พิศวาสสีชมพู

9.2

เขียนโดย plaayfah

วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 10.20 น.

  13 ตอน
  24 วิจารณ์
  19.44K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ตอนที่ 1 100% แล้วนะคะ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

           งานเปิดตัวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดหนึ่ง โดยมีคอนเซปของพรีเซ็นเตอร์ที่เน้นความเซ็กซี่ เครื่องแต่งกายที่เหล่าพรีเซ็นเตอร์ใช้จึงค่อนไปทางเปิดเปลือยร่างกายด้วยเกาะอกสีขาวปักคริสตัลสีฟ้าขาวทั่วตัวกับกระโปรงสั้นสีเขียวผ้าลื่น ที่เน้นอวดเรียวขาเนียนยาว รวมถึงรูปร่างของเธอที่เย้ายวนตา เสียงฮือฮาดังขึ้น เมื่อนางเอกของงาน เริ่มวาดลวดลายโดยการเดินบิดซ้ายย้ายขวาไปทั่วบริเวณเวที เข้ากับจังหวะของดนตรีที่เปิดเรียกความคึกคะนองของเหล่าผู้ชมด้านล่าง และต่อด้วยการนำเครื่องดื่มชนิดนั้นมารดรินไปบนเนื้อตัวของเธอเองด้วยใบหน้ารื่นเริง ราวกับกำลังสนุกสนานอย่างยิ่ง

 

           ขณะที่อีกมุมหนึ่งของงาน กลับมีสายตาคมที่จ้องมองภาพบนเวทีอย่างไม่วางตา หากแต่สีหน้าเรียบและแววตาที่นิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดๆนั้น ยากที่คนจะเข้าใจ แต่ไม่ใช่กับเขา แม้จะยืนอยู่โดยไม่พูดอะไรกัน หากแต่กลับรู้ใจว่าอีกคนคิดอะไรอยู เพราะความใกล้ชิดสนิทสนมกันตั้งแต่เด็ก ทำให้ทั้งสองรู้ใจกันยิ่งกว่าพี่น้องคู่ไหน

 

           “นายคิดอะไรอยู่ ซัน” น้ำเสียงแผ่วเบาจากปากของชายหนุ่มที่ยืนเหมือนหลบมุมอยู่เอ่ยขึ้น

           ซัน หรือที่ใครๆรู้จักในนามของ ตะวัน สิริพิพัฒน์  นักบินหนุ่มอนาคตไกล แต่กลับผันตัวเองเข้าสู่วงการนายแบบ ด้วยรูปหน้าโด่ดเด่นคมสัน รูปร่างบึกบึนเต็มไปด้วยกล้ามหนา ที่ทำเอาสาวแท้สาวเทียมพากันคลั่งไคล้ ทำให้มีงานเข้ามาไม่ขาดสาย อีกทั้งกระแสข่าวที่ว่าได้รับการทาบทามให้รับบทบาทพระเอกละครฟอร์มยักษ์ของค่ายดัง แต่นิสัยที่เงียบ เก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร ความดุและตรงไปตรงมา ชนิดที่เรียกว่าไม่รักษาน้ำใจใคร ทำให้ใครๆต่างพากันขยาด

 

           “เปล่า” คำพูดติดปาก ที่เขาเอื้อนเอ่ยบ่อยครั้ง หากแต่สายตาที่ทอดมองตรงไปยังจุดหมายเดียวกับผู้ชายทุกคนในงานนี้ กลับมีคำตอบที่ชัดเจนจนคนที่รอฟังถึงกับส่ายหน้า

 

           “ไหนบอกไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้ไง” เป็นที่รู้กันดีในหมู่เพื่อนสนิท รวมถึงเขา ปกป้อง ลักษณ์คุณธรรม ที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กแต่น้อย เพราะมีผู้หญิงไม่น้อย ที่ต้องการจะรวยทางลัด ไม่ว่าจะเป็นดารานางแบบ หรือแม้กระทั่งผู้ดีที่เหลือแต่เปลือกนอก หากแต่เขาก็ไม่เคยสนใจ

 

           ปกป้อง ลักษณ์คุณธรรม หรือป้อง ทนายความหนุ่ม นิสัยเงียบขรึม รูปร่างผอมสูง ที่ต้องมาคอยเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้แก่บุตรชายของผู้มีพระคุณต่อครอบครัวเขา หากแต่เขากลับถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี จนเปรียบเสมือนเพื่อนคนสนิท ที่แค่มองตาก็รู้ใจกัน จนทำให้เขายอมทิ้งงานที่เขารัก เพื่อมาคอยดูแลจัดการเรื่องต่างๆให้แก่ ตะวัน สิริพิพัฒน์ หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ผู้ติดตามหรือบอดี้การ์ดเพราะความสามารถหลายด้านที่ถูกฝึกมาตั้งแต่เด็ก

 

           “ก็ไม่ได้บอกว่าชอบ” เสียงเข้มเอ่ยแทบจะทันที พร้อมดวงตาที่ไหววูบผิดแปลกไป แม้ปรับให้กลับมานิ่งสนิทเหมือนเดิมแทบจะทันที หากก็ไม่รอดพ้นกับอีกคนที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว

 

           “แปลว่าไม่ชอบ” สนุกไม่น้อยที่ได้ต่อปากต่อคำกัน หากก็เพียงแค่นั้น เพราะอีกคนกลับเงียบแทนที่จะย้ำเจตนารมย์ของตนออกมา หากแต่ก่อนที่ทั้งสองหนุ่มจะโต้แย้งกันกลับมีเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่หยุดหันมามอง

 

           “น้องภัสคิดยังไงคะ ถึงได้รับงานที่ออกจะหวือหวาขนาดนี้ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ น้องภัสค่อนข้างระวังตัวมากเป็นพิเศษ” หรือจะเป็น “น้องภัสไม่กลัวคนจะยิ่งติดตากับภาพของความเซ็กซี่หรอคะ ที่รับงานที่โป๊ขนาดนี้” เสียงของนักข่าวที่แย่งกันถามคำถามข้างเวทีการแสดง พร้อมทั้งกรูกันเข้าไป หลังจากที่การแสดงและสัมภาษณ์บนเวทีจบลง และนางแบบสาวเดินลงมา ทำให้ดูเหมือนเกิดเหตุชุลมุนเล็กน้อย และอีกหลายคำถามที่ตามมาจนฟังไม่ทัน จนหญิงสาวต้องเอ่ยห้ามเสียก่อน

 

           “ใจเย็นๆนะคะ ภัสจะตอบทุกคำถามนะคะ” แพรวนภัส นางแบบสาวที่ค่อนข้างมาแรงในขณะนี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส กับใบหน้ายิ้มแย้ม แม้จะกำลังโดนนักข่าวหลายคนกรูกันเข้ามาเพื่อสัมภาษณ์ถึงงานชิ้นล่าสุด ที่กำลังเป็นที่ฮือฮามาก

 

           “ที่ภัสรับงานนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ระวังตัว หลายๆคนอาจมองว่ามันค่อนข้างหวือหวา ซึ่งมันก็จริงค่ะ กว่าภัสจะรับงานนี้ ก็คิดนานพอสมควร อาจเป็นเพราะภัสโตขึ้นแล้วด้วยมั้งคะ ถึงได้อยากลองอะไรใหม่ๆดู ส่วนเรื่องที่ถามว่า ไม่กลัวคนจะติดภาพเซ็กซี่หรือ ภัสว่าตอนนี้คงช้าไปแล้วมั้งคะ” เธอตอบด้วยใบหน้ายิ้มๆ ทำเอานักข่าวต่างพากันหัวเราะไปกับคำตอบ ก่อนที่จะซักถามถึงผลงานชิ้นต่อๆไปของเธออีกเล็กน้อย เธอจึงถูกผู้จัดการส่วนตัวขอดึงตัวเธอกลับเข้าไปเปลี่ยนชุดเพื่อเตรียมไปอีกงาน

 

           “ตอบคำถามดี” หลังจากความอึกทึกด้านนอกสงบลง เสียงห้าวดังขึ้นภายในห้องรับรองที่กั้นขึ้นอย่างง่ายๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่บรรดานักแสดงทั้งหลายใช้ในการแต่งตัวและเตรียมความพร้อม

 

           “เขาก็คงเตรียมคำตอบเอาไว้อยู่แล้วก่อนจะรับงานนี้ เพราะยังไงก็คงเลี่ยงที่จะเจอนักข่าวไม่ได้อยู่ดี” เสียงคู่หูเอ่ยตอบหากแต่สายตาของทั้งสองกลับทอดมองตามร่างเพรียวระหงที่เดินเข้าไปยังประตูอีกห้องตรงกันข้าม

 

           “ไปเถอะ” เมื่อร่างสูงโปร่งลับหายเข้าไป ซันจึงเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงกว่า 178 เซนติเมตร ก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่และออกเดินนำออกไป

 

           “พี่แจง ภัสมีงานเหลืออีกกี่ที่ค่ะ” แพรวนภัส เอ่ยถามเสียงใสขณะกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเสื้อกล้ามพอดีตัวกับกางเกงยืนส์สีซีดตัวโปรดหลังฉากกั้น

 

           “เหลืองานเดินแบบคืนนี้ที่เดียวค่ะ” แจง หญิงสาวที่เป็นสาวรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยที่พาร์ทชั้นมาเรียนพร้อมกัน หากแต่เพราะความสนิทสนมรักใคร่กัน ทำให้ต่างคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตั้งแต่สมัยที่หญิงสาวเพิ่งเริ่มรับงานเดินแบบ จนกระทั่งเรียนจบและเริ่มรับงานทั้งเดินแบบ ถ่ายแบบ ก็ยังคอยดูแลกันอยู่ในฐานะผู้จัดการส่วนตัว เพราะนิสัยคุยเก่ง เข้ากับคนง่าย ร่าเริง และนอบน้อม ทำให้ไม่ว่าจะติดต่องานกับใครก็มักจะได้รับความเอ็นดู

 

           “เสร็จกี่โมงล่ะพี่แจงงานนี้” เสียงหวานยังเอื้อนเอ่ยไม่หยุด ขณะเดียวกันก็ยังคงจัดเก็บข้าวของส่วนตัวรวมทั้งหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกไปยังหมายเลขที่ขึ้นข้อความ Miss Call ไว้จำนวนหนึ่งในขณะที่เธอกำลังทำงาน

 

           “ไม่น่าจะเกินสี่ทุ่มนะ เพราะงานเริ่มประมาณทุ่มครึ่ง นางแบบออกเดินชุดแรกเกือบๆสองทุ่ม ทำไมยะ” แม้จะเอ่ยถามถึงเหตุผล หากแต่ก็เพราะรู้ว่าหญิงสาวเป็นเด็กอนามัยมากๆ เพราะหากงานไหนที่เลิกเกินเที่ยงคืน และเธอรับให้โดยไม่บอกล่วงหน้า เป็นต้องโดนโอดโอยจนหูชาไปข้างหนึ่ง

 

            “ไม่ทำไมหรอกค่ะ ภัสอยากนอนจะแย่แล้ว นอนไม่อิ่มติดๆกันมาจะหลายอาทิตย์แล้วอ่ะ” แพรวนภัสออกอาการงอแงเล็กน้อย พอดีกับที่ปลายสายที่เธอเรียกไปกดรับ

 

           “ฮัลโหล เลิกเรียนหรือยังจ๊ะ” เสียงหวานเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ทุกครั้งที่เธอได้คุยกับปลายสาย แค่ได้ยินเสียงก็ทำเอาเธออารมณ์ดีตาม จะเป็นเพราะมุขตลกๆ ที่ใครๆพากันบอกว่าน้ำเน่านั้น ทำให้เธออดจะยิ้มไม่ได้

 

           “เลิกแล้วครับ พี่ภัสเสร็จงานหรือยัง บอมไปรับนะ” เสียงหนุ่มน้อยปลายสายเอ่ยอย่างกระตือรือร้น หากต้องสลดในทันที เมื่อได้รับคำตอบ

 

           “เสร็จแล้วจ๊ะ แต่ไม่ต้องมารับ เพราะพี่กำลังจะไปทำงานอีกที่หนึ่ง” นางแบบสาวคุยไปพราง ออกเดินตามผู้จัดการส่วนตัวพ่วงตำแหน่งพี่เลี้ยงไปยังบริเวณลานจอดรถ หากแต่ทันใดนั้นเอง

 

           “ภัสระวัง/เอี๊ยดดด” เสียงร้องเรียกจากผู้จัดการสาวดังขึ้น ทำเอาคนที่กำลังเดินคุยโทรศัพท์พรางก้มหากุญแจรถในกระเป๋าหยุดชะงักอย่างตกใจ แต่แพรวนภัสกลับยืนนิ่งเหมือนหุ่นแทนที่จะก้าวหลบกลับไปข้างหลัง เมื่อมีรถคันหนึ่งที่วิ่งมาด้วยความเร็วค่อนข้างสูง แล้วเบรคจนกันชนหน้ามาหยิดอยู่ห่างจากร่างบางไม่ถึงคืบ 

 

           “เดินภาษาอะไร ไม่รู้จักดู ถ้าชนกันขึ้นมาจะว่ายังไง” ประตูรถเปิดออกมาแทบจะทันที และก่อนที่คนภายในจะออกมาจากฝั่งคนขับรถ ปกติ หน้าที่ขับรถจะเป็นของปกป้อง เพราะต้องการให้ชายหนุ่มขี้หงุดหงิดอย่างซันได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ระหว่างเดินทาง และเพราะเป็นคนใจร้อน ขับรถเร็ว จึงไม่ค่อยได้ขับเอง หากแต่วันนี้ ที่ซันนึกอยากขับรถเล่นไปยังจังหวัดชานเมือง จึงได้สลับตำแหน่งกัน และเสียงทุ่มน่าเกรงขามกลับดังขึ้นอย่างกล่าวร้าย ทำเอาคนที่ยืนตกใจเมื่อครู่ ถึงกับเลือดขึ้นหน้า

 

“แล้วคุณล่ะขับรถภาษาอะไร นี่มันลานจอดรถนะ ขับเร็วขนาดนี้ได้ยังไง” แพรวนภัสเถียงกลับอย่างไม่ลดละ โดยไม่ได้สนใจเลยว่า คนขับรถคันดังกล่าวเป็นใคร

 

“ฮัลโหลๆ พี่ภัส เกิดอะไรขึ้นครับ” เสียงปลายสายที่ยังอยู่ ทำเอาแพรวนภัสได้สติก่อนจะตอบกลับไปอย่างควบคุมอารมณ์

 

“เอ่อ ไม่มีอะไรจ๊ะ แค่นี้ก่อนนะบอม ไว้พี่โทรหาใหม่” เอ่ยจบก็กดตัดสายในทันที ก่อนจะหันกลับมามองหน้าคนที่เกือบจะขับรถชนเธออย่างขัดใจ

 

“มัวแต่คุยโทรศัพท์กับเด็กอยู่นี่เอง ถึงว่า จินตนาการไปถึงไหนแล้วล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะ หากแต่แววตาที่เขาใช้มองเธอ กลับทำให้เธอนึกขัดใจ

 

           “นี่คุณ อย่ามามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นนะ" เสียงหวานแหวขึ้นแทบจะทันที เมื่อหันมาพบเจอกับสายตาที่มองเธอราวกับจะเปลื้องผ้าเช่นนั้น และสิ่งที่ได้ยินทำเอาหญิงสาวถึงกับเลือดขึ้นหน้า แทนที่จะได้ยินคำขอโทษ หากแต่เป็น

 

           “แล้วทำไมผมจะมองไม่ได้" แม้จะตัดสินเธอไปแล้วจากภาพลักษณ์ที่ได้เห็นในงานเปิดตัวสินค้า หากแต่ก็ไม่วายต่อล้อต่อเถียงอย่างนึกสนุก

 

           “ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดนะ" และเพราะด้วยสายตาที่เขาใช้มองเธอและจากข่าวที่ช่างกระหน่ำใส่เธอ ทำเอาหญิงสาวถึงกับอยากร้องกรี๊ดเสียงดังๆ หากแต่เพราะเธอไม่เคยทำ จึงทำได้แค่แสดงอาการฮึดฮัดใส่

 

           “แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมคิดอะไรอยู่" สายตาที่ส่งไป ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับยืนอยู่เฉยๆไม่ไหว เพราะมันบ่งบอกถึงสิ่งที่เขาคิดเมื่อเขามองเธอตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า

 

           “ไม่มีมารยาท” เสียงลอดไรฟันที่เธอเอ่ยไป แม้จะเบา หากแต่คนที่รอฟังอยู่ถึงกับฉุด

 

           “ผมมีมารยาทกับคนที่สมควรได้รับเท่านั้น ผู้หญิงอย่างคุณ ผมคงไม่จำเป็นต้องลดตัวลงไปคลุกคลีด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างหมดสนุก ไม่เคยมีใครมาว่าเขาแบบนี้

 

           “แล้วจะเอายังไง รถก็ไม่ได้ชนคุณ หรือจะเรียกค่าตกใจ” เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง พรางเดินหันกลับไปยังตัวรถก่อนจะเปิดกระเป๋าสตางค์ ก่อนจะหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งยื่นให้

 

           “ฉันไม่ได้ต้องการเงิน ฉันทำงานหาเงินเองได้ เก็บเงินของคุณเอาไว้เถอะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัว จะรีบไปทำงาน” เอ่ยจบก็สะบัดหน้าเดินออกไปจากจุดเกิดเหตุแทบจะทันที จนผู้จัดการส่วนตัวอย่างแจงต้องเอ่ยขอโทษอีกครั้งก่อนจะวิ่งตามไป

 

           “โธ่โว้ย อะไรนักหนาว่ะเนี๊ย” เมื่อกลับขึ้นมานั่งหลังพวกมาลัยเรียบร้อยแล้ว ซันถึงกับระเบิดอารมณ์ที่โดนหญิงสาวสะบัดหน้าเชิดเดินหนีไปแบบนั้น และก็ได้รับการส่ายหน้าของคนที่นั่งข้างๆเป็นการตอบรับ

 

           “ให้ขับแทนไหม” ปกป้องเอ่ยอย่างมีน้ำใจ หากแต่ก็รู้คำตอบดีว่า คนอย่างตะวัน ไม่มีคำว่าเปลี่ยนใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม

 

           “ไม่ต้องหรอก หลับก็ได้นะ” ซันเอ่ยอย่างมีน้ำใจ เขารู้ว่าปกป้องไม่ค่อยมีเวลานอน เพราะกลางวันต้องมาคอยติดตามเขาไปทุกๆที่ที่เขาต้องการแล้ว กลางคืน ยังคอยดูแลรับคำสั่งบิดา หากท่านต้องการอะไรที่เป็นเรื่องด่วน ปกป้องไม่เคยทำงานพลาด

 

           คนฟังพยักหน้ารับก่อนจะปิดตาลงเป็นการตัดบทสนทนา เพราะสนิทกันมาก แต่เขาก็ไม่เคยลืมฐานะของตน หากแต่ไม่เคยฝืนแสดงต่อหน้าซัน ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร ซันมักจะเป็นคนแรกๆที่ดูเขาออก และเพราะน้ำใจที่อีกฝ่ายมอบให้ไม่ใช่ในฐานะเจ้านาย หากแต่น้ำใจในฐานะเพื่อน ทำให้เขาปฏิญาณตนเอาไว้ ว่าถ้าตายแทนได้ เขาก็จะทำ

 

           ทางด้านของแพรวนภัสที่เดินพ้นจากรัศมีเกิดเหตุมายังรถของตัวเองก็ถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ ก่อนจะบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด

 

           “อีตาบ้าเอ้ย มาว่าเราอย่างนั้นอย่างนี้ ตัวเองล่ะทำอะไรอยู่ ขับรถบ้าอะไรเร็วยังกะจรวด ดีนะที่ไม่ชน ไม่งั้นนะ แม่จะเรียกค่าเสียหายให้อ่วมเลย ชิ” เสียงหวานเอ่ยพรางสอดส่ายสายตามองหารถของตัวเองก่อนจะเดินเข้าไป

 

           “บ่นอะไรนักหนา หึยัยภัส บ่นไปเขาก็ไม่ได้ยินสักหน่อย” แจงที่เดินมาใกล้ เอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น เพราะรู้ใจว่าอีกฝ่ายเพียงแค่บ่นไปตามประสา หากแต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่เคยคิดร้ายใคร

 

           “ก็จริงนี่พี่แจง ขับรถบ้าอะไรก็ไม่รู้ เร็วขนาดนั้น ดีนะที่เบรคทันไม่ชนภัส ไม่งั้น มีหวังวุ่นวายตายเลย ภัสมีงานจนถึงสิ้นเดือนเลยไม่ใช่หรอ” หญิงสาวเอ่ยอย่างมีอารมณ์ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินไปยังฝั่งคนขับ ถ้าไม่ได้ยินเสียงเรียกไว้

 

           “หยุดเลยยัยภัส มานั่งนี่มา พี่ขับให้เอง ไม่อยากมีเรื่องอีก” แจงเอ่ยอย่างรู้ใจ ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่สาวเจ้าเริ่มหงุดหงิดแล้ว การขับรถของเธอก็จะไม่ต่างไปจากอารมณ์ เพราะมันจะเหมือนนักซิ่งบนถนนหลวงดีๆนี่เอง และเพราะมีประสบการณ์โดนตำรวจเรียกตักเตือนมาแล้ว เธอจึงไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก

 

           “โอเค พี่แจงขับ งั้นภัสของีบหน่อยนะคะ เหนื่อยจัง” เอ่ยเพียงแค่นี้ หญิงสาวที่ก้าวขึ้นนั่งข้างคนขับ ก็เอนตัวพิงศรีษะกับที่นั่ง หลับตาลงทันที

 

           “คาดเข็มขัดด้วยสิ” แจงเอ่ยพร้อมกับคนฟังทำตาม จึงได้ออกเดินทางต่อไปยังโรงแรมที่เตรียมไว้จัดงานในค่ำคืน

 

จบตอนแล้วค่ะ เรื่องนี้ ปั่นไปอัพไปนะคะ อาจจะช้าหน่อย รอติดตามไปพร้อมๆกันนะคะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา