แพร่ง

9.2

เขียนโดย Hotaru

วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 11.01 น.

  7 chapter
  33 วิจารณ์
  16.31K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) เกริ่น : ปฐมบทแห่งความกลัว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เกริ่น : ปฐมบทแห่งความกลัว

 

    อาทิตย์ยามย่างอัสดง ช่างดูงดงามตายิ่งนัก เมื่อเทียบกับความมืดที่กำลังเข้าปกคลุม ช่างแตกต่างกันเสียสิ้น แต่ทั้งสองสิ่งก็หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีสองข้างเสมอ แม้แต่เหรียญที่ใช้กันอยู่ทุกๆวัน ก็ยังมีสองหน้า คนเราก็เหมือนกัน มีทั้งด้านดี และด้านชั่วปะปนกันไป แล้วแต่ว่าใครจะมีมันมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง แต่........ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมตั้งอยู่แล้วดับไป โดยที่ไม่อาจฝืนกฎธรรมชาติได้ ……………….

 

   ชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งเหม่อมองดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า โดยที่ตัวเขาตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากรอให้มันค่อยๆคล้อยต่ำลงไปช้าๆ ช้าๆ จนทิวากาลล่วงเข้ามา ความมืดมิดก็เข้าปกคลุมสถานที่เขาอยู่อย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ตอนนี้เขาอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยความตาย สถานที่ที่ทุกคนไม่อาจเลี่ยงได้ มันคือ สุสาน…………..

 

   ทำไม ?? เขาต้องมาอยู่ที่สุสานในยามนี้ด้วย เพราะเขาเป็นแค่นักศึกษา ที่ต้องหาเรื่องแต่งวิทยานิพนธ์ส่งอาจารย์ก่อนจะจบจากมหาลัย แต่ !!! ตอนนี้เขายังไม่ได้สักเรื่องเลย แล้วจะไปหาที่ไหนล่ะ ตอนนี้เขาพยายามมองหาชายคนหนึ่ง ที่นัดเขาไว้ว่า ต้องมาพบเฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้น ตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเลย และยามนี้ก็มืดมากแล้ว มีแต่แสงตะเกียงเพียงดวงเดียว ที่ส่งแสงวูบวาบอยู่ใกล้จะดับเต็มทีแล้ว แขวนอยู่ที่กลางศาลาที่เขานั่งคอยอยู่ ถ้าหากลมพัดเพียงบางเบา ก็คงดับแน่นอน แต่ตอนนี้ไม่มีลมอยู่เลย แม้แต่น้อย มีแต่ความเงียบ เงียบจนผิดปกติ...................

 

   แล้วจู่ๆ ลมก็พัดมาจากไหนไม่รู้ พัดมาอย่างรุนแรงจนตะเกียงเจ้าพายุที่แขวนอยู่ดับลง ทำให้มองเห็นเพียงรางๆด้วยแสงจันทร์เท่านั้น

 

“มาคอยนานแล้วรึ” เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น จากทางข้างหลังของเขา จนเขาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ

“คะ......ครับ” เขาตอบ แล้วค่อยๆหันไปมอง แล้วก็พบกับใบหน้าของชายชรา

“เฮ้อ” แล้วอุทานออกมาเบาๆด้วยความโล่งใจ “นึกว่าใคร คุณลุงที่ผมนัดใช่ไหมครับ”

“อืม..........แล้วทำไมไม่จุดตะเกียงล่ะ นั่งอยู่มืดๆไม่กลัวผีรึ”

“อ้อ เมื่อกี้มันดับน่ะครับ ลมพัดมาจากไหนไม่รู้ ผมนั่งอยู่ตั้งนานเพิ่งมาพัดเอาเมื่อกี้เนี่ย”

“เออ งั้นก็รีบจุดซะสิ จะได้สว่างหน่อย”

“ครับๆ” ว่าแล้วเขาก็รีบลุกไปจุดเจ้าตะเกียงจนสว่างทั่วทั้งศาลาแห่งนั้น

“คุณลุงครับ ที่เพื่อนผมติดต่อลุงมาให้น่ะ คงจะมีเรื่อง หรือสถานที่ ที่น่าจะตรงกับความต้องการของผมนะครับ” เขาเริ่มถามทันที ที่กลับมานั่งที่เดิม

“แน่นอนพ่อหนุ่ม แต่แกต้องสัญญากับชั้นก่อนว่า จะเขียนเรื่องราวต่างๆที่แกจะต้องเจอให้หมดตั้งแต่ต้นจนจบ โดยต้องไม่กลัวแล้วล้มเลิกเสียก่อน ไม่งั้นอย่าหาว่าชั้นไม่เตือนนะ”

“ครับ”

“งั้นไปกันเถอะ ไปพักที่บ้านชั้นก่อน เดี๋ยววันพรุ่งนี้คอยพาไปพบคนอีกสองสามคน ให้พานายไปที่ที่น่าจะตรงกับความต้องการของแก เอ...........ว่าแต่แกจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับสยองๆผีๆอย่างงี้ใช่ไหม”

“ครับ”  “ตกลงครับ งั้นไปกันเถอะ บรรยากาศที่นี่วังเวงชอบกลนะครับ”

“จะไม่วังเวงได้ไงล่ะพ่อหนุ่ม นี่มันสุสานนะ ขึ้นชื่อว่าผีน่ะ มีเป็นร้อยๆ”

“หรือครับ” สิ้นคำชายชรา ขนของเขาก็ลุกเกรียว

“รีบไปเถอะครับ”

“ไป”

 

   ทางเดินระหว่างจากสุสานท้ายหมู่บ้านกับบ้านของชายชราคนนี้ นับว่าไกลกันพอสมควร ระหว่างที่ดินกันไปก็ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกันตามประสาคนแปลกหน้า เพราะสองคนนี้รู้จักกันโดยมีคนกลางซึ่งเป็นหลานของชายชราคนนี้ ซึ่งเป็นเพื่อนกันกับเขา พอเขาบอกว่าอยากจะเขียนเรื่องแนวผีๆส่งอาจารย์ เพื่อนของเขาก็ติดต่อเขาให้มาพบกับตาทันที แต่คนดังกล่าวไม่ได้มาด้วย เพราะประสบอุบัติเหตุเสียก่อน ก่อนที่จะมาบ้านของชายชรา......................

 

“เออ………..ว่าแต่เดินกันมาตั้งนานแล้ว ตายังไม่รู้จักชื่อแกเลย” ชายชราเปิดประเด็นขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“อ้อ...ผมชื่อ ต้น ครับ” เขาตอบ

“อืม............แล้วจะมาอยู่นี่กี่วันล่ะ”

“ก็สักสัปดาห์น่ะครับ คงจะมีเรื่องให้เขียนเยอะแยะแน่เลย”

“อยู่ที่นี่ กลางค่ำกลางคืนก็อย่าออกไปจากบ้านล่ะ มันไม่ค่อยปลอดภัย”

“ไม่ปลอดภัย ????? ยังไงครับ”

“อย่ารู้เลย อยู่เฉยๆน่ะดีแล้ว”

“อ้าว????” เขาอุทานออกมาด้วยความงง

“นี่แน่ะ ถึงบ้านแล้วเข้าไปพักก่อนไป ห้องว่างอยู่ห้องหนึ่งชั้นบนน่ะ”

“ครับ”

 

   ตอนเดินขึ้นข้างบนก็มืดมาก เพราะยังไม่ได้เปิดไฟ เสียงบันไดดัง “แอ๊ด..........แอ๊ด....” ตลอด เพิ่มบรรยากาศที่น่ากลัวขึ้นอีกเป็นเท่าตัว เมื่อเทียบกับที่สุสานเมื่อกี้แล้ว ที่นี่ยังน่ากลัวกว่าเสียอีก บ้านหลังนี้เป็นบ้านไม้สองชั้น แต่ข้างล่างทำติดกับพื้น ไม่ได้ยกใต้ถุนสูงเหมือนบ้านแถบภาคใต้ทั่วๆไป ออกะเก่าพอตัวทีเดียว คาดว่าจะสร้างมาประมาณ 40 กว่าปีแล้ว

 

   ตกดึก................กว่าต้นจะเสร็จเรื่องเสร็จราว ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน ตอนนี้เขากำลังจะเข้านอนแล้วกะว่าจะสวดมนต์แล้วก็นอน แต่ด้วยความเหนื่อย เขาจึงลืม พอถึงที่นอนก็เอนตัวลงนอนทันที หัวถึงหมอบปั๊บก็หลับปุ๊บ........................

 

   เวลาค่อยๆผ่านไปช้าๆ จนกระทั่งเกือบๆตี 2 ก็มีเสียงเหมือนเสียงคนเดินไปมา แรกๆก็แค่เดินธรรมดาไม่ดังมากนัก แต่ด้วยสัญชาติญาณระวังภัยของต้น ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ใหนก็รู้สึกตัวทันที ตั้งแต่ก้าวแรก แต่ยังไม่ลุกขึ้นนั่ง นอนฟังเสียงอยู่ เสียงเดินค่อยๆเดินช้า ทิศทางเหมือนตรงมายังห้องของเขา แล้วก็เงียบไป เขารีบลุกขึ้นทันที นึกว่าจะเป็นชายชราเจ้าของบ้านขึ้นมาดู แต่พอเปิดประตูออกไปก็ไม่มีใครอยู่เลย…………….

 

   อีกครู่ใหญ่ เขาก็ได้ยินเสียงอีก แต่คราวนี้ดังกว่าเดิมหลายเท่านัก ไม่เหมือนกับการเดินเลย แต่น่าจะเป็นการวิ่งมากกว่า เสียงวิ่งตรงมายังห้องของเขาอีกแล้ว คราวนี้ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูเขาอีก และตามด้วยเสียงระดมทุบประตูดังสนั่น “โครมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” แล้วก็เงียบไปอีก..........

 

   เขาไม่รอช้ารีบลุกตรงไปยังประตู เพื่อดูให้แน่ชัดไปเลยว่า ใครคิดเล่นตลกกับเขากันแน่ เปิดประตูก็พบกับความว่างเปล่าอีกเช่นเคย แต่!!!! ไม่ทันที่เขาจะปิดประตูลง ก็ได้ยินเสียงๆหนึ่งดังลอยมาจากระเบียงทางเดินฝั่งซ้ายมือของเขา “ฮือๆๆๆ ช่วยหนูด้วย ช่....วย หนู....ด้.......วย” เสียงๆนั้นฟังดูเย็นยะเยือก ตอนนี้ขนของเขาลุกซู่ราวกับยืนอยู่ในห้องแช่แข็ง เขาทำใจแข็งหันไปยังต้นเสียงนั้น ก็พบกับร่างเด็กหญิงคนหนึ่ง เนื้อตัวเปรอะไปด้วยเลือด ใบหน้าเน่าเฟะ เละ และมีหนอนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ร่างนั้นค่อยๆชี้มือมายังเขา และวิ่งตรงเข้ามาทันที!!!! เขาก็ไม่รอช้ารีบปิดประตู แล้วล็อคทันที “โครมๆๆๆๆ” เสียงเคาะดังมาอีกครั้ง ตามด้วยเสียง “กรี๊ด!!!!!!!”  แล้วก็เงียบหายไป

 

   รุ่งเช้า ฟ้ายังไม่ทันสาง............... เขาก็รีบเก็บเสื้อผ้า แล้ววิ่งลงมาจากชั้นบน จนคุณลุงสงสัย แล้วรีบถามไปทันทีว่า “เป็นอะไรหรือ พ่อหนุ่ม” “เห็นรีบวิ่งลงมา เดี๋ยวบันไดก็หักพังหมดหรอก เฮ้อ”  

“อยู่ไม่ได้แล้วครับคุณลุง เมื่อคืนทั้งคืนผมแทบไม่ได้นอน”

“เกิดอะไรขึ้นเรอะ”

“ก็เมื่อคืนมีผีมาที่ห้องผมน่ะสิ”

“ผีเผอที่ไหนเล่า ลุงอยู่มาตั้ง 40 กว่าปี ก็ยังไม่เคยเจอเลย”

“แต่ผมเจอจริงๆนะ ไปล่ะครับ เดี๋ยวไว้ว่างๆผมจะมาเยี่ยม ปรื๋อ........อยู่ไมได้แล้วครับ”

“เออๆ แล้วแต่เอ็ง ว่าแต่งานของแกล่ะจะไม่ทำแล้วรึ”

“อ้อ.....เดี๋ยวผมกะว่าจะไปหาที่อื่นเขียนดีกว่าครับ ลาล่ะครับ”

“เออๆ โชคดีนะ”

“ครับ”

 

   ว่าแล้ว เขาก็รีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากบ้านหลังนั้น แล้วรีบเดินไปเรื่อยๆ จนพ้นอาณาเขตบ้าน แล้วก็รีบไปหารถที่แถวๆหน้าหมู่บ้าน ระหว่างทางเขาก็เดินเรื่อยๆผ่านบ้านหลายต่อหลายหลัง เห็นแต่ละหลังก็มีไฟสว่างกันแล้ว เพราะคนที่นี่ตื่นเช้ากันเกือบทุกหลัง........................

 

“อ้าว!!!! มาจากไหนล่ะพ่อหนุ่ม แล้วรีบไปไหนแต่เช้าล่ะนั่น”

“มาจากบ้านตาฉ่ำครับ”

“หลังที่อยู่ถัดไปอีก 4-5 หลังใช่ไหม”

“ครับ”

“พ่อหนุ่มเอ้ย....... เธอน่ะเจอของดีเข้าให้แล้วล่ะ มาๆจะเล่าให้ฟัง”

“ของดี??? ของดีอะไรหรือครับ”

“นี่คงไม่รู้สินะ ว่าตาฉ่ำน่ะแกตายตั้งแต่ปีที่แล้วโน่น และบ้านหลังนั้นก็ทิ้งร้างอยู่ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งหรอก เค้าว่าผีดุ”

“หรือครับ แล้วที่บ้านหลังนั้นมีเด็กผู้หญิงอยู่ด้วยรึเปล่าครับ”

“อ้อ......เด็กหญิงตัวเล็กๆน่ะรึ หลานสาวอีกคนของตาฉ่ำแกเองแหละ โดนโจรปาดคอตายเมื่อสองปีก่อนนี้เอง ตอนนั้นตาฉ่ำแกไม่อยู่บ้าน โจรก็ขึ้นบ้านแก แล้วฆ่าเด็กคนนั้นตาย”

“อ้าว!!!! หรือครับ แต่ตอนที่ผมมาที่บ้านแก บ้านแกก็สภาพดีอยู่นี่ครับ”

“งั้นตอนนี้ลองหันไปดูใหม่สิ ว่าเป็นยังไง”

 เมื่อต้นหันไปอีกครั้ง ก็พบกับสภาพบ้านที่รก เต็มไปด้วยหญ้าสูงท่วมหัว บ้านร้าง มันคือบ้านร้าง !!!!

 เขาไม่รอช้าอีกแล้วบอกลาเพื่อนบ้านคนดังกล่าว แล้วรีบตรงไปยังท่ารถตีตั๋วกลับกรุงเทพฯทันที.....................

...................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา