The Kid , No kid.

9.7

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555 เวลา 13.01 น.

  11 chapter
  3 วิจารณ์
  13.51K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) บทที่7

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

        "ใส่แล้วดู...บอกไม่ถูก"  คาโอรุมองชุดที่ออกมาจากโทรศัพท์มือถือเครื่องกระจ้อยร่อยอย่างพูดยาก  ถ้าหากเขาไม่มีน้องสาวที่ประดิษฐ์ของประหลาดจำพวกเดียวกันล่ะก็  เขาคงคิดว่ามันเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ไปแล้ว  "แบบว่า...ใครเขาใส่สูทแต่งเนี้ยบมาเล่นไจแอนท์ เฮ้าส์ กันจริงๆนะเหรอ"

        ผู้มีเนตรราตรีไม่คิดว่ามันจะเป็นอุปกรณ์ที่ใส่แต่ชุดแนวนี้เท่านั้น  เมื่ออ่านดูดีๆจะพบว่าคู่มือมีต่ออีกด้าน  และในด้านที่สองนี้มีคำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องโหมดเสื้อผ้าไว้อย่างครบครัน  เป็นอันว่าเซโตะต้องเปลี่ยนชุดอีกรอบ  แน่นอน ถึงจะต้องลำบากถอดเข้าถอดออก  แต่ให้ชุดสูทวิ่งปุเลงๆเล่นเครื่องเล่น  เปลี่ยนเสื้อผ้าซะดีๆตั้งแต่ตอนนี้ง่ายกว่า

        เด็กหนุ่มผมแดงใส่ชุดตามปกติของตนเองแล้วแหงนหน้าขึ้นมองเพดานราวกับจะทะลุไปยังท้องฟ้ากว้างไกลพลางถามว่าเมื่อไหร่ลูกเห็บจะหยุดตกกันนะ

        คาโอรุเลิกคิ้ว  "พูดอย่างกับนายอยากให้หยุดงั้นแหละ"

        เซโตะส่ายหน้าแล้วอธิบายว่าเขาอุตสาห์มาถึงสวนสนุกทั้งทีแต่กลับต้องมาอุดอู้อยู่แต่ในไจแอนท์ เฮ้าส์  ตัวคู่เดทจำเป็นอย่างคาโอรุเองไม่คิดว่ามันน่าเบื่อบ้างหรือไง

        "งั้นเล่นเครื่องเล่นที่อยู่แต่ในร่มไหมล่ะ  พวกนั้นน่าจะยังเปิดให้เข้าชมอยู่นี่"

        "แถวยาวแน่ๆ!"  เซโตะพูดอย่างมั่นใจ  "เพราะมีแต่พวกเครื่องเล่นในร่มที่เล่นได้ไงล่ะ  คนเขาถึงแห่กันไป"

        "เถอะน่า ส่วนใหญ่เขาก็ไปหลบในร้านไอติมกันหมดนั่นแหละ  ฉันเห็นร้านใหญ่ๆอยู่ร้านหนึ่ง  หรือไม่ก็ร้านอาหารจานด่วนที่อยู่ใกล้ๆ  ยังไงเราก็ลองไปกันเถอะ  ที่นั่นนะ..."

        เซโตะหรี่ตาลง  หรือว่า...  "ที่นั่น?"

        "อืม!  Devil House นั่นน่ะ!"

 

        ถึงจะเป็นเครื่องเล่นในร่ม  แต่ส่วนยืนต่อแถวอยู่กลางแจ้ง  พวกทรหดอดทนและถึกพอไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทนกับลูกเห็บ  หนึ่งในนั้นคือพวกคาโอรุที่มีเซโตะยื่นมือออกไปรับก้อนน้ำแข็งเล็กๆด้วยความสุขล้นปรี่  ตกมาอีกนานๆเลยยิ่งดี  เขาจะได้ไม่ต้องเป็นเด็กน้อยให้โดนอุ้มน่าอายอีก

        ผู้มีเนตรราตรีเอาเสื้อแจ๊คเก็ตที่เคยบ่นมาคลุมศีรษะของตนกับเซโตะอย่างมีน้ำใจ  เด็กหนุ่มผมแดงออกจะแปลกใจนิดๆ  แต่ก็ไม่ได้พูดอะำไร  พนักงานชื่อคาโนชิกะมองเผินๆแล้วรู้สึกอมยิ้ม  ช่างเป็นคู่รักที่น่ารักดีจังเลย

        เอ๊ะ เขาอาจเป็นแค่เพื่อนกันก็ได้นี่นะ  แต่ว่า...ทำไมความรู้สึกที่อยากให้เขาเป็นมากกว่าเพื่อนมันช่างแรงกล้าเช่นนี้นะ  เรา...เราจะคิดอกุศลกับลูกค้าไม่ได้นะ  แต่ว่า...แต่ว่า!

        ภายใต้ใบหน้าที่แย้มยิ้มตามปกติของสาวน้อยพนักงานต้อนรับของ Evil house กำลังมีความคิดปั่นป่วนอย่างหนัก  ตามหลักจรรยาบรรณของพนักงานที่ดีห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัวของลูกค้าเด็ดขาดนี่นะ  แต่อีกใจมันก็หยุดความคิดไม่ได้เลย  นี่มันอะไรกันนะ!

        "เชิญคิวต่อไปเลยค่ะ"

        ภายใต้ใบหน้าแย้มยิ้มที่ผายมือให้คู่ของคาโอรุเข้าไปด้านใน  ไม่มีใครดูออกว่าเธอคิดอะไรและไม่มีใครดูออกว่าเธอกำลังจะกลายเป็นสาววาย...

        บรรยากาศเย็นเฉียบส่งผลให้คาโอรุอยากเอาแจ๊คเก็ตกลับมาสวม  แต่มันก็เปียกชื้นซะแล้ว  เซโตะกดโทรศัพท์อย่างยุ่งยากอยู่สองสามรอบแล้วยื่นเสื้อกันหนาวหนาๆตัวหนึ่งให้

        เสียงของคาโอรุบอกขอบคุณเบาๆท่ามกลางความหนาวเหน็บ  ในขณะที่เซโตะเสมองไปทางอื่นระหว่างเอ่ยถาม

        "นาย...ทำไมถึงยอมเลี้ยงฉันล่ะ  เรื่องเอาเสื้อมากันลูกเห็บอีก  จะปล่อยให้ลูกเห็บตกใส่ไปก็ได้นี่นา"

        คาโอรุมองอย่างงุนงง  "นั่นมันเรื่องปกติ  ใครๆก็ทำกันไม่ใช่เหรอ"

        เซโตะสั่นหน้าแรงๆ  "ไม่ใช่กับคนที่เกลียดกันแน่นอน  นายเกลียดฉันไม่ใช่เหรอ  แล้วฉันก็ทำแย่ๆกับนายไว้เรื่องจูบ..."

        คาโอรุดีดนิ้วเป๊าะกอดอกด้วยสีหน้าของผู้กำชัยชนะว่าในที่สุดเซโตะก็สำนึกผิดในเรื่องนั้นจนได้สินะ  ปฏิกริยาที่เขาคาดคือการโวยวายอะไรสักอย่างของเด็กหนุ่มผมแดง  แต่ไม่ใช่ อีกฝ่ายเพียงแค่พยักหน้า สายตามองแต่พื้น  พอๆกับที่คาโอรุเอาแต่จ้องมองเขา  ไม่ได้รู้เลยว่าคนใส่ชุดน่ากลัวโผล่มาจำนวนเท่าไหร่แล้ว

        "ฉันไม่ได้เกลียดนายหรอกนะ"  คาโอรุยึดไหล่อีกฝ่ายไว้  "ก็แค่ไม่ค่อยชอบพฤติกรรมเท่านั้นเอง  และพอมาอยู่กับนายในร่างเด็กๆก็รู้สึกว่าไม่แย่อย่างที่คิด  อีกอย่าง ถ้าฉันเกลียดจริงคงไม่วิ่งออกไปแบบนั้นหรอก"

        เซโตะนึกถึงสวิทช์ระเบิดขึ้นมาได้  ตอนนั้นคาโอรุก็วิ่งออกไปนี่นะ  ทั้งที่จะระเบิดอารมณ์โกรธแล้วประเคนหมัดใส่เขาไม่ยั้งก็ทำได้  ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวคนอื่นจะโดนลูกหลงไปด้วย  ก็คงจะเป็นห่วงว่าเขาจะโดนทำร้ายจริงๆ  ใจหนึ่งของเซโตะพยามลุ้นอย่างบอกไม่ถูกว่าจะเป็นอย่างหลัง  เฮ้อ เขาชินกับการโดนคนคนนี้ห่วงใยแล้วอย่างนั้นสินะ  แล้วถ้าเขากลับเป็นเด็กมัธยม  คาโอรุจะไม่สนใจเขาเหมือนอย่างที่ผ่านรึเปล่า...

        "เป็นอะไรไปนะ"

        คาโอรุถามคนที่สั่นศีรษะไม่หยุดเพื่อสะบัดความคิดแปลกๆบางอย่างที่ผุดขึ้นมาด้วยความงุนงง  เซโตะยังคงไม่สบตากับเขา  ได้แต่ตอบเฉไฉไปเรื่อยจนคาโอรุไม่อยากเซ้าซี้

        ลูกศรเรืองแสงบอกทางให้ไปทางไหนเป็นที่แปลกใจนัก  ครั้งล่าสุดที่มาให้เลี้ยวซ้ายจริงๆนะหรือ  คาโอรุได้แต่เดินตามเซโตะซึ่งไม่คิดผิดสังเกตอะไรสักอย่างไป  ในขณะเดียวกัน ที่มุมมืดไร้ซึ่งความสนใจของผู้ใด  เด็กสาวผมทองกับเพื่อนในชุดสีดำสวมหน้ากากผีเสื้อเหมือนพวกนางมารร้ายทั้งหลายยืนแอบดูอยู่

        โซราซี่กอดอกพูดเบาๆ  "ทำอย่างนี้มันไม่เรียกว่าขี้โกงเหรอ"

        เด็กสาวผมทองแย้มยิ้ม  "เถอะน่า  ยังไงบัตรที่เราให้ไปก็มี 'Mirror Mirror Room' ให้เล่นฟรีอยู่แล้วนี่นา  จะผิดก็ตรงคนสร้างที่ทำให้สองห้องนี้ติดกันนั่นแหละ  ฮิฮะ"

        ใครอย่าได้มาหาว่าเธอโกงเชียว  รู้ไหมว่าบัตรที่เป็นแค่เศษกระดาษใบหนึ่งนั่นนะ  มีมูลค่าแพงระยับแค่ไหน!

 

        สุดทางเดินที่พวกคาโอรุโดนลวงให้เดินมาคือประตูบานหนึ่งที่ล็อกเอาไว้  แต่กุญแจที่ควรอยู่ในห้องของผู้รักความปลอดภัยที่บัดนี้นอนอู้หลับอุตุ  ถูกนำมาเสียบที่ลูกบิดราวกับจงใจให้ไข  คาโอรุมองหน้ามองหลัง  ครั้งล่าสุดที่เล่น  จำได้ว่าทางออกไม่ใช่แบบนี้นี่นา...

        แล้วยังคงเป็นเซโตะอีกเช่นเคยที่เป็นคนไขโดยไม่สนใจอะไร  เขาไม่ได้กลัวความมืด  แต่ไม่ชอบบรรยากาศมืดๆทึมๆ  ที่สำคัญคือตลอดทางที่เดินมา  เขาเตะอะไรบ้างก็ไม่รู้  เด็กหนุ่มผมแดงเผลอจับมือจูงผ่านไปบานประตูนั้นไปกับผู้มีเนตรราตรี  หากเขารู้ตัวสักหน่อยคงจะเฉลียวใจได้ว่าไม่ได้จับมืออย่างสนิทใจกับใครแบบนี้มานานมากแล้ว

        พวกคาโอรุถึงกับหลับตาแน่นเมื่อปะทะเข้ากับแสงสว่างจ้า  มันสว่างกว่าแสงแดดเสียอีก  ไม่ทันที่จะลืมตาขึ้นมา  บานประตูนั้นก็ปิดลงพร้อมกับลูกกุญแจที่ถูกดึงออก  พร้อมจะนำไปคืนที่เดิม  การจะเปิดประตูแต่ละครั้งต้องใช้ลูกกุญแจไขเอา  รวมทั้งด้านของพวกเซโตะนั้นไม่มีกุญแจเสียบอยู่เลย

        ทั้งคู่มองตากับปริบๆแล้วหันไปทางกระจกเงาจำนวนมากมาย  ส่องดูราวกับมีเซโตะหรือคาโอรุหลายคนก็ไม่ปาน  นั่นยิ่งทำให้ทั้งคู่จับมือกันแน่นขึ้นไปอีกเพื่อไม่ให้หลงไปกับเงา

        "ฉันจะพาออกไปเอง"  

        เซโตะแสดงความเป็นผู้นำออกมาทันที  อย่างน้อยก็รู้สึกอยากได้ความชื่นชมหรือใบหน้ายินดียามที่อีกฝ่ายถูกพาออกไปได้อย่างปลอดภัยล่ะนะ

        แต่มันคงจะไม่ถูกยอมรับโดยคาโอรุอีกต่อไป  ผู้มีเนตรราตรีดึงอีกฝ่ายให้ก้าวไปตามเส้นทางต่างๆ  ถึงอยากจะพร่ำบ่นว่าเป็นเพราะเซโตะพาเข้ามาทางประตูบานนั้นก็ตาม  แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากเถียง  แถมเขายังไม่ได้ห้ามตลอดทางที่เดินจับมือกันมาด้วย  อ๊ะ...จับมือ?

        เมื่อเห็นอีกฝ่ายเหล่มอง  ตัวเซโตะก็เริ่มรู้สึกบ้าง  แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจอะไร  ผิดกับคาโอรุที่พูดเบาๆ  "จับกันแน่นเลยนะ"

        ถึงมันจะดูเสียฟอร์มไปบ้างแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรแบบนี้ก็คลายความประหม่าลงไปได้บ้างหรอก  ที่เขาจับมือไว้แบบนี้ก็เพราะว่ากลัวสับสน  ไม่ได้จับเพราะอยากจับจริงๆนะ!

        เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีปฏิกริยาอะไร  คาโอรุก็ได้แต่เดินไปตามทางอย่างเงียบๆ  ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าเซโตะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรก็เถอะ  ว่าไงดีล่ะ ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ดึงมือออก  เขาก็คิดว่าจะปล่อยเลยตามเลยไปก็ได้นะ

        เซโตะได้แต่นึกเรื่องที่จะสนทนา  ไม่รู้ทำไม มันไม่มีเรื่องที่อยากจะพูดแต่กลับอยากพูดอะไรสักอย่าง  ผลสรุปโดยรวมของเด็กหนุ่มผมแดงก็คือหากพูดอะไรสักอย่างคงคลายความอึดอัดประหม่าแบบนี้ไปได้บ้าง  หลังจากนึกอยู่นานก็นึกถึงใบปลิวตอนเข้าในคิด คิด แลนด์ขึ้นมาได้  เขาลองเลียบๆเคียงๆ

        "ในนี้มีภัตตาคารน่าสนใจอยู่ด้วยนะ"  เซโตะเหลือบๆมองดูอีกฝ่าย  "ยังไงลองเข้าไปทานมื้อเย็นไหมล่ะ"

        "นายชวนฉันไปดินเนอร์เหรอ"  

        คาโอรุถามอย่างแปลกใจ  ปกติคนญี่ปุ่นจะไม่ค่อยทานอาหารนอกบ้านกันนักเพราะเรื่องราคาที่สูงเอาการอยู่  แถมเป็นภัตตาคารแบบนั้นด้วยยิ่งแล้วใหญ่  เซโตะชูบัตรสวนสนุกขึ้น  

        "ในนี้เขาบอกว่าฟรีดินเนอร์น่ะ  ถ้านายไม่สนใจ  ฉันไปกินคนเดียวก็ได้"

        ผู้มีนัยย์ตาสีราตรีค้อนขวับ  อยากถามออกไปดังๆว่าถ้าบัตรนี่มันไม่ฟรี  เซโตะจะชวนเขาไปทานข้าวที่ไหนบ้างไหม  เขาเดาในใจว่าต้องเป็นคำว่าไม่มีทาง  หารู้ไม่ว่าคำชวนนั้นไม่ใช่แค่ชวนผ่านๆอย่างที่ปากพูด  เด็กหนุ่มผมแดงครุ่นคิดจริงจังว่ามันจะต้องเป็นมื้อที่ดี  อย่างน้อยก็เพื่อตอบแทนที่ดูแลเขามาตลอดล่ะนะ

        กระจกที่สะท้อนเพียงภาพของทั้งสองคนเป็นอะไรที่คุ้นชินหลังจากเดินมานานกว่าสิบนาที  ในที่สุดก็ถึงทางออกจนได้  พนักงานออกจะแปลกใจที่บัตรของพวกเขามารอยปั๊มซึ่งทางเข้าจะประทับไว้ก่อนเล่น  แต่ถึงจะไม่มีอย่างไร บัตรวีไอพีของทั้งสองคนก็เป็นของจริง  หลับหูหลับตาปล่อยผ่านออกไปง่ายๆแล้วกัน

 

        ในตอนนี้ ปัญหาที่กำลังเป็นที่นิยมที่สุดและร้ายแรงที่สุดในเวลานี้นั้นก็คือ...ทานร้านไหนกันดีล่ะ?

        ถึงจะฟรีดินเนอร์แต่ไม่ได้ฟรีข้าวกลางวัน  คู่เดทจำเป็นหลบลูกเห็บอยู่ใต้หลังคาระหว่างสองร้านคือไก่ทอดคาเอเสะกับโชสตาเกรล  ทั้งๆที่เมนูและลูกค้าและสิ่งที่อยากกินของทั้งสองในแต่ละร้านก็คล้ายกันแท้ๆ  แต่มันเป็นเรื่องของความคุ้นชินและการโปรโมท

        "น้ำอัดลมของคาเอเสะหวานเกินไป"  เซโตะเถียงข้างๆคูๆ  "โชสตาเกรลกำลังพอดี"

        คาโอรุส่ายหน้า  "มั่ว!  น้ำอัดลมก็ยี่ห้อเดียวกันนั่นแหละ  แต่เบอร์เกอร์ของโชสตาเกรลใส่ซอสรสชาติแย่สุดๆ"

        เซโตะไม่ยอมแพ้  "คาเอเสะแพงกว่าชัดๆ!"

        "ถ้าแพงแต่อร่อยกว่าก็คุ้มล่ะ"  คาโอรุกอดอกเชิดจมูกหน้ามุ่ยๆ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา