SaE:The Begining of Esper

9.9

เขียนโดย VictoR

วันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เวลา 02.26 น.

  4 ตอน
  7 วิจารณ์
  7,164 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) SaE

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 1 SaE

 

เสียงลมหายใจที่ฟืดฟาดท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นจากสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างรุนแรง ท้องฟ้าอันมืดสนิทที่ไร้ซึ่งดวงดาวที่เปล่งประกายช่างดูน่ากลัว ภายใต้เสื้อคลุมกันฝนสีดำเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนมองไปยังโลกเบื้องล่างจากหลังคาของตึกสูง 20 ชั้น ดวงตาสีฟ้าของเด็กหนุ่มกำลังจับจ้องไปยังกลุ่มฝูงชนเบื้องล่างก่อนที่เขาจะแหงนเงยใบหน้าราวกับกำลังจะมองดูดวงดาวแต่ค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำแบบนี้คงไม่มีดาว เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะกลับมามองไปยังกลุ่มคนเบื้องล่างเหมือนเดิม ในสายตาของเด็กหนุ่มแล้วทุกสิ่งดูวุ่นวายเป็นอย่างมากเพราะทุกคนต่างรีบร้อนที่จะวิ่งหลบฝนอย่างเอาเป็นเอาตายทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

 

 

                สายตาของเด็กหนุ่มกวัดแกว่งไปมาอย่างรวดเร็วแต่เขาก็ยังไม่ได้เจอสิ่งที่เขาค้นหาจนกระทั่ง........ มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังรีบวิ่งผ่าฝนที่ตกหนักราวกับฟ้ารั่วมาอย่างรวดเร็ว เด็กหนุ่มถลึงตามองพร้อมกับยิ้มออกมาที่มุมปากเล็กน้อยด้วยความดีใจ เขาค่อย ๆ หยิบของบางอย่างจากพื้นขึ้นมาอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะ.......

 

 

                ปัง! เสียงปืนดังลั่นพร้อมกับร่างของหญิงสาวที่กำลังวิ่งผ่าฝนอยู่นั้นล้มลงท่ามกลางความตกใจของผู้คนที่อยู่ในละแวกนั้น ไม่นานนักกลุ่มชนต่างวิ่งเข้ามาหาหญิงสาวที่ล้มลงเพื่อที่จะช่วยเหลือเธอแต่ทว่ามันก็สายไปเสียแล้ว ขณะที่กลุ่มชนกำลังวุ่นวายกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั้นเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าค่อย ๆ เก็บปืนไรเฟิลใส่ซองอย่างใจเย็นโดยไม่ได้เกรงกลัวว่าใครจะเห็นในสิ่งที่เขาทำ ไม่นานนักเขาก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นก่อนที่จะหันกลับลงไปมองยังร่างอันไร้ลมหายใจของหญิงสาวพลางกล่าวถ้อยคำที่โลกจะต้องตราตรึง

 

 

Good Night (ราตรีสวัสดิ์)

 

 

...........................................................

 

 

                กริ๊งงงงงงงงง........... เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นขณะที่หนุ่มน้อยยังคงนอนซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนค่อยๆ ลืมขึ้นมาอย่างช้าๆ ขณะที่พยายามกวาดสายตาเพื่อควานหานาฬิกาปลุกซึ่งตั้งอยู่บนเตียงนอนก่อนที่จะปิดมัน

 

 

“บ้าจริง!สายแล้วนี่นา” เขาบ่นพึมพำเบาๆ หลังจากที่เห็นเวลาบนนาฬิกาปลุก

 

 

                ไม่ช้าเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นจากที่นอนไปอาบน้ำแต่งตัวในชุดนักเรียนพร้อมจัดทรงผมสีแดงเข้มที่ยุ่งเหยิงของเขาให้เรียบร้อย เขาไม่ลืมที่จะยัดหนังสือเรียนและสมุดเขากระเป๋าเป้อย่างลวกๆ แม้จะได้ยินเสียงของผู้หญิงวัยกลางคนที่เรียกให้เด็กหนุ่มรีบลงมาจากห้องนอนของเขาแต่เขาก็ยังพยายามที่จะเช็คสภาพของตัวเองในกระจกอีกครั้งพลางบ่นกับตัวเองเบาๆ ว่าเครื่องแบบนักเรียนที่ต้องใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำนี่มันเชยสุดๆ

 

 

                เมื่อทุกอย่างพร้อมเด็กหนุ่มจึงออกจากห้องแล้วลงมาข้างล่าง สิ่งแรกที่เขาพบคือผู้หญิงวัยกลางคนผมสีแดงเข้มสวมเอี้ยมกันเปื้อนยืนรอเขาอยู่ที่โต๊ะอาหารพร้อมกับจานที่เต็มไปด้วยแซนวิช

 

 

“ไรเซ็น! แม่บอกแล้วให้รีบๆ ยังไงละ นี่สายแล้วนะ” เธอบ่นออกมาขณะยื่นแซนวิชให้เขาที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

 

“รีบกินเร็วๆ เข้า”

 

 

“ไปเรียนวันแรกไม่ต้องรีบก็ได้ครับ” เมื่อเด็กหนุ่มที่ชื่อไรเซ็นพูดจบเขาก็หยิบแซนวิชจากจานแล้วกินมันเข้าไป

 

 

“มีเด็ก 13 ขวบที่ไหนเขาไปโรงเรียนสายกันบ้าง ฮะไรเซ็น รีบๆ กินแล้วแม่จะรีบไปส่ง”

 

 

“แล้วมีเด็ก 13 ขวบที่ไหนเขาย้ายมาเข้าเรียนในช่วงกลางเทอมแบบนี้บ้างละครับแม่” ไรเซ็นย้อนกลับไป

 

 

                หลังจากนั้นเธอก็บ่นต่อซึ่งไรเซ็นเองก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นักเพราะสิ่งที่เขาสนใจอยู่ตอนนี้คือแซนวิชในมือและโทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าวฆาตกรรมหญิงสาวท่ามกลางสายตาประชาชนนับร้อย จริงๆ ปกติไรเซ็นก็ไม่ได้เป็นคนที่ชอบดูข่าวเท่าไหร่แต่เขาคิดว่ามันก็ยังดีกว่าการฟังแม่บ่น

 

 

“เดี๋ยวนี้อะไรก็อันตราย ใครจะไปคิดว่าอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ อย่างนั้นจะถูกฆ่าได้ ฆาตกรนี่ก็ช่างใจกล้าจริงๆ เลยนะ” แม่ของไรเซ็นพูดโพล่งขึ้นมาหลังเห็นว่าลูกชายของตัวเองไม่ได้มีท่าทีที่จะฟังเธอเลย

 

 

“ที่จริงนั่นละอันตรายที่สุดเลยครับ” ไรเซ็นพูดก่อนที่จะเดินไปปิดทีวี

 

 

“ไปกันเถอะครับเดี๋ยวผมจะสายไปมากกว่านี้........”

 

 

...........................................................

 

 

“เฮ้อ!น่าเบื่อเป็นบ้าเลย” ไรเซ็นคิดในขณะที่ตอนนี้เขาอยู่ภายในห้องเรียนที่เต็มไปด้วยเด็กนักเรียนที่กำลังส่งเสียงเอะอะไปทั่ว

 

 

                สำหรับไรเซ็นแล้วช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาน่าเบื่อที่สุดเลย เขาไม่ชอบเวลาที่ต้องย้ายโรงเรียนแล้วต้องมานั่งผูกมิตรกับเพื่อนใหม่หรือทำตัวเด่นเป็นนักเรียนใหม่ที่ใครๆ ก็ต้องจับตามองและให้ความสำคัญเป็นพิเศษแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรไรเซ็นก็เลือกไม่ได้ที่จะต้องเจอดังนั้นวิธีการเดียวที่จะทำให้เขาได้โลกอันสงบสุขของตนเองกลับคืนมานั่นก็คือการนั่งเงียบๆ อยู่หลังห้องคนเดียว ซึ่งอันที่จริงก็ได้ผลเป็นอย่างดีถึงแม้ว่าบางคนในห้องจะเริ่มสังเกตว่ามีเด็กใหม่อย่างเขานั่งอยู่ในห้องแต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้ามาคุย

 

 

“เอ้าๆ พอได้แล้วกลับไปนั่งที่ซะ” เสียงใสๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นก่อนที่นักเรียนทุกคนจะรีบวิ่งเข้าที่กันให้วุ่นวาย

 

 

                สายตาของไรเซ็นควานหาเจ้าของเสียงผู้มีอำนาจสั่งการนั้นแล้วเขาก็พบกับผู้หญิงคนนั้นกำลังยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้าอันคมเข้มดูเข้ากับบุคลิกสาวมั่นของเธอ แม้จะไม่ใช่คนที่สวยมากแต่ลักษณะปากนิดจมูกหน่อยทำให้เธอดูเป็นคนที่สวยแบบธรรมชาติ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ดูดุดันกำลังจับจ้องไปยังนักเรียนของเธอภายใต้แว่นตาที่เธอสวม ผมสีดำของเธอที่ถูกตัดจนสั้นดูเข้ากับชุดสูทรัดรูปสีดำที่เธอสวมคู่กับกระโปรงสั้นๆ กระนั้นสิ่งที่ทำให้เธอสะดุดตาของเขามากที่สุดคือผิวสีน้ำผึ้งของเธอซึ่งสำหรับเขาแล้วไม่บ่อยนักที่จะเห็นคนผิวสีนี้

 

 

                เธอค่อยๆ ก้าวเข้ามาในห้องเรียนอย่างช้าๆ ขณะที่รองเท้าส้นสูงของเธอกระทบพื้นมันส่งเสียงดีงกังวาลและทรงพลังถึงขนาดสามารถสะกดให้เด็กทุกคนในห้องนั้นเงียบได้จนกระทั่งเมื่อเธอเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องเรียน.........

 

 

                ไรเซ็นก็รู้สึกตัวได้ทันทีว่าสายตาของเธอกำลังจับจ้องมายังเขาซึ่งตามจริงก็ไม่น่าแปลกใจเพราะเขาคือสิ่งแปลกปลอมที่เพิ่มเข้ามาภายในห้องนี้ ความรู้สึกกดดันเริ่มทับถมไรเซ็นมายิ่งขึ้นเมื่อสายตาของเพื่อนร่วมห้องคนอื่นเริ่มหันมามองเขาด้วยเช่นกัน ในความเป็นจริงแล้วเขาอยากจะลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งหนีออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

 

“เด็กใหม่สินะ!” เธอเริ่มเอ่ยออกมาและนั่นทำให้ทุกคนต่างพุ่งเป้าความสนใจไปที่ไรเซ็น

 

 

“ออกมาแนะนำตัวหน่อยสิ”

 

 

                ไรเซ็นลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางประหม่าพร้อมกับเดินไปยังหน้าห้อง มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นด้วยความตื่นกลัวและหัวใจของเขาเต้นโครมครามจนแทบระเบิดออก สายตาของเพื่อนมากกว่า 20 ชีวิตกำลังจับจ้องมายังดาราเอกของงานซึ่งนั่นก็คือเขา ในใจของไรเซ็นรู้สึกว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเขาและเขาต้องรีบทำให้ช่วงเวลานี้มันจบๆ ไปเสียที

 

 

“ผมชื่อไรเซ็น เดลเนเรส เกิดที่กรีนทาวน์ ตอนนี้อายุ 13 ปี ย้ายมาเรียนที่นี่เป็นปีแรก ขอฝากตัวด้วยครับ” ไรเซ็นแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ แต่เพื่อนทุกคนในห้องต่างก็นั่งเงียบและตั้งใจฟังในส่งที่เขาพูดเป็นอย่างดี

 

 

“อาจารย์ชื่อจิลเลสแต่เรียกสั้นๆ ว่าจิลก็ได้ เดี๋ยวเธอกลับไปนั่งที่ของเธอได้ อ้อแล้วก็.....โรงเรียนมัธยมเบรนด์ทรัสแห่งคาปาเทลซีตี้ยินดีต้อนรับจ๊ะ” อาจารย์สาวพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นมิตรขึ้นพลางมองไรเซ็นด้วยแววตาที่อ่อนโยนก่อนที่เพื่อนร่วมห้องคนอื่นจะปรบมือให้

 

 

                ช่วงเวลานี้ไรเซ็นรู้สึกราวกับว่าเขาได้ปลดชนวนระเบิดกองโตออกไป เป็นความรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกท่ามกลางเสียงปรบมือจากทุกคน ผิดกับตอนแรกที่เขารู้สึกอยากจะตายไปให้พ้นๆ ในเวลานี้ ไรเซ็นเดินกลับไปนั่งยังที่ของตัวเองโดยที่ตลอดทางเดินเพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ต่างทักทายเขา

 

 

“เอาละ ทุกคนหยิบหนังสือวิชาวิทยาศาสตร์ขึ้นมา” หลังจากการแนะนำตัวเสร็จสิ้นการเรียนก็เริ่มต้นขึ้นทันที

 

 

                การเรียนในวันแรกนั้นไม่ได้มีอะไรมากมายส่วนมากมักเป็นการบอกถึงเนื้อหาที่จะเรียนและการปูพื้นความรู้เบื้องต้นที่ควรรู้ โดยส่วนตัวของไรเซ็นเองก็เป็นคนที่ชอบวิทยาศาสตร์อยู่แล้วจึงไม่มีปัญหากับวิชานี้ แต่ก็มีเพื่อนร่วมห้องบางคนที่อาจจะรู้สึกเบื่อกับเนื้อหาที่เรียนจนต้องถึงกับหันไปแกล้งเพื่อนๆ บ้างแล้วก็โดนอาจารย์จิลเลสดุจนหงอไปสร้างอารมณ์ขันให้กับเพื่อนคนอื่นๆ ได้ กระทั่งเสียงออดหมดเวลาดังขึ้น..............

 

 

“เอาละแล้วเจอกันสัปดาห์หน้านะเด็กๆ” เสียงใสๆ ของอาจารย์จิลเลสกล่าวท่ามกลางเสียงพ่นลมหายใจของนักเรียนราวกับนัดกันมา

 

 

                จะว่าไปเมื่อไรเซ็นหันมาดูนาฬิกาอีกทีเขาก็พบว่านี่มันถึงเวลาพักกลางวันแล้ว อาจจะเป็นเพราะเขาชอบวิชาวิทยาศาสตรอยู่แล้วเลยไม่ได้รู้สึกเบื่อที่จะต้องทนนั่งเรียนก็ได้ ทว่าขณะที่เขากำลังคิดอะไรเล่นเพลินๆ อยู่นั้นเพื่อนๆ หลายคนก็รีบวิ่งมาหาเขา กว่าไรเซ็นจะรู้สึกตัวอีกทีเขาก็ถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มเพื่อนหน้าใหม่ที่ต้องการจะผูกมิตรกับเขาเสียแล้ว

 

 

“ไง!ไรเซ็นสินะ ผมชื่อโรเช่ เป็นหัวหน้าห้องของปี 1 ห้อง B แห่งนี้ ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กหนุ่มผิวขาวหน้าตาส่อแววหล่อมาตั้งแต่เด็ก ผมหยักโศกสีน้ำตาล มีแววตาสีน้ำตาลอ่อนที่ดูใสซื่อชิงเริ่มทักทายไรเซ็นก่อน

 

 

“ยินดีเช่นกันครับ” ไรเซ็นทักทายกลับพลางหัวเราะแหะๆ เพราะความเขิน

 

 

                หลังจากนั้นทุกคนต่างก็แย่งกันแนะนำตัวซึ่งแน่นอนว่าระดับสติปัญญาของไรเซ็นไม่มีทางจำทุกคนได้หมดอยู่แล้วจึงได้แต่หัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อน แม้ความจริงเขาจะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างที่โดนรุมล้อมขนาดนี้แต่ก็ไม่ถือกับว่าแย่จนเกินเหตุ เพราะลึกๆ แล้วเขาเองก็ต้องการที่จะเป็นเพื่อนเช่นเดียวกับทุกคน

 

 

                เมื่อแนะนำกันตัวเสร็จทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปกินข้าวมีเพียงแค่โรเช่และเพื่อนที่อยู่ข้างหลังของเขาอีก 1 คนเท่านั้นที่ยังคงยืนจ้องไรเซ็นอยู่ เป็นเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ ที่ไรเซ็นลืมไปแล้วว่าเขาชื่ออะไร(ทั้งที่พึ่งแนะนำตัวไปเมื่อกี้) ผมสีทองดูสะดุดตา มีดวงตาสีดำที่ดูสงบนิ่งราวกับว่าถ้าเล่นเกมส์จ้องตากันนานๆ คู่ต่อสู้คงขาดใจตายแน่ๆ แม้จะไม่ใช่คนที่หล่อบาดใจอย่างโรเซ่แต่ก็ไม่ได้ดูขี้เหร่จนรับไม่ได้

 

 

“มากินข้าวกับพวกเราไหม กินหลายๆ คนมันอร่อยกว่าหน่ะ” โรเช่เชิญชวนซึ่งไรเซ็นเองก็คิดว่าดีกว่าการไปนั่งกินข้าวคนเดียว “ระหว่างกินข้าวเดี๋ยวผมจะพาไปแนะนำสถานที่ต่างๆ ของโรงเรียนให้เอง”

 

 

“ได้เลย แต่ผมไม่ได้เอาข้าวกล่องมานะ”

 

 

“ไม่เป็นไรครับ พวกเราก็ตั้งใจที่จะไปกินข้าวที่โรงอาหารอยู่แล้ว ตามพวกเรามาเลย”

 

 

                หลังจากจบการสนทนาไรเซ็นก็เดินตามโรเช่และกลุ่มเพื่อนไป ในระหว่างทางไปโรงอาหารโรเช่ก็คอยแนะนำสถานที่ต่างๆ ให้กับไรเซ็นเรื่อยๆ ในความคิดของไรเซ็นนั้นถึงแม้ว่าถ้ามองจากข้างนอกแล้วโรงเรียนมัธยมเบรนด์ทรัสจะดูเหมือนเป็นโรงเรียนที่เล็ก แต่ข้างในกลับแตกต่างออกไป ไรเซ็นพึ่งรู้ว่าตึกที่เขาเรียนอยู่นั้นเป็นตึกรวมของเด็กมัธยมต้นทั้งหมด ซึ่งภายในตึกมีทั้งหมด 7 ชั้นด้วยกัน ในแต่ละชั้นก็จะแบ่งนักเรียนเป็นตามชั้นปี ซึ่งเขาเป็นเด็กปี 1 ที่เข้ามากลางเทอมดังนั้นจึงได้อยู่ชั้น 2 ซึ่งเป็นชั้นรวมปีหนึ่ง นอกจากนี้ชั้น 4 ยังมีห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่มีอุปกรณ์ครบครัน(ไรเซ็นไม่ได้เห็นเองแต่โรเช่โม้ถึงความอลังการณ์ของชั้น 5) และชั้น 6 ทั้งชั้นเป็นห้องคอมพิวเตอร์ที่คอยบริการให้กับนักเรียนทุกคน

 

 

                นอกจากตึกที่เขาอยู่แล้วยังมีห้องสมุดที่ตั้งอยู่ข้างๆ ตึกเรียนของเขา ถัดจากห้องสมุดเป็นโรงยิมที่เก็บอุปกรณ์กีฬาหลากชนิดและมีสระว่ายน้ำในตัว และตึกที่อยู่ข้างในสุดเป็นตึกของพวกเด็กม.ปลาย ไม่รู้ว่าทำไมแต่ไรเซ็นรู้สึกว่าโรเช่จะเลี่ยงที่จะบรรยายถึงตึกของพวก ม.ปลาย ขณะที่คุยกันเพลิน(อันที่จริงโรเช่เป็นฝ่ายพูดฝ่ายเดียว ส่วนเขาได้แต่รับฟังสิ่งที่โรเช่พูด)พวกเขาก็เดินมาถึงโรงอาหาร

 

 

                ไรเซ็นรู้สึกตกตะลึงอยู่เล็กน้อยกับโรงอาหารติดแอร์ขนาดยักษ์ที่พร้อมด้วยอาหารให้เลือกซื้อกินจากร้านค้าหลายร้าน ห้องอาหารแห่งนี้ล้อมรอบด้วยกระจกทำให้สามารถเห็นวิวทิวทัศน์ของข้างนอกห้องได้ นอกจากนั้นยังมีชั้นลอยซึ่งจะสามารถทำให้เขามองเห็นทุกอย่างจากข้างบนได้ แต่น่าเสียดายที่โรเช่บอกว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ต้องห้ามของพวกม.ปลายจอมก่อปัญหา ถึงจะเสียดายไปบ้างแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับที่นั่งอยู่แล้วเพราะไรเซ็นคิดว่านั่งที่ไหนก็ไม่สำคัญที่สำคัญคือรสชาติของอาหารต่างหาก

 

 

“เดี๋ยวนายไปเลือกที่นั่งนะ พวกผมจะสั่งอาหารมาให้นายเอง ไม่ต้องห่วงมื้อนี้พวกผมเลี้ยงถือเป็นการเริ่มต้นมิตรภาพของเรา” โรเช่พูดพร้อมกับตบไหล่ไรเซ็นเบาๆ

 

 

“ขอบใจนะ” ไรเซ็นพูดด้วยความรู้สึกประทับใจ

 

 

                โรเช่ที่ได้ยินก็หัวเราะเบาๆ ก่อนที่เขาและเพื่อนๆ จะแยกตัวออกไปซื้อข้าว ส่วนไรเซ็นก็เดินไปนั่งจองโต๊ะโดยเขาเลือกที่จะนั่งตรงมุมห้องซึ่งเป็นที่โปรดของเขา เพราะมันจะทำให้เขาสามารถเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในห้องแห่งนั้นได้หมด เมื่อนั่งแล้วไรเซ็นก็เริ่มที่จะกวาดสายตาไปยังรอบๆ ห้องอาหารกระทั่งสายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่เด็กผู้หญิงผมยาวสีเงินเจ้าของนัยตาสีฟ้าสดใส ที่กำลังนั่งคุยกับเพื่อนที่ร่วมโต๊ะกันอย่างสนุกสนาน ด้วยความน่ารักสดใสของเธอทำให้ไรเซ็นรู้สึกติดใจอยู่ไม่น้อย........

 

 

ตึงงงงงง!!!!

 


“มองอะไรอยู่” ไรเซ็นถึงกับสะดุ้งเฮือกใหญ่พลางรีบเหลือบตาไปมองเจ้าของเสียงพูด

 

 

“เอ่อ..... นายชื่อ.......” ไรเซ็นจ้องหนุ่มผมทองตัวเล็กกำลังยืนจ้องเขาตาเขม็งหลังจากที่ได้กระแทกถาดข้าวกับโต๊ะเพื่อเรียกสติเขากลับมา

 

 

“ทัคกี้ ไง! หัดจำชื่อกันหน่อย” เด็กหนุ่มผมทองตัวเล็กบ่นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

 

“แหะๆ ขอโทษทีนะ” ไรเซ็นได้แต่หัวเราะเบาๆ กลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง

 

 

“เอ่อ..... ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นใครกัน”

 

 

“อ่อ.....เธอชื่อ เอ็นวี่ เด็กปี 1 ห้อง C อยู่ชมรมSaE ด้วยความน่ารักของเธอทำให้หลายคนต่างรุมจีบเธอไม่เว้นแม้กระทั่งรุ่นพี่ม.ปลาย ที่น่าแปลกใจที่สุดคือเธอปฏิเสธทุกครั้งเลย” ทัคกี้อธิบายออกมาราวกับหุ่นยนต์ที่แม้กระทั่งไรเซ็นยังต้องทึ่ง

 

 

“ทำไมนายถึงรู้ละเอียดขนาดนั้นละ” ไรเซ็นโพล่งถามด้วยความสงสัยปนความทึ่งในความสามารถของทัคกี้

 

 

“ในโรงเรียนนี้ไม่มีอะไรที่เจ้าหมอนี่ไม่รู้หรอก” โรเช่ที่เดินมาพอดีเป็นคนอธิบายให้ก่อนที่จะนั่งลงยังฝั่งตรงข้ามของไรเซ็น

 

 

“อยากจะรู้ข้อมูลอะไรเด็ดๆ ก็ต้องมาหาทัคกี้นี่แหละ”

 

 

“ชั้นไม่ใช่หุ่นยนต์นะ” ทัคกี้ปฏิเสธด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมกับนั่งลงข้างๆ โรเช่

 

 

“เอาเถอะ! ฉันหิวแล้วรีบกินเถอะ เอ้านี่ของนาย” โรเช่ยื่นจานข้าวให้ไรเซ็น

 

 

“แล้วไอ้ชมรม SaE นี่มันคืออะไรกัน” ไรเซ็นถามด้วยความสงสัย

 

 

“อืมมมม..... จะว่าไงดีละ ชมรมคนเพี้ยนละมั้ง จริงสินายย้ายมากลางเทอมนี่นะคงไม่ค่อยจะรู้อะไร นายเองก็ต้องเลือกชมรมที่จะอยู่เหมือนกัน แต่ทางที่ดีอย่าไปยุ่งกับชมรมนั่นดีกว่า ถ้านายยังอยากเป็นคนปกติอยู่ละนะ ฮ่าๆๆๆๆ” โรเช่ตอบไปพลางหัวเราะไปแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้ความสงสัยของไรเซ็นคลี่คลายได้เลย

 

 

                ถึงแม้จะยังติดใจกับคำพูดของโรเช่อยู่บ้างแต่เขาก็คิดว่ากังวลไปก็คงไม่ดีอีกอย่างโรเช่อาจจะกำลังหยอกเขาอยู่ก็ได้ เมื่อคิดได้อย่างนั้นไรเซ็นก็เลิกที่จะถามข้อสงสัยต่อแต่หันกลับมาสนใจอาหารอยู่ตรงหน้าแทน ช่วงเวลานั้นทุกคนต่างรีบกินข้าวด้วยความหิวแต่ก็มีบางครั้งที่ไรเซ็นแอบชำเลืองมองเด็กผู้หญิงที่ชื่อเอ็นวี่อยู่บ้างเหมือนกัน หลังจากที่กินกันเสร็จพวกไรเซ็นก็นั่งคุยกันต่อซึ่งดูเหมือนโรเช่จะสนใจประวัติส่วนตัวของเขามากเหลือเกิน ส่วนทัคกี้ก็นั่งเงียบราวกับหุ่นยนต์ที่ถูกปิดสวิตช์ยู่ มีเพียงบางครั้งที่ถามกลับไปทัคกี้ถึงจะตอบเท่านั้น ถึงจะรู้ว่านั่นอาจเป็นนิสัยส่วนตัวของทัคกี้แต่ไรเซ็นก็อดรู้สึกสยองไม่ได้ พวกเขานั่งคุยกันจนกระทั่งเสียงออดเข้าเรียนดังขึ้นพวกเขาจึงลุกจากที่นั่งแล้วกลับไปยังห้องเรียน

 

 

                วิชาช่วงบ่ายเป็นวิชาประวัติศาสตร์ซึ่งทำเอาเพื่อนร่วมห้องหลายคนถึงกับแสดงความเซ็งเต็มขั้นออกมา และยิ่งอาจารย์ที่กำลังสอนเป็นชายแก่ที่ใส่แว่นหนากำลังนั่งอ่านเนื้อหาจากหนังสือให้ฟังแบบนี้ยิ่งชวนเซ็ง กระทั่งมีบางคนฟลุบหลับคาโต๊ะไปอาจารย์ยังไม่หันมาสนใจเสียด้วยซ้ำ ส่วนตัวของไรเซ็นเองแม้จะไม่ได้ฟลุบหลับคาโต๊ะเหมือนเพื่อนหลายคนที่กำลังทำอยู่แต่เขาก็ไม่ได้มีสมาธิในการเรียนเพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องที่คาใจ กว่าที่เขาจะรู้สึกตัวอีกทีก็จบคาบไปแล้ว

 

 

“เฮ้อ!น่าเบื่อเป็นบ้าเลยวิชานี้” โรเช่ที่นั่งอยู่ข้างหน้าของไรเซ็นบ่นหลังจากที่เขาได้พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

 

 

“นั่นสินะ......”ไรเซ็นตอบเชิงเห็นด้วย

 

 

“จริงสิ! เกือบลืมไปเลย” ว่าแล้วโรเช่ก็รีบค้นกระเป๋าตัวเองก่อนที่เขาจะหยิบกระดาษแผ่นนึงยื่นให้กับไรเซ็น

 

 

“อะไรเนี่ย?” ไรเซ็นรับกระดาษแผ่นนั้นอย่างไม่รีรอพร้อมรีบกวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็ว “ใบสมัครเข้าชมรมอย่างนั้นเหรอ......”

 

 

“ช่วยไม่ได้นี่นา มันเป็นกฏว่านักเรียนทุกคนต้องเข้าร่วมชมรมใดชมรมหนึ่ง” โรเช่อธิบายด้วยน้ำเสียงชวนเซ็ง

 

 

“โทษทีนะพอดีวันนี้ชั้นไม่ว่าง เดี๋ยวจะต้องรีบไปทำธุระกับคุณแม่ ส่วนทัคกี้เองก็ต้องรีบกลับบ้านเหมือนกัน..... สงสัยนายต้องไปส่งแบบฟอร์มสมัครเข้าชมรมที่ห้องลงทะเบียนเองแล้วแหละ ขอโทษน๊า”

 

 

“อืม.....ไม่เป็นไร ว่าแต่พวกนายอยู่ชมรมไหนกันละ?” ไรเซ็นคิดว่าน่าจะดีกว่าถ้าเขาเข้าชมรมเดียวกับที่โรเช่และทัคกี้อยู่เพราะอย่างน้อยเขาก็มีเพื่อนที่รู้จักกัน

 

 

“เอ๋!ฉันเหรอ.........ฉันอยู่ชมรมเบสบอลนะ ส่วนเจ้านั่น” โรเช่รีบตอบพลางชี้นิ้วไปหาทัคกี้ที่ดูสาละวนกับการยัดกองหนังสือเข้ากระเป๋าใบเล็กๆ ของเขา “อยู่ชมรมห้องสมุดหน่ะ”

 

 

“เอาละฉันไปก่อนนะแล้วเจอกันพรุ่งนี้ บ๊ายบายยยย”

 

 

                เมื่อสิ้นเสียงโรเช่ก็ลุกจากที่นั่งก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปจากห้องตามมาด้วยทัคกี้ที่หันมาโบกมือใหม่พลางขมุบขมิบปากบอกลาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องตามทัคกี้ไป กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีไรเซ็นก็พบว่าเขากลายเป็นคนสุดท้ายที่ได้ออกจากห้องเสียแล้ว แต่ไรเซ็นเองก็ไม่คิดที่จะต้องรีบร้อนอยู่แล้วจึงตัดสินใจนั่งดูรายชื่อชมรมในใบสมัครอีกครั้ง

 

 

'เหอะๆ เบสบอล....... ไอ้เราก็ไม่ถนัดกีฬาซะด้วยแต่จะให้ไปเข้าชมรมห้องสมุดกับทัคกี้ชวนสยองก็ไม่ไหวแหะ' ไรเซ็นคิดในใจขณะกำลังไล่ดูรายชื่อชมรมทั้งหมดจนถึงบันทัดสุดท้าย.....

 

 

                สิ่งที่เขาเห็นคือชมรม SaE(ย่อมาจาก Science and Esper) ที่ได้ยินมาจากทัคกี้เมื่อตอนบ่าย ถึงจะไม่ต้องฉลาดล้ำโลกก็พอจะเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมโรเช่ถึงพูดว่าชมรมคนเพี้ยน ถึงคำว่า Sceince(วิทยาศาสตร์) จะดูเป็นปกติแต่คำสุดท้ายที่ดันลงท้ายว่า Esper(พลังจิต) นี่มันดูเพี้ยนสุดโลกจริงๆ ทว่าไรเซ็นกลับนึกสนุกขึ้นมาเพราะคิดว่าไหนๆ เอ็นวี่ก็อยู่ที่ชมรมนั้นและนี่อาจเป็นโอกาสที่จะได้รู้จักเธอ จะลองหน่อยจะเป็นไรไป ว่าแล้วไรเซ็นก็แสยะยิ้มอันชั่วร้ายออกมาพลางหัวเราะหึๆ ส่อแววถึงความไม่ซื่อตรงกันเห็นๆ นอกเสียจากว่าทั้งห้องเหลือเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นแผนการอันชั่วร้ายของเขาก็จะยังคงเป็นความลับต่อไป ทันทีที่ตัดสินใจได้ไรเซ็นก็ไม่รีรอที่จะรีบกากบาตลงในช่องชื่อชมรม SaE พร้อมกับรีบวิ่งลงไปยังชั้น 1 ซึ่งเป็นห้องของฝ่ายทะเบียน

 

 

                หากแต่ว่าเมื่อลงมาถึงห้องลงทะเบียนแล้วไรเซ็นก็พบว่าเนื่องจากเขามาขอสมัครเข้าชมรมช้า(อันที่จริงเพราะเขาพึ่งย้ายมาเรียนต่างหาก)ดังนั้นเขาจึงจะต้องไปส่งใบสมัครให้กับหัวหน้าชมรมเอง ซึ่งทางทะเบียนก็ไล่ให้เขาขึ้นไปยังชั้น 4 ที่เป็นชั้นของห้องทดลองวิทยาศาสตร์

 

 

“บ้าจริง! นี่แค่ 5 โมงเย็นเองนะ ทำไมตึกเรียนมันเงียบแบบนี้เนี่ย” ไรเซ็นบ่นอุบพลางกวาดสายตาไปรอบๆ แล้วพบไม่ใครเลย

 

 

“ยัยป้าแว่นห้องทะเบียนบอกว่าถึงชั้น 4 แล้วเลี้ยวขวาเดินไปตามระเบียงจนสุดทางสินะ”

 

 

                ในความเป็นจริงไรเซ็นก็ไม่ใช่คนที่กลัวหรือเชื่อเรื่องลี้ลับและอะไรก็ตามที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางกฏของวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว แต่ไรเซ็นก็คิดว่าบรรยากาศที่อึมครึมในช่วงเวลาที่แสงตะวันใกล้ลับขอบฟ้าแบบนี้มันช่างไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย จนในที่สุดเขาก็มาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องสุดทางของระเบียง สายตาของไรเซ็นเหลือบไปเห็นป้ายที่แขวนหน้าห้องเขียนไว้ว่า ห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ 3 แม้ว่าไรเซ็นจะลังเลอยู่บ้างแต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปโดยหารู้ไม่ว่าการก้าวเข้าไปยังห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ 3 ในครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล...........

 

 

“ขอโทษครับมีใครอยู่ไหมครับ?” ไรเซ็นเอ่ยถามอย่างสุภาพพลางชะโงกหัวเข้าไปมองภายในห้องที่มืดมิด

 

 

                ดูเหมือนว่าห้องทดลองวิทยาศาสตร์ที่ 3 นี้จะเป็นห้องมืดที่มีอุปกรณ์ชวนสยองตามแบบฉบับของห้องทดลองอยู่เต็มห้องจนดูรกไปหมด ยิ่งเวลาเย็นๆ แบบนี้บวกกับความมืดยิ่งเพิ่มดีกรีความน่ากลัวเข้าไปเป็นทวีคูณ

 

 

“.........................”

 

 

“นายที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง......... มีธุระอะไร” เสียงของเด็กสาวดังขึ้นมาจากความมืดในจุดไหนสักแห่งในห้อง

 

 

“เอ่อ...... คือ....... ผมมาส่งใบสมัครเข้าชมรม SaE หน่ะครับ” ถึงแม้ว่าไรเซ็นจะไม่ใช่คนที่กลัวผีหรือสิ่งลี้ลับแต่ว่าคราวนี้เขาต้องยอมรับว่ารู้สึกหวั่นไหวกับสถานการณ์แปลกๆ แบบนี้พอสมควร

 

 

“เอ๋!.........” หญิงสาวร้องอุทานออกมาก่อนที่ไรเซ็นจะเริ่มได้ยินเสียงก้าวเท้า

 

 

                เสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาเริ่มเห็นเงาของบางสิ่งลางๆ ในความมืด ในใจของไรเซ็นตอนนี้เกิดความรู้สึกกลัวขึ้นมาโดยไร้เหตุผลแต่เขาก็ยังฝีนที่จะยืนเพราะสงสัยในสิ่งที่เขากำลังจะเจอ กระทั่งสิ่งที่เขาพบคือผู้หญิงหน้าตาสวยผู้มีผมสีชมพู ดวงตาสีทองที่มีแววมุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง เธอสวยชนิดที่ว่าใครเห็นก็ต้องมอง ยิ่งเธอสวมชุดเครื่องแบบนักเรียนหญิงของโรงเรียนยิ่งเพิ่มดีกรีความน่ารักเข้าไปยิ่งขึ้น แต่ว่าที่แขนเสื้อข้างขวากลับมีปลอกแขนสีแดงที่มีสัญลักษณ์แปลกๆ ติดอยู่ด้วย ทว่าที่น่าแปลกใจคือไม่รู้ทำไมแต่ไรเซ็นรู้สึกได้ถึงความอันตรายที่แผ่ออกมาจากผู้หญิงคนนี้ ช่วงเวลาแบบนี้ไรเซ็นคิดว่าเขาต้องรีบทำตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด คือเขาต้องรีบเผ่นจากตรงนี้ให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้

 

 

“เอ่อ….. ผมวางไว้ตรงนี้นะครับ” ไรเซ็นรีบชิงบทสนทนาก่อนพร้อมกับรีบวางมันไว้ที่โต๊ะทดลองที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อนที่จะรีบโกยแนบออกจากห้องอย่างรวดเร็ว

 

 

“อ่ะ!เดี๋ยวสิ!!!” หญิงสาวพยายามที่จะสื่อสารอะไรบางอย่างแต่ไม่ทันเสียแล้ว

 

 

“......................”

 

 

...........................................................

 

 

“หน้าตาก็น่ารักอยู่หรอกแต่ว่า........ บรื๊อออออ”ไรเซ็นคิดถึงเรื่องผู้หญิงผมชมพูคนนั้นในระหว่างที่เขากำลังเดินกลับบ้านที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็รู้สึกขนลุกไม่ได้

 

 

                ทว่าหากลองกลับมาคิดดูดีๆ อีกทีวันนี้เขาก็พบเจออะไรมาเยอะแยะเต็มไปหมด ทั้งเรื่องเพื่อนใหม่ในวันแรก สาวที่สะดุดตาหรือเรื่องชมรมแปลกๆ กับสาวสวยที่ให้ความรู้สึกน่าขนลุก ถึงจะเป็นวันที่แปลกๆ แต่ไรเซ็นก็รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก รอยยิ้มเล็กๆ เผยบนมุมปากของหนุ่มน้อยอายุ 13 ขณะที่ดวงตากำลังจับจ้องไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ที่ถูกชะโลมด้วยความมืดไปทีละนิด กลุ่มดวงดาวบนฟากฟ้าเริ่มเฉิดฉายแสงอ่อนๆ แข่งกับแสงไฟจากคาปาเทลซิตี้แห่งนี้

 

 

“เอาเถอะ......... พรุ่งนี้จะต้องมีเรื่องอะไรดีๆ แน่นอน”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา