THE LAST OF LOVED (ความรักครั้งสุดท้าย)

4.8

เขียนโดย แสงจันทรา

วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 17.46 น.

  8 ตอน
  6 วิจารณ์
  14.45K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

8)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                วาริทเดินออกมานอกบ้านและมองดูรอบๆ ทุกห้องก็ยังไม่เห็นผู้เป็นแม่จนเดินมาเข้ามาหาอภิภพ

“พี่ครับ..เห็นแม่ไหม ผมเดินหาจนทั่วบ้านแล้ว”วาริทนั่งลงที่โซฟาข้างๆ อภิภพที่กำลังอ่านหลังสือพิมพ์อยู่

“ไปกับริน สงสัยเดินออกกำลังกายแถวๆ นี้ล่ะมั่ง... อ้อนั่นไงกลับมากันแล้ว”อภิภพมองไปเจอเข้าพอดี

“ถามหาแม่อยู่หรือเมฆ พอดีแม่เห็นอากาศยามเช้ามันดีก็เลยให้รินพาเดินเล่นสักหน่อย และวันนี้ลูกจะทำอะไร”

“ผมว่าจะไปที่ไร่ของคุณปู่เพื่อนของรินนะครับ หายไปหลายวันยังไม่ได้บอกกล่าวเดี๋ยวท่านถามหา”วาริทตอบ

“ระวังอย่าไปแกล้งเพื่อนรินให้โมโห อีกล่ะค่ะ”ขจารินพูดขึ้น ทุกคนหันมามองวาริทพร้อมกัน

“อะไรกันครับ ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นสักหน่อย”วาริทแก้ตัวแทบกับสายตาที่มองอย่างสงสัย

 

                ที่ไร่สายลมหวนกลับ คุณปู่นั่งอยู่ที่ใต้ลมไม้ ท่าทางราวกับรอใครบางคนนิศาชลเดินเข้ามาหา

“คุณปู่รอใครอยู่หรือค่ะ.. น้ำค้างเห็นคุณปู่อยู่ตรงนี้นานแล้วค่ะ”ผู้เป็นหลานเดินมานั่งลงข้างๆ

“เปล่านี่.. แต่ปู่ไม่เห็นพ่อเมฆ มาที่ไร่หลายวันแล้วเขาไม่สบายหรือเปล่าก็ไม่รู้”คุณปู่พูด

“ก็สบายดีนี่ค่ะ ที่เขาไม่มาเห็นว่าไปรับแม่ที่มาจากต่างประเทศ คุณปู่ไม่ต้องรอเขาให้เสียเวลาหรอกค่ะ”พูดยังไม่ทันจบเสียงรถก็มาจอดที่หน้าไร่ผู้เป็นปู่ยิ้มตอนรับ ต่างจากนิศาชลที่กำลังหน้าบึ้งและเดินหนีเข้าไปในบ้าน

“น้ำค้าง เดี๋ยวยกน้ำชาและกาแฟ มาให้ปู่และพ่อเมฆ ด้วยนะ”คุณปู่สั่งโดยที่ไม่ได้มองหลานสาว

“ปู่นะปู่เห็นคนอื่นดีกว่าหลาน ไม่รู้หมอนั่นมีอะไรดีนักถึงได้ดีอกดีใจขนาดนั้น”นิศาชลบ่นเป็นหมีกินผึ้ง “สวัสดีครับคุณปู่ สบายดีไหมครับวันก่อนผมเข้าเมืองเลยซื้อของมาฝากครับ”วาริทยื้นของฝากที่บำรุงสุขภาพให้

“ไม่เห็นต้องลำบากเลย อ้อ..! เห็นน้ำค้างบอกว่าไปรับแม่ที่มาจากต่างประเทศหรือ”วาริทยิ้มตอบรับและมองไปที่นิศาชลที่กำลังเดินตรงเข้ามาพร้อมกับแก้วกาแฟและชา ตามที่คุณปู่สั่งแต่ใบหน้าของเธอกับเมินเฉย

“ขอบคุณครับ”วาริทรับแก้วกาแฟที่นิศาชลกำลังวางอยู่ตรงหน้ามือของเขาสัมผัสกับมือเธอจนต้องหันมาสบตา

“น้ำค้าง...เสียมารยาทนะหลานทำไมถึงทำท่าทางน่าเกลียดแบบนั้นให้แขกของปู่ล่ะ”ผู้เป็นปู่มองมาเห็นนิศาชลกำลังกัดฟันและมองวาริทตาเขียวพอดี นิศาชลดึงมือออกจากแก้วน้ำและค้อนใส่วาริทอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ.. ผมไม่ถือ”วาริทยิ้มให้นิศาชล ก็ยิ่งโมโหแต่ก็ทำ อะไรไม่ได้มากนัก

 

                วาริทเดินตามคุณปู่ไปเข้าในสวน ในช่วงบ่าย ทั่งคู่ดูจะพูดกันถูกคอตั้งแต่เช้าจนจะค่ำ เขาจึงขอตัวกลับ

“ที่นี่สวยมากครับ ผมคงได้ภาพดีๆ สักภาพสำหรับงานประกวดที่จะมาถึงในเดือนหน้านี้”วาริทพูด

“ถ้าชอบที่นี่ก็เชิญได้ทุกเมื่อ ว่างๆก็ชวนคนที่บ้านมาทำอะไรทานกันที่นี่สิ”ผู้เป็นปู่พูดขึ้นเมื่อเดินมาส่งวาริท

“ได้หรือครับคุณปู่ ผมกำลังจะขออนุญาตให้คุณแม่มาชมสวนคุณปู่อยู่พอดี”วาริทพูดด้วยท่าทีดีใจ

“ได้สิ...เดี๋ยวปู่ให้น้ำค้างเอาผักสดๆไปให้ที่บ้านตอนเย็น”คุณปู่พูดและหันไปทางนิศาชนที่กำลังเดินมาพอดี

“คุณปู่ก็ให้เขาเอาไปเลยสิค่ะ ทำไมต้องให้หลานเอาไปให้ที่บ้านด้วย”พูดและเชิดหน้าให้วาริทที่กำลังนึกขำ

“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณปู่อย่าไปดุเธอเลยถ้าอย่างไรผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”วาริทยิ้มให้เจ้าหล่อนอีกครั้ง

 

                ตกเย็นนิศาชลต้องมาที่บ้านวาริทตามคำสั่งคุณปู่ เธอยิ่งโกรธเขามากขึ้นเพราะเขาเป็นสาเหตุให้ปู่ดุเธอ

“อ้าวน้ำค้าง...หอบอะไรมาเยอะแยะ”ขจารินวิ่งเข้ามาช่วยถือของ

“ก็คุณปู่นะสิ ให้ฉันเอาผักผลไม้พวกนี้มาให้หลานรักคนใหม่”นิศาชลพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

“โธ่...หลานคนใหม่ที่เธอพูดคงไม่ใช่คนนั่นหรอกใช่ไหม”ขจารินชี้ไปทางสวนหลังบ้านที่วาริทหลับอยู่บนเป

“นั่นไง... ถ้าไม่ใช่อาของเธอนะ ฉันจะเล่นงานให้น่าดูเชียว”นิศาชลดูจะโมโหวาริทจนเห็นได้ชัด

“เจ้าเมฆ ทำอะไรให้หนูโกรธอย่างนั้นหรือไหนบอกย่ามาสิ ย่าจะจัดการให้”คุณย่าเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา “สวัสดีค่ะคุณย่า อ้อ..ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”นิศาชลแก้ตัวแทบไม่ทัน

“คือว่าอาเมฆ กับน้ำค้างเขาไม่ถูกกันตั้งแต่วันแรกที่เจอแล้วค่ะคุณย่า...โอ้ย!”ขจารินพูดและร้องขึ้นมาเมื่อถูกนิศาชลหยิก และทำตาโตใส่เพื่อนสาว

“ถ้าเป็นอย่างนั้นย่าจะจัดการให้”นิศาชลปฏิเสธในตอนแรก แต่แล้วเธอก็คิดออกว่าในเมื่อคุณปู่เข้าราวิทเธอคงต้องหากองหนุนใหม่เสียแล้ว....

 

                เช้าวันต่อมาเสียงรถมาจอดที่หน้าบ้าน ขณะที่ขจารินและคุณย่ากำลังของเพื่อไปเมืองเก่า เธอจึงวิ่งมาดู

“สวัสดีครับ” ขจารินยืนอึ้ง ด้วยความดีใจหรือตกใจกันแน่ เธอไม่ตอบรับอะไรดนัยตกใจจึงเดินเข้ามาจนใกล้

“อ้อ! คุณ...อาดนัย”ขจารินพูดขึ้นก่อนที่ดนัยจะเดินเข้ามาใกล้กว่านี้

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เห็นหน้าสีดๆ ไม่สบายหรือเปล่า”ดนัยพูดแต่มือของเขาแตะที่หน้าผากของขจารินแล้ว

“ก็ไม่เห็นตัวร้อนนี่” เสียงของดนัยกับมือที่แตะที่หน้าผากของเจ้าหลอนเรียกให้รู้สึกตัว

“ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ค่ะ...คุณอาอยู่ในบ้านค่ะ”ขจารินปัดมือของดนัยและหายเข้าไปในบ้าน

“อื้ม.. เป็นอะไรของเขานะ”ดนัยยังคงสงสัยท่าทางแปลกๆ ของเธอ เมื่อเดินเข้ามาในบ้านเห็นดนัยนั่งอยู่กับผู้เป็นแม่ และกำลังดูรูปเก่าๆ สมัยวาริทกำลังเด็กอยู่

“อ้าว...มาแล้วเหรอ นึกว่าจะไม่กลับมาแล้วซะอีก”วาริทพูดและดนัยนั่งลงดูรูปอย่างสนใจ ที่จริงเขากำลังสนใจรูปของขจารินสมัยเด็กๆ มากกว่า

“แม่ดูรูปยายรินตอนเด็กสิครับตลกดี แล้วเด็กอีกคนนี้ใครนะ”วาริทพูด ขณะที่ขจารินเดินถือแก้วน้ำมาพอดี

“ก็คู่กัดคุณอาไงค่ะ..รูปนี้ถ่ายตอนเรียนอนุบาล ไม่ต้องดูแล้วน่าอายจะตาย”ขจารินแย่งรูปออกจากมือวาริท

“น่ารักดีออก...”เสียงนั้นทำให้ทุกคนหันไปมองที่ดนัยที่กำลังอมยิ้มแปลกๆ

“อะไรกันครับ ผมพูดอะไรผิดไปหรือครับ”ดนัยพูดและเมื่อสบตากับขจาริน เป็นถึงกลับหน้าแดงเดินหนีไป

“แล้ววันนี้ไม่ออกไปไหนหรือเมฆ”ผู้เป็นแม่ถาม

“ไม่ดีกว่าครับอยากอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่”วาริทพูดและโอบกอดผู้เป็นแม่ ท่าทางออดอ้อนจนดนัยหมั่นไส้

 

ดนัยอาสามาส่งขจารินและนิศาชลที่ห้อพักตั้งแต่เช้าของวันจันทร์ก่อนที่สองสาวจะลงจากรถ ดนัยดึงมือของขจารินเอาไว้ เจ้าหล่อนหันกับมาด้วยความตกใจ

“อาดนัย! ทำอะไรค่ะ”ขจารินรีบดึงมือออกทันที

“ขอโทษครับ พอดีผมจะบอกว่าตั้งใจเรียนนะครับ”ดนัยมีท่าทีอึกอัก นิศาชลเปิดประตูรถเข้ามามอง

“ไม่ลงหรือริน... เดี๋ยวเอาของไปเก็บที่ห้องก่อน คุณดนัยช่วยไปส่งที่มหาลัยอีกหน่อยได้ไหมค่ะ”นิศาชลพูด

“น้ำค้าง! ไม่เป็นไรหรอก เราไปกันเองได้”ขจารินหันกลับมาพูดกับเพื่อนด้วยท่าทีตื่น

“อะไรกันนี้มันจะแปดโมงแล้วนะ เรามีเรียนคาบแรกเร็วเข้าเถอะ”นิศาชลดึงขจารินลงจากรถ

“อ้อ! คุณดนัยรอเดียวเดี๋ยวนะค่ะ”ดนัยยังไม่ทันได้ตอบนิศาชลก็วิ่งไปเสียแล้ว เมื่อเห็นท่าทางแบบนั้นก็นึกขำ

“อื่ม..ไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงสวยๆ จะมีท่าทางแก่นแบบนี้ด้วย ถ้านายเมฆมาเห็นคงจะขำน่าดู”ดนัยพูดยังไม่ทันจบ สาวๆ ก็วิ่งออกมาซะแล้ว และความเร่งรีบนั้นทำให้ดนัยไม่มีโอกาสพูดกับขจารินทำได้เพียงมองสบตากัน...

 

                ในค่ำนี้เป็นคืนเดือนมืด มองไปมุมไหนก็มืดไปหมด วาริทเดินออกมาที่ระเบียงหน้าบ้านเห็นผู้เป็นแม่กำลังมองไปบนท้องฟ้าอยู่นานแล้วด้วยความสงสัยเขาจึงเดินเข้าไปยืนมองตาม และก็พบความสวยงามนั้น

“อื้ม...สวยจริงๆ เลยนะครับ มิน่าล่ะคุณแม่ถึงบองท้องฟ้าแทบจะทุกคืนที่ตั้งแต่จำความได้”วาริทโอบไหล่แม่

“ใช่จ๊ะ... มันสวยงามที่สุด มันเป็นสิ่งเดียวที่ยังคงอยู่เคียงข้างเรา ไม่ว่าจะเราจะอยู่ไหน ไกลแค่ไหน เวาลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ท้องฟ้านี้ก็ยังอยู่ ที่เดิมไม่ไปไหน ถ้าแม่เกิดใหม่ได้แต่อยากเกิดเป็นดวงดาว”ศิราพูดน้ำเสียงเศร้าจนวาริทหันมองใบหน้าของแม่ราวกับจะร้องไห้ออกมาจะอย่างนั้น

“คุณแม่...มีความหลังกับท้องฟ้าใช่ไหมครับ ถ้ามันจะช่วยให้แม่รู้สึกดีขึ้นเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับ”วาริพูด

“ลูกอาจจะผิดหวัง ถ้าได้ฟังก็ได้นะ”ศิราผู้เป็นแม่มองหน้าลูกชายที่รอฟังอย่างตั้งใจ

“ไม่หรอกครับ ไม่ว่าเรื่องอะไรถ้าเป็นเรื่องของคุณแม่ผมไม่มีวันผิดหวัง แม่ลืมไปแล้วหรือครับเราเหลือกันแค่สองคน”วาริทยิ้มให้ผู้เป็นแม่ที่กำลังปลื้มใจกับลูกชายที่น่ารักของเธอ

“มันเป็นความลับที่แม่ไม่เคยบอกใคร...แม่คิดว่ามันอาจจะตายไปกับแม่ซะด้วนซ้ำ ที่บอกว่าลูกอาจผิดหวังเพราะมันเป็นเรื่องความรักครั้งแรกของแม่”ศิรา นั่งลงกับม้านั่งไม้ที่อยู่ใกล้ แต่สายตายังคงมองที่ท้องฟ้าและอมยิ้ม

“รักแรกหรือครับ...”วาริทยังคงทำท่าทางสงสัย

“ใช่จ๊ะรักแรก ส่วนพ่อของลูก เราอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจ เป็นเหมือนเพื่อและที่ปรึกษาที่ดีต่อกัน”ศิราพูด

“หมายความคุณพ่อและคุณแม่ ไม่ได้รักกันหรือครับ”วาริทพูด

“เรารักกันจ๊ะ ความรักมันไม่ได้มีแค่แบบเดียว ที่ต้องอยู่ร่วมกันได้หรอกนะลูก ถึงจะรักกันแค่ไหนถ้าไม่เข้าใจกัน ความรักมันก็จบลงด้วยความเศร้าเช่นกัน”ผู้เป็นแม่พูดในขณะที่มือลูบหัวลูกชายเบาๆ

“แบบไหนเขาถึงเรียกว่าความรักล่ะครับ ผมชักไม่แน่ใจ”วาริทพูดราวกับไม่เคยรู้จักความรักมาก่อน

“สักวันเมฆ จะรับรู้ได้ด้วยตัวเองถ้าลูกได้เจอใครสักคนที่ทำให้ลูกหัวใจเต้นแรงทำอะไรไม่ถูก หรือแม้แต่ทำเรื่องโง่ๆ... นั่นไงที่ลูกกำลังเผชิญหน้ากับมันแล้ว”ศิราพูดและอมยิ้ม รอยยิ้มนี่ที่วาริทชอบมากทั้สุด

“ทำเรื่องโง่ๆ อย่างนั้นหรือครับ”วาริทพูดขึ้นแต่ใจเผลอไปคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเขากและนิศาชล

“แต่เรื่องโง่ๆ พวกนั้นมันเป็นความทรงจำที่ล้ำค่ามาในอนาคต จงจดจำมันเอาไว้ให้ดีๆ เพราะสิ่งนี้ล่ะที่จะช่วยเราเหมือนถึงวันที่บททดสอบมาถึง”ศิราพูดสายตาหมองเศร้าลงทันที

“อะไรคือบทบทสอบ...แล้วใครเป็นคือผู้ทดสอบล่ะครับ ผมไม่เข้าใจเลย”วาริทดูจะงงกับสิ่งที่แม่พูด

“เมฆเคยได้ยินเรื่องพรหมลิขิตไหม ถ้าลูกเชื่อใจพรหมลิขิต นั่นล่ะผู้ที่กำหนดเส้นทางให้เราเดินโดยมีทางแยกให้เราเลือก แต่ถ้าเราเข้มแข็งไม่พอ หนักแน่ไม่พอ และเลือกทางที่ง่ายเพื่อหลีกหนีอุปสรรค์ เมื่อไหร่ นั้นหมายความว่าเราไม่ผ่านบททดสอบ ลูกลองคิดว่าเราจะได้อะไรเมื่อไม่ผ่านบททดสอบ”ผู้เป็นแม่ปล่อยให้ลูกคิด

“นั้นคือความสิ้นสุด ความล้มเหลว และเราต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ ใช่ไหมครับ”วาริทพูดผู้เป็นแม่ยิ้มให้

“นั่นไง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตเรานั้นคือเส้นทาง อุปสรรค์คือบททดสอบเรา ถ้าเรายิ่งเข้มแข็งเท่าไหร่เราก็จะแกร่งมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อไหร่ที่ต้องถึงทางแยก ให้เราทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาแล้วเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง แต่ต้องระวังคำตอบจริงและคำตอบลวงให้ดีๆ ถามใจตัวเองทุกครั้งที่ต้องเลือก”ศิราพูดและลุกขึ้นยืนมองที่ท้องฟ้าอีกครั้ง

“คุณแม่ กำลังจะบอกผมว่าแม่เคยเลือกทางที่ผิดพลาดมาแล้วใช่ไหมครับ”วาริทลุกขึ้น มือหนึ่งโอบกอดผู้เป็นแม่

“นั่นเป็นบทเรียนราคาแพงที่สุดในชีวิตแม่” ศิราพูดและยิ้มให้ลูกชายสุดที่รัก และบอกราตรีสวัสดิ์ก่อนจะเดินไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
3.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา