The Silver Mask

9.8

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 04.04 น.

  10 บท
  0 วิจารณ์
  13.81K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) ลำดับที่ 4

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

เจ้าหญิงไดอาน่าฟังเกี่ยวกับคนที่ขอพบด้วยความประหลาดใจ  ชายหนุ่มที่สวมผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาคล้ายชาวทะเลทราย  ซ้ำยังชูถุงที่ปักตราราชวงศ์และนามให้แก่ทหารยามเป็นเครื่องต่อรองว่าเขาเคยพบกับนางจริงๆ  ดูเหมือนว่าเรื่องราวมันเพิ่งเกิดไปเมื่อวานนี้เองสินะ?

เพราะเรื่องราววุ่นวายสั้นๆในช่วงมื้อค่ำของสตรีนักฆ่าทำให้เจ้าหญิงเผลอลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท  ด้วยความที่รีบร้อนกลับกลับเนื่องจากกังวลเกี่ยวกับความไม่พอพระทัยของทางองค์ราชินีในเรื่องอันตรายของแมดดิน่า  ทำให้นางมอบถุงเหรียญใบน้อยไปให้คนแปลกหน้าอย่างไม่ระวัง

ฟิลลิปป์ไม่ได้อยู่กับนางในตอนนี้  เขากำลังเรียนรู้การวาดเขียนจากจิตรกรหลวง  พร้อมด้วยองครักษ์ผู้หนึ่งนามว่าโคเรนซ์  ความรู้สึกแปลกๆในตอนที่สบตาเสี้ยววินาทีนั้น  อดสร้างความสะกิดใจให้นางไม่ได้  บางทีถ้าเขาเป็นซิลเวอร์จริงๆ  การปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันโดยไม่ต้องใส่ใจกับนาง  อาจเป็นการดีที่สุด

เจ้าหญิงครุ่นคิดเกี่ยวกับคนที่ขอเข้าพบเล็กน้อย  แม้จะคล้ายกับการรีดไถ  นางก็คงให้รางวัลเพิ่มตามที่เขาเรียกร้อง  อย่างน้อยชายผู้นั้นกำช่วยไม่ให้นางกับสหายคนสำคัญต้องบาดเจ็บ

นางกำนัลรับคำสั่งอย่างเรียบร้อยด้วยใบหน้าสวมหน้ากาก  เมื่อมองนานวันเข้า  ทุกคนก็เริ่มชินกับสีหน้าแข็งกระด้างโดยไม่ตั้งใจของฝ่ายตรงข้ามหรือคู่สนทนา  โดยมีไม่น้อยที่แอบถอดหน้ากากระหว่างวันเพื่อพูดคุยกัน  แค่สวมไว้ต่อหน้าอาคันตุกะของเจ้าหญิงก็เพียงพอแล้ว  พวกนางทราบว่าเป็นเช่นนั้น  แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด

ไม่ช้า ชายผู้สวมผ้าคลุมปิดหน้าปิดกายมิดชิดก็ก้าวเข้ามา  มีเพียงดวงตาของเขาที่เผยให้เห็นอย่างชัดเจน  มันเป็นดวงตาสีเทาดุจคมดาบอันแวววาว  หากแต่ไร้ซึ่งความกระหายเลือดเสมือนกับดวงตาของนักฆ่าหรือผู้มุ่งร้ายต่อสาวน้อยในชุดสีหวาน

ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนเองกำลังถูกอ่านการกระทำอย่างเงียบๆ  จึงได้ตัดสินใจหลบสายตาโดยการโค้งกายทำความเคารพ  ท่าทีของเขาไม่อาจบอกจุดประสงค์ใด  แต่ที่แน่นอนคือมันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินรางวัลอย่างที่เจ้าหญิงคาดไว้  โดยปกติคนส่วนใหญ่มักจะอวดโอ้ในเรื่องการช่วยเชื้อพระวงศ์ไว้หรืออะไรทำนองนั้น

“ก่อนอื่น ข้าพระองค์ต้องขอกล่าวว่าสิ่งที่ข้าพระองค์ต้องการนั้นไม่ใช่เงินตราหรือทรัพย์สินล้ำค่าใด”  ดูเหมือนผู้มีพระคุณของนางจะอ่านความคิดของสาวน้อยตรงหน้าได้  นั่นทำให้นางรู้สึกละอายอยู่บ้าง  แต่เพราะนางไม่ได้บาดเจ็บหรือทำสิ่งของตกหล่นไว้  การที่เขาจะเข้ามาถามไถ่อาการหรือคืนสิ่งของนั้นๆให้จึงเป็นไปไม่ได้เลย

เขาเริ่มกล่าวต่อไปเพื่อไม่ให้ความลำบากใจของสตรีตรงหน้าต้องมีนานไปกว่านี้  “ข้ามาที่นี่เพื่อขอเป็นองครักษ์ของท่านเพียงเท่านั้น”

สีหน้าของไดอาน่าอันกระอักกระอ่วน  เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความนึกไม่ถึง  แม้ว่าเขาจะปกป้องนางจากหญิงวิกลจริตไว้ก็จริง  แต่ใช่ว่าจะต้องคอยพิทักษ์นางทุกฝีก้าวถึงเพียงนั้นหรอก  เพราะการออกไปในครั้งนั้นก็เป็นการหลบผู้คุ้มครองเหล่านั้นเช่นเดียวกัน

“ความจริงข้าพระองค์เคยได้รับการช่วยเหลือจากองค์ราชามาก่อนพะยะค่ะ  จึงอยากตอบแทนพระองค์โดยการปกป้องฝ่าบาทจากบรรดาผู้ไม่หวังดี  อีกทั้ง...”  เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับนาง  “...หากประสงค์จะกระทำการลับเช่นนั้นอีก  ฝ่าบาทสามารถเรียกใช้ข้าพระองค์ได้เสมอ  เพราะข้าพระองค์ต่างจากกลุ่มคนเหล่านั้น”

ไดอาน่าเผลอยิ้มออกมากับคำกล่าวเหล่านั้น  มีอย่างที่ไหนกัน เจ้าหญิงแอบออกไปเที่ยวเล่นภายนอกกำแพงปราสาท  ทั้งยังหลบหลีกจากองครักษ์อันมากฝีมือของตน  แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าชายแปลกหน้ามาขอให้นางรับเขาเป็นหนึ่งในกององครักษ์ประจำตัว

ด้วยเหตุการณ์ของแมดดิน่า  กอปรกับช่วงนี้สถานการณ์ดูจะไม่ค่อยปกตินัก  นางคิดว่าการระวังความปลอดภัยไม่น่าจะใช่สิ่งเสียหาย  หากแต่....การจะกระทำในตำแหน่งอันเข้มงวดนี้  จำเป็นจะต้องผ่านการทดสอบฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์เสียก่อน  โดยเฉพาะหากเป็นต่อหน้าองค์ราชาด้วยจะดีมากยิ่งขึ้น

เจ้าหญิงไดอาน่ายกน้ำชาขึ้นจิบ  กลิ่นหอมอ่อนๆยังคงปรากฏขึ้นมาอย่างเช่นเคย  “ความจริงเจ้าควรต้องการคุ้มครององค์ราชามากกว่าไม่ใช่หรือ?  ในเมื่อข้าไม่เคยช่วยอะไรเจ้าเลยแม้แต่น้อย”

“การคุ้มครองพระองค์จำเป็นจะต้องเผยใบหน้าอันแท้จริง”  ชายหนุ่มอธิบาย  “แต่ข้าพบว่าในปราสาทแห่งนี้ทุกคนสามารถสวมหน้ากากปกปิดใบหน้าอันแท้จริงได้  และข้าไม่อยากให้ใครพบใบหน้าอันน่ารังเกียจของข้า”

เป็นอีกครั้งที่เจ้าหญิงหัวเราะขึ้นมาเบาๆ  ใบหน้าอัปลักษณ์งั้นรึ?  คล้ายข้ออ้างของนางในครั้งนั้นไม่มีผิด  แต่การที่ให้คนที่ไม่รู้จักใบหน้ามาเป็นองครักษ์  น่ากลัวว่าแม้แต่นางที่ไม่ค่อยสนใจกฎระเบียบต่างๆ  ยังรู้สึกไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไหร่นัก  เว้นแต่ว่า...เขาจะสามารถเผยใบหน้าอันแท้จริงให้ดูสักครั้ง  แค่ครั้งเดียวก็เพียงพอ

“หากฝ่าบาทไม่รังเกียจในหน้าของข้าพระองค์”  เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก  แล้วปลดผ้าคลุมสีดำสนิทที่ครอบศีรษะลงมาทั้งหมด

เส้นผมของเขาเป็นสีดำสนิทเงางามและปลายม้วนประดุจรูปปั้นของเทพกรีกผู้สง่างาม  ดวงตาสีน้ำตาลของเขาเต็มไปด้วยความสงบเสมือนเข้าใจต่อเสียงอุทานเบาๆของเจ้าหญิงและผู้ที่การรับใช้ในบริเวณนั้น  หากใบหน้าแถบหนึ่งของเขาไม่เป็นแผลน่ากลัวคล้ายถูกไฟร้อนเผาผลาญจนเห็นเด่นชัด  บุรุษตรงหน้าของนางนี้คงจะมีใบหน้าอันหล่อเหลาไม่แพ้ผู้ใดเลยทีเดียว

เขาสวมผ้าคลุมปิดลงมาอีกครั้ง  ท่ามกลางสายตาเห็นใจของผู้ที่จ้องมองเมื่อครู่  พร้อมทั้งเอ่ยว่าตนพร้อมจะรับบททดสอบจากเจ้าหญิงเสมอ  ใบหน้าของนางค่อนข้างเศร้าในสิ่งที่ชายหนุ่มพบเจอมาในอดีต  อดถามขึ้นเกี่ยวกับรอยแผลนั้นไม่ได้

ดูเหมือนว่าบุรุษผู้มีแผลน่ากลัวจะเคยอยู่ในสถานที่อันโหดเหี้ยมแห่งหนึ่ง  แม้จะออกมาด้วยความแข็งแกร่ง มีฝีมือในการต่อสู้ติดกายที่ซึมซับจากประสบการณ์อันโหดร้ายนั้น  ใบหน้าของเขาก็เสียหายไปแถบหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้

เจ้าหญิงไดอาน่าอุทานอีกครั้ง  “หรือว่าสถานที่นั้นจะเป็นค่ายเชลยแห่งบริลดิช?”

นางรู้จักเกี่ยวกับความโหดร้ายในสถานที่นั้นจากปากคำบอกเล่าของพระราชินี  มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ท่านพ่อของนางเคยเข้าไปพัวพันเพื่อปลดปล่อยคนภายในค่ายนั้นออกมา  มันตั้งอยู่ในส่วนหนึ่งของป่าบริลดิชใกล้กับอาณาจักรโลนอนซิลแห่งนี้  ดูเหมือนคนที่ถูกจับตัวไปที่นั่นจะถูกทารุณให้เชื่อฟังคำสั่งของผู้นำในนั้น  โดยมีเป้าหมายเพื่อปกครองอาณาบริเวณนั้น

ชาวโลนอนซิลจำนวนมากที่ถูกจับไปอย่างไม่เป็นธรรม  สิ่งนั้นจึงเสมือนการประกาศสงครามขนาดย่อม

ชายตรงหน้าเจ้าหญิงกล่าวอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความยึดมั่นในใจ  แม้เขาจะไม่ใช่ชาวโลนอนซิลก็ตาม  แต่ก็เป็นหนึ่งในทาสที่ได้รับการปลดปล่อยด้วยอำนาจแห่งองค์ราชา  เขาจึงอยากสวามิภักดิ์ต่อพระองค์อย่างถึงที่สุด

ถึงคำพูดนั้นจะเต็มเปี่ยมด้วยความเคารพ  แต่ก็ใช่ว่าจะได้สิทธิ์พิเศษใด   เจ้าหญิงคิดว่าเขาคงอยากจะแสดงฝีมือต่อหน้าองค์ราชาผู้มีพระคุณ  แต่น่าเสียดายที่พระองค์ผู้มาเยือนคนสำคัญหลายคนซึ่งต้องต้อนรับด้วยตนเอง  หากเป็นราชินีที่สามารถบอกกล่าวเรื่องต่างๆกับพระองค์ได้ทุกเมื่อ  อาจจะไม่ต่างกันนักก็เป็นได้

“แล้วข้าจะเรียกตัวเจ้าเข้ามาอีกครั้ง  จงเตรียมตัวให้พร้อมทุกเมื่อ  เพราะความจริงแล้วองค์ราชินีก็มิได้อ่อนต่อกฎเกณฑ์ข้อบังคับเท่าไหร่นัก  แม้จะน้อยกว่าองค์ราชาก็ตาม”

เจ้าหญิงมองเขาโค้งตัวลงอีกครั้งก่อนจากไป  ถึงเขาจะตอบข้อสงสัยต่างๆได้อย่างราบรื่น  แต่เหล่านั้นเป็นคำพูดไร้หลักฐานทั้งสิ้น

นางหันไปทางหนึ่งในองครักษ์ซึ่งประจำตำแหน่งในบริเวณนั้น  “สืบค้นเกี่ยวกับคนที่ถูกปลดปล่อยจากค่ายบริลดิช  และหากข้าเข้าใจไม่ผิด  ดูเหมือนว่าเขาน่าจะเป็นชาวโอเทล์ม  ศัตรูคู่แค้นของอาณาจักรโลนอนซิลแห่งนี้”

 

ผู้แอบอ้างฐานะและนามของโคเรนซ์กำลังจ้องมองตามปลายพู่กันที่ตวัดอย่างช้าๆของจิตรกรหนุ่ม  โดยภาพนั้นเกี่ยวกับปราสาทบนภูเขาแห่งหนึ่งท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำ  สีโทนมืดดำให้ความรู้สึกไม่ธรรมดา  พร้อมด้วยพระจันทร์อันถูกเมฆครึ้มบดบังบางส่วน  ประดุจจะบดบังแสงสว่างในค่ำคืนนั้นเสียสิ้น

จิตรกรหลวงสอนถึงความพลิ้วไหวของรูปที่มากขึ้น  แต่โดยรวมแล้วภาพนี้สื่ออารมณ์ออกมาอย่างชัดเจน  คนที่มองย่อมสัมผัสถึงความน่าเกรงขามบางอย่างได้

ซิลเวอร์เพิ่งรับรู้ว่าตนไม่เคยมองระหว่างที่คนรักกำลังวาดรูปอย่างใกล้ชิดมาก่อน  ทั้งสีหน้าอันแสนสงบและความผ่อนคลายบางอย่างได้แผ่ซ่านออกมา  เป็นอีกมุมมองทีเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน  เพราะฟิลลิปป์ผู้อยู่ท่ามกลางแสงจันทร์นั้นเปี่ยมด้วยความงดงามและมีชีวิตชีวาต่อสิ่งทั้งหลายที่เขาบรรจงมอบให้

เขาไม่ชอบความรู้สึกนี้งั้นหรือ...?  ไม่ใช่เช่นนั้นเลย  แม้จะแตกต่างจากผู้ที่เขาเคยใกล้ชิดท่ามกลางความมืดมิด  แต่บรรยากาศเหล่านี้ให้ความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน เปี่ยมด้วยความลึกซึ้งต่อสิ่งที่กระทำ  มันมากมายเสียจนอยากจะเข้าไปโอบกอดด้วยอ้อมแขนคู่นี้  ให้ผู้วาดภาพนึกแห่งจินตนาการได้เอนอิงท่ามกลางสายลมโชยชายเช่นนี้

อีกนิดเดียวเท่านั้น...กุหลาบแสนงามเอ๋ย  อิสระของเจ้าที่สามารถโบยบินพร้อมกับคนรักซึ่งไร้หน้ากากปิดบังใด  เขาเองก็ปรารถนาจะจับมือเคียงข้างกับเจ้าเช่นเดียวกัน  ปรารถนาอันมากล้นยิ่งกว่าสิ่งใด

ฟิลลิปป์กล่าวขอบคุณต่อผู้ให้การฝึกสอนอย่างจริงใจ  โดยไม่ได้คิดว่าตนเองนั้นเป็นสหายโปรดของเจ้าหญิง

โคเรนซ์ตัวปลอมก้าวเข้าไปใกล้เมื่ออยู่กันเพียงลำพัง  ก่อนจะตอบคำถามเกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อภาพวาด  เป็นคำตอบที่น่าพึงพอใจมากเลยทีเดียว  หากแต่จิตรกรหนุ่มคล้ายจะไม่ต้องการสิ่งนั้น  เขาถามเกี่ยวกับความรู้สึกจริงๆที่ไม่ใช่การชื่นชมเลอเลิศใด

ซิลเวอร์หลบตาขณะที่กล่าวออกมา  “ข้าคิดว่าภาพนี้ค่อนข้างมืดทึบทีเดียว  แต่ก็งดงามมาก  ถึงอย่างนั้นข้าไม่คิดว่าท่านจะชื่นชอบในการวาดภาพที่สื่อถึงความลึกลับเช่นนี้”

“ข้าชื่นชอบการวาดภาพ  หากเป็นภาพที่ข้าพึงพอใจ  ข้าก็อยากจะวาดมันออกมา”  ฟิลลิปป์สบตากับเขาพร้อมรอยยิ้มบางๆ  “แต่เจ้าพูดถูก  นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้วาดภาพในโทนสีนี้”

นัยน์ตาสีมรกตนั้นสะท้อนกับแสงอาทิตย์  “แล้วไฉนท่านจึงต้องวาดมันออกมา?”

ไม่มีคำตอบจากผู้ถูกถาม  แต่ฝ่ายที่เอ่ยขึ้นยังคงกล่าวต่อไป  “ข้ารู้สึกเหมือนท่านพยามทำทุกอย่างให้แตกต่าง  สะท้อนความผิดแปลกออกมา  อีกด้านที่ทุกคนไม่รู้จัก  แม้แต่ท่านเองก็เช่นกัน  ทำไมหรือ...?”

ความเงียบงันปกคลุมทั่วสถานที่นั้นอยู่นานจนตัวซิลเวอร์รู้สึกว่าตนกล่าวออกมามากเกินไป  แต่นั่นคือความคิดของเขาจริงๆ  ภาพอันมืดครึ้มไร้แสงสี  ดวงจันทร์อันถูกบดบัง  สายฝนและพายุอันโหมกระหน่ำ  เหมือนจะแตกต่างจากภาพวาดก่อนหน้านี้อย่างบอกไม่ถูก

จิตรกรหนุ่มจับพู่กันขึ้นมาอีกครั้ง  คราวนี้ปราสาทอันมืดทึบจึงส่องสว่าง  แทนที่จะเป็นความเงียบงันใต้พายุบ้าคลั่ง  กลับเสมือนมีงานเลี้ยงอันอบอุ่นรื่นเริงอยู่ท่ามกลางสายฝนแทน

“ข้ามีคนรักอยู่คนหนึ่ง”  ฟิลลิปป์กล่าวระหว่างแก้ไขผลงาน  “ข้าคิดว่าถ้าเขาได้เห็นภาพเมื่อครู่  เขาจะพูดว่าอย่างไรบ้าง  แต่ในท้ายที่สุด...ข้ากลับไม่อยากให้ปราสาทนั้นต้องเงียบสงัดไร้แสงสี  หากเป็นเขาจะต้องพูดออกมาแบบเดียวกับเจ้าแน่  เพราะเขาเป็นคนที่อบอุ่นอ่อนโยน  และข้ารักเขาในแบบที่เป็นยิ่งกว่าใคร  เหตุผลสำคัญที่ข้าไม่เคยทำให้ภาพมีแต่ความมืดมนหลังจากเขา...ก็เพราะข้าเห็น...ความหม่นหมองอย่างประหลาดในแววตานั้น”

ฟิลลิปป์ไม่ได้โกหกหรือแต่งนิทานไร้สาระขึ้นมาหลอกใคร  แม้จะฉาบทาไว้ด้วยความน่าหลงใหล  ความอบอุ่น  แต่ในคืนแรกที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน  เบื้องหลังความน่าตื่นตาตื่นใจต่างๆ  เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่เสมือนกับว่าเป็นผู้สร้างแสงสว่างสำหรับชายผู้นั้น  เป็นคนสำคัญที่สุด

ในคืนต่อมาและต่อมา เด็กหนุ่มจึงไม่ปฏิเสธในการออกไปตามคำชักชวนของอัศวินผู้สวมหน้ากากสีเงิน  จนกระทั่งความรู้สึกอันหนาวเหน็บนั่นจางหายไปเรื่อยๆ...

ซิลเวอร์ก้มหน้าลงปิดบังสีหน้าและความรู้สึกที่สะท้อนผ่านทางดวงตาคู่นั้น  พลางเล่าเรื่องราวของใครบางคนออกมา  ใครบางคนที่ต้องปกป้องสิ่งหนึ่ง  ซึ่งถูกผูกมัดไว้ด้วยเงื่อนไขไร้อิสระ  จนกระทั่งพบพานกับคนที่เขาต้องการจะปกป้องจริงๆ  คนที่ไม่ได้เลอเลิศกว่าใคร  แต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเขา  เป็นหัวใจ เป็นความรู้สึก เป็นผู้ปลอบประโลมให้หน้าที่อันหนักอึ้งนั้นหยุดลง

ผู้ฟังวางมือจากงานที่แก้ไขเสร็จ  พลางย้อนถามถึงชายในเรื่องเล่านั้น  หากทุกอย่างยุติลงแล้ว  แล้วเขาจะมองผู้สร้างแสงสว่างคนนั้นว่าอย่างไร  ในเมื่อสิ่งนั้นมันไม่จำเป็นอีกต่อไป  รวมทั้ง...เขาแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขาพบคือแสงสว่างอย่างแท้จริง  หาใช่เพียงตะเกียงอันเล็กๆท่ามกลางความมืดมน

ท่ามกลางความมืด  แม้เพียงดวงไฟเล็กๆอันไร้ค่า  ผู้คนก็อยากจะไล่ตามไปทั้งนั้น

คราวนี้ซิลเวอร์เงยหน้าขึ้นมาอย่างมาดมั่น  แม้ชายในเรื่องเล่านั้นจะไม่รู้อะไรสักอย่าง  ไม่รู้ว่าดวงไฟนั้นเป็นสิ่งใด  นำทางไปยังที่แห่งไหน  แต่ท่ามกลางความมมืดมิดอันหนาวเหน็บ  แค่แสงสว่างอันอบอุ่นนั้นก็เพียงพอ  เขาต้องการแค่เท่านั้นเอง

ความเงียบงันปกคลุมอาณาบริเวณอีกครั้ง  พร้อมกับรอยยิ้มของฟิลลิปป์  “ข้าเล่าเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับคนรักมามากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมา  นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เป็นฝ่ายฟังบ้าง  มันช่างอบอุ่นเหลือเกิน”

“หากไม่มีคนคนนั้น  ชายในเรื่องเล่าก็ไม่มีทางสัมผัสความรู้สึกนี้ได้เช่นกัน”  อัศวินสีเงินสบตากับคนรักอย่างอ่อนโยน  ก่อนจะรีบปรับให้เสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  

เขาเริ่มรู้สึกหวงแหนต่อช่วงเวลาในยามทิวานี้  หวงแหนต่อการพูดคุยที่อาจจะไม่ได้ฟังในฐานะของชายสวมหน้ากากยามราตรี  แต่ในตอนที่หน้ากากเหลือบเงินอันนี้ถูกสวมไว้กลางแสงแดด  มันก็เผยสิ่งต่างๆออกมาอย่างน่าประหลาดใจ

แววตาของฟิลลิปป์หลุบลงต่ำเสมือนอยู่ในห้วงคำนึง  ก่อนจะหันไปมองตามเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา  ผู้มาเยือนถือสาห์นสารเชิญไว้ในมือสองใบ  นางสบตากับองครักษ์ข้างกายเขาเพียงเสี้ยววินาที  ก่อนจะยื่นของในมือให้พร้อมรอยยิ้ม

ดูจากลักษณภายนอกแล้วค่อนข้างโดดเด่นหรูหรา  เจือด้วยกลิ่นหอมแบบสุภาพ  ไม่เชิงรื่นเริงเหมือนครั้งงานเลี้ยงสวมหน้ากาก  ทั้งยังปะปนด้วยพิธีการ  เนื่องจากนี่คืองานเลี้ยงสำหรับเฉลิมฉลองพระชนมายุครบห้าสิบห้าพรรษาของราชินีอะเล็ตก้าแห่งคอนชายส์

ไดอาน่าชี้แจงว่าท่านพ่อของนางต้องการให้เขาได้สัมผัสกับวงสังคมของชนชั้นสูง  เนื่องจากมีเวลาเตรียมตัวอีกสองสามวัน  เรื่องการตระเตรียมเกี่ยวกับชุดหรือการวางตัวระเบียบพิธีต่างๆจึงไม่น่าเป็นห่วงเลย

โคเรนซ์ลอบมองอย่างเงียบๆ  หยั่งดูท่าทีของเจ้าหญิงว่ามีจุดประสงค์อื่นใดหรือไม่  เขาไม่ได้คิดว่าองค์ราชาจะหาทางกลั่นแกล้งอะไรในตัวคนรักของเขาอีก  ทว่า มันมีความจำเป็นในจุดไหนที่ต้องพาฟิลลิปป์ไปในที่นั้น  ในเมื่ออุปนิสัยในการออกงานสังคมก็ไม่อยู่ในความคิดของเด็กหนุ่มเป็นแน่

จริงดังที่องครักษ์จำแลงคาดไว้  แม้ตัวเขาจะไม่เผยท่าทีใดนัก  แต่ก็ยังส่อถึงความลำบากใจที่ปะปนออกมาเจือจาง  จนเจ้าหญิงต้องแสดงสีหน้าดังกล่าวออกมาอย่างชัดเจนเอง  “การที่เจ้าจะเป็นคนรักของเจ้าชายในภายภาคหน้า  ไม่ช้าก็เร็ว สักวันเจ้าจะได้ออกงานเคียงคู่กับเขาเพื่อเข้าสู่สิ่งเหล่านี้อีกมากมาย  ฝึกฝนให้ชินไว้ก่อนก็ไม่สาย  แน่นอนว่าเจ้ามีสิทธิปฏิเสธอย่างเต็มที่”  นางกล่าวในตอนท้ายอย่างเห็นใจ  เนื่องจากตนเองก็ไม่ค่อยนิยมออกงานต่างดินแดนนัก

ซิลเวอร์เกือบจะเอ่ยปากปกป้องด้วยการอ้างนิสัยการไม่ชอบเข้าร่วมงานสังคมของตน  แต่คำพูดขององค์ราชินีเตือนใจขึ้นมาได้เสียก่อน  พระนางไม่คิดว่าการที่เขากางแขนปกป้องคนรักมากจนเกินไปจะเป็นสิ่งดี  อีกทั้ง ด้วยเหตุผลของไดอาน่า  สีหน้าของฟิลลิปป์แสดงความเข้าใจขึ้นมา  บางทีเขาควรจะปล่อยให้คนรักได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

คำตอบรับของเด็กหนุ่มสร้างความประหลาดใจแก่เจ้าชายผู้ปิดบังตัวตนเป็นอย่างยิ่ง

ไดอาน่าต้องเตรียมตัวแต่งองค์ทรงเครื่องอีกหลายอย่าง  นางจึงไม่อาจเสียเวลาสนทนากับเขานานไปกว่านี้  และช่างเสื้อของเด็กหนุ่มจะตามมาในอีกไม่ช้า

ก่อนที่โคเรนซ์จะถามสิ่งใด  ฟิลลิปป์นั่งลงอย่างเก้าอี้หินอ่อนสีขาว  หลังจากยืนต้อนรับการมาของเจ้าหญิงไดอาน่าซึ่งมีศักดิ์สูงกว่า  พลางเก็บอุปกรณ์สีต่างๆและกล่าวด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลปนยินดีแกมเศร้า

“การที่นางถือสารเชิญมาด้วยตนเอง  ย่อมแปลว่านางกังวลกับความรู้สึกของข้ามากทีเดียว  ตัวข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร  อีกทั้ง...อาจเป็นความเพ้อของข้าเองก็ได้  แต่การใฝ่ฝันว่าได้เดินเคียงข้างกับเขานั้นเป็นสิ่งที่เหมือนความปราถนาทีเดียว  ข้าช่างโลภเหลือเกินในการคิดเช่นนี้  แต่อย่างน้อย...แม้ผลลัพย์ในท้ายที่สุดจะออกมาเป็นเช่นไร  ในวินาทีนี้เขายังเป็นคนรักของข้า  เป็นคนที่สองมือนี้ยังสามารถโอบกอด  เป็นคนที่สุ้มเสียงนี้ยังสามารถกล่าวคำรักได้เสมอ”

ซิลเวอร์กล่าวเสียงเบาดุจกระซิบกับตนเอง  “หากเป็นเช่นนั้น  คงไม่ใช่เจ้าคนเดียวที่กำลังเพ้อฝัน”

ในค่ำคืนของวันนั้นไม่ได้จบลงด้วยการพบปะกันในสวนเฉกเช่นเคย  แต่เป็นค่ำคืนแรกที่พวกเขาทั้งสองได้เข้าสู่ห้วงนิทราในอ้อมกอดของกันและกัน

 

หลังผ่านการเตรียมตัวและการเดินทางอันยาวนานสู่อาณาจักรคอนชายส์  ซึ่งมีระยะทางห่างไกลจากโลนอนซิลพอสมควร  ในที่สุดก็สามารถมาทันหมายกำหนดการในสารเชิญ  แม้สีหน้าของคนทั้งสองจะอิดโรยไปบ้าง  แต่ยังคงความสดชื่นไว้ได้เมื่อก้าวเข้าสู่งานเลี้ยง

การเข้าร่วมในครั้งนี้ต่างจากงานเลี้ยงสวมหน้ากากมาก  ทุกคนต่างใส่ชุดที่ดูฉูดฉาดน้อยลง เปี่ยมด้วยความงามสง่าและเป็นทางการ  จริงอยู่ที่การพบปะชนชั้นสูงอาจเป็นสิ่งที่ฟิลลิปป์ไม่ใคร่จะคุ้นชินนัก  ถึงกระนั้นเสื้อผ้าหลากสีสันยังคงน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้ที่เพิ่งสัมผัสวงสังคมนี้เป็นครั้งที่สอง

ข้างกายของเจ้าหญิงไดอาน่ามีองครักษ์สวมหน้ากากสีเงินวาวปิดครึ่งใบหน้าด้านซ้ายจากการส่งมาขององค์ราชินี  ส่วนสหายข้างกายของนางมีผู้คุ้มกันประจำตัวอยู่หนึ่งคน  แม้จะไม่ใช่งานเลี้ยงสวมหน้ากาก  ซิลเวอร์ก็ยังคงสวมมันเพื่อปิดบังตัวตน  ตามที่คนรักเคยขอร้องเอาไว้ก่อนหน้านี้

นอกจากเครื่องแต่งกาย  แขกในงานนี้ต่างดำรงตำแหน่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้าหญิงไดอาน่า  หลายส่วนจึงให้ความรู้สึกเคร่งเครียดกดดันเกี่ยวกับปัญหาระหว่างอาณาจักร  สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาอันละเอียดอ่อน  ซิลเวอร์จึงเตือนคนรักด้านการเข้าไปพัวพันหรือถูกดึงเข้าไปในวงสนทนาสิ่งนั้น  อาจเป็นเรื่องน่าหัวเราะสำหรับพวกเขาทั้งสอง  ตรงที่การรับฟังเงียบๆในวงซุบซิบกลับเป็นสิ่งที่ดูจะปลอดภัยที่สุด  ตราบใดที่ผู้พูดถึงยังไม่รู้ตัวและรู้สึกเป็นอริ

พวกเขาทั้งสี่เป็นฝ่ายเดินเข้าหาราชินีแห่งคอนชายส์  การทักทายกึ่งอวยพรเจ้าของงานนับเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง  อีกทั้ง พระนางยังรู้จักสนิทสนมกับเจ้าหญิงเจ้าชายแห่งโลนอนซิลตั้งแต่ยังเล็ก  จึงให้ความเอ็นดูแก่คนทั้งสองมากพอสมควร

ราชินีอะเล็ตก้าทรงเสียงอุทานออกมาเบาๆ  เมื่อได้ฟังการแนะนำฐานะของฟิลลิปป์  เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดของซิลเวอร์นัก  การแนะนำเช่นนี้ไม่ถือเป็นเรื่องน่าอับอายหรอกรึ?

พระนางหันดวงตาอันประกายความสุขุมนั้นไปทางบุรุษใต้หน้ากากสีเงิน  พลางส่งสายตาเป็นกังวล  “จริงอยู่ที่สิ่งเหล่านี้ธรรมดาเหลือเกินสำหรับชนชั้นสูงอย่างเรา  แต่เจ้าแน่ใจแล้วรึ?  เพราะคนที่เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้มีน้อยนัก  ส่วนใหญ่ล้วนแต่มีอายุและน่าเกรงขามเกินกว่าจะวิจารณ์ออกมาเปิดเผย”

สตรีสูงศักดิ์ซึ่งมีอายุมากแต่ยังคงความสาวไว้เกินความเป็นจริง  สบตาสีเขียวมรกตอันแน่วแน่นั่นอย่างไม่ทราบจะกล่าวอย่างไร  นางไม่ได้รังเกียจในความรักอันผิดแปลกนี้  แต่ใช่ว่าจะมีผู้ที่หวังดีพอในการไม่ใช้จุดนี้เพื่อหยามเหยียด  แม้จะเป็นที่ยอมรับอย่างไร  สิ่งที่สังคมกำหนดไว้ว่าควรจะเป็นเช่นนั้น  ก็ยังคงเป็นบรรทัดฐานอยู่วันยังค่ำ

บุรุษใต้หน้ากากไม่กล่าวสิ่งใด  นั่นทำให้พระนางอดชำเลืองตามสายตาของเขาไม่ได้  ดูเหมือนว่าใบหน้าอันซีดสลดของฟิลลิปป์จะปรากฏออกมาให้เจือจาง  โดยที่เจ้าตัวพยามปิดบังมันไว้สุดฤทธิ์ตามคำแนะนำของเจ้าหญิงไดอาน่า  นางกล่าวการสื่ออารมณ์ด้านลบอย่างชัดเจนไม่ก่อให้เกิดผลดีนัก  จิตใจของชนชั้นสูงส่วนใหญ่ไม่ได้ดีเลิศอย่างอาภรณ์ที่พวกเขาสวม  ประหนึ่งผิวหนังขาวนวลอันน่าหลงใหลที่ห่อหุ้มกาย  แต่ลึกเข้าไปคือหัวใจอันไม่น่าดูเลยสักนิด  หากแต่รังจะกดต่ำอีกฝ่ายลงไปอย่างไม่ใยดี

ราชินีอะเล็ตก้ามองเด็กหนุ่มด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง  หากเป็นเรื่องหน้าตาหรือรูปร่างอันบอบบางก็ดี  แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ประสาในเรื่องการเย้ายวนมายาแก่ชายหนุ่มข้างกายเลย  ทั้งที่เป็นเช่นนั้น ซิลเวอร์กลับไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับนางเพื่อยุติหัวข้อสนทนานี้  เห็นได้ชัดว่านี่อยู่นอกเหนือจากเรื่องกายภายนอก  และนั่นทำให้พระนางเองก็หยุดคำหวังดีนั่นลงเพื่อความสบายใจแก่ทุกฝ่าย

ซิลเวอร์มอบรอยยิ้มแด่คนรัก  อันเป็นรอยยิ้มอันเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่นเชิงปลอบโยน  ดวงตาสีม่วงของผู้ได้รับไหววูบ  ก่อนจะประกายการยอมรับในเรื่องนี้ออกมาอย่างเงียบๆ  นั่นทำให้บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง

ปฏิกิริยาเหล่านั้นถูกจับจ้องไว้โดยองค์ราชินี  ก่อนจะหันไปทางเจ้าหญิงไดอาน่า  พระนางปิดปากอมยิ้มกับผู้ที่อยู่ด้านหลังของนาง  “หน้ากากงั้นหรือ  เดิมทีข้าคิดว่างานเลี้ยงนี้ไม่เกี่ยวกับหน้ากากแท้ๆ  รึว่านั่นเป็นใครที่ไม่อาจเปิดเผยใบหน้าได้อีกหนึ่งคนกันเล่า”

สาวน้อยในชุดสีโปรดประจำกายหัวเราะขบขันเบาๆกับมุขตลกสั้นๆนั่น  พลางแนะนำถึงองครักษ์คนใหม่ของตนเองและปฏิเสธสาเหตุของการปิดบังใบหน้านั้นอย่างเหมาะสม  นางไม่คิดว่าการพูดถึงเรื่องนี้จนผู้ปิดบังต้องเปิดหน้ากากพิสูจน์ความจริงจะเป็นสิ่งที่ดี

ถัดจากราชินีแห่งคอนชายส์ ดูเหมือนว่าจะเป็นท่านเคานท์แห่งเคนเน็ท  ซึ่งมี ‘คนสนิท’ ติดสอยห้อยตามมาอีกหนึ่ง  เส้นผมและดวงตาของเขาสีดำสนิท  คมกล้าดุจอินทรีที่น่าเกรงขาม  แม้จะเป็นฝ่ายทำความเคารพต่อคนทั้งสองก่อน  รังสีความน่าเกรงขามยังมากล้นจนน่ากลัวเลยทีเดียว

คนสนิทของเขามีรอยยิ้มอันงดงามทีเดียว  ดูปลุกเร้าความสนใจแก่บุรุษผู้สนใจในความสวยงามของเพศเดียวกัน  อายุของเขาน่าจะห่างท่านเคานท์อยู่สิบห้าถึงยี่สิบปี  ถึงกระนั้นเจ้านายเบื้องหน้ายังคงความเยาว์ของร่างกายได้ดี  เป็นธรรมชาติของชนชั้นสูงที่มักจะไม่ปล่อยตัวให้เป็นดั่งกาลเวลา

“น่าสนใจทีเดียว  ไม่นึกว่าเจ้าชายแห่งโลนอนซิลจะสนใจในเรื่องเหล่านี้ด้วย”  ดวงตาของเขาจับจ้องไปทางคนรักของคู่สนทนาอย่างรวดเร็ว  คนสนิทคนนั้นดูจะสนใจในตัวเขาไม่น้อยเลยทีเดียว  เสมือนรู้ทันในฐานะนั้น  นั่นทำให้ฟิลลิปป์รู้สึกพูดอะไรไม่ออก

“ส่วนท่านนั้นเล่า  ยังคงมีคนสนิทสับเปลี่ยนไม่เว้นว่างเหมือนอย่างเคย”

คำพูดตอบกลับนิ่มๆนั่นสร้างเสียงหัวเราะจากท่านเคานท์ได้เป็นอย่างดี  “งั้นหรือ  เผอิญว่าข้าชื่นชอบสิ่งใหม่และก้าวใหม่  จะให้ย่ำอยู่กับที่กับคนเดิมๆ  เห็นทีว่าคงไม่ใช่จุดมุ่งหมาย  เหนือสิ่งอื่นใด  ข้าชอบการพูดคุยกับคนเร้าใจมากกว่าไร้เดียงสา”

ชายหนุ่มสง่างามหล่อเหลารู้ดีว่าการจี้จุดเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับฟิลลิปป์  อาจทำให้เจ้าชายปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้สามารถเป็นเดือดเป็นแค้นได้ในพริบตา  แต่ถึงกระนั้น การล่วงล้ำทางวาจาควรยุติลงแค่นี้  ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีความสัมพันธ์อันดี  การบาดหมางเพียงเพราะความหยอกยั่วกันสั้นๆคงไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนัก

ระหว่างการสนทนานี้  เขาไม่ได้หันไปทางเจ้าหญิงไดอาน่าเลยสักนิด  ใบหน้าของนางเองก็ใช่ว่าจะปราถนาในการสนทนากับเขาสักเท่าไหร่  สายตาเป็นกังวลเจือจางของนางเหลือบมองไปทางคนข้างกายของซิลเวอร์อยู่บ่อยครั้ง  การยั่วยุเจ้าชายแห่งโลนอนซิลนับว่าเป็นเรื่องไม่ร้ายแรงเท่าไหร่  แต่สำหรับเจ้าหญิง...ทุกคนรู้ดีว่าไม่ควรกระทำสักเท่าไหร่นัก  ในเมื่อนางเป็นบุตรสาวคนเดียวของราชาราชินีแห่งอาณาจักรนั้น

คล้อยหลังท่านเคานท์และคนสนิท  ดูเหมือนนางไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไหร่นัก  เนื่องจากชายคนนั้นเข้าใจว่าฟิลลิปป์เป็นเพียงคนสนิทข้างกายของซิลเวอร์  ไม่ใช่ในตำแหน่งของผู้ที่ยืนอยู่เคียงข้างอย่างคนรัก

“สงบใจไว้ก่อนพะยะค่ะ”  องครักษ์อัสเซลกล่าวอย่างสุขุม  “การที่เขาจะเข้าใจในเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งจำเป็นเลยสักนิด  พี่ชายของฝ่าบาทย่อมล่วงรู้ดี  ตัวฝ่าบาทเองก็เช่นกัน”

“ใช่ ข้ารู้”  สีหน้าของเจ้าหญิงคลายลง  “ข้าเพียงแต่ไม่ชอบสายตาตอนที่เขาจับจ้องมา  ข้าว่ามันน่ากลัวไม่น่าสนทนาอย่างบอกไม่ถูก  เจ้ารู้สึกหรือเปล่า?”

“ฝ่าบาททรงเยือกเย็นไว้เหมือนที่เตือนท่านฟิลลิปป์เถิดพะยะค่ะ”  เขากล่าวกระซิบ  “แม้จะไม่แสดงออกโดยตรง  ชายผู้นั้นก็ดูเหมือนจะเกรงฝ่าบาทอยู่พอสมควร”

“เพราะอำนาจหนุนหลังข้าน่ะสิ”  นางอดบ่นพึมพำไม่ได้

“แน่นอน  เพราะอำนาจที่หนุนหลังฝ่าบาทอยู่  มิเช่นนั้นเขาควรจะกลัวอะไรหรือพะยะค่ะ?”  เขาจับจ้องสายตาอันขุ่นเคืองของสาวน้อยผู้เป็นเจ้านายอย่างไม่หวั่นเกรง  ซึ่งไดอาน่าเริ่มยืดตัวตรงกว่าเดิม  มือทั้งสองของนางรวบเข้าหากันอย่างรวดเร็ว  สีหน้าอันเย็นชาดูห่างเหินจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง  เป็นสิ่งที่มั่นใจได้ว่าต้องสร้างความกดดันแก่คู่สนทนาได้มากทีเดียว

เสียงกระซิบของเจ้าหญิงกดต่ำ  “งั้นเจ้าเองก็ควรหวาดหวั่นต่อมันด้วยเช่นกัน”

“ถูกต้องแล้วฝ่าบาท”  อัสเซลยักยิ้มขึ้นเล็กน้อยกับท่าทีเหล่านั้น  “เพียงเท่านี้เขาก็ต้องเกรงกลัวต่อฝ่าบาทไม่ต่างจากอำนาจที่หนุนหลังอยู่เป็นแน่”

เจ้าหญิงถึงกับพูดไม่ออก  นอกจากคำว่าขอบคุณในความหวังดีที่หลอกล่อนางจนติดกับ  ด้วยน้ำเสียงอันกัดฟันกล่าวเจือความโมโหเป็นอย่างยิ่ง!

 

ฟิลลิปป์ค้นหาทางออกในปราสาทอันซับซ้อนนี้อยู่สักพักหนึ่งแล้ว  เนื่องจากเขาแยกออกมาทำธุระส่วนตัวเล็กน้อย  แต่ทางจะกลับก็ถูกลบลืมไปด้วยความสับสนเส้นทาง  ทั้งบริเวณนี้ยังเงียบสงัดไร้ผู้คนจนวังเวง  หวังว่าซิลเวอร์คงไม่รีบร้อนรายงานต่อองค์ราชินีว่าเขาถูกลักพาตัวไปแล้วหรอกนะ?

ท่ามกลางแสงไฟสลัวของคืนขึ้นสี่ค่ำ  ดูเหมือนจะมีห้องหนึ่งที่แสงไฟสว่างลอดผ่านประตูออกมา  อาจเป็นห้องครัวหรือห้องอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานเลี้ยง  แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีนางกำนัลเข้าออกวุ่นวายอย่างตอนที่เขาเคยพบในงานเลี้ยงสวมหน้ากากขององค์ราชาเลย

ถึงจะเป็นห้องอะไรก็ไม่สำคัญ  คนภายในย่อมรู้ทางกลับไปในงานอยู่แล้ว  ในตอนที่ฟิลลิปป์เตรียมเคาะถามทางด้วยความจนปัญญานั้น  ประตูได้ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของคนสองคนที่กำลังโอบกอดกันแนบชิด

ทาสหนุ่มคนนั้นผละออกอย่างตกใจ  พลางวิ่งสวนหนีไปอย่างรวดเร็ว  ทิ้งให้ฟิลลิปป์ยืนเผชิญสายตาอยู่กับองค์ราชินีอะเล็ตต้า!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา