Angel's quest Part II Staff of angel

9.3

เขียนโดย imppreal

วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 13.45 น.

  12 ตอน
  15 วิจารณ์
  21.47K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) Staff of angel ป่าสุสานและภาพมายา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

Angel Fantasy

ป่าสุสานและภาพมายา

 

 

                        “คำใบ้หลังสุดบอกให้เราทวนต้นน้ำขึ้นไป และคำใบ้อันนี้ บอกว่า ให้เราหาปราสาทนรกแห่งดินแดนสีเลือด”วายุอ่านคำใบ้ที่เพิ่งปรากฏขึ้นมาใหม่ในบันทึกของนักเขียนชื่อดัง “ชั้นกะแล้ว มันต้องไม่ธรรมดา”

                อีกสามคนพยักหน้าเมื่อทั้งหมดเห็นสถานที่เบื้องหน้า เป็นทุ่งกว้างที่เต็มไปด้วยกองโครงกระดูกกระจายทั่วไปในบริเวณที่มีดินสีแดงเหมือนเลือด ไร้วี่แววของลำธารที่พวกเขาต้องทวนน้ำขึ้นไป เหลือไว้แค่ร่องรอยของทางน้ำไหลและแน่นอนว่า ที่นี่แหละคือที่ๆคำใบ้ได้บอกเอาไว้ วายุสังเกตเห็นว่าไม่มีปราสาทหรือบ้านคนในป่าสุสานนี้เลยและไม่น่ามีด้วยซ้ำ แต่ทั้งสี่ก็ยังขี่บรานว์ฮอกเพื่อไปให้พ้นจากที่นี่

                 “น้ำมันซึมลงใต้ดิน”วายุลงความเห็นเรื่องนั้น “แล้วไงต่อละ”

           “บิดาข้า เอ๊ย พ่อชั้นบอกว่า หมู่บ้านของพวกออคมีน้ำผุดจากเนิน สงสัยที่หมู่บ้านของมันต้องอยู่ล่างเนินแน่”นาเทร์รี่พูดขึ้น

                “นั่นสินะ แต่ว่าเขาให้เรามาที่นี่ทำไมกันละ แก้ปัญหาเรื่องน้ำงั้นหรอ”

          “คิดว่าใช่นะครับ คุณวายุ”

           ไคท์พูดจบก็ยิ้มให้วายุก่อนที่จะบังคับบรานว์ฮอกให้บินร่อนลมต่อไป

                 เสียงร้องของนกกินซากศพดังมาแต่ไกล มันทำให้บรรยากาศวังเวงของป่าที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกแทนที่จะเป็นต้นไม้ และต้นไม้ก็เหลือแค่กิ่งก้านและลำต้นที่ตายแล้วไร้ซึ่งใบที่เอาไว้สังเคราะห์แสงเพื่อสร้างอาหาร ดูเหมือนว่าสัตว์กินซากศพจะมีไปทั่วไม่ว่าจะเป็น กา แร้ง หรือแม้แต่หมาป่าที่ผอมโทรมหิวโซ มันส่งเสียงเห่าโหนชวนขนลุกเมื่อพบว่ามีสิ่งแปลกปลอมหลงเข้ามา

                         วายุตื่นกลัวและรู้สึกหนาวถึงกระดูก เขารู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นป่าช้าขนาดใหญ่และต้องเรียกให้ยิ่งใหญ่กว่านั้น ที่นี่คือ นรกของสิ่งมีชีวิต ซึ่งพยานหลักฐานก็มียืนยันไว้มากมาย แม้ว่าป่าสุสานจะมีดินสีแดงเลือดแล้ว วายุยังรู้สึกเหมือนกับมีสายตาหลายร้อยพันคู่คอยจ้องมองเขาอยู่รอบตัว มีบางครั้งที่วายุเหมือนกับเห็นเงาเหมือนมนุษย์เพียงเสี้ยววินาที ซึ่งไม่ต่างกับเพื่อนๆอีกสองคนยกเว้นไคท์ที่ไร้ซึ่งความรู้สึกกลัวแต่อย่างไร

                        “คุณวายุเห็นเงาลางๆบ้างไหมครับ”

               ไคท์ตะโกนถามแข่งกับเสียงลมที่ลอดเข้ามาในหูของวายุ ซึ่งทุกทีที่บรานว์ฮอกสยายปีกร่อนลม เขาจะหมอบลงโดยอัตโนมัติ

                         “เห็นสิ มันก็แค่เงา ทำไมหรอ”

                        “นั่นน่ะ ไม่ใช่เงาหรอกครับ นั่นคือวิญญาณต่างหากล่ะหรอก เรียกง่ายๆคือภูตผีครับ”

               “นายพูดอะไรบ้าๆน่ะ กลางวันแบบนี้ผีที่ไหนจะมาหลอกฟระ”วายุเสียงสั่นเพราะเสียขวัญ(วายุกลัวผีมากนั่นเอง) “ยกเว้น ผียายนาย”

                       “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เจ้าภูติพวกนี้น่ะ ไม่ทำอะไรใครกลางวันหรอก มันแค่ออกมาทักทายเราเท่านั้นเอง แต่พอตกกลางคืนนั่นแหละครับ..”

              “พอตกกลางคืนแล้วทำไมฟระ”

              “มันก็จะหลอกเราให้หลงอยู่ที่นี่ตลอดกาลครับ”

              “หวา ไอ้บ้า ทำไมนายไม่กลัวเลยฟระ แล้วทำไมเราไม่รีบล่ะ”

             ไคท์หันมองซ้ายทีหนึ่งและเขาคิดว่าเขาเห็นอะไรบางอย่างลอยผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็วเหลือทิ้งไว้แต่ความว่างเปล่า

                    “เราต้องทำภารกิจนี่ครับ ในเมื่อเรายังหาปราสาทนรกไม่เจอ เราก็จะทำภารกิจต่อไปไม่ได้สิครับ”

             “นายรู้หรอ ว่ามันจะเป็นยังไง ในเมื่อคำใบ้มันให้มาแค่นี้สิ”

            “ผมคิดว่า ถ้าเราได้คำตอบสำหรับแต่ละคำใบ้ คำใบ้ต่อไปมันน่าจะโผล่ขึ้นมาเสียอีกนะครับ”

            “จริงด้วย” วายุเปล่งประกายความคิด เขาล้วงมือเข้าในเป้วิเศษอีกครั้งเพื่อหยิบบันทึก เมื่อได้มันมาแล้วเขาเลยเปิดอ่านหน้าที่คำใบ้มักจะปรากฏ มันเป็นเหมือนอย่างที่ไคท์บอก คำใบ้ปรากฏขึ้นมาใหม่อีกข้อความหนึ่ง “ฟ้าไร้แสงสุริยัน ปราสาทภูติราชันจักปรากฏ”

            “นี่ตั้งใจจะให้เรามาตายที่นี่ละสินะ”

            “ใจเย็นๆสิครับ คุณวายุ”ไคท์พูดปลอบเมื่อวายุกำลังเริ่มเคืองกับคำใบ้อันใหม่ จนเอลเองก็ต้องช่วยไคท์อีกแรง

                  “ถึงยังไงซะวายุ เราก็ต้องทำสำเร็จอยู่แล้วน่ะ ไม่งั้นคำทำนายอัศวินนั่นจะมีความหมายอะไรล่ะ ชั้นว่านายน่าจะสงบสติอารมณ์หน่อยนะ สิ่งที่นายกลัวจะได้ทำอะไรนายไม่ได้ไง”

             เอลพูดถูกและถูกประเด็นเป็นอย่างมาก เมื่อเธอจับจุดได้ว่า วายุกลัวสิ่งที่ไม่มีตัวตน(ผี)มากแค่ไหน และคำพูดของเธอทำให้วายุสงบสติอารมณ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์

                   “เห็นทีเราคงต้องรอให้ค่ำก่อนละมั่ง”

                   “มันแน่อยู่แล้ว ท่านอัศวินน้อย”

             เสียงนี้เป็นของนาเทร์รี่ที่เงียบอยู่ตั้งนาน เธอจะพูดด้วยต่อเมื่อการสนทนานั้นเป็นการสนทนาที่มีเนื้อหาสาระและมีประโยชน์ เนื่องจากชาวเอลฟ์ไม่ค่อยมีมุกตลกเล่ากันเท่าไหร่ ดังนั้นนาเทร์รี่ก็ไม่ใช่คนที่มีอารมณ์ขันแต่ไม่ใช่คนที่เคร่งเครียดเลยซะทีเดียว เพราะอลันชอบทำให้เธอหัวเราะได้ซึ่งเป็นเสน่ห์ของครอบครัวเอลฟ์ครอบครัวนี้

                  ทั้งหมดลงจอดบรานว์ฮอกในป่าสุสานอย่างไม่ไว้วางในสถานที่ซักเท่าไหร่ กลิ่นความตายลอยคลุ้งในอากาศซึ่งวายุสูดมันเข้าไปอย่างสะอิดสะเอียนพร้อมกับสีหน้าขยะแขยงเกินจะบรรยาย

                  “ลืมไม่ลงแน่เลยเรา”

            วายุพูดขึ้นหลังจากสำรวจบรรยากาศโดยรอบเสร็จแล้ว พบว่าบนพื้นดินนั้น แย่กว่าบนฟ้าหลายพันเท่า วายุรู้สึกไม่ปลอดภัยและเสียวสันหลังตลอดเวลา

                  “อย่าว่าแต่นาย เป็นชั้นก็ลืมไม่ลง”

            เอลพูดอย่างเห็นด้วย เธอพยายามยืนให้ใกล้กับวายุมากที่สุด

                  “เอาล่ะครับ เห็นทีเราต้องซ่อนบรานว์ฮอกกันก่อนนะครับ คุณนาเทร์รี่บอกว่า ท่านอลันฝากแหวนไว้ให้พวกเราด้วย นี่ไงครับ”

            นาเทร์รี่โชว์แหวนสีน้ำตาล 4 วงที่เปล่งแสงสีน้ำตาลจางๆเป็นระยะ เธอแจกจ่ายให้จนครบคนและเริ่มพิธีการผนึก ซึ่งแหวนผนึกภูติของวายุก็หลอมรวมกับแหวนวงนี้อีกด้วย

                 “ข้าขอผนึก กรีฟฟ์”

             สิ้นเสียงเรียกชื่อของบรานว์ฮอกของวายุ เจ้าบรานว์ฮอกตัวนั้นก็บินเข้ามาในแหวนผนึกภูติทันที ซึ่งวายุจำได้ว่าเอลตั้งชื่อบรานว์ฮอกของเธอว่า “แอรีส” ซึ่งเป็นชื่อที่นิยมตั้งให้ผู้หญิงและแน่นอนว่า เอลต้องคิดว่าบรานว์ฮอกตัวนี้เป็นตัวเมียแน่ซึ่งวายุเองก็ไม่รู้เหมือนกันเรื่องเพศของบรานว์ฮอกตัวนี้

                “ดูเหมือนว่า ผมจะกลางเต้นท์แล้วจากนั้นก็จะกางอาณาเขตนะครับ”

          “อาณาเขต อะไรหรอ”วายุถามไคท์เมื่อไคท์ล้วงมือไปหยิบเต้นท์พกพาในเป้วิเศษของตน “เอาไว้กันผีหรอ”

          “ทำนองนั่นครับ” ไคท์ใช้เวทมนต์ควบคุมสิ่งของให้เต้นท์พกพากลางด้วยตัวเองและเสร็จอย่างรวดเร็ว “เป็นเวทมนต์แห่งแสงสว่างที่ทำให้ความมืดและความชั่วร้ายไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้ครับ และยังสามารถตบตาพวกดังกล่าวได้ด้วย”

         “เข้าท่าแฮะ เอาเหอะ นายรีบๆทำเลย ไคท์”

         ไคท์ยิ้มให้วายุก่อนจะใช้ดายของตนขีดเส้นที่พื้นดินสีแดงเป็นวงกลมขนาดใหญ่ล้อมรอบเต้นท์ จากนั้นไคท์ก็ปักบางอย่างลงดิน มันเป็นเหมือนท่อนไม้สีขาวแต่มีปลายเป็นรูปปีกทำจากโลหะแข็ง เมื่อทันทีที่เจ้าสิ่งนั้นปักลงดิน เกิดแสงจากที่ไคท์ขีดเส้นเอาไว้พุ่งขั้นครอบเต้นท์เป็นวงกลม เหมือนกับโดมสีขาวที่หุ้มเต้นท์เอาไว้และโดมสีขาวก็ค่อยๆจางหายไปเหลือแต่เส้นที่ขีดไว้มันยังเปล่งแสงอยู่

            “ไม่ว่าจะมีอะไรเกิด เราต้องไม่ออกไปจากอาณาเขตนี้นะครับ เพราะพวกนั่นต้องพยายามหลอกล่อเราให้ออกไปเป็นแน่แท้”

        “อ้าว ไหนว่าพวกมันไม่เห็นเราล่ะ”วายุพูดขึ้นด้วยความเอะใจที่ไคท์ยืนยันเองว่า อาณาเขตที่ตนกางนั้นจะตบตาพวกสิ่งเหล่านั้นได้

             “ก็มันเห็นเราก่อนหน้านี้แล้วนี่ครับ”ไคท์ทิ้งกายลงข้างนาเทร์รี่และนาเทร์รี่ก็เช็ดเหงื่อให้เขา “พวกมันรู้ครับว่าสิ่งที่ทำให้เราเศร้าเสียใจหรือหวาดกลัวที่สุดคืออะไร และมันจะพยายามทำให้เราทนไม่ไหวครับ ดังนั้นไม่ว่ามันจะทำอะไรให้เราคิดเพียงว่า มันเป็นแค่เรื่องโกหก”

        วายุพยักหน้าเบาๆเมื่อเขาต้องเจอกับสิ่งที่ต้องเปืดเผยสิ่งที่เขาไม่อาจบอกใครได้ มันเป็นสิ่งที่เล็กๆแล้ววายุเสียใจที่สุดในเรื่องนั้น เขาคลานเข้าไปในเต้นท์และหลับตาสนิทเพื่อจะได้ไม่ต้องคิดถึงมันและเขาก็ไม่รู้เลยว่า เอลกำลังร้องไห้อยู่ข้างๆเธอเองก็เหมือนวายุ มีบางอย่างที่เสียใจที่สุดเช่นกัน

            “คุณวายุครับ อาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วครับ”

             วายุตื่นขึ้นมาจากการปลุกของไคท์ แสงสว่างเมื่อตอนกลางวันหายไปแล้ว และความมืดกำลังปกคลุมทั่วทั้งป่าสุสาน เสียงเห่าโหนของหมาป่าดังขึ้นไปทั่วและตามด้วยเสียงของสิ่งเหล่านั้นคือ เสียงพูดคุย เสียงร้องไห้ และเสียงกรัดร้อง วายุขนลุกวูบเมื่อพบว่าตนเองกำลังตกอยู่ในดงของสิ่งเหล่านั้นเสียแล้ว

            “เอล แม่จะต้องไปซัมมอนเนียร์วันพรุ่งนี้ แล้วแม่จะซื้อของมาฝากนะจ๊ะ”

        ภาพๆหนึ่งก่อตัวที่ด้านนอกอาณาเขตของไคท์ เป็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งพูดคุยกับเด็กผู้หญิงหน้าตาคล้ายเอลมาก

             เสียงสะอื้นของเอลดังขึ้นเมื่อภาพนั้นจางหายไป วายุรู้ได้ทันทีว่าเป็นภาพที่เอลเศร้าสลดที่สุด

            “เอลไม่เป็นไรนะ มันแค่เรื่องที่สิ่งชั่วๆพยายามที่จะหลอกล่อเธอแค่นั้นเองนะ”

        วายุประคองเอลและพยายามปลอบใจเธอเท่าที่เขาจะทำได้

           ภาพใหม่ปรากฏขึ้นเป็นภาพที่เอลวัยเด็กยืนมองหลุมศพของแม่ของเธออย่างเศร้าสลดเป็นที่สุด

          “พ่อไม่ว่างหรอกเอล พ่อต้องทำงานนะ งานวันเกิดค่อยเอาไว้ปีหน้าละกันนะเอล”

       ภาพที่เอลกำลังอ่านจดหมายที่พ่อของเธอส่งมาให้ เอลกำลังนั่งฉลองวันเกิดแต่เพียงผู้เดียวในห้องมืดๆที่มีโต๊ะอยู่กลางห้องและมีเค้กครีมที่เธอทำเองวางบนโต๊ะพร้อมกับเทียนเล่มเดียวที่ปักไว้บนเค้ก เอลร้องไห้แต่เพียงผู้เดียว

        เอลร้องไห้หนักเข้าไปอีกเมื่อภาพมายาปรากฏภาพวันที่ย่าเธอเสียชีวิตโดยที่เธอเองก็นั่งหลับอยู่ข้างๆเตียงโดยไม่รู้อะไรเลยว่าย่าไปเสียแล้ว

        “เอล อย่าร้องนะเอล มันไม่ใช่ความจริงนะเอล”

      “แล้วที่แม่ ย่า ชั้นตายมันไม่ใช่ความจริงนั้นเรอะ นายพูดได้ยังไง! เรื่องทั้งหมดนี่ มันจริงทุกอย่าง! นายนั่นแหละที่ต้องหยุดพูด!”เอลกรีดร้องอย่างเจ็บปวด “ที่ชั้นไม่เหลือใครมันก็เป็นเรื่องจริง!”

       วายุกอดเอลแน่น เพื่อให้เอลสงบสติอารมณ์ เอลพยายามดิ้นสุดขีดเพื่อให้หลุดจากอ้อมกอดของวายุ และสิ่งที่เธออยากทำก็คือ ใช้มือปัดภาพนั้นให้หายไปซึ่งมันเข้าทางของสิ่งเหล่านั้น

           “เอล ไม่นะ เธอยังมีชั้นอยู่ เอล เธอยังมีชั้น ชั้นไม่ยอมให้พวกมันทำร้ายเธอได้หรอกเอล อย่าทำแบบนั้นนะ”

        เอลหยุดดิ้นรน เธอร้องไห้โฮและกอดวายุแน่น น้ำตานี้ไม่ใช่ความเศร้าโศกอีกต่อไป มันเป็นน้ำตาแห่งมิตรภาพและความดีใจที่ได้มาจากคำพูดของวายุ

           “พี่สาวหนีตามผู้ชายแปลกหน้า ตนเองก็ทำด้วยเหมือนกัน”

         ภาพของภาพถ่ายรวมครอบครัวที่ถ่ายภาพของสาวๆ 5 คนโดยมีนาเทร์รี่น้องเล็กอยู่ตรงกลางและคนในภาพค่อยๆหายไปทีละคนจนเหลือนาเทร์รี่เพียงคนเดียว

            “ไม่ต้องห่วงหรอกท่านไคท์ ข้า เอ๊ย ชั้นไม่สนใจมันหรอก”

        ภาพนั่นก็เปลี่ยนไปเป็นอีกภาพหนึ่งที่มีนาเทร์รี่วัยเด็กวิ่งไล่จับกับหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ในป่าพร้อมซึ่งเธอเรียกหญิงสาวผู้นั่นว่าแม่ นาเทร์รี่วิ่งเข้าไปในเขตออคโดยไม่สนใจฟังคำเตือนของแม่ จากนั้นก็มีฝูงออคฝูงหนึ่งมุ่งตรงมาทางนาเทร์รี่ แม่ของเธอช่วยถ่วงเวลาให้นาเทรืรี่หนีจนตัวตาย

        “เป็นต้นเหตุให้แม่ตาย”

     ภาพนาเทร์รี่กำลังร้องไห้เมื่อทหารเอลฟ์อุ้มร่างไร้ชีวิตเข้ามาทำพิธีศพ

       “ถึงแม้จะทำให้น้ำตาของข้ารินออกมาได้นิดหน่อย แต่มันก็ทำอะไรข้า เอ๊ย ชั้นไม่ได้หรอกนะ พวกบ้าเอ๊ย”

     ภาพนั่นเปลี่ยนไปเป็นภาพสะเทือนใจของไคท์แต่ไคท์ก็ไม่สะทบสะท้านเมื่อแต่น้อย เขายังมีสีหน้านิ่งเฉย ภาพมายาจึงเปลี่ยนมาเป็นวายุตอนวัยเด็ก

      “เด็กไม่มีใครคบ ตัวคนเดียว เพื่อนทิ้ง สังคมเพื่อนรังเกียจ”

      ภาพวายุนั่งม้านั่งอยู่คนเดียว เขาเฝ้ามองดูเพื่อนๆเล่นกันอย่างสนุกสนานแต่ตนเองไม่รู้จักใครเลยเนื่องจากเพิ่งย้ายมาจากที่อื่น

      “เพื่อนรังแก ร้องไห้งอแง แต่บอกใครไม่ได้”

      เป็นภาพที่วายุร้องไห้อยู่คนเดียวหลังจากที่โดนเพื่อนอันธพาลวัยเดียวกันรุมรังแก เขาต้องแอบไปในมุมมืดเพื่อร้องไห้

       “โดนเรียกว่า วายุจอมห่วยตั้งแต่อนุบาล”

    เอล ไคท์และนาเทร์รี่กลั้นหัวเราะ

    “ไม่จริ๊ง!!!!”

      วายุตะโกนเสียงดังสุดขีด เมื่อในที่สุดความลับของเขาก็แตกจนได้ สิ่งเหล่านั้นสามารถรู้ถึงเบื้องลึกของจิตใจคนได้ซึ่งวายุได้เชื่อแล้ว แต่การแฉความลับนี้มันเกินไปสำหรับเขา

        “ตายซะเถอะ ไอ้พวกบ้า!”

      ผัวะ! แว้ก! โครม!

      วายุล้มหัวขมำจากแรงต่อยของเอล เมื่อเขาทำท่าที่จะใช้เปลวไฟสีฟ้าเพื่อจัดการกับภาพมายาของสิ่งเหล่านั้น

        “นี่นาย คิดจะทำอะไรมิทราบ ไหนบอกชั้นเองว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงไง แล้วไหงจะทำเสียเรื่องเองนะนั่น”

     “ล้อเล่นน่ะเอล โหดไปไหมเนี่ย”

     “เฮ้อ เลิกเล่นกันเถอะครับ แล้วหันไปมองด้านหลังหน่อยครับ เรามาถึงแล้วนะครับ”

     ทั้งหมดหันไปมองด้านหลัง ประตูปราสาทที่ว่าอยู่ห่างจากเส้นอาณาเขตไม่ถึงเมตร มันเป็นปราสาทขนาดใหญ่โตมหึมาและน่ากลัวเหมือนปราสาทผีสิงซึ่งก็ใช่มันคือปราสาทผีสิงของแท้ั วายุเห็นดังนั้นจึงล้วงหยิบบันทึกออกมาอ่าน ข้อความคำใบ้ข้อความใหม่ปรากฏขึ้นมาแล้ว

      “พวกเจ้าไม่ได้สังเกตใช่ไหม ว่าลำธารได้หายไปนับจากเข้ามาที่นี่ ความลับของมันอยู่ในปราสาทแห่งนี้ จงหาของยักษ์ที่ขวางกระแสน้ำและทำให้กระแสน้ำไหลเป็นปกติ”

    “นี่เรอะ คำใบ้ มันเหมือนกับเฉลยเลยนะเนี่ย ง่ายไปไหม”

     วายุยิ้มร่าเมื่ออ่านคำใบ้จบ และคิดเลยว่าสิ่งที่คำใบ้ให้ทำมันช่างเข้าใจง่ายเหลือเกิน เขาทำได้สบายๆแน่นอน

      “มันไม่ง่ายอย่างที่คิดครับ คุณวายุลืมพวกเหล่านี้ไปแล้วหรอ พวกที่ผมต้องกางอาณาเขตกันไว้น่ะครับ”

    วายุรู้สึกหนาวถึงกระดูกเมื่อเขารู้ตัวว่าจะต้องก้าวออกจากสถานที่ๆปลอดภัยเสียแล้ว เขาถอนหายใจยืดยาวอย่างสิ้นหวัง

       “ไม่มีปัญหาหรอกครับ แค่พกนี่ติดตัวไว้ พวกมันจะทำอะไรเราไม่ได้หรอกครับ ยกเว้นแต่ พวกที่เราจับต้องไว้ครับ ถึงจะทำร้ายเราได้”

    ไคท์โชว์วัตถุคล้ายไพ่ทที่มีตัวอักษรหรือเรียกง่ายๆว่า ยันต์กันผี ของที่ชาวเผาไลท์คิดค้นขึ้นเพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย

     “พวกไหนน่ะ โครงกระดูกเดินได้รึ”

      ไคท์ยิ้ม “ใช่ครับ โครงกระดูกเดินได้ แวมไพร์ ซอมบี้และยังมีแม่มดมืดครับ ร้ายกาจมากจริงๆ”

      “หวา” วายุหน้าซีดเมื่อเขานึกถึงทั้งหมดที่ไคท์บอกมา ทุกอย่างล้วนเด็ดๆทั้งนั่นเลยและวายุก็กลัวทุกอย่างเสียด้วย “พวกมันมีกี่ตัวกันล่ะ”

      “อันนี้ผมก็ไม่รู้ครับ เห็นทีเราต้องเสี่ยงดวงเอาบ้างแหละครับ พร้อมกันหรือยัง”

     ว่าแล้วไคท์ก็แจกจ่ายยันต์กันผีให้จนครบคน จากนั้นเขาก็เก็บเต้นท์เข้าเป้วิเศษแต่ยังไม่ปลดอาณาเขต เขาบอกว่าเอาไว้เป็นจุดที่จะถอยกลับมาตั้งหลัก จากนั้นทั้งสี่ยืนประจัญหน้ากับปราสาทผีสิงก็ที่การผจญภัยสยองขวัญจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา