไปตักข้าวให้คุณๆ สองหลานยายซาบซึ้งในพระคุณและน้ำใจอันดีงามของคุณพร้อมพงศ์และคุณพิมพ์ผกาเสมอ สิ่งใดที่ถือเป็นการตอบแทนคุณ สองหลานยายไม่เคยรอแม้สักวินาทีที่จะลงมือทำ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา