DNA Detective สายเลือดพันธุ์ใหม่ หัวใจนักสืบ ตอนที่ 1

10.0

เขียนโดย TeerapornChuaysopa

วันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 15.32 น.

  2 บท
  0 วิจารณ์
  5,754 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) จุดเริ่มต้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ฉันคือ โตโฮ  ฮารุโกะ ประธานชมรม ‘ Mystery Detective ’ ที่ตั้งอยู่ภายในห้องแคบของตึกเรียนเก่าหลัง โรงเรียนโตเกียว ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมชื่อดังเลยก็ว่าได้ ฉันเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของ โตโฮ  ฮารุมิ อดีตนักสืบสาวม.ปลาย ที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นแม่บ้านแม่เรือนประจำครอบครัว กับ โตโฮ  มิสึรุ ประธานบริษัทขายรถส่งออกยักษ์ใหญ่แห่งเดียวในญี่ปุ่น และปีนี้อายุของฉันก็ปาเข้าไป 17 แล้ว แต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิตของฉันเลยสักครั้งเดียว ที่เขาว่ากันว่าชีวิตวัยรุ่นตอนปลายมันแสนจะสุดเหวี่ยงเนี่ย มันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพชัด ๆ

                “ ฮ้าว !!! ”

                เสียงหาวที่ดังลั่นของฉัน ทำเอาเพื่อน ๆ อีก 4 คนที่นั่งทำกิจวัตรประจำวันอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ หันมาทำหน้ายุ่งใส่ และจ้องฉันเขม็งด้วยความรำคาญเป็นตาเดียว

                “ นี่ ! แมลงวันบินไปสร้างบ้านในปากแกแล้วมั้งน่ะ หาวจริงหาวจังนะแกเนี่ย เมื่อคืนไปอดหลับอดนอนมัวแต่ไปเห่าไปหอนที่ไหนมาเนี่ย ”

                เธอคนนี้คือ โนมิยะ  เอสึมิ เพื่อนร่วมชั้นของฉัน พ่อกับแม่ของเธอเปิดร้านหนังสือเล็ก ๆ อยู่ในแถบย่านการค้าเอโดะงะวะ ดังนั้นจึงทำให้ตั้งแต่เด็กจนโตเธอมีโลกส่วนตัวคือหนังสือและเว็บ Google เท่านั้น และด้วยบุคลิกท่าทางเหมือนยัยแว่นจอมเฉิ่ม กับทรงผมทรงบ็อบเทหัวเห็ดด้วยแล้ว ทำให้ผู้ชายต่างก็เมินในตัวเธอกันทุกคน

              “ ฉันไม่ได้อดหลับอดนอนอะไรทั้งนั้นแหละ แต่ฉันเบื่อต่างหากล่ะ มีชมรมแต่ไม่มีงานทำเนี่ย มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากพวกว่างงานหรอกนะ ”

                “ อ้อเหรอ ! เพิ่งรู้ตัวเหรอว่าว่างงานน่ะ  2 คดีต่อปีนี่ก็คงไม่ใช่จะว่างงานหรอกมั้ง มิหนำซ้ำ 2 คดีนั้นยังเป็นคดีอภิมหาใหญ่โคตร ๆ อย่างเช่นคดีตามหาฟันปลอมทองคำหรือไม่ก็คดีให้เราไปแอบสอยกางเกงในนักเรียนหญิงที่ชอบมาเงี้ย อีอย่างหลังเนี่ยขอบอกเลยนะว่ามันไม่ใช่คดีแต่เป็นโจรโรคจิตแล้ว ถ้าขืนเธอรับคดีแบบไม่ลืมหูลืมตาอีกล่ะก็ คราวหน้าเราได้ไปนับซี่ตารางในคุกแน่ ๆ ”

                เขาคนนี้ก็คือ โยสึจิ  เซย์จิ รองประธานชมรม ‘ Mystery Detective ’ แห่งนี้ และด้วยการที่พ่อแม่ของเขาเป็นถึงศาสตราจารย์ทั้งคู่ จึงส่งผลให้ลูกชายของพวกเขามีเซลล์สมองที่ฉลาดกว่าเด็กทั่วไป ( มาก ) จนทำให้ฉันคิดอยู่ตลอดว่าเขาคือเด็กม.ปลายจริง ๆ  หรือเป็นพวกเด็กประหลาดที่ฉลาดเกินคนกันแน่  แต่อย่าให้ปากเขาว่างเชียวล่ะ มิฉะนั้นคำพูดกวนประสาทหลายต่อหลายคำจะพ่นออกมาไม่หยุด กระทั่งคุณอาจจะต้องมีสงครามประสาทกับเขาจนเป็นไมเกรนรับประทานเลยก็ว่าได้

                “ นี่ ! ถ้าจะซ้ำเติม ก็ไม่ต้องพูดก็ได้นะ แล้วอีกอย่าง 2 คดีนั่นน่ะก็เป็นการตัดสินใจของฉันเอง พวกแกไม่มีสิทธิ์หือทั้งนั้นแหละ ”

                “ เพื่อแลกกับเงิน 100 เยนเนี่ยนะ เหตุผลของแกน่ะ ฉันว่ามันออกจะเป็นเหตุผลที่ติงต๊องไปหน่อยนะ ฉันว่าเธอน่ะเปลี่ยนจากเงิน 100 เยนเป็นกระดูกหมาไปนั่งแทะเล่นจะดีกว่าล่ะมั้ง หัวสมองไม่ต่างอะไรไปจากสุนัขเลยเนี่ย ”

                “ น่า ๆ ซายูริอย่าไปแทงใจดำเธอนักเลย ก็เพราะพ่อของเธอนี่แหละ ถ้าไม่ได้พ่อของเธอที่เป็นสปอนเซอร์สนับสนุนโรงเรียนล่ะก็ ชมรมเราได้โดนยุบไปนานแล้วล่ะ ”

                โฮชิกิ อาสึสะ และ โฮชิกิ  ซายูริ 2 สาวสวยฝาแฝดมาดอนน่าประจำโรงเรียน โตเกียว และเป็นเพื่อนสมัยเด็กของฉัน ด้วยการที่พวกเธอเป็นคนที่ชอบอ่านนวนิยายลึกลับบวกกับรสนิยมแปลก ๆ ด้วยแล้ว จึงทำให้พวกเธอร่วมกันก่อตั้งชมรมนี้ร่วมกับฉัน ทว่าคนพี่ที่เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้อย่างอาสึสะกลับเป็นคนที่มีหนุ่ม ๆ มารุมตอมมากที่สุด ผิดกับคนน้องอย่างซายูริที่มีนิสัยห้าว ๆ เหมือนกับผู้ชายเชียวล่ะ

                “ เฮ้ ! พระเจ้าหายหัวไปไหนกันหมดเนี่ย ถ้าวันนี้ไม่ส่งงานมาให้ฉันล่ะก็ เตรียมตัวโดนสอยลงมาด้วยระเบิดนิวเคลียร์แน่ ! ”

                เปรี้ยง !!

                ทันทีที่พูดจบท้องฟ้าก็เริ่มครึ้ม และตามมาด้วยเสียงฟ้าผ่าที่ดังลั่นสนั่นราวกับแผ่นดินจะทลาย พวกเพื่อน ๆ ของฉันที่นั่งอยู่ตรงหน้า ต่างก็ลุกถอยกรูดออกจากรัศมีที่ฉันยืนอยู่กันทั้งหมด

                “ ยัยตัวต้องสาปเอ๊ย ! ”

                เซย์จิพูดออกมาพร้อมกับจ้องมองมาทางฉันด้วยสายตาหวาดระแวง ไม่แพ้กับคนอื่นที่ยืนกอดกันและเดินถอยหลังชนกำแพง

                “ จะเวอร์ไปหน่อยแล้วมั้ง แค่ฟ้าผ่านิดเดียวทำท่าอย่างกับมีใครเอา M76 มาถล่มหลังคาตึกงั้นแหละ  แล้วพวกแกไปยืนอะไรไกลขนาดนั้นน่ะ ฉันไม่ใช่เสาไฟฟ้าแรงสูงสักหน่อยนะ ไม่จำเป็นต้องยืนห่างกันซะขนาดนั้นก็ได้ ”

                ฉันหันกลับมาทางเดิมก่อนจะคว้าหนังสือพิมพ์ที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้ามาเปิดอ่านเพื่อแก้เซ็ง แต่กี่ข่าวต่อกี่ข่าวก็มีแต่ข่าวที่ไม่น่าสนใจเอาซะเลย แม้แต่จะเป็นข่าวคดีฆาตกรรมหวังมรดกกัน หรือคดีฆาตกรรมเพราะความหึงหวงก็ตามที กระทั่งสายตาของฉันก็ไปสะดุดเข้ากับพาดข่าวหัวใหญ่ของหน้าคอลัมน์ข่าวบันเทิง

                ... คอลัมน์บันเทิงเริงใจ ประจำวันที่ 20 ธันวาคม 2011

            ลือสนั่น !! อาถรรพ์กลางโรงละครกับจดหมายประหลาดจากยมโลก !!

            วันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา เกิดเรื่องประหลาดขึ้นภายในกลุ่มนักแสดงละครเวที ‘ เสียงสะอื้นแห่งคลื่นทะเล ’ ที่กำลังเป็นที่โจษจันอยู่ในขณะนี้ เมื่อมีจดหมายลึกลับที่ใช้ชื่อผู้ส่งว่า ‘ เจ้าสาวเรือนหอแดง ’ ส่งมายังผู้แสดงละครทุกคน ซึ่งสำหรับทางเนื้อหาภายในจดหมายนั้น ทางโปรดิวเซอร์ไม่ได้มีการเปิดเผยออกมาแต่อย่างใด แต่หลังจากที่จดหมายส่งมาได้เพียงแค่ 3 วัน เรื่องประหลาดก็ได้เกิดขึ้นเมื่อชุดนักแสดงทุกคนถูกกรีดจนเละเทะ ฉากบนเวทีร่วงลงมาใส่ 1 ในกลุ่มนักแสดงจนบาดเจ็บที่ขา หรือไม่ก็เครื่องควบคุมเสียงเกิดระเบิดจนใช้การไม่ได้ แต่สิ่งที่สร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่านักแสดงมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้น ของขวัญประหลาดที่มีตุ๊กตาบาร์บี้หัวขาด ที่ถูกราดด้วยเลือดสัตว์ส่งมาก่อนจะทำการแถลงข่าวในวันนี้ ซึ่งนอกเหนือจากนี้นั้นทางคณะผู้จัดทำละครได้ปิดข่าวไว้อย่างเงียบ ๆ ซึ่งถ้าหากมีความคืบหน้าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางเราจะมีการรายงานมาให้ท่านทราบอีกทีหนึ่ง ในคอลัมน์บันเทิงฉบับหน้าแน่นอนค่ะ

                                                            กองบรรณาธิการคอลัมน์บันเทิง สำนักพิมพ์อุโนไค ...

 

                “ นับวันจินตนาการของพวกนักข่าวมันชักจะเตลิดเปิดเปิงไปยิ่งกว่าพวกนักเขียนนิยายแล้วนะเนี่ย คำสงคำสาปบ้าบออะไรกันล่ะ ก็เห็นกันอยู่ว่านี่มันฝีมือของคนหรือไม่นี่ก็อาจจะเป็น ... ”

                “ นี่น่ะอาจจะเป็นการโปรโมตละครของทางต้นสังกัด เธอต้องการที่จะพูดอย่างนี้ใช่มั้ยล่ะ คุณประธานชมรม Mystery Detective ”

                ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดบ่นพึมพำเกี่ยวกับข่าวตรงหน้าจนจบ เสียงทุ่มนุ่มของชายหนุ่มปริศนาที่อยู่หน้าประตูห้องชมรมก็ดังแทรกขึ้นมา ทุกคนภายในห้องรวมถึงฉันต่างหันไปมองเขาเป็นตาเดียว ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่ง ผิวอันขาวเนียนนั้นยังไม่เท่ากับ หน้าตาของเขาที่มีดวงตาอันคมกริบ จมูกที่เป็นสันและริมฝีปากเรียวอันน่าหลงใหลใฝ่ฝันชวนจูจุ๊บสำหรับ ๆ สาว ๆ หลายคน แต่สำหรับฉันแล้วผู้ชายที่เหมือนดังเทพบุตรอย่างนี้มีธุระอะไรกับชมรมของฉันกัน !

                “ นายมีธุระอะไรกับชมรมของฉันกัน ”

                “ นี่ ! พวกนายน่ะเริ่มเก็บจากตรงนั้นก่อนนะ ”

                ทันทีที่ชายหนุ่มตรงหน้าฉันเอ่ยปากสั่งออกไป พรรคพวกของเขาประมาณ 3 – 4 คนก็เดินเข้ามาหน้าตาเฉย ราวกับว่าฉันซึ่งเป็นเจ้าของห้องห้องนี้เป็นเพียงแค่อากาศธาตุก็เท่านั้นแหละ พวกเขาเดินตรงไปดึงปลั๊กไฟออก ก่อนที่เกมส์เพลย์สเตชั่นตรงหน้ายัยซายูริจะดับลง จนยัยนั่นเกิดหัวฟัดหัวเหวี่ยงเดินตรงเข้ามาหาพวกชายหนุ่มที่กำลังจะเข้ามายกคอมพิวเตอร์ทันที

                “ นี่ ! อยากตายหรือไง ! แหกตาดูบ้างสิว่าฉันกำลังเล่นเกมส์อยู่น่ะ ! ทำอย่างนี้น่ะทำไมไม่ต่อยกันสักหมัดเลยล่ะหะ ! ”

                “ เป็นผู้หญิงภาษาอะไรทำไมไม่วางตัวให้สมกับเป็นผู้หญิงเลยนะ ให้มันได้อย่างนี้สิยัยสมองวิปริตผิดเพศเอ๊ย ! ”

                “ หนอย ! นายว่าใครสมองวิปริตกันหะ ! ”

                เมื่อยัยซายูริง้างหมัดออกไป หนุ่มหล่อตรงหน้าเธอก็รับหมัดของเธอไว้ ก่อนที่จะก้มหน้ามากระซิบข้างๆ หูของยัยทอมบอยเดือดดานที่เตรียมตั้งท่าจะชกเขา

                “ ลองต่อยฉันสิ แล้วเธอจะได้รู้ว่าคำว่าจูบน่ะแปลว่าอะไร ”

                “ นะ ... นี่ ! นายเป็นใครกันกล้าดียังไงมาพูดอย่างนี้น่ะ ”

                “ ฉันชื่อชิราอิ ยูกิ เป็นรองประธานชมรมวรรณกรรม โปรดจำชื่อนี้ไว้ด้วยล่ะยัยสมองวิปริต ”

                “ พอได้แล้วน่ายูกิ อย่าไปสนใจคนพวกนี้ให้รกสมองเลย ไปขนของต่อเถอะ ”

                เมื่อได้รับคำสั่งจากคนที่ยืนคุมอยู่หน้าห้อง ชายหนุ่มผู้ชื่อว่ายูกิ ก็หันกลับไปพยักหน้าตอบรับก่อนจะหันกลับมาขยิบตาให้ผู้หญิงตรงหน้าเขา แล้วเดินไปทำหน้าที่ของเขาดังเดิมพร้อมกับฮัมเพลงไปโดยไม่สนใจอะไร จนดูกวนประสาทมากเกินไปในสายตายัยซายูริ ที่กำลังจ้องไปยังเขาอย่างกับจะเอาปืนยิงทะลุเอาเลือดหัวออกมากินยิ่งกว่าก็อตซิลล่าก็ไม่เชิง

                “ ว่าแต่พวกนายเป็นใครกัน ทำไมถึงได้เสียมารยาทกับคนในชมรมฉันอย่างนี้น่ะ ”

                “ ใช่แล้วล่ะ ! ใช่แล้ว ! เขาก็คือนักเขียนนิยายสืบสวนชื่อดังคนนั้น !! คุเซโนะ โทยะ นี่ !!! ”

                เอสึมิพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นหลังจากฉันพูดจบ และเป็นเพราะเธอนี่เองถึงทำให้ฉันได้รู้ว่าเทพบุตรสุดหล่อผู้เสียมารยาทตรงหน้าฉันนั้น เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในกลุ่มคนผู้รักการอ่านหมู่มากในโรงเรียนฉัน ในชื่อของ คุเซโนะ  โทยะ คนนี้นี่เอง

                “ แล้วไงล่ะยะ เป็นนักเขียนแล้วกินทองคำแทนข้าวหรือไงล่ะ วิเศษวิโสมาจากไหนกันถึงได้มาเสียมารยาทจะมาขนของในห้องฉันตามอำเภอใจอย่างนี้น่ะ ” 

                “ ถ้าอย่างนั้นก็โปรดอ่านนี่ซะ จะได้เข้าใจว่าทำไมฉันถึงมาเหยียบที่นี่ในวันนี้น่ะ ”

                ฉันรวมถึงทุกคนต่างก็ยื่นหน้าไปจ้องเขม็งกับกระดาษในมือของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ ทว่าเนื้อความในกระดาษขาว A4 ก็ถึงกับทำให้พวกเราผงะในพริบตา เมื่อสิ่งสิ่งนั้นเป็นประกาศอันน่าเหลือเชื่อของโรงเรียนโตเกียวแห่งนี้

                ...  จดหมายราชการภายในประจำวันที่ 20 ธันวาคม 2011

                  ประกาศจากผู้อำนวยการโทคิวะ  อาซากิ ผู้อำนวยการแห่งโรงเรียนโตเกียว

                  เรื่องการยุบชมรม Mystery Detective

            เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมานั้นทางเราได้ทราบมาว่าชมรม Mystery Detective นั้นเป็นชมรมที่เป็นแหล่งซ่องสุมของพวกเด็กเกเรหลายคน ที่แอบโดดเรียนไปนัดพบทำกิจกรรมบางอย่าง ที่เสี่ยงต่อการทำเรื่องร้ายแรงและผิดกฎระเบียบของโรงเรียน ดังนั้นทางคณะครูจึงมีความเห็นที่จะยุบชมรม Mystery Detective นับตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2035 เป็นต้นไป และขอมอบตึกเก่าหลังอาคาร 7 ให้เป็นที่ทำการของชมรมวรรณกรรมโรงเรียนโตเกียวทั้งหมด

                                                                                            ลงชื่อ

                                                                                    Tokiwa  Asaki

                                                        ( นายโทคิวะ  อาซากิ )

                                                                                 ผู้อำนวยการโรงเรียนโตเกียว ...

            ฉันกวาดสายตาอ่านแล้วอ่านอีก แต่ว่าข้อความในจดหมายก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสักนิด ซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้ฉันเชื่อได้เลยว่า ฉันไม่ได้ตาฝาดเลยสักนิดเพราะเพื่อน ๆ ของฉัน ต่างก็ทำหน้าเหวอเหมือนกับฉันกันทุกคน และแน่นอนว่ามันไม่ได้พิมพ์ผิดด้วย !!!

                “ มันจะมากไปแล้วนะ ! มีสิทธิ์อะไรที่จะมายุบชมรมของพวกเราน่ะ ! ” ฉันตวาดออกไปอย่างเต็มเสียงเพื่อให้คนตรงหน้ารู้สึกสะทกสะท้านบ้าง แต่เขากลับคลี่รอยยิ้มออกมา ราวกับว่าจะยั่วโมโหฉันที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ตรงหน้าเขา “ นายยิ้มอะไรของนายกันน่ะหะ ! ”

            “ ถ้าไม่มั่นใจก็ลองเข้าไปถามผู้อำนวยการเองสิ แต่ถ้าคำตอบออกมาเป็นลบล่ะก็ อย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งออกมาละกัน แม่สาวนักสืบ ”

                ในที่สุดคำพูดของเขาก็ทำให้เส้นประสาทของฉันขาดในที่สุด ก่อนที่ฉันจะเดินไปคว้าข้าวของของเขาที่ถูกขนเข้ามาวางไว้ในห้อง โยนออกไปโดยไม่ไยดีกับกระดาษเอกสาร ที่หลุดออกมาปลิวว่อนอยู่ตรงหน้าฉัน

                “ อย่าแม้แต่จะเข้ามาเชียวนะไม่อย่างนั้นนายเจอดีแน่ เพราะยังไงฉันก็ไม่มีวันให้ห้องห้องนี้กับนายโดยเด็ดขาด โปรดจำไว้ด้วย ! ”

                “ ฉันว่าพ่อแม่เธอคงจะร้องไห้ตายเลยล่ะนะ เมื่อรู้ว่าฉายายอดนักสืบสาวในตำนานจะต้องด่างพร้อย  เพราะมีลูกสาวไม่เอาไหนแบบนี้น่ะ ”

                “ นายว่าใครไม่เอาไหนนะ ! ”

                “ ลองพนันกันดูมั้ยล่ะ ถ้าหากว่าเธอไม่สามารถไขคดีใหญ่ตามหน้าหนังสือพิมพ์ได้ล่ะก็ ห้องนี้จะตกเป็นของฉันทันที เป็นไงล่ะข้อเสนอนี้น่าสนใจดีมั้ยล่ะคุณยอดนักสืบสาวผู้ตกอับ ”

                เขาทำหน้ายียวนกวนบาทาฉันอีกครั้งด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยและแววตาที่ชวนจิกกัด ก่อนที่จะยืนกอดอกยื่นหน้ามาทางฉัน พร้อมกับเสียงหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ

                ซึ่งแน่นอนว่าฉันจะไม่มีทางให้ชื่อเสียงที่เปรียบดัง อิฐบล็อกที่แม่ฉันสั่งสมมาในอดีตต้องพังพินาศลง เพียงแค่ความขี้ขลาดของฉันคนเดียวแน่ !

                “ ฉันรับคำท้า ! ”

                “ หึ ๆ  ! ดูเหมือนว่าฉันจะปลุกมังกรที่นอนจำศีลในถ้ำให้ตื่นขึ้นมาแล้วสินะ ว่าแต่จะใช้เวลาสักีวันดีล่ะ 2 สัปดาห์ 1 เดือน หรือว่า 2 เดือนดีล่ะ ”

                “ แค่ 1 สัปดาห์ก็คุ้มค่าแล้วล่ะ ”

                “ เฮ้ย ! แกบ้าไปแล้วเหรอ ”

                เซย์จิพูดพร้อมกับเอามือมาแตะที่บ่าของฉัน ก่อนที่เขาส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อปรามคนเดือดดาลอย่างฉัน ทว่าสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อฉันหันไปแกะมือเขาออก พร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ ก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับผู้ชายไร้มารยาทหน้าห้องอีกครั้ง

                “ แน่ดีนี่คุณนักสืบ แล้วฉันจะคอยดูว่าผลคราวนี้จะออกหัวหรือก้อยกันแน่ ”

                “ แล้วนายจะรู้ว่านายกำลังเล่นอยู่กับใคร ”

                “ ให้มันดีอย่างที่ปากพูดเถอะนะ เอาเป็นว่าวันนี้พวกฉันจะถอยทัพกลับไปก่อนก็แล้วกัน แล้วเจอกันเมื่อครบ 1 สัปดาห์ หวังว่าวันนั้นฉันคงไม่เห็นเธอนั่งคุกเข่าขอร้อง ร้องไห้ฟูมฟายขี้มูกโป่งหรอกนะ ”

                เขาทิ้งท้ายด้วยประโยคสุดท้ายพร้อมกับแววตาดูถูก ก่อนจะหันหลังเดินจากไปพร้อมกับพรรคพวกของเขาจนลับตา ทว่าเรื่องทุกอย่างกลับไม่จบลงง่าย ๆ  เมื่อมีสายตาพยาบาทหลายคู่ จ้องมายังฉันเป็นตาเดียวราวกับจะแหกไส้แหกพุงฉันออกมากินเลยก็ว่าได้ล่ะ

                “ เธอพูดอะไรออกมานะฮารุโกะ ช่วยพูดออกมาให้ชัด ๆ ซิ ว่าฉันได้ยินไม่ผิดที่เธอพูดว่า แค่ 1 สัปดาห์น่ะหะ ! ”

                ยัยอาสึสะส่งรอยยิ้มอันแสนสยดสยองจองเวรมาทางฉัน พร้อมกับเค้นน้ำเสียงกระแทกกระทั้ง จนฉันยืนเหงื่อตก ขนลุกไปแทบทั้งตัว แน่นอนว่าเรื่องแย่ ๆ ทั้งหมดก็ควรจะจบลงที่ตรงยัยอาสึสะ ถ้าหากว่าไม่มีคำต่อว่าสารพัดสารพา และแววตาประหลาด ๆ จากเพื่อน ๆ ที่แสนจะน่ารัก ( ซะไม่มี ) ของฉัน

                “ เออ ! ในเมื่อไม่เห็นหัวเพื่อน ถ้าอย่างนั้นก็เชิญตามสบายเลย ! ถ้าหากว่าชมรมยุบเมื่อไรพวกเราก็แค่ถูกลอยแพเองนี่ ! ”

                ยัยซายูริเอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงแกมประชดประชัน ก่อนที่จะสะบัดก้นเดินเชิดเข้าห้องไปตามเดิม ปล่อยให้ฉันโดนรุมประชาทัณฑ์ตามยถากรรมของคนปากดีต่อไป

                “ เป็นไงล่ะ ทำเป็นปากดี แล้วทีนี้จะเอายังไงล่ะ อยู่ดีไม่ว่าดีดันไปรับคำท้าโดยไม่ดูสถานะของตัวเองเลยนะเธอเนี่ย ให้ตายเถอะ ! ” เซย์จิเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกับเกาหัวตัวเองจนผมที่เซ็ตไว้ของตนเองยุ่งไปหมดเหมือนคนจนปัญญา ก่อนที่เขาจะหันหน้ามาทางฉันอีกครั้งเพื่อพูดอะไรบางอย่าง “ นี่เธอไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าเธอกำลังเล่นอยู่กับใครกันน่ะ ฝ่ายนั้นน่ะเป็นถึงว่าที่นักสืบ FBI ในอนาคตเชียวนะ มิหนำซ้ำเขายังเคยไขคดีฆาตกรรมปริศนาดารามือทองแห่งฮอลิวูดอย่างคดีของเอมิลี่ แบล็คเวิร์ด มาแล้วด้วย ฉันว่าคราวนี้เธอคงตกอยู่ที่นั่งลำบากจริง ๆ แล้วล่ะนะ ”

                “ เอาเถอะน่าอย่ากังวลไปเลย ฉันว่ายังไงเราลองไปปรึกษากับผ.อ.ดูก่อนก็ได้นี่ เผื่อทางนั้นจะหาหนทางประนีประนอมเรื่องการยุบชมรมนี้ได้บ้างน่ะ ”

                เมื่อลองฟังคำแนะนำจากเอสึมิ เรื่องตึงเครียดที่อยู่รายล้อมฉันตอนนี้ก็ค่อย ๆ ผ่อนผันลงในทันตา และวิธีนี้ก็อาจจะเป็นวิธีสุดท้ายที่เหลืออยู่สำหรับฉันที่พอจะทำได้ในตอนนี้ เพื่อความอยู่รอดของชมรมพวกเราก็เป็นได้

 

                เวลา 3.00 PM. ที่แสดงอยู่บนหน้าปัดหอนาฬิกาใจกลางโรงเรียน คือเวลาแห่งอิสระเสรีที่ยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 สำหรับนักเรียนทั้งหลายซึ่งกำลังวิ่งก้าวพ้นเขตรั้วประตูโรงเรียนไป ทิ้งไว้แต่ตึกเรียนที่เงียบสงบและโต๊ะเรียนที่ระเกะระกะในแต่ละห้อง ทว่าตึกที่เงียบสงบที่สุดในบรรดาทั้งหมด 15 ตึกนั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นอาคาร 5 ที่เป็นส่วนของห้องพักครูและห้องการเงินทั้งหมด และก็คงจะไม่มีนักเรียนคนไหนที่กล้าย่างกรายเข้ามาในเขตนี้ นอกจากพวกที่ผิดระเบียบทั้งหลายกับพวกหัวโจกนักเลงประจำโรงเรียนที่ถูกลากมาตึกนี้ประจำเพราะความระกำของตนเอง

                ตึก ๆ ๆ !!

                ฉันก้าวฉับ ๆ ไปตามทางเดินบนชั้น 3 ของอาคาร 5 พร้อมกับ เสียงรองเท้าที่กระทบกับพื้นจนดังก้องไปทั่วบริเวณ ท่ามกลางบรรดาสายตาของเหล่าอาจารย์ที่นั่งทำงานกันอยู่ในห้องพักครู แต่ที่ฉันรู้ในตอนนี้ก็คือ ไม่มีใครที่กล้ามาหือหรือเข้ามาทักฉันสักคน เพราะหน้าตาที่แสดงออกของฉันมันยิ่งกว่าพวกผู้หญิงที่เป็นประจำเดือนไม่มาแล้วอาละวาดเสียอีก

                ปัง !!!

                “ เหวย !!! ”

                ผ.อ.ที่กำลังนั่งจรดหัวปากกาเซ็นเอกสาร อยู่ที่โต๊ะหรูกลางห้องใหญ่นั้นถึงกับสะดุ้งโหยง เมื่อจู่ ๆ ประตูห้องแทบจะพังโครมออกมาเป็นแผง ๆ ด้วยแรงเล็ก ๆ จากประสาทสั่งการของเท้าฉัน

                “ ผ.อ.คะ !!! จะไม่เกินไปหน่อยเหรอ เงินค่าบำรุงการศึกษาของโรงเรียน บริษัทพ่อหนูก็สนับสนุนมาตลอดไม่เคยขาดเว้นเลยนะ !!! แล้วจู่ ๆ ทำไมท่านถึงตอบแทนกับผู้มีอุปการคุณต่อโรงเรียนอย่างนี้ล่ะคะ !!! ”

                “ โอ้ ! สงบสติอารมณ์ไว้ก่อนฮารุโกะคุง  ประตูห้องครูมันพังไปหลายบานเพราะเธอแล้วนะ ! ”

                “ ถ้าขืนท่านไม่ช่วยจัดการเรื่องนี้ล่ะก็ หนูจะเอาถุงอุนจิมาปาหน้าโรงเรียนแล้วจุดไฟเผาให้มันวอด เอาให้มันทั้งร้อนทั้งเหม็นลงข่าวหน้า 1 ไปเลย คอยดูสิคะ ! ”

                ฉันตะคอกแว้ด ๆ เสียงใสใส่คนตรงหน้า โดยไม่สนใจว่าฉันเป็นศิษย์ และเขาคือผ.อ.ผู้มีอำนาจที่สุดในโรงเรียนแห่งนี้  แต่ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือฉันจะต้องปกป้องห้องชมรม จากเงื้อมมือของไอ้ผู้ชายไร้มารยาทคนนั้นให้ได้ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเป็นเพียงแค่เรื่องลม ๆ แล้ง ๆ ก็ตาม

                “ ใจเย็น ๆ ก่อนสิฮารุโกะคุง ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้ ”

                “ จะให้หนูเย็นได้ไงล่ะคะ ก็ในเมื่อผ.อ.เป็นคนออกคำสั่งยุบชมรมหนูน่ะ ! ”

                ฉันชูแผ่นกระดาษขึ้นพร้อมกับสะบัดมันไปมา เพื่อให้ผ.อ.ที่ยืนซับเหงื่อที่ไหลซกอยู่ตรงหน้าได้เห็นถึงการกระทำของตัวเองอย่างเต็มตา และก็เป็นอย่างที่ฉันคิด ทันทีที่เขาชะเง้อหน้ามาอ่านข้อความในกระดาษ เขาก็ถึงกับพูดไม่ออก ก่อนจะกลับมาวางมาดและกลับไปนั่งเซ็นเอกสารดังเดิมโดยไม่สนใจฉันอีกต่อไป

                “ ท่านจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอคะ ! ”

                ฉันตวาดเสียงออกไปเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าทำเป็นทองไม่รู้ร้อนกับเรื่องของฉัน

                “ ขอโทษนะฮารุโกะคุง ถ้าจะมาขอครูเรื่องนี้ล่ะก็ ครูเกรงว่าครูคงจะช่วยเธอไม่ได้จริง ๆ แล้วล่ะนะ ”

                “ ทำไมล่ะคะ ! ถึงแม้ว่าชมรมหนูจะไม่ได้ทำชื่อเสียงให้กับโรงเรียนเหมือนกับชมรมอื่น แต่พวกเราก็ไม่ได้ไปมั่วสุมหรือสร้างชื่อเสียให้กับโรงเรียนเลยสักนิดนะคะ ! ”

                “ แล้วจะให้ครูทำยังไงเล่า ! ก็ในเมื่อนี่เป็นมติจากครูทั้งโรงเรียนที่ให้ความเห็นว่า ชมรมของเธอไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อโรงเรียนเลยสักนิด แถมยังอาจจะเป็นแหล่งซ่องสุมของเด็กโดดเรียนอีกด้วย แล้วอีกอย่างคนที่ออกคำสั่งสั่งยุบชมรมก็ไม่ใช่ครู แต่เป็น ... ”

                ทันทีที่ผ.อ.จะพูดบางสิ่งบางอย่างออกมา เขาก็ชะงักขึ้นก่อนที่จะทำน้ำเสียงกระอึกกระอักสอดส่ายสายตาไปมาเหมือนพวกจำเลยหาข้อแก้ตัว ยิ่งฉันทำท่าหรี่ตาเค้นด้วยแล้ว เขากลับจงใจที่จะไม่มองหน้าฉันใหญ่ ราวกับว่าจงใจปกปิดบางอย่างเอาไว้ไม่ให้ฉันรู้

                “ แต่อะไรคะ ตกลงใครออกคำสั่งกันแน่ !!! ”

                “ ให้มันน้อย ๆ หน่อยเถอะแม่คุณ ! นั่นผ.อ.นะไม่ใช่เพื่อนเล่นเธอ ที่จะมาทำเสียงใส่ซาวน์เอฟเฟกต์ตะคอกแว้ด ๆ ให้มันดังลั่นอย่างนี้น่ะ หัดมีความเกรงใจกันหน่อยสิ ! ”

                เสียงทุ้มนุ่มเสียงหนึ่งดังขึ้นแทรกกลางสร้างความเงียบให้กับห้องในทันใด เจ้าของต้นเสียงค่อย ๆ เดินตรงมาทางด้านหลังฉันเรื่อย ๆ 

                ทว่าความรู้สึกที่ขนลุกแบบนี้ เสียงแบบนี้ ถ้าเดาไม่ผิดหรือว่าเขาจะเป็น ... !

                “ นี่ ! นาย !! ”

                “ ทำไม ! ถึงกับอึ้งไปเลยหรือไง อย่านึกนะว่าจะใช้ไม้นี้ได้น่ะ ฉันไม่ยอมเธอหรอกน่า ยังไงเกมก็เป็นเกมอยู่วันยังคำนั่นแหละ ! ”

                และก็เป็นไปอย่างที่ฉันคิด เจ้าของคำพูดที่ยียวนกวนบาทาเมื่อกี้ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย แต่เป็นอีตาผู้ชายไร้มารยาทนามว่าโทยะนี่เอง !

                เขาจ้องมองมาที่ฉันอย่างมีเลศนัยน์พร้อมกับใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม ก่อนที่เขาจะเดินไปมารอบตัวฉันพลางส่งสายตามาทางฉันอย่างพินิจพิเคราะห์

                “ นี่ ! มองฉันด้วยแววตาแบบนั้นหมายความว่าไงน่ะ นายคิดจะเล่นงานอะไรฉันอีกหะ ! แค่นี้ฉันก็เหมือนกับหมาจนตรอกเข้าทุกทีแล้วนะ ! ”

                “ ฉันคิด ๆ ดูแล้ว 1 สัปดาห์สำหรับเธอน่ะมันคงจะมากไปหน่อยนะ เอาเป็นว่าเพื่อที่จะยุติเกมนี้เร็ว ๆ ฉันจะย่นเวลาให้เธอเหลือแค่ 5 วันพอก็แล้วกัน เป็นไงเธอว่ามันแฟร์มั้ยล่ะ ”

                “ แฟร์บ้านนายน่ะสิ ! ฉันไม่ใช่เชอร์ล็อคโฮมส์หรือปัวร์โลสักหน่อยนะที่จะไขคดีได้เพียงแค่ 5 วัน เหมือนเอาข้าวใส่ปากเคี้ยว ๆ น่ะ ! ”

                “ ก็พยายามเข้าสิแม่นักสืบคนเก่ง ขนาดหมาตกน้ำมันยังตะเกียกตะกายว่ายขึ้นฝั่งเลย แล้วนี่เธอจะยอมแพ้แล้วหรือไงกัน ”

                “ แต่ฉันไม่ใช่หมานะยะ ! ”

                “ เอาเป็นว่าพยายามเข้าก็แล้วกันนะ เพราะฉันไม่อยากที่จะได้ขึ้นชิ่อว่ารังแกผู้หญิงน่ะ  เอิ่ม ... ท่านผ.อ.ครับ ผมวางเอกสารไว้ที่โต๊ะนะครับ ”

                หลังจากที่พูดจาเยาะเย้ยถากถางฉันจนจบ เขาก็วางซองเอกสารไว้บนโต๊ะของผ.อ. แล้วเดินผิวปากออกไปจากห้องด้วยท่าทียียวนกวนประสาท ชวนให้ฉันแทบจะกรีดร้องออกมาเหมือนผีเปรต แล้วลงไปนอนดิ้นพล่าน ๆ กับพื้นเพราะความแค้นใจเลยก็ว่าได้

                “ กรี๊ดดด !!! ฝากไว้ก่อนเถอะ ไอ้บ้าเอ๊ย !!! ”

 

                แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องลงมายังพื้นดิน ก่อเกิดความอุ่นที่คละเคล้าไปพร้อมกับ กลิ่นหอมของดอกซากุระแห่งฤดูใบไม้ผลิ ที่ปลิดปลิวไปพร้อมกับสายลมเย็นที่พัดมาเป็นระลอก ๆ และนำพากลิ่นน้ำหอมโปรด อย่างกลิ่นลาเวนเดอร์ บนตัวหญิงสาววัย 39 ปีที่นั่งอ่านหนังสือเล่มหนาอยู่ใต้ต้นซากุระมาด้วย เส้นผมที่ดำขลับที่ปลิวไสว บวกกับใบหน้าที่แต่งแต้มเพียงแค่ลิปสติกสีชมพูอ่อน ทำให้เธอดูสง่างามราวกับเด็กสาววัยรุ่น 20 ต้น ๆ ก็ไม่เชิง และทันทีที่ฉันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอด้วยสีหน้าเหมือนคนเบื่อโลก เธอก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาราวกับจะขำในท่าทางของฉัน

                “ แม่อย่าขำหนูจะได้มั้ย หนูไม่ตลกด้วยคนนะ ”

                ฉันเอ่ยปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูเนือย ๆ ก่อนจะเดินตรงไปนั่งข้าง ๆ แม่ของฉัน ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มโปรดอย่าง ‘ เชอร์ล็อคโฮมส์ ’ อยู่อย่างใจจดใจจ่อ

                “ อ้าว ! จะไม่ให้แม่ขำได้ไงล่ะ ก็เล่นทำหน้าบอกบุญไม่รับอย่างนั้นน่ะ แม่ก็คิดว่ามีไอ้หนุ่มหน้าไหนมาตามปั่นป่วนกวนใจลูกสาวเนื้อหอมของแม่ซะอีกนะเนี่ย ”

                “ โธ่ ! แม่คะ ทำไมชอบทำให้เรื่องซีเรียสกลายเป็นเรื่องติดตลกไปล่ะคะ อย่างหนูเนี่ยนะจะมีผู้ชายมาตามกวนใจน่ะ ถ้ามาตามจองล้างจองผลาญกวนประสาทอย่างกับหนูไปฆ่าแม่มันตายล่ะก็อาจจะไม่แน่ก็ได้ ”

                “ เอ๊ ... แม่ชักอยากจะรู้ซะแล้วสิ ว่าชายหนุ่มรูปงามคนไหนกันนะ ที่ทำให้ลูกของแม่ของขึ้นได้ถึงขนาดนี้น่ะ ”

                “ แม่ไม่ต้องรู้หรอกค่ะ ขืนรู้ไปก็เปลืองเมโมรี่สมองเปล่า ๆ แล้วอีกอย่างเรื่องมันก็ยาว จนหนูไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดด้วย ”

                “ ไม่อยากเล่าหรือเล่าไม่ได้กันแน่จ๊ะ บอกแม่มาซะดี ๆ นะ ลืมไปแล้วหรือไงว่าแม่เป็นนักสืบน่ะ ก็อีเรื่องจับผิดคนหรืออ่านใจน่ะ แม่ถนัดนักล่ะ ”

                “ แม่คะ ! ”

                “ จ้า ๆ ! โอเค ๆ แม่ไม่พูดแล้วก็ได้ ”

                แม่ของฉันพูดพลางทำท่าหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างชอบใจ ราวกับว่าอ่านใจฉันออกและรู้ทันความคิดของฉันหมดทุกอย่าง โดยที่ไม่เคยจะสนใจเลยว่าลูกสาวของตนเองกำลังนั่งกุมขมับกลุ้มใจในบางเรื่องอยู่

                ติ๊ด ๆ ๆ !!

                “ เอ๊ะ ! โทรศัพท์จากใครกันนะ ”

                ในทันทีที่เห็นเบอร์แปลกที่แสดงอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ แม่ของฉันก็ขมวดคิ้วเป็นปมแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ก่อนที่เธอจะตัดสินใจกดปุ่มรับสาย แล้วนำมันมาแนบที่หู เพื่อคุยกับทางปลายสายที่ไม่เคยรู้จักมักจี่มาก่อนเลย

                “ ฮัลโหลค่ะ ”

                ( โตโฮ  ฮารุมิใช่มั้ย )

                “ อ๋อ ! ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครเหรอคะ ”      

                ( ชื่อของฉันคือ เจ้าสาวเรือนหอแดง )

                “ เจ้าสาวเรือนหอแดงงั้นเหรอ ... ”

                ( ทันทีที่เพลิงปีศาจเผาผลาญเหล่าอสุรกายเดินดิน ละครฆาตกรรมฉากใหญ่จะเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับม่านแดงที่ถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอย่างพรั่นพรึง ลองทายดูซิ ว่าเครื่องสังเวยคนแรกแด่เหล่า Phantom ที่สิงสู่อยู่ในโรงละครคือใครกันเอ่ยนะ )

                “ บ้าน่ะ ! คุณกำลังล้อเล่นอยู่ใช่มั้ย ! ”

                น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกของหญิงสาวปลายสาย เริ่มทำให้สีหน้าบนใบหน้าของแม่กลายเป็นสีหน้าที่ตื่นตระหนกในทันตา และด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปของเธอ จึงทำให้ฉันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขถิบเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อฟังเสียงของคู่สนทนาปริศนา

                ( ฮ่า ๆๆ ! ถ้ายังไม่เชื่อล่ะก็ จงไปที่ Spring Hotel  ห้อง 709 ซะสิ แล้วคุณจะรู้ว่าท่วงทำนองของระบำเพลิงแห่งความแค้น มันงดงามแค่ไหน ขอให้สนุกกับละครฆาตกรรมฉากนี้ให้เต็มที่ก็แล้วกันนะ คุณนักสืบสาว ฮ่า ๆๆ ! )

                ตู๊ด ๆ ๆ !!

                ยังไม่ทันที่ทางฝ่ายฉันจะอ้าปากพูดขึ้น ทางปลายสายก็ตัดสายไป พร้อมกับเสียงหัวเราะที่เยือกเย็น  เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ความเงียบและเสียงลมรอบตัวฉันเท่านั้น

                “ ทำไมถึงทำสีหน้าน่ากลัวอย่างนั้นล่ะคะแม่ เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ ”

                “ วันนี้เราคงกลับบ้านช้าหน่อยนะลูก ”

                “ เอ๊ะ ! ทำไมเหรอคะ ”                

                “ ได้เวลาบทเรียนบทแรกของลูกแล้วนะ ลองพิสูจน์ให้แม่ได้เห็นทีซิ ว่าลูกน่ะเหมาะสมที่จะเป็นลูกของแม่จริง ๆ น่ะ”

                “ เอ๋ ? ”

                ถึงฉันจะยังงงและสงสัยอยู่กับคำพูดประโยคนั้น แต่ในที่สุดทุกอย่างก็ไขกระจ่าง และมันก็เป็นไปตามลางสังหรณ์ของฉัน เมื่อละครฆาตกรรมนองเลือดฉากแรกได้เปิดม่านขึ้นอย่างเงียบเชียบ ภายใต้เพลิงแค้นและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลังหน้ากากลวงโลกของ พวกเขา เหล่านี้

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา