Wolf Moon Mafia นักล่าหัวใจ ของยัยมาเฟีย

10.0

เขียนโดย FahMyIu

วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 16.13 น.

  4 ตอน
  31 วิจารณ์
  8,294 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ซุรุ - เค

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     ปัง ปัง !!

  เสียงปืนดังไปทั่วในโรงยิม ลูกกระสุนถูกยิงเข้าเป้าทุกนัด หญิงสาวลุกขึ้นจากที่กำบังมือข้างหนึ่งจับไกปืนไว้แน่นอีกมือหนึ่งหยิบแว่นตาสีชาออก เผยให้เห็นใบหน้าได้ชัดเจน

  หญิงสาวเดินออกมาจากสนามฝึกยิงปืนและถอดแว่นตาให้กับชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้เธอ และมีคนหนึ่งยื่นน้ำกับผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้หญิงสาว

     “คุณหนูครับ คุณท่านเรียกครับ” เสียงชายหนุ่มดังมาจากทางออกของโรงยิม หญิงสาวพยักหน้ารับและบอกส่งไปก่อนจะกระดกน้ำไปอึกใหญ่

  หญิงสาวเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับชายตามมา 2 คน หญิงสาวเดินเข้ามานั่งในห้องนั่งเล่นสไตล์ยุโรป โดยนั่งฝั่งตรงข้ามกับชายรุ่นพ่อคนหนึ่ง

     “ช่วงนี้เป็นไงบ้าง” ชายตรงหน้าถาม

     “ก็ดีค่ะ” หญิงสาวตอบ

     “แล้วเรื่องกิจการละ บริษัทเป็นไงบ้าง”

     “ยอดขายก็เพิ่มขึ้นค่ะ” หญิงสาวตอบก่อนจะนั่งเอาหลังพิงกับโซฟาพร้อมกับนั่งไขว่ห้าง

     “แล้วเรื่องนั้นละ”

     “เรื่องไหนค่ะ” หญิงสาวถามทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าเรื่องอะไร

     “การกวาดล้าง...” ชายตรงหน้าพูดเสียงแผ่ว

     “เรื่องนั้น...” หญิงสาวก้มหน้าพักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “ก็คิดไว้แล้วค่ะ”

 

     //ซุรุวันนี้ว่างไหม// ชูริถามฉันทางโทรศัพท์ระหว่างที่ฉันเดินขึ้นมาบนห้อง

     “ทำไมเหรอ”

     // ฉันอยากให้เธอมาช้อปเป็นเพื่อนฉันหน่อยน่ะ //

     “เธอก็ช้อปคนเดียวได้นี่น่า” ตามจริงฉันขี้เกียจที่จะเดินไปเดินมาและต้องคอยเธอเลือกซื้อของด้วย

     “และเธอก็รู้นี่ ว่าฉันไม่ชอบการช้อปแบบพวกผู้หญิงนะ” ฉันเดินเข้าในห้องและตรงดิ่งไปที่นอนทันที

     // แต่เธอก็ผู้หญิงนี่ -_- หรือว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิง O.O! // เฮ้อ ถ้ายัยนี่อยู่ตรงหน้าฉันละก็ รับรองเลยว่าฉันได้บีบคอหล่อนแน่ -_-

     // เอาน่านะ เป็นเพื่อนฉันหน่อยนะซุรุ จ้า~ // ชูริอ้อนทันที เฮ้อพอเจอลูกอ้อนของยัยนี่ทีไรต้องยอมทุกทีสิน่า -_-;

     “อ่า ได้ๆ เดี๋ยวฉันไป”

     // เย้!! ขอบใจนะ แกเป็นเพื่อนที่ฉันรักที่สู้ดดดดเล้ยยย \^0^/ // เฮ้อ ฉันละป่วยกับเพื่อนของฉันจริงๆ -_-;

     // เอาเป็นว่าเจอกันในอีกครึ่งชั่วโมงนะ ที่ห้างเดิมนะจ้ะ บาย //

     “อืม บาย เดี๋ยวเจอกัน” เฮ้อ น่าเบื่อจริงๆเลย ฉันโยนโทรศัพท์ลงบนที่นอนแสนหนานุ่มก่อนจะกระเด้งตัวไปห้องน้ำทันที อยากน้อยตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำ ไปข้างนอกดีกว่า

  หลังจากออกจากบ้านมาแล้วฉันก็สั่งบอดี้การ์ดส่วนตัวของฉันว่าไม่ต้องตามมา และบอกคนขับรถให้ไปที่ฉันนัดเจอกับชูริ

  พอมาถึงคนขับรถเปิดประตูลงไปก่อนจะอ้อมมาเปิดประตูให้ ฉันก้าวลงมาจากรถก็เห็นผู้หญิงผมสีน้ำตาลยาวลอนแต่ว่าเธอรวบเป็นหางม้าแบบเอียงข้างและแต่งตัวสบายๆ เสื้อกล้ามสีแดงสวมทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตยีนสีน้ำเงินแขนตุ๊กตา กางเกงเลคกิ้งลายจุดสีขาว รองเท้าบูทหนังสีน้ำตาล กับกระเป๋าใบน้อยสีชมพูที่เธอพายมาด้วย พอดิบพอดี แต่ฉันว่ามันไม่สบายแล้วละ-_-;

     “นายกลับไปก่อน แล้วฉันจะโทรตาม” ฉันหันไปสั่งคนขับรถที่อยู่ข้างหลัง

     “ครับคุณหนู” คนขับรถโค้งตัวให้ก่อนจะเดินอ้อมเข้าไปในรถและขับออกไป

  ฉันเริ่มก้าวเดินหลังจากที่ยืนอยู่ตรงนั้นนาน ชูริที่ยืนรออยู่ก็หันมาเจอฉันพอดีดูเหมือนยัยนี่จะตกใจกับชุดที่ฉันใส่นะ

  ฉันเลือกใส่เสื้อกล้ามหลายทางสีดำขาวข้างในสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวสีเขียวอ่อน กางเกงหนังสีดำ รองเท้าบูทส้นสั้นสีขาว และแว่นตากันแดดสีขาว ขอบอกว่านานทีฉันจะใส่เสื้อพวกนี้ เพราะ...ถ้าจะให้ฉันใส่ละก็...ต้องโทนขาวดำแบบมาเฟียอยู่แล้ว แต่ว่าแต่งตัวแบบนั้นก็อาจจะดูฉันเป็นคนเถื่อนขึ้นมา และส่วนใหญ่ก็มักใส่โทนขาวดำไม่ว่าจะไปไหนมาไหน

  ระหว่างทางที่ฉันเดิน ผู้คนที่เดินส่วนไปมาต่างก็หันมองมาที่ฉันเป็นตาเดียว แม้กระทั่งเด็กน้อยตัวกะเปี๊ยก -_- และบางคนที่ถือของพะลุงพะลังถึงกับสะดุด และพนักงานในห้างก็ด้วย เดินไปชนคนอื่นซะงั้น

     “ว้าว นี้ซุรุฉันไม่คิดเลยว่าแกจะใส่เสื้อพวกนี้” ชูริเดินเข้ามาหาฉัน

     “ปกติแกชอบใส่เสื้อโทนขาวดำนี้ วันนี้มาแปลก แต่ก็นานๆทีจะได้ใส่เสื้อแบบนี้บ้าง แต่แบบนี้...”และยัยนี่ก็จับฉันหมุน โอ๊ย เวียนหัวแล้ว

     “แกใส่ก็ดูดีนะ เห็นเรียวขาอันยาวของแกได้ชัดแจ๋วเลย” ชูริพูดพลางหมุนตัวฉัน

     “โอ๊ย พอแล้วหน่า ฉันเวียนหัวไปหมดแล้ว” ฉันรีบร้องห้ามทันที ถ้าไม่รีบห้ามตอนนี้ฉันได้เป็นลมก่อนจะได้ไปช้อปเป็นเพื่อนยัยนี่แน่

     “อุ๊ย โทษที นั้นรีบไปกันเถอะฉันมีของที่อยากซื้อเยอะเลย” และชูริก็ลากฉันเข้าไปในห้างทันทีในขณะที่ฉันยังมึนอยู่เลย

  ชูริลากฉันเข้าร้านนั้น ร้านนี่ ร้านโน้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเครื่องแต่งกายสำหรับผู้หญิง ชูริเป็นเพื่อนที่ฉันสนิทด้วยตั้งแต่มหาลัยปี 1 จนตอนนี้เราก็จบการศึกษา ชูริเปิดกิจการร้านอาหารเล็กๆใกล้บ้านเธอเพราะเธอชื่นชอบในการทำอาหาร ส่วนฉันเป็นบริษัทเกี่ยวกับด้านการออกแบบ การสร้าง และแฟชั่น ตามจริงแฟชั่นนี่ฉันอาจไม่เหมาะกับฉัน แต่ฉันก็ชอบในการแต่งตัวอยู่บ้าง เมื่อก่อนชูริเป็นคนที่เงียบ แต่งตัวทั่วไปแบบเรียบๆ แต่พอจบการศึกษานะ เธอกลับเปลี่ยนไปเมื่อได้เจออะไรใหม่ๆ ชูริแต่งตัวเก่งขึ้น พูดมากขึ้น ร่าเริงมากขึ้น และฉันก็รู้สึกดีด้วยนะ ไม่ต้องให้เงียบไปตลอด เป็นแบบนี้ดีแล้ว

  อ้อ เกือบลืมไป ชูริรู้ด้วยว่าฉันเป็นมาเฟีย เพราะมาเฟียทุกคนไม่ต้องการเปิดตัวตน(แต่ใครรู้ละก็...ถึงแก่ความตาย!! แต่ชูริเป็นข้อยกเว้น) แต่ที่ชูริรู้ก็เพราะเกิดเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ชูริถูกรุ่นพี่ที่เป็นนักศึกษาในมหาลัยเดียวกันจับตัวไปเพื่อหวังจะข่มขืน แต่โชคดีที่ฉันไปช่วยไว้ทันพร้อมกับบอดี้การ์ดคนอื่น และชูริก็ตกใจมากเมื่อเห็นฉันมาช่วยเธอพร้อมกับคนใส่เสื้อดำทั้งตัวและเห็นฉันต่อสู้ด้วย และนั้นฉันก็เลยตัดสินใจบอกความลับของตนเองให้ชูริรู้ แต่ว่าเธอกลับไม่สะทกสะท้านอะไร แต่กลับยิ้มออกมาเหมือนกับว่า...

     ไม่ว่าฉันจะเป็นอะไร ฉันก็เป็นเพื่อนที่เธอรักที่สุด...

  หลังจากที่ช้อปกันจนเหนื่อยแล้ว ฉันและชูริก็มานั่งกินอาหารในร้านแห่งหนึ่งในห้าง

     “เฮ้อ ช้อปจนเหนื่อยเลย” ที่เหนื่อยน่ะ ฉันต่างหากละ -*-

     “เธอไม่ซื้ออะไรหน่อยเหรอ”

     “ไม่อ่ะ”

  ติ๊ด ติ๊ด เสียงโทรศัพท์ของชูริดังขึ้น เธอรีบหันไปรับโทรศัพท์ทันที และขอตัวไปคุยโทรศัพท์ข้างนอก ฉันเอาหลังพิงกับเก้าอี้และมองผู้คนในร้านไปเรื่อยอย่างคนที่ไม่มีอะไรทำ สักพักชูริก็เดินเข้ามาและมานั่งที่เดิมของเธอ

     “โอโตะโทรมาละสิ” ฉันพูดอย่างรู้ทัน สาราตะ โอโตะ แฟนหนุ่มของชูริ เป็นผู้กองบัญชาการตำรวจแห่งญี่ปุ่น ตอนแรกโอโตกะจะมาจับแก๊งมาเฟียของฉัน แต่ว่าก่อนหน้านั้นชูริได้เป็นแฟนของโอโตะแล้ว พอเธอรู้เรื่องก็รีบมาห้ามทันทีและบอกเรื่องราวทั้งหมด โอโตะเลยไม่คิดจะจับแก๊งมาเฟียของฉันอีกเลย

     “แหม๋ รู้ทัน” ชูริยิ้มอย่างเขินๆ

  เราสองคนเดินออกมาจากห้าง ชูริขอตัวแยกกลับก่อนแต่ว่าฉันรู้ทันนะเลยแซวไปลูกใหญ่เลย หลังจากที่แซวชูริเสร็จเธอก็ขอตัวไป รถสปอร์ตสีดำวิ่งมาจอดตรงหน้าฉันหลังจากที่ชูริเดินจากฉันไปไม่กี่ก้าว

  คนขับรถรีบเดินลงมาเปิดประตูให้ฉัน ฉันก้าวเข้าไปในรถพร้อมกับหายใจหนักๆออกมา

     “ช้อปกับชูริเหนื่อยกว่าฝึกต่อสู้สักอีก”

 

     “นั้นสินะ ลูกของเราจะได้สนิทกันด้วย...อ้าวซุรุมานี่หน่อย” ชิคคาริ คิโคโตะ พ่อของซุรุ

  ซุรุกำลังเดินผ่านหน้าห้องรับแขกแต่โดนผู้เป็นพ่อเรียกไว้ก่อน ซุรุเดินเข้าไปในห้องโดยมีพ่อบ้านเปิดประตูให้ สายตาของเธอมองแขกผู้มาเยือน 2 ท่านด้วยแววตานิ่งเฉย

     “นี่ ซุรุลูกสาวฉันเอง ซุรุนี่อาโกโทะ และหลานชายเคตะ” พ่อแนะนำตัวแขกผู้มาเยือน

  แขกทั้ง 2 หันไปทักทายซุรุพร้อมกัน ซุรุโค้งตัวตามมารยาทให้กับแขกทั้งสอง

      “ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อชิคคาริ ซุรุ”

     “ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อโอคามิ เคตะ”

     “นั้นให้เด็กลองคุยกันดีไหมจะได้สนิทกันมากขึ้นด้วย” อาโกโทะพูดและหันไปถามความคิดกับเพื่อนของตน

     “นั้นสินั้นเราไปคุยกันข้างนอกตามประสาเพื่อนเก่าละกัน” คิโคโตะลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไปและตามด้วยอาโกโทะ

  เฮ้อ...ทำไมคุณพ่อต้องให้มานั่งคุยกับผู้ชายคนนี้ด้วยนะ แต่...พอลองดูดีๆก็หน้าตาก็ใช้ได้นะ ผมสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำเข้าคู่กับดวงตาสีดำสนิทชวนน่าหลงใหล จมูกโด่งได้รูป ดวงตาคมเข้ม ริมฝีปากเพรียวบาง ผอมสูง และท่าทางเฉยชาด้วยแฮะ และส่วนสูงของเขาที่วัดด้วยสายตาอันแหลมคมของฉันแล้วน่าจะราวๆ 180 ขึ้นก็ได้

     “เอ่อ...นั้นเชิญคุณเคตะนั่งก่อนค่ะ” ฉันผายมือเชิงให้เขานั่งโซฟากำมะหยี่สีครีม และเขาก็ทำตามอย่างว่าแต่ไปนั่งอีกฝั่งตรงข้ามกับฉันและนั่งท่าไขว่ห้าง

  เฮ้อ...ตอนนี้ไม่รู้จะพูดเรื่องไรดี ก็ฉันคุยกับใครไม่ค่อยเก่งสักด้วยสิ

     “เอ่อ...” จะเอาเรื่องไหนมาพูดละ และนายเคตะเนี่ยก็ไม่หยุดมองฉันสักทีตั้งแต่ฉันเข้ามาแล้วนะ

     “งานอดิเรกของคุณชอบทำอะไรเหรอค่ะ” ถามแบบนี้คงได้ใช่ไหม ไม่ธรรมดาใช่ไหม -_-;;

     “ไม่ต้องเป็นทางการก็ได้”

     (-.-??)

     “พูดกับฉันใช้แทนด้วยนายไม่เอาคุณ มันทางการเกินไป ฉันไม่ชอบ และอย่าพูดคำลงท้าย” เขาบอกอย่างเฉยชา ย่ะ ก็ได้ทำตาใจนายละกัน(เปลี่ยนเร็วทัน(-.-;))

     “งานอดิเรกของนายชอบทำอะไรเหรอ” ฉันถามเขาอีกรอบ

     “ส่วนใหญ่ซ้อมศิลปะการต่อสู้ และยิงปืน และพอว่างก็ทำงาน” ก็เหมือนกับฉันนี่หว่า แต่เวลาว่างของฉันหลังจากการฝึกซ้อมก็ไปนอนแช่ในห้องนอน=.=;

     “แล้วเธอละ”

     “เอ๊ะ”

      “งานอดิเรกของเธอชอบทำอะไรเหรอ” เขาถามกลับ แล้วฉันจะให้ฉันตอบยังไงฉันเป็นผู้หญิงนะ แต่เอาเถอะตอบออกไปนายนี่คงไม่คิดอะไรมั่ง

     “ฉันก็เหมือนกับนาย”

     “นั้นเหรอ” เขายิ้มด้วยละ โอ๊ย ตายแล้วคนที่เฉยชายิ้มเป็นด้วยเหรอนี่พึ่งรู้นะเนี่ย และยิ้มแบบเจ้าเล่ห์งั้นหมายความว่ายังไงย่ะ-*-

     “แต่เธอเป็นผู้หญิงนะ มีงานอดิเรกแบบนั้นเหรอ”

     “ถึงฉันจะเป็นผู้หญิง แต่ฉันก็ไม่ให้ใครมาขมขี่ฉันหรอกนะ”

     "เหรอ" เขายักคิ้วใส่ฉันละ โอ๊ยเริ่มจะหมดความอดทนแล้วนะ

     พรึ่บ!!!

  ฉันลุกขึ้นพรวกทันทีและจ้องเขม็งนายเคตะมือข้างลำตัวของฉันกำหมัดไว้แน่นจนเล็บขบและมือสั่น แต่คนข้างหน้าไม่ยักจะสะเทือนเลย

     "อ้าว คุยกันเสร็จแล้วเหรอ" โชคดีนะที่พ่อเข้ามาก่อนไม่งั้นได้รื้อทำห้องใหม่แน่

     "หนูซุรุ เป็นไรเหรอ ไม่สบายเหรอเปล่า" เพื่อนของพ่อถามฉัน

  ฉันหันไปทันทีและเพื่อนของพ่อฉันถึงกับสะดุ้ง และบอกไป(แบบไม่ตรงกับใจเล้ยยย)

     "เปล่าค่ะ สบายดี หนูขอตัวนะค่ะ" ฉันพูดเสร็จก็รีบออกมาทันที ไม่อยากอยู่นานกว่านี้ เพราะฉันอาจจะฆ่าใครก่อนก็ได้ แต่ต้องเป็นหทอนั่นเป็นอันดับแรก

     "พวกแก ไปเอาคนมาฝึกคาราเต้กับฉันเร็วๆเข้า" ฉันตะโกนใส่บอดี้การ์ดของฉันทันที ถึงพวกนั้นจะยังงงกับอาการของฉันแต่ก็ทำตามแต่โดยดี ลองดูสิใครชักช้านะแม่จะยิงหัวกระจุนเลยคอยดูสิ!!

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ปล. เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของไรเตอร์นะค่ะ ถ้าไม่สนุกหรือตกหล่นยังไงก็ขออภัยด้วยนะค่ะ แต่ยังไงก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมกอดของรีดเดอร์ทุกคนนะ มาเม้น มาโหวต มาคุยกันได้นะค่ะ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา