::สาวน้อยช่างเพ้อกับรักสุดป่วนใจ:

-

เขียนโดย CroCus

วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 22.43 น.

  2 chapter
  2 วิจารณ์
  5,620 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ตอนที่ 1 สาวน้อยดอกไม้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 1 สาวน้อยดอกไม้

 

 

                มะลิ ดอกไม้ที่สื่อถึงความรักของแม่ ความรักอันบริสุทธิ์ รักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน และมันก็คือชื่อของฉันเอง ชื่อที่แม่ตั้งให้ก่อนจะลาจากฉันไปอยู่อีกโลก แล้วปล่อยให้ฉันต้องอยู่กับพ่อต่อไปบนโลกอันแสนกว้างใหญ่แค่สองคน

                “พ่อค่ะตื่นได้แล้ว!” ฉันตะโกนใส่หูพ่อเสียงดังลั่น แต่ดูเขาสิ ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด นี่ถ้าบ้านเกิดถล่ม พ่อก็คงจะตายอยู่ในบ้านนี้แหละ

                “พ่อตื่นได้แล้วค่ะ” ฉันพยายามเขย่าร่างโตๆ ของพ่ออย่างแรง “บก. โทรมาทวงต้นฉบับแล้วนะพ่อ”

                พ่อของฉันทำงานเป็นนักแปล งานแปลของพ่อเป็นที่ชื่นชอบของนักอ่านมาก พ่อมีชื่อเสียงด้านนี้และพ่อก็ใช้มันเป็นเครื่องมือทำมาหากินเลี้ยงฉันมาจนโต ตอนนี้ฉันก็อายุ 17 แล้ว นับว่าพ่อฉันเก่งมากเลย ปลื้มพ่อนะเนี่ย

                เมื่อเห็นว่าเช้านี้ฉันคงปลุกพ่อขึ้นมาทำงานไม่สำเร็จแน่ๆ ฉันจึงถอดใจ เพราะขืนปลุกต่อไปฉันก็ไปเรียนสายกันพอดี ไม่ได้นะนักเรียนดีเด่นอย่างฉันจะไปสายไม่ได้เด็ดขาด

                “พ่อค่ะ” ฉันก้มลงไปกระซิบข้างหูพ่อเบาๆ “ตื่นแล้วก็ลุกไปกินอาหารที่หนูทำไว้แล้วนะคะ รักพ่อค่ะ” จูบลาพ่อแล้วก็รีบกระโดดลงจากเตียง

                ฉันออกมาจากบ้านได้ก็วิ่งไปยังบ้านหนึ่งที่อยู่ถัดไปจากบ้านของฉันสี่หลัง ก่อนจะตะโกนแหกปากร้องเรียกลูกชายเจ้าของบ้านเหมือนเคย มันเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของฉัน ในกรณีที่ไอ้กวินไม่ไปยืนรอฉันที่หน้าบ้าน

                “กวิน ก...”

                “มาเล้ว” ในที่สุดเจ้าตัวก็โผล่ออกมาหลังจากที่ฉันร้องเรียกไปแค่ครั้งเดียว เร็วทันใจดีจัง

                “หวัดดีตอนเช้า”

                “อย่ามัวยืนเอ๋ออยู่ขึ้นมาได้แล้ว”

                ฉันไม่รอช้ารีบกระโดดขึ้นซ้อนท้ายจักรยานทันที “ว่าฉันเอ๋ออีกแล้วนะแกเนี่ย” เมื่อแน่ใจว่าตัวเองจะไม่ถูกทิ้งแน่ๆ ฉันก็เปิดปากต่อว่ากวินทันที “ว่าฉันมากๆ ระวังจะได้แฟนเอ๋อๆ นะยะ”

                เอี๊ยด!

                “เฮ้ย!” ฉันร้องเสียงหลงเพราะเกือบจะตกลงจากจักรยาน “จู่ๆ แกเบรกทำไม”

                “แฟนเอ๋อเหรอ” กวินหันมามองหน้าฉันแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์

                “เออนะสิ เชื่อฉันเถอะแฟนแกนะจะต้องเป็นคนเอ๋อๆ แน่”

                “งั้นเหรอ” กวินปั่นจักรยานต่อพลางหัวเราะร่าอย่างกับคนบ้า เป็นอะไรมากไหมเนี่ยคุณเพื่อน

               

                “ดีจังนะยัยมะลิได้ซ้อนท้ายหนุ่มหล่อมาโรงเรียนทุกวันเลย” เนย เพื่อนสนิทของฉันเปิดบทสนทนาที่แตกต่างไปจากทุกวัน เพราะปกติเธอจะคุยแต่เรื่องเพลงฮิตติดชาร์ตหรือไม่ก็นายแบบสุดหล่อ

                “ถ้าเป็นหนุ่มหล่อคนอื่นฉันอาจจะปลาบปลื้มที่แกอิจฉาฉันนะ” ฉันนั่งลังยังโต๊ะเรียนที่ตั้งอยู่ข้างๆ ยัยเนย

                เนยหรี่ตามองฉันอย่างรู้ทัน “อยากเปลี่ยนนายกวินเป็นพี่สตาร์ใช่ไหมละ”

                “เบาๆ สิแก” ฉันหันไปเอ็ดเพื่อนสนิทอย่างไม่จริงจังนัก

                “มัวแต่มองอยู่ได้ระวังนะสนุขมันจะคาบไปรับประทาน” เนยพยักเพยิดหน้าไปทางซินดี้ สาวน้อยสุดสวยประจำห้อง “รายนั้นนะประกาศตัวอย่างโจ่งแจ้งเลยนะยะว่าชอบพี่สตาร์มั่กม๊ากค่า”

                “พี่สตาร์เป็นเนื้อคู่ฉันยะ ยัยนั่นเอาไปรับประทานไม่ได้หรอก” ฉันพูดล้อเล่นไปเรื่อยเปื่อย

                “ออเหรอยะ นึกว่าเนื้อคู่ฉันซะอีก เห็นเมื่อวันก่อนเขามาหาฉันในฝันพร้อมกับงูตัวเบ้อเริ่ม”

                “บ้าไปแล้วแกนี่”

                “นี่ไม่เชื่อฉันเหรอ” ยัยเนยแกล้งทำหน้าจริงจัง “เรื่องจริงนะ”

                “เชื่อแกก็บ้าแล้วยัยเพี้ยน”

                แล้วเราก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนานไปตามประสาพวกเพ้อเจ้อ ชอบพูดเรื่องไร้สาระที่ไม่มีทางเป็นจริงไปได้

 

                “เฮ้อ!” ฉันถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เมื่อไหร่โรงเรียนจะขยายโรงอาหารเสียที ไม่รู้หรือไงว่าร้านอาหาร โต๊ะ เก้าอี้มันไม่เพียงพอต่อจำนวนที่มีมากจนแทบล้นออกจากโรงอาหาร

                “เมื่อไหร่ฉันจะได้กินข้าววะเนี่ย” เสียงบ่นของยัยเนยทำให้ฉันหิวขึ้นอีกมากโข “คิวมันยาวกว่านี้ได้อีกไหม”

                “บ่นไปแถวมันก็ไม่สั้นขึ้นหรอกน่า เพราะฉะนั้นอย่าบ่นเลย”

                “อ้าวนั่น ดูยัยพวกนิสัยเสียสิ แทรกเข้ามาในแถวซะอย่างนั้นแหละ แบบนี้มันต้องจัดการ”

                ฉันรีบกระโดดรั้งยัยเนยไว้แทบไม่ทัน “เฮ้ยอย่าเลยนั่นเด็ก ม.6 ขืนแกไปต่อว่าเขาเดี๋ยวมีเรื่อง”

                “โธ่เว้ยเป็นเด็ก ม.6 แล้วมีอภิสิทธิเหนือคนอื่นหรือไง”ยัยเนยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงติดจะโมโหเอามากๆ

                “ไม่เอาน่าเพื่อน ยอมได้ก็ยอมไปก่อน มีเรื่องกันไปก็รังแต่จะทำให้ชีวิตในโรงเรียนไม่เป็นสุขนะแก”

                เนยพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง “แกนี่ชาติที่แล้วไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกิดมาเป็นอะไร ทนได้ทุกเรื่องเลยนะแก”

                “หาว่าฉันเป็นอุปกรณไถนาใช่ไหมเนี่ยแก” ฉันถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง

                “แล้วแต่แกจะคิดเถอะยะ” ยัยเนยโต้กลับมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “แต่ก็ขอบใจที่ห้ามไว้ ขืนฉันขึ้นห้องปกครองอีก แม่กับพ่ออาจเตะฉันออกจากบ้านแน่ๆ”

                “พี่สตาร์ค่ะพรุ่งนี้พี่ว่างหรือเปล่าค่ะ” เสียงแหลมๆ แบบนี้คุ้นหูชอบกลแฮะ

                “ไม่ว่างหรอกพี่มีธุระสำคัญจะต้องไปทำ” อุ้ย แต่เสียงนี้ฉันรู้และจำได้แม่นเลยว่าใคร

                พี่สตาร์แน่ๆ พี่เขามาต่อแถวฉันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย โอ้ยจะบ้าตาย ฉันไม่กล้าหันไปมองเลย

                “แย่จังเลยซินดี้อยากให้พี่ไปด้วยจัง คุณแม่กับคุณพ่อก็บ่นคิดถึงพี่อยู่นะคะ”

                “ไว้ว่างๆ พี่จะเข้าไปหาท่านก็แล้วกัน”

                “จริงเหรอค่ะ” น้ำเสียงของยัยซินดี้บ่งบอกว่าเจ้าตัวดีใจมาก

                “อืม”

                “อะนี่ของแก” ฉันรับจานอาหารมาจากยัยเนยด้วยท่าทางลังเล อยากยืนฟังต่ออะ

                “เออขอบใจ” แล้วฉันก็ต้องจำใจเดินตามยัยเนบไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รู้สึกเสียใจชะมัดที่อดได้ยืนใกล้ๆ พี่สตาร์

                พวกเราเลือกนั่งโต๊ะเล็กๆ ที่จัดไว้มุมหนึ่งของโรงอาหาร เหมาะสำหรับคนที่มาทานอาหารกันแค่ไม่เกินสี่คน เพราะมันมีเก้าอี้แค่สี่ตัวล้อมรอบโต๊ะเล็กๆ

                “รู้นะว่าแกอยากจะหันไปกระโดดตะครุบพี่สตาร์” ทันทีที่ก้นสัมผัสความแข็งของเก้าอี้ ปากของยัยเนยก็เปิดทันที

                “อย่ามาพูดเหมือนกับว่าฉันเป็นสัตว์ป่าผู้หิวกระหายแบบนั้นเซ่”

                “หรือไม่จริง” อยากหาอะไรยัดปากยัยนี่จัง

                “ไม่จริงยะ” ฉันค้านเสียงแข็ง “ฉันแค่อยากสูดดมกลิ่นของพี่เขานานๆ ก็เท่านั้นเอง”

                เนยหัวเราะร่า “โรคจิตวะแก”

                ฉันหัวเราะบ้าง “เพิ่งรู้เหรอว่าเพื่อนแกโรคจิต”

                มันก็แค่การพูดเล่นกันไปเรื่อยนะค่ะ อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น ฉันไม่ได้โรคจิตนะ แค่เกือบๆ เอง ฮา

 

                ยามบ่ายอันร้อนระอุ ฉันกับเพื่อนๆ กำลังเรียนวิชาประวัติศาสตรกันอย่างตั้งใจ

                “มะลิอาจารย์เขาบ่นเรื่องอะไรอยู่” ว่าแล้วยัยเนยก็เปิดปากหาวเสียกว้างอย่างไม่เกรงใจแมลงวัน

                “ไม่รู้สิฉันง่วงก็เหมือนกัน”

                ไม่ใช่แค่ฉันกับยัยเนยหรอกที่มีอาการง่วงแบบนี้ นักเรียนอีกหลายคนก็มีสภาพไม่ต่างจากพวกฉันเท่าไหร่นัก และก็มีสองสามคนที่แพ้พ่ายต่ออาการง่วงและหลับไปเรียร้อยแล้ว พวกเดียวที่ต้านทานความง่วงอันรุนแรงนี้ได้ก็เห็นจะมีแต่พวกหัวกะทิคงแก่เรียนทั้งหลายเท่านั้นแหละ

                เมื่อไหร่จะหมดคาบวิชาประวัติศาสตรเสียทีเนี่ย ฉันไม่ไหวแล้ว!

                ผ่าง!

                จู่ๆ ประตูที่เปิดออกก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องเรียน เขาเป็นคนที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะความหล่อของเขาหรือความแปลกใจที่ทำให้นักเรียนทั้งห้องหายจากอาการง่วง

                “ขอโทษครับที่เข้าเรียนสาย” เขากล่าวขอโทษอาจารย์ประจำวิชา

                “เธอเป็นนักเรียนใหม่เหรอ ฉันไม่เคยเห็นหน้าเธอเลย” อาจารยสูงวัยถามพลางขยับแว่นสายตาขณะมองดูนักเรียนแปลกหน้า

                “ครับเพิ่จะมาเรียนวันนี้เป็นวันแรกครับ พอดีมีอุบัติเหตุนิดน่อยผมจึงมาเรียนสายเสียจนขนาดนี้” นักเรียนแปลกหน้าพูดดด้วยน้ำเสียงสุภาพอย่างมาก อีกทั้งกิริยาของเขาก็ดูสุภาพนอบน้อมแบบสุดๆ

                “งั้นก็ไปหาที่นั่งเสียให้เรียบร้อย คาบเรียนของฉันยังเหลืออีกหลายนาที”

                “ครับ” เขารับคำและเดินไปนั่งโต๊ะที่วางอยู่ ซึ่งโต๊ะนั้นก็ตั้งอยู่ข้างหลังของฉันนี่แหละ

                “นักเรียนของฉัน กรุณาสนใจหนังสือไม่ใช่นักเรียนใหม่” คำพูดเสียงเข้มๆ ของอาจารย์ทำให้พวกเราต้องเลิกสนใจนักเรียนใหม่และหันกลับไปง่วงต่อไป

                 แน่นอนหลังจากคาบวิชาประวัติศาสตร์หมดลง เวลาสิบนาทีระหว่างคาบจึงกลายเป็นนาทีทองที่สาวๆ จะใช้สัมภาษณ์นักเรียนใหม่ ฉันซึ่งอยู่ใกล้ก็เลยได้รับรู้ข้อมูลของเขามาพอสมควรอย่างไม่ตั้งใจ

                นักเรียนใหม่คนนี้มีชื่อว่า คริสตัล ชื่อเหมือนผู้หญิงนะว่าไหม ย้ายมาจากโรงเรียนสุดหรูที่ขึ้นชื่อเรื่องความเก่งกาจด้านวิชาการ แต่ชื่ออะไรนั้นฉันจำไม่ได้แล้วละ ชอบกินช็อกโกแลต(ช่างถามกันเนอะ) เกิดวันที่ 2 มิถุนายน(จำได้แม่นเลยเพราะหมอนี่เกิดหลังฉันวันหนึ่งพอดี) ออเรื่องนี้สาวๆ เขาอยากรู้กันมาก แล้วหมอนี่ก็ยอมตอบเสียด้วย นายคริสตัลยังไม่มีแฟน เชื่อเขาเลยหล่อขนาดนี้เนี่ยนะ แต่พอคิดดูอีกที พี่สตาร์เองก็ยังไม่มีแฟนเลยทั้งที่หล่อซะขนาดนั้น

              “มะลิ...”

              ฉันหันไปตามเสียงเรียกของคริสตัล ฉันเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ นี่เขารู้จักชื่อฉันด้วยเหรอเนี่ย ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวกับเขาเลยนะ

              “ได้ยินคนนั้นเรียกชื่อเธอแบบนี้นะ ฉันจะเรียกบ้างได้ไหม” เขาตอบข้อสงสัยของฉันทันทีโดยที่ฉันยังไม่ได้ถามอะไร

              “ได้สิ” ฉันยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร “ว่าแต่เรียกฉันทำไมเหรอ”

               “เธอ...จำฉ...” คริสตัลพูดเบามากจนฉันไม่สามารถจับใจความได้ว่าเขาพูดอะไร

              “ฉันไม้ไม่ได้ยินที่นายพูดเลย” ฉันบอก

              “เออไม่มีอะไรหรอก” ชั่วขณะหนึ่งฉันรู้สึกว่าแววตาของเขามันเศร้าจนฉันอดสงสารไม่ได้ “ไม่มีอะไรแล้วจริงๆ” คริสตัลบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

             “งั้นเหรอ แต่ว่าถ้าต่อไปมีปัญหาอะไรก็ปรึกษาฉันได้นะ”

             “อืม”

 

             เย็นขนาดนี้แล้วแต่กวินก็ยังไม่มาสักที ฉันรอจนเซงแล้วนะ เดี๋ยวแม่ก็เดินกลับบ้านเองเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เฮ้อ แต่คิดดูอีกที เดินกลับบ้านมันเมื่อยอะเมื่อย รออีกหน่อยดีกว่า

             “อ้าวยังอยู่อีกเหรอ”

             ฉันหันไปมองคนปากเสียที่ปล่อยให้ฉันต้องรออยู่เกือบชั่วโมง

            “ไปไหนมาเนี่ยรู้ไหมว่าฉันรออยู่” ฉันท้าวเอวต่อว่ากวิน

            “มีธุระนิดหน่อยน่า” กวินบอกพลางไขกุญแจที่ล็อกไว้ออกจากล้อ

           “ไม่นิดหรอกมั้งนานขนาดนี้”

            กวินเงยหน้าขึ้นมองฉันนิ่งก่อนที่เจ้าตัวจะหน้าแดงเป็นลูกตำลึง “คืออันที่จริงก็ไม่นิดอย่างที่ว่านั่นแหละ เรื่องมันก็ใหญ่อยู่”

           “เรื่องอะไร” จู่ฉันก็รู้สึกสนุกขึ้นมาที่ได้เห็นกวินมีอาการแปลกๆ แบบนี้ “แล้วทำไมต้องหน้าแดงขนาดนั้นด้วย ถูกสาวบอกรักมาหรือไง” ฉันแซว แต่ดูเหมือนว่าคำพูดเล่นๆ ของฉันมันจะถูกเผงเลย

            ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วเพิ่มดีกรีความแดงขึ้นไปอีกจนน่ากลัวว่ามันจะระเบิดออกมา “อะไรทำนองนั้นแหละ แต่ว่าฉันก็ไม่ได้ชอบเขาหรอกนะ เพราะฉันชอบคนอื่นอยู่แล้ว”

           “แล้วหน้าแดงเพื่อ”

           “ก็ถูกเขาจู่โจมมานะสิ”

           “จู่โจมยังไง”

           “เออ เพิ่งถูกเขาจูบมา”

           “ฮะ ว่าอะไรนะ ถูกเขาจูบเอา”

            “เฮ้ยเบาๆ สิยัยเอ๋อ” กวินกระโดดเข้ามาปิดปากฉัน

            แต่พอฉันแกะมือของเขาออกได้ ฉันก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ฉันรู้ดีว่าหมอนี่เพิ่งเคยจูบกับผู้หญิงเป็นครั้งแรก แม้ภายนอกจะดูเป็นคนเจ้าเล่ห์ เพราะชอบทำหน้าแบบนั้นอยู่บ่อยๆ ท่าทางเหมือนเด็กหนุ่มที่ชำนาญด้านความรัก แต่จริงๆ แล้วไอ้กวินนะ ไร้เดียงสากับเรื่องแบบนี้อยู่ไม่น้อยเลยละ

            “เออเพิ่งนึกได้ก่อนหน้านั้นแกบอกว่าไม่ได้ชอบเขา เพราะชอบคนอื่นอยู่แล้ว นี่แกพูดเรื่องจริงใช่ไหมเนี่ย”

           เสร็จฉันละมันดันหลุดปากว่ามีคนที่ชอบแล้ว แบบนี้ต้องเค้นคอมันหน่อย ใครวะผู้หญิงที่โชคร้ายคนนั้น

           “พูดเรื่องจริง แต่ฉันบอกแกไม่ได้หรอก” กวินหันหลังให้ฉัน “ขึ้นรถได้แล้วยัยเอ๋อ ถ้าไม่รีบฉันทิ้งจริงๆ นะ”

           “บอกหน่อยเถอะน่า สัญญาว่าจะเก็บไว้เป็นความลับ”

            แม้ว่าจะพยายามเค้นถามเท่าไหร่ แต่ไอ้กวินก็ยังปากแข็งไม่ยอมบอกฉัน อีแบบนี้ถ้าฉันแอบรู้ละก็ ยัยมะลิคนนี้จะป่าวประกาศให้ชาวโลกเขาได้รับรู้กันหมดเลย

 

 

               

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา