Two blood สายเลือดลูกครึ่งราชัน

9.0

วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555 เวลา 00.43 น.

  6 ตอน
  1 วิจารณ์
  10.48K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) พลบค่ำกับหญิงสาวในโลงศพ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            “แล้วนี่ไปทำอะไรมาหละ ถึงได้ถึงขั้นสลบแบบนี้แถมยังรอยแดงเป็นจ้ำๆที่หน้าผาก” คุณครูพยาบาลกล่าวถามขณะที่เตรียมอุปกรณ์

            เมื่อเฟิร์สได้ยินถึงกับสะดุ้ง  “คือว่าพอดีเขาพุ่งเข้ามาใส่พี่ฟรอสท์ หนูก็เลย….”

            “เธอก็เลยใช้ดาบไม้ฟาดหน้าผากเขางั้นเหรอ” ครูพยาบาลพูดต่อยิ้มๆ

            “ไม่ใช่นะคะ! หนูไม่ได้พกดาบตลอดเวลาสักหน่อย แต่หนูแค่ใช้กระเป๋านี่เท่านั้นเอง”  

            “มันก็พอๆกันแหละน้องเอ๋ย - - บางทีกระเป๋าเธออาจจะหนักและแรงกว่าก็ได้นะ” ฟรอสท์กล่าวขึ้นอย่างเหนื่อยใจ

            “โถ่…พี่ก็  จะช่วยให้น้องสาวสุดที่รักหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาหน่อยก็ไม่ได้ ชิส์” 

            “เอาเถอะดูจากรอยแล้วก็ไม่เป็นอะไรมากหรอกอีกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุด้วยเดี๋ยวครูจะอธิบายให้เขาฟังเอง  สักพักก็คงตื่นไปเรียนกับเพื่อนๆได้แต่ดูเหมือนเขาจะเพลียมากกว่าคงจะนอนน้อยฃ มาดูเรื่องแผลของเธอก่อนแล้วกันนะฟรอสท์ ไหนขอครูดูหน่อยซิ”  ครูพยาบาลเดินมาหาฟรอสท์พร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลในมือ

 

            “ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฟรอสท์และเฟิร์สกล่าวพร้อมกันหลังจากที่ทำแผลของฟรอสท์เสร็จ “ฝากดูแลเด็กคนนั้นด้วยนะคะ” เฟิร์สกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกไปเข้าห้องเรียน ส่วนคุณครูก็ยิ้มรับอย่างเต็มใจ

            เมื่อทั้งสองคนออกไปครูพยาบาลคนนั้นก็เดินกลับมามองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงสักพัก ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะของเธอและหยิบถุงเลือดออกมา และเสียบหลอดดูดน้ำลงไป

            “คุณหนูเล่นมาแบบไม่บอกล่วงหน้าเลย ตามกำหนดการณ์ต้องอีกอาทิตย์นึงนี่นา” ครูพยาบาลค่อยๆเลื่อนถุงเลือดเข้าไปใกล้ๆหญิงสาวผมแกละที่กำลังนอนอสลบอยู่บนเตียง

            เธอเอาหลอดเสียบเข้าปากเล็กๆของหญิงสาวตัวน้อย  เพียงไม่กี่วินาทีจมูกเธอขยับหมิบๆพร้อมกับคว้าถุงเลือดในมือของเธอไปดูดราวกับเด็กทารก

            “ฮ่า….อิ่มจังเลย” หญิงสาวเมื่อได้สติเธอค่อยๆหันมองไปรอบๆ

            “สวัสดีค่ะคุณหนู วินดี้” คุณครูกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม

            “อ้าวเฟเนเรียเองเหรอ  ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่ได้หละ ครั้งสุดท้ายชั้นจำได้ว่านั่งอยู่ในรถนี่นา”

            “ก็นักเรียนของที่นี่เห็นคุณหนู หลับอยู่ในรถเลยเข้าไปปลุกแต่ก็ดูเหมือนคุณหนูจะเข้าไปทำร้ายเขา”

            “โอย…เจ็บๆๆ หัวฉัน…” หญิงสาวผมแกละพูดขึ้นขณะที่ใช้มือสัมผัสบริเวณหน้าผากของตนเอง “อ่อ จำได้แล้ว หลังจากนั้นฉันก็โดนยัยบ้าพลังนั่นตีซะสลบเหมือดเลย ยัยบ้านี่แรงเยอะยังกับหมีแหนะ ถ้าฉันมีแรงนะจะกัดให้ร้องไห้ไปฟ้องแม่เลยคอยดู”

            “ออใช่แล้วฉันมานี่ได้ยังไง ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็ต้องหมดสติอยู่บนรถสิ” หญิงสาวถามต่ออย่างสงสัย

            “คือว่าผู้ชายที่คุณหนูกระโจนเข้ากัดเขาอุ้มคุณหนูขี่หลังมาหนะค่ะ” เฟเนเรียตอบด้วยรอยยิ้มอย่างเคย

            “อุ้ม….ขี่หลัง….อ่า….” หญิงสาวกล่าวเบาๆพร้อมกับหน้าแดงพรวดเป็นลูกตำลึง และนึกภาพจินตนาการของเธอไปตามเรื่อง

            “กรี๊ดด!! ไอเจ้าบ้านี่ต้องตาย บังอาจมาทำให้ชั้นต้องเป็นแบบนี้” หญิงสาวกำหมัดแน่นพร้อมกับกัดฟันอย่างเจ็บใจพร้อมกับใบหน้าที่แดงเต็มที่ไม่ใช่เพราะความโกรธแต่เพราะเขินอายซะมากกว่า

            “ใจเย็นๆก่อนนะคะ คุณหนูพึ่งจะมาถึงที่นี่เรื่องเล็กๆอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลย ”

            หญิงสาวตัวน้อยนั่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพยักหน้า “นั่นสินะ แต่ว่าหมอนั่นต้องถูกฉันลงโทษ ปล่อยไว้เฉยๆไม่ได้หรอก จะได้รู้ซะบ้างว่าทำตัวแบบนี้แล้วจะเป็นยังไง”

            “เห้อ…เอาเถอะค่ะ แต่อย่าให้มันรุนแรงมากนะ”  เฟเนเรียรู้จักนิสัยเอาแต่ใจของคุณหนูของเธอดีจึงต้องปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนั้น

            “ว่าแต่คุณหนูค่ะ”

            “หิม..?”

            “ดูเหมือนคุณหนู ส่วนสูงไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยนะตั้งแต่ที่เราเจอกันครั้งสุดท้าย” โดยที่สายตาของเธอกวาดจากล่างขึ้นบนอย่างเห็นได้ชัด

            “ช่างฉันเถอะน่า”

            “ไม่ได้นะคะ แสดงว่ากินแต่พวกขนม ไม่ทานของที่มีประโยชน์ถึงเป็นแวมไพร์ร่างกายก็จะไม่โตสมวัยนะคะ  ต้องดื่มเลือดผสมกับเนื้อนมไข่ด้วยสิถึงจะดี”

            “ชิส์ เป็นเธอหรอกนะ ถ้าเป็นคนอื่นฉันทุบไม่เลี้ยงแน่”

            หลังจากนั้นเมื่อฟรอสท์เข้าห้องไปทุกคนมองเขาเป็นตาดวงเดียวกัน ฟรอสท์ผงะทันทีเมื่อเป็นเช่นนั้น

            เขาค่อยๆเดินมานั่งที่โต๊ะของเขาโดยที่ทุกคนแทบไม่ละสายตาจากเขาไปไหนเลยพร้อมกับเสียงซุบซิบดังเบาๆอย่างต่อเนื่อง

            ฟรอสท์หันไปมองผู้ชายสวมแว่นตาคนหนึ่งผมสีดำตัดสั้นที่นั่งติดกับเขาไปทางซ้ายริมหน้าต่างที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่โดยไม่สนใจเขาเลยต่างจากปฏิกิริยาคนในห้องมาก

            “ดาร์ฟ นี่มันเกิดอะไรขึ้นทำไมทุกคนถึงมองฉันกันหมดเลย” ฟรอสท์เอ่ยถามคนข้างเขาด้วยความสงสัยอย่างมาก

            ดาร์ฟหันกลับมามองด้วยสายตานิ่งเฉยเหมือนอย่างเคยเขาจ้องฟรอสท์สักครู่……………...

            “นายลืมถอดหน้ากากสไปเดอร์แมนหนะคนเขารู้กันหมดแล้วว่านายก็คือคนที่ว่า”

            “ไอเจ้าบ้าดาร์ฟ หัดจริงจังซะบ้างสิ ให้ตายเถอะเล่นมุกฝืดๆอยู่ได้” ฟรอสท์พูดขึ้นอย่างเหนื่อยใจเมื่อพบกับนิสัยส่วนตัวของเพื่อนสนิทใกล้ตัว

            “ฉันจะบอกให้ก็ได้  ที่ทุกคนมองนายก็เพราะเมื่อเช้านี้ตอนเข้าแถวกัน พวกเราเห็นนายแบกหญิงสาวคนหนึ่งอยู่บนหลังแถมยังดูหน้าตาตื่นขนาดนั้น พวกเราก็เลยสรุปว่า นายจะต้องเป็นแฟนกับเธอแน่ๆแล้วก็มีอะไรลึกซึ้งมากแน่ๆแถมดูด้วยสายตาระยะไกลที่มีไว้ส่องสาวของพวกเราแล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะต้องสวยและน่ารักมากซะด้วย” ดาร์ฟพูดยาวด้วยทีท่านิ่งเฉย

            “เอ้ย!! มันไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ใครกันนะที่เป็นคนจุดไฟเรื่องแบบนี้” ฟรอสท์พูดอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก

            “ก็ฉันเองหละ” ดาร์ฟกล่าวและยกมือขึ้นเสนอตัว

            “ไอเพื่อนบ้าเอ้ย”

            และใกล้ๆนั่นบนต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไปจากห้องเรียนของฟรอสท์ราวเจ็ดสิบเมตร ร่างของคนที่คอยสะกดรอยตามฟรอสท์ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

            “ไม่มีจังหวะเข้าโจมตีเลยแฮะ หมอนี่ไม่มีเวลาที่อยู่คนเดียวบ้างหรือยังไงกัน” เสียงหญิงสาวพูดกัดฟันกรอดๆ

            “คอยดูเถอะ เย็นนี้ชั้นจะต้องหาโอกาสเล่นงานให้ได้เลย!” เธอพูดต่อและมุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จโดยเร็ว

            “เห้ย!! เธอระวัง!!”

            หญิงสาวบนต้นไม้หันหน้าไปตามเสียงเรียก “หึ ลอบทำร้ายเหรอ!!” เธอเห็นลูกบอลกลมพุ่งตรงเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว

            เธอเตะเท้ากับต้นไม้จนร่างของเธอลอยสูงและหลบวิถีของลูกบอลได้อย่างสวยงาม “เหอะอาวุธกระจอกแบบนี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” หญิงสาวยิ้มราวกับตนเป็นผู้ชนะในการต่อสู้เพื่อชิงเหรียญทอง

            “จ๋อม!!” เพียงไม่กี่วินาทีที่เธอไม่ทันได้มองด้านล่างเธอตกจ๋อมลงไปในน้ำคลองที่สีไม่ค่อยจะสวยนัก     

            หลังจากนั้นเธอก็ค่อยๆว่ายตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำพร้อมกับส่งเสียงบ่นตลอดเวลา      

            “แค่กๆ อี๋ เหม็นชะมัดเลย จำไว้เลยนะไอผู้สืบทอดรุ่นสิบเจ็ดแกจะต้องเจอดีแน่!!” หญิงสาวกล่าวขึ้นอย่างเจ็บใจพร้อมกับมองไปยังห้องที่ฟรอสท์นั่งเรียนอยู่

“เป็นอะไรมากไหม น้อง ขอโทษทีนะพวกเราไม่ได้…...” ชายหนุ่มที่เตะบอลมาพูดขึ้นไม่ทันจบกำปั้นที่บรรจุด้วยความแค้นเคืองของเธอก็พุ่งพรวดเข้าหาเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างจัง จนล้มลงไปกอง ส่วนเพื่อนสามสี่คนเข้าไปดูอาการอย่างรวดเร็ว

“บอล!! นี่แกเป็นอะไรหรือเปล่า!!” เสียงเพื่อนคนหนึ่งใกล้ๆเขาพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับใด

ชายคนเดิมเงยหน้าขึ้น “นี่เธอทำไม….อ้าว….หายไปแล้ว” แต่ก็ไม่ทันที่จะได้พูดอะไรหญิงสาวที่ต่อยเพื่อนของเขาก็หายตัวไปแล้ว ส่วนพวกเขาก็ก็หามเพื่อนเข้าพิธีทางศาสนาที่ห้องพยาบาลต่อไป

ณ หน้าห้องพยาบาล (อีกครั้ง)

ในตอนนี้วินดี้ก็ออกไปข้างนอกแล้ว เหลือไว้แต่ครูพยาบาลคนเดียวเท่านั้น พวกผู้ชายประมาณสามคนพากันแบกเพื่อนของเขามายังห้องพยาบาล

“พวกนี้มีเรื่องชกต่อยกันมาอีกแล้วเหรอเนี่ย วันนี้มีแต่เรื่องแฮะ” เฟเนเรียพูดขึ้นเบาๆกับตัวเอง และถอนหายใจเล็กน้อย

“ยังไงก็กลับไปเรียนกันต่อก่อนนะส่วนเพื่อนพวกเธอฉันจะดูแลเอง” เฟเนเรียครูสาวกล่าวขึ้นไล่นักเรียนที่เหลือกลับไปเรียนต่อ

“คาบแรกชั่วโมงว่างหนะจารย์  เดี๋ยวพวกผมจะคอยช่วยดูลูกพี่ด้วย” ชายหนุ่มตัดสกินเฮดกล่าวขึ้นด้วยความเป็นห่วงเพื่อนหรือเรียกว่าลูกพี่ก็ได้ เพราะหนุ่มคนที่บาดเจ็บนับได้ว่าเป็นหัวหน้าของเหล่านักแข่งรถเหล่านี้ (เด็กแวนซ์อะ) @_@

“งั้นก็ทำตัวให้เป็นประโยชน์หน่อย ไปเอากล่องยาตรงนั้นมาหน่อยซิ” เธอยิ้มตามเคยแล้วก็สั่งให้เด็กพวกนั้นไปเอาของที่ต้องใช้มา

เมื่อเธอสำรวจบาดแผลของชายหนุ่มสายตาที่อ่อนโยนของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นดวงตาจริงจังและเหงื่อเม็ดเล็กๆค่อยๆไหลออกมาแสดงถึงอาการวิตกอย่างเห็นได้ชัด

‘รอยแผลนี่มันไม่ใช่การโจมตีธรรมดา แต่เป็นหมัดที่อาบด้วยประจุพลังปราณเพลิง และสำนักเดียวที่สามารถทำแบบนี้ได้ในแถบนี้ก็มีแค่สำนักเดียว…..เพลิงเมฆา!? คุณหนู!!’ เธอตรวจพิจารณาบาดแผลและได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็วเพราะเธอเป็นแพทย์มานานแถมยังมีร้อยไหม้เล็กๆซึ่งบางคนอาจจะไม่สังเกตุแต่ด้วยประจุพลังปราณที่เหลืออยู่ทำให้เธอรู้ได้ในทันที

“จารย์! เป็นอะไรหนะ” ชายหนุ่มคนเดิมเอ่ยถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นที่ท่าจริงจังของเฟเนเรีย ทำให้เธอถึงกับสะดุ้งเฮือก

“ไม่มีอะไรหรอกแค่เห็นรอยแผลแล้วหนักใจจริงๆทำไมพวกเธอถึงได้ชกต่อยกันไม่เว้นแต่ละวันอย่างนี้” ครูพยาบาลตอบไปเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ

หลังจากทำแผลเสร็จเพื่อนสองคนก็ขอตัวกลับไปเรียนก่อนส่วนเพื่อนชายอีกคนที่ตัดสกินเฮดยังคงนั่งเฝ้าอยู่ต่อไป

“แล้วนี่เธอไม่กลับไปเรียนก่อนเหรอเดี๋ยวค่อยมาตอนพักเที่ยงก็ได้” เฟเนเรียกล่าวเพื่อให้เด็กคนนั้นกลับไปเรียน

“ไม่หละครับ ผมจะอยู่กับลูกพี่ แต่ว่า.......ลูกพี่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยนะ  ปกติลูกพี่ออกจะเก่ง รวดเร็วดุดันแถมยังอดทน แต่นี่โดนหญิงสาวตัวน้อยๆชกหมัดเดียวถึงกับต้องตกในสภาพแบบนี้  ผมยังช๊อกไม่หาย” ชายหนุ่มพูดขึ้นพร้อมกับมองหน้าลูกพี่นอนอยู่บนเตียงอย่างสงบนิ่ง

เฟเนเรียมองทั้งสองอย่างประหลาดใจและก็ยิ้มออกมานิดๆ “เธอหนะเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆนะ หวังว่าคงจะรักกันแบบนี้ตลอดไปนะ”

“อ่าครับ ครู”

“นี่ครั้งแรกเลยนะที่เธอพูดครับ กับครูแหมดีใจจริงๆ” เฟเนเรียพูดขึ้นอย่างซึ้งใจด้วยรอยยิ้ม ทำเอาชายหนุ่มคนนั้นหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย

‘เห้อแต่ที่ห่วงอยู่ตอนนี้ คือคุณหนูนี่สิถ้าไม่ไปเจอคนของสำนักเพลิงเมฆาก็คงจะดี หวังว่าเป้าหมายพวกมันคงไม่ใช่คุณหนูนะ เดี๋ยวเราต้องพักงานทางนี้แล้วก็ไปตรวจสอบดูสักหน่อย’ หลังจากที่เฟเนเรียคิดได้ดังนั้นเขาก็ฝากห้องพยาบาลกับเด็กหนุ่มหัวเหม่งคนนั้นไว้แล้วก็ออกไปข้างนอก

เสียงออดดังขึ้นอีกครั้งเวลาเที่ยงวัน

“คุณหนูหายไปไหนกันนะ ห้องเรียนก็ไม่อยู่แถมคุณครูบอกว่าไม่เข้าเรียนซะอีก” เฟเนเรียพูดกับตัวเองเบาๆขณะเดินหาคุณหนูของเธอไปทั่วโรงเรียน

ส่วนทางด้านของฟรอสท์

โดยปกติแล้ว ฟรอสท์ ดาร์ฟและ เฟิร์นทั้งสามคนจะไปทานข้าวด้วยกันเสมอและวันนี้ก็เช่นกัน

“นี่พี่ดาร์ฟบอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าเย็นนี้จะพาพี่ฟรอสท์ไปไหน” เฟิร์นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียขู่นิดๆขณะที่ทั้งสามคนนั่งบนโต๊ะทานอาหาร

            “ต้องบอกเธอด้วยงั้นเหรอ?” ดาร์ฟพูดขึ้นด้วยท่วงท่ากวนประสาทเหมือนเคย

            “ถ้าไม่บอกหนูก็ไม่อนุญาตให้เอาตัวพี่ของหนูหรอกนะ! หรือไม่หนูก็ต้องไปด้วยเรื่องชมรมเอาไว้ทีหลังก็ได้” เฟิร์นพูดขึ้นเสียงกระชากเล็กน้อย

            “เหอะๆ งั้นฉันจะบอกให้ก็ได้นะ ฉันจะพาเขาไปทำกิจกรรมชมรมที่สุสานหลังโรงเรียนนี่ยังไงหละ” ดาร์ฟพูดขึ้นและดื่มนมในกล่องหยดสุดท้ายหมดพอดี

            “นี่นายจะพาพี่ฉันไปทำบ้าอะไรที่นั่นอีก ที่นั่นมันน่ากลัวจะตาย” เฟิร์นพูดขึ้นเสียงไม่ค่อยสู้ดีเนื่องจากเธอไม่ชอบเรื่องผีสางเอามากๆ บางวันที่เธอฝันร้ายเธอเองก็ไม่กล้าที่จะอยู่คนเดียวและต้องย้ายไปรบกวนที่นอนของฟรอสท์เป็นบางครั้ง

            “จะไปด้วยไหมหละ”  ดาร์ฟพูดขึ้นพร้อมกับจ้องเฟิร์สตาไม่กระพริบ

            “พอสักทีเถอะน่าทั้งสองคนนี่ฉันนั่งตรงกลางต้องมานั่งฟังสองคนตรงข้ามทะเลาะกันเนี่ยนะ  แล้วไอเรื่องเมื่อเช้าฉันยังไม่เคลียร์เลย” ฟรอสท์พูดนทั้งสองคนที่กำลังตีกันเป็นเรื่องปกติสุข จึงพักรบกันชั่วคราว

            “ว่าแต่เด็กผู้หญิงเมื่อเช้าจะฟื้นรึยังก็ไม่รู้” ฟรอสท์พูดขึ้นลอยๆ และต่อจากนั้นทั้งสามคนก็ตกลงกันว่าจะไปเยี่ยมดูหญิงสาวผมแกละเมื่อเช้าซึ่งตอนนี้กำลังเดินเล่นอยู่ในเมืองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในตอนนี้

            “ฮ่า….อากาศที่นี่สดชื่นจังเลย ถึงว่าหละทำไมคุณพ่อถึงอยากให้เรามานัก”  หญิงสาวค่อยๆมองไปยังย่านร้านค้าต่างที่ดูจะไม่ค่อยเจริญอะไรนักแต่ก็ดูเหมือนทุกคนจะอยู่กันอย่างสนิทสนมและมีความสุข

            “จริงด้วยสิวันนี้ไปแวะดูที่โรงเรียนอีกหน่อยดีกว่าหาผู้ชายคนเมื่อเช้าแล้วก็ กัดคอเขาซักฉับแล้วกัน” หญิงสาวคิดได้จึงมุ่งตรงกลับไปยังโรงเรียน

            “อ่า…..แล้วโรงเรียนมันอยู่ทางไหนหละ ทางนี้…หรือทางนี้….หรือทางนี้ หาทางไปไม่ได้แล้วอ่า ซิกๆ” หญิงสาวตัวน้อยพูดกับตัวเองเบาก่อนจะน้ำตาร่วงเพราะหาทางไปต่อไม่ได้ (อันนี้เค้าเรียกหลงทางครับ เด็กหลง)

            “กริ๊ง!!!” ออดหมดเวลาเรียนช่วงเย็นก็ดังขึ้น เฟิร์นก็แยกกับฟรอสท์เพื่อไปฝึกในชมรมส่วนดาร์ฟพาฟรอสท์เดินออกจากโรงเรียนไป

            “ว่าแต่ที่หลอกน้องฉันว่าไปสุสานนี่ ทำไปได้นะฉันก็ตกใจเหมือนกันตอนแรกนึกว่านายพูดเรื่องจริงซะอีก”  ฟรอสท์พูดอารมณ์สบายๆพร้อมกับเดินไปกับดาร์ฟเรื่อยๆ      

            “ใครว่าฉันหลอกกันนี่เรากำลังจะไปจริงๆต่างหาก”

            “ฮะ!! แกจะไปทำบ้าอะไรที่นั่น ขอหวยหรือไงนี่ดึกแล้วนะ” ฟรอสท์พูดอย่างตกใจถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนกลัวผีแต่การเข้าไปนสุสานเงียบๆกันในตอนกลางคืน  มันก็ทำเอาลำบากใจเหมือนกัน

            “ไม่ต้องห่วงหรอกฉันเตรียมการขอเรื่องสถานที่ไว้แล้วหละ ไม่ต้องห่วง อีกอย่างชมรมเราเป็นการทดลองเพื่อสิ่งลึกลับอยู่แล้วก็ต้องแบบนี้แหละถึงจะตรงคอนเซ็ปต์” ดาร์ฟพูดขึ้นอย่างใจเย็น

            ฟรอสท์ก็ไม่ได้ขัดอะไรและเดินต่อไปจนถึงสุสานที่ว่า มันเป็นสุสานของชาวคริสต์ ซึ่งมีป้ายหลุมศพมากมายเรียงรายเป็นแถวยาวนับรวมคงราวเจ็ดสิบหลุม ซึ่งนั่นทำเอาฟรอสท์กลืนน้ำลายดังเอื๊อกใหญ่ แล้วก็เดินตามดาร์ฟไปโดยปกติเขาจะได้รับเซอไพรส์สนุกๆจากดาร์ฟเสมอๆ แต่นี่จะสนุกยังไงกันนะกลางดงคนตายขนาดนี้

            “เอาหละถึงแล้ว” ดาร์ฟพูดขึ้นและหยุดเดินหน้าหลุมศพหลุมหนึ่งที่จะทำการทดลอง 

            “นี่นายจะทำอะไรกับหลุมศพนี่กันหนะ!” ฟรอสท์กล่าวขึ้นอย่างประหลาดใจและชวนคิดเป็นที่สุด

            “ไม่ต้องห่วงในนี้ไม่มีศพอยู่หรอกนะพอดีว่าฉันอยากจะรู้สึกว่าถ้าเราลงไปนอนในโรงแล้วถูกฝังมันจะรู้สึกยังไงเท่านั้นเอง  พอดีว่าฉันขุดหลุมฝังตัวเองไม่ได้ซะด้วยการทดลองนี้ฉันต้องพึ่งนายจริงๆ” ดาร์ฟพูดเสียงนิ่งพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้กับโรงศพนั่นแล้วก็วางไฟฉายที่เขาถือไว้ใกล้ๆ

            “แล้วนายจะอยากรู้ไปทำไมเนี่ย จะบ้าไปแล้วเหรอ” ฟรอสท์ถามเพื่อนของเขาที่ปกติเขาว่าเพี้ยนแล้วแต่นี่มันเกินไปหน่อยเขาแทบจะรับไม่ได้กับเรื่องแบบนี้

            “เพราะว่าฉันเป็น เนโครแมนเซอร์ยังไงหละ”  ดาร์ฟพูดขึ้นเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา

            “นี่นายพูดอะไรของนายกัน”

            “ก็ว่าอยู่ถึงจะพูดไปนายก็คงไม่เชื่อเอาเป็นว่าครั้งนี้ฉันขอก็แล้วกันนะเรื่องฝังฉันนายไม่ต้องมาขุดก็ได้เดี๋ยวฉันขึ้นไปเองอีกอย่างหลังการทดลองนี้ฉันว่าฉันคงเข้าใจถึงแก่นแท้จริงของเนโครบอร์น ฉันมีนายคนเดียวแล้วหละช่วยหน่อยแล้วกัน เพื่อน” ดาร์ฟพูดก่อนจะเปิดโรงออก

            “- - แล้วยัยบ้านี่ใครกันมานอนที่ฉัน” ดาร์ฟกล่าวขึ้นเสียงนิ่งขณะที่มองเข้าไปในโรงศพที่เตรียมไว้  มันมีคนนอนอยู่ก่อนแล้ว

            “อะไรนะ…มีคนนอนอยู่แล้วเหรอ ผีอะดิ” ฟรอสท์เริ่มพูดเสียงกระเส่าอย่าง ตรึงเครียด

            “ม่าย ไม่ใช่นี่ไม่ใช่ผีหรอก ถ้าผีต้องไม่มีกลิ่นของร่างเนื้อสิแต่นี่กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงชัดๆแถมนอนหลับอ้าปากหวอซะด้วย  นายลองมาดูเองแล้วกัน” ดาร์ฟพูดขี้นและดึงแขนฟรอสท์เข้าไปดู

ฟรอสท์ค่อยๆยื่นหัวเข้าไปมองช้าๆในใจก็กลัวว่าจะเจอของดีเข้า  แต่อีกใจก็อยากรู้ “นี่มัน…..ผู้หญิงเมื่อเช้านี่!!”

“ไม่นะถึงกับตายเลยเหรอ!! อ้าวยังหายใจอยู่แฮะ” ฟรอสท์พูดขึ้นอย่างตกใจแต่ก็พบว่าเธอยังคงมีชีวิตอยู่ดีแถมยังดูสบายกว่าเมื่อเช้าเสียอีก

“แหมๆ มานอนทับที่กันแบบนี้ก็แย่หนะสิ คุณ ตื่นได้แล้ว” ดาร์ฟพูดขึ้นพร้อมกับเขย่าตัวหญิงสาวที่นอนอยู่ด้านใน

“แง่มๆ มีอะไรกัน มืดแล้วเหรอ” หญิงสาวค่อยๆขยี้ตาอย่างน่ารักแล้วก็ลืมตาขึ้นช้าๆเผยดวงตาสีแดงฉานพร้อมเขี้ยวสองข้างที่ดูแหลมคมออกมา

“ชัดเลยแวมไพร์ อะรอนี่แปบนะ” ดาร์ฟเดินกลับไปที่กระเป๋าค่อยๆค้นบางอย่างออกมา

“นี่นายจะบ้าเหรอแวมไพร์อะไรเมื่อเช้าเธอยังมาโรงเรียนอยู่เลย แวมไพร์โดนแสงไม่ได้ไม่ใช่เหรอ” ฟรอสท์พูดค้านเต็มที่

“คอยดูแล้วกัน  เอานี่ออกไปซะ” ดาร์ฟพูดพร้อมกับโยนกระเทียมพวงเบ้อเร่อลงไปในหีบศพที่มีวินดี้อยู่   ทันทีที่กระเทียมตกลงไปโดนตัวเธอปฏิกิริยาก็เริ่มต้นทันที

“ว้าว!! ขอบคุณมากเลยนายรู้ได้ยังไงว่าฉันชอบทานมันหลังตื่นนอนยามค่ำที่สุด” หญิงสาวในนั้นท่าทางจะชอบมองกระเทียมแต่ละหัวตาเป็นมันพร้อมอ้าปากเขี้ยวอย่างมีความสุข

“เอ่อ…สงสัยจะเข้าใจอะไรผิดแฮะ งั้นก็ออกมาได้แล้วเอากระเทียมออกไปด้วยเลยฉันให้” ดาร์ฟกล่าวพร้อมกับเปิดฝาโรงออกกว้าง

“ขอบใจนะ พวกนายเป็นใครกันหนะเครื่องแบบของโรงเรียน เดียวกับฉันเลยหนิ” วินดี้พูดขึ้นด้วยความสุขเพราะอาหารที่เธอชอบที่สุดก็คือกระเทียมสดๆนั่นเอง

ทั้งสองยืนเงียบมองหน้ากันอย่าง งงๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสักพัก ก่อนจะแนะนำตัวและสับเปลี่ยนที่ของวินดี้และดาร์ฟ

ดาร์ฟโบกมือลาก่อนที่เขาจะเข้าไปอยู่ในโรงที่กำลังจะถูกฝังส่วนฟรอสท์ก็กำลังมึนงงกับเรื่องต่างๆอย่างอธิบายไม่ได้  อยู่ดาร์ฟก็ขอให้เขาฟังตัวเองพอมาถึงก็เจอกับหญิงสาวที่นอนรออยู่ในโรงศพพอปลุกก็ตื่นขึ้นมาด้วยเขียวยาวคมกริบยังกับแวมไพร์จริงๆรวมถึงที่ดาร์ฟบอกว่าเขาคือเนโครแมนเซอร์ด้วย  เรื่องทั้งหมดทำให้เขาหัวปั่นไปหมด

“จะให้ฝังสินะได้เลยเดี๋ยวฉันช่วยด้วยคนแล้วกันนะ” วินดี้พูดขึ้นเหมือนกับว่าเธอกำลังเล่นสนุก

หลังจากนั้นฟรอสท์ก็ทำตามคำสั่งของดาร์ฟและวินดี้ที่ให้เขาฝังดาร์ฟลงไปในหลุมจนเสร็จเรียบร้อย

“ก็สนุกดีน้าพวกนายมีเล่นที่นี่กันบ่อยๆเหรอ” วินดี้ถามด้วยรอยยิ้มนิดๆ

“ไม่หรอก พอดีว่าดาร์ฟบอกว่าจะมาทดลองเพื่อให้ตัวเองเขาใจความรู้สึกของพวกที่ถูกฝังอะไรนี่หละนะฉันเองก็ไม่เข้าใจ แต่ว่าทำอย่างนั้นไม่เป็นไรแน่เหรอ อากาศมันเข้าไม่ได้นะ ตายกับตายอย่างเดียว เดี๋ยวอีกสักชั่วโมงฉันคงต้องไปขุดขึ้นมาอีกหนะแหละ” ฟรอสท์พูดขึ้นอย่างเป็นห่วงและความสงสัย ที่เขายอมทำก็เพราะดาร์ฟบอกว่าภายในนั้นเขาได้ทำการติดตั้งเครื่องผลิต ออกซิเจนเอาไว้แล้วซึ่งนั่นก็แค่เรื่องโกหก อ่าแน่นอนพระเอกของเราต้องเชื่อเพราะดาร์ฟเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เรียกได้ว่าขั้นอัจฉริยะแถมผลสอบคะแนนทุกภาคเรียนก็มาเป็นที่หนึ่งทุกครั้ง

“อืมงั้นก็แปลว่าหมอนั่นเป็นเนโครแมนเซอร์สินะ” หญิงสาวกล่าวขึ้นคุยเหมือนเรื่องธรรมดาแต่สิ่งที่เธอพูดทำให้ฟรอสท์ถึงกับอึ้ง แต่เขาก็ค่อยๆคิด บางทีไอหมอนั่นอาจจะเตรียมกับเธอไว้แล้วก็ได้เขาก็เลยคิดว่ามันคงเป็นแค่เรื่องหลอกเขาเล่นๆเท่านั้นเอง เขาก็เลยเล่นต่อด้วยเลย

“ว่าแต่เธอไม่ใช่แวมไพร์เหรอทำไมถึงไม่กลัวกระเทียมหละเท่าที่ฉันรู้จักพวกแวมไพร์จะต้องกลัวกระเทียมไม่ใช่เหรอ” ฟรอสท์แกล้งถามเพื่อเข้าเรื่องที่เขาคิดว่านั้นเป็นเรื่องหลอกเล่น

“ใช่สิฉันนี่แหละแวมไพร์ เรื่องนี้รู้แล้วต้องเหยียบไว้เลยนะห้ามบอกใคร ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่ฉันหรอกแต่แวมไพร์ทุกคนชอบทานกระเทียมกันหมดทุกคนแหละ  ที่ว่านิยายเรื่องเล่าบางเรื่อง ระบุไว้ว่าแวมไพร์จะถอยเมื่อเจอกระเทียม พวกนั้นบรรพบุรุษของพวกเราเป็นคนแต่งขึ้นมาเองเพื่อให้พวกมนุษย์หลงเชื่อแล้วก็เอากระเทียมมาสู้กับพวกเรา สุดท้ายก็ตายเรียบแถมมีของกินฟรีให้อีก เป็นไงหละสุดยอดเลยใช่ไหม” หญิงสาวพูดอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเรื่องจริงแต่ฟรอสท์ยังคงไม่นึกเช่นนั้นเขายังคงเดินวนเวียนอยู่แถวนั้นและนั่งคุยกับเธออย่างสนุก

            จนกระทั่งเข้าเรื่องเรื่องหนึ่ง “เอ่อคือเมื่อเช้านี้ต้องขอโทษด้วยนะ”

            “เรื่องอะไรงั้นเหรอ”

            “ก็ที่น้องฉันเอากระเป๋าฟาดเธอจนสลบไป”

            “……”  หญิงสาวหยุดิดชั่วครู่และเชื่อมโยงเหตุการณ์เข้าหากัน สักพักหน้าของเธอก็ปรากฏสีแดงที่แก้มทั้งสองข้าง

            “นี่นายเป็นคนเมื่อเช้านี่อย่างนั้นเหรอ!!”  หญิงสาวเริ่มพูดเสียงหนักพร้อมกับแววตาที่เปลี่ยนไปจนดูจริงจัง

            “เอ่อ….จะว่ายังไงดีหละ ก็ใช่หนะนะฉันเป็นคนที่แบกเธอไปห้องพยาบาลเอง” ฟรอสท์กล่าวพยายามยื้อความโกรธด้วยความดีของตนแต่หารู้ไม่ว่า สิ่งที่เขาพูดนั่นแหละคือสาเหตุของโทสะหญิงสาวตรงหน้า

            “เอาหละกลับมาถึงสักทีไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาตั้งนาน ผู้สืบทอดอยู่ที่ไหนกันนะตอนนี้คงจะเลิกเรียนแล้ว หืมม….นั่นมันหมอนั่นอยู่กับใครอีกคนหนะ” หญิงสาวที่ตกบ่อน้ำเมื่อช่วงเช้ากลับมาพร้อมกับเสื้อตัวใหม่หลังจากที่ ชุดเก่าเปียกน้ำโสโครกจนเกินเยียวยาเธอรีบกลับไปบ้านพักเพื่ออาบน้ำกลับมาจัดการเป้าหมายอีกครั้งแต่ก่อนจะมาเธอก็นอนหลับในห้องพักไปซะ สามชั่วโมง 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา