The Silver Mask

9.8

เขียนโดย ปรัสรา

วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 04.04 น.

  10 บท
  0 วิจารณ์
  13.81K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

8) ลำดับที่ 9

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

เวลาอันสงบสุขมักผ่านไปรวดเร็วเสมอ  เมื่อสัญญาณใกล้ฤดูใหม่ได้ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ  ร่องรอยของฤดูใบไม้ผลิเริ่มจางหาย  คล้ายมีไอร้อนคอยขับสู่คิมหันตฤดูอยู่ร่ำไป  หากแต่ค่ำคืนนี้ยังคงมีลมพัดหนาวเย็นและเมฆหมอกบดบังพระจันทร์ของแรมสิบเอ็ดค่ำ  ถึงจะไม่ใช่ก็คล้ายกับคืนเดือนดับเหลือเกิน

“ข้าเอ็นดูเขาไม่ต่างจากใครจริงๆ”  ดวงตาของพระนางหลุบต่ำลง  คล้ายจะหลบจากคู่สนทนา  “เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเข้าใจเลย  ไม่มีคาดคิดว่าวันหนึ่งเจ้าจะปรากฏตัวขึ้น  จึงได้...”

ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง  ความมืดมิดภายในห้องหรือท้องฟ้าไม่ต่างกันเลย  อาจเพราะคนทั้งสองไม่ต้องการให้ใครสังเกตแสงไฟอันสะท้อนออกไปด้านนอก

มือของเด็กหนุ่มเดินหมากตัวต่อไปตามคำเชื้อเชิญของคู่เล่น  ซึ่งอาศัยเชิงเทียนเล็กๆก็เพียงพอต่อการดวลในครั้งนื้  “ข้าพระองค์ไม่ได้ต้องการให้เขาปรากฏตัวหรือเป็นที่รู้จักแต่ประการใด  ข้าพระองค์อยากให้เขาลบความเจ็บปวดภายในจิตใจได้เท่านั้น”

ตัวหมากของพระนางรุกไล่เขาอย่างต่อเนื่อง  ผิดกับในด้านวาจาลิบลับ  ในเมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้านี้ต้องการในสิ่งที่ใครต่อใครไม่เคยเอ่ยขอ  อาจเป็นเพราะไม่แน่ใจ ไม่หาญกล้า หรือแม้แต่ไม่คิดจะกระทำก็ตาม

น้ำเสียงอันอ่อนโยนคอยกล่าวให้เขารับรู้ว่าตนนั้นเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียว  หากว่าการเดิมพันนี้ล้มเหลวลงเมื่อไร  ย่อมไม่ต่างอะไรจากการจงใจทอดทิ้งเขาไว้แต่เพียงลำพัง...ตัวหมากตัดสินถูกยกค้างขึ้นในอากาศ  คล้ายจะรอคำตอบจากคู่สนทนา

เขาเก็บตัวหมากของตนออกมาแต่โดยดี  “แสงสว่างของคบเพลิงอันหนึ่ง  ไม่อาจสำคัญเท่าเตาผิงในบ้านอันอบอุ่น  หากข้าพระองค์ไม่สามารถทายคำตอบที่ถูกต้องได้  เพียงแต่อยากจะวอนขอให้ฝ่าบาทช่วยโอบอุ้มเขาด้วยความรักให้มากที่สุด  มากเท่าที่มารดาผู้หนึ่งจะมีต่อบุตรของตนได้  ฝ่าบาทมีมันอย่างเต็มเปี่ยม  เพียงแค่แสดงออกมาให้เขารับรู้บ้างก็เท่านั้น”

พระนางทอดพระเนตรตามหลังของผู้พ่ายแพ้ต่อเกมกระดาน  ในห้องอันมืดสลัวโดยมีเพียงเชิงเทียนเล็กๆที่แทบไม่ส่องถึงใบหน้าของคนทั้งคู่  หากจะมีสิ่งใดดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันนอกเหนือจากเสียงถอนหายใจอย่างแผ่วเบานี้...มันคงจะเป็นเสียงของการวางตัวหมากลงยังจุดที่ควรจะเป็น

 

แสงสว่างแห่งเช้าวันใหม่ได้มาเยือน วันนี้โคเรนซ์ยังคงเป็นคนมากล่าวอรุณสวัสดิ์กับเขาหลังการทำกิจวัตรประวันเฉกเช่นเคย  มันช่างเป็นเช้าอันสดใสโดยไร้ซึ่งความอบอ้าว  ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิย่อมยังคงเหลือสายลมอันพัดเย็น  แม้จะแทรกด้วยความร้อนจากแสงแดดอันเริ่มแผดกล้าขึ้นเรื่อยๆในแต่ละวัน

นอกจากจะเป็นคนกล่าวอรุณสวัสดิ์  นับวันโคเรนซ์จะยิ่งเพิ่มความสนิทสนมด้วยการสนทนากับเขาบ่อยครั้งขึ้น  เมื่อเจ้าหญิงไดอาน่าต้องเตรียมตัวสำหรับงานพิธีและด้านนอกคล้ายจะวุ่นวายอยู่มาก  แม้ว่าสถานที่จัดเลี้ยงจะอยู่ที่ปราสาทขององค์ราชา  แต่การทำพิธีจะจัดช่วงเช้าในปราสาทแห่งนี้

“เมื่อคืนนี้ดูเหมือนว่าท่านจะกลับมาไวกว่าปกติ”  เขาเอ่ยหยั่งเชิง  “ท่านบาดหมางกับเจ้าชายงั้นรึ?”

ฟิลลิปป์ไม่เคยบอกใครพบกับเขาวันไหนบ้าง  หากแต่เมื่อไรที่เขาก้าวออกจากห้อง  ทุกคนคงจะเข้าใจว่าคู่นัดพบในยามค่ำคืนย่อมต้องเป็นเจ้าชายไม่ผิดแน่  ซิลเวอร์ใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ในการไถ่ถาม  เนื่องจากเด็กหนุ่มกล่าวห้ามไม่ให้ตนรออยู่ที่สวนในปราสาทเฉกเช่นเคย  ทว่า คำกล่าวจากทหารยามหน้าห้องช่วงกลางคืนกลับบอกว่าอีกฝ่ายออกไปด้านนอกไม่ผิดแน่

ดูเหมือนว่าฟิลลิปป์จะไม่ตกอกตกใจต่อคำถามนั้นนัก  ทั้งยังกล่าวด้วยความขบขันว่าทหารยามเมื่อคืนนี้ก็ถามสิ่งเดียวกันนี้  ซึ่งมันคงเป็นเรื่องที่น่าแปลกทีเดียวสำหรับการล่วงรู้เร็วไวเช่นนี้  คงไม่ใช่ว่าสองคนนั้นแอบนำเรื่องของเขาไปเล่าขยายให้ใครต่อใครบ่อยนักหรอกนะ?

“ทุกคืนท่านมักจะกลับในช่วงดึกกว่านั้น  พวกเขาเลยอดสงสัยไม่ได้  แต่แน่นอนว่าข้ากำชับไม่ให้เล่าเรื่องนี้กับใครเป็นที่เรียบร้อย”  โคเรนซ์แก้ต่างให้ตนและคนทั้งสอง  ซึ่งเป็นคำกล่าวจบการพูดคุยในเรื่องนี้  เขาเมินหน้าออกไปทางหน้าต่างอันเปิดกว้างรับลมและแสงแดด  เอ่ยคำถามใหม่เกี่ยวการนัดพบกลางค่ำคืน  ซึ่งเป็นคืนก่อนการให้คำตอบในวินาทีสุดท้าย  อย่างน้อยพวกเขาก็ควรอยู่ด้วยกัน

“ใช่...เราควรอยู่ด้วยกัน”  นัยเนตรของฟิลลิปป์ฉายแววหม่นหมองขึ้นมาอย่างชัดเจน  พลางเอ่ยกล่าวว่าตนยังไม่สามารถถอดหน้ากากของอัศวินสีเงินได้เลย

บทสนทนายยุติลงอีกครั้งเมื่อนางกำนัลนำอาหารเข้ามาภายในห้องนี้  ดูเหมือนว่าซิลเวอร์จะจัดเตรียมสิ่งนี้ให้ตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อน  เนื่องจากเพื่อนร่วมรับประทานอาหารมักจะคลาดเวลากันอยู่บ่อยครั้ง  และเขาเข้าใจดีว่าการนั่งทานเงียบๆผู้เดียวในโต๊ะอาหารอันกว้างขวาง  มันช่างเงียบเหงามากถึงเพียงไหน

เจ้าของมื้ออาหารเชื้อเชิญให้สหายร่วมรับประทานด้วย  การรอคอยให้เขาจัดการกับจานสองสามใบตรงหน้าคงใช้เวลาไม่น้อย  การกินดื่มด้วยกันเพื่อสนทนาน่าจะเหมาะสมกว่า  ด้วยเหตุนี้ เขาจึงรับรู้ว่าโคเรนซ์จัดเตรียมมื้อเช้าด้วยตนเอง  การทำอาหารง่ายๆไม่เกินกำลังสำหรับเด็กหนุ่มผู้นี้นัก  และผู้ทานไม่ได้เกี่ยงงอนกับรสชาติธรรมดาไม่เลิศเลอ

“บางคืนหลังข้ากลับมาก็มีความรู้สึกหิวบ้าง...ข้าหมายหมายถึงกลับจากสังสรรค์กับสหายทั่วๆไป”  ผู้เล่าอ้อมแอ้ม  “แค่เพียงหลบไม่ให้ทหารตรวจตรารู้ก็พอ  เพราะคนครัวค่อนข้างหวงพื้นที่มาก  หากเข้าถึงหูนางคงต้องทนอาหารรสชาติจืดชืดไปสักสองสามมื้อ”

ฟิลลิปป์อมยิ้มกับเรื่องเล่าดังกล่าว  ตนพอจะจินตนาการถึงภาพนั้นได้ดีทีเดียว

 

หลังผ่านมื้ออาหารอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พวกเขาค้นพบว่าสวนในปราสาทเองก็ถูกแต่งเดิมไปมากแล้วเช่นกัน  มันเป็นภาพอันไม่คุ้นเคยสำหรับคนทั้งสอง  พวกเขาคิดว่าการอยู่ที่นี่คงไม่ให้ความเป็นส่วนตัวในการพูดคุยนัก  รวมทั้งการขวางทางเดินอันชุลมุนของเหล่านางกำนัลคงจะไม่ดีแน่  ดังนั้น แม้ว่าม้าจะไม่ใช่สีขาวออกเทาเงินตัวเดิม  มันก็ย่อมพาไปในที่ใดสักแห่งที่มีความเงียบสงบได้

หากเป็นซิลเวอร์เมื่อสามเดือนก่อน  การได้พาเจ้าหญิงรัตติกาลตัดผ่านฝูงชนคงเป็นสิ่งน่าตื่นเต้นเร้าใจ  ทว่า ในยามนี้พวกเขาต้องการความสงบมากกว่า  อาชาไนยอันไม่คุ้นเคยตัวนี้จึงถูกบังคับผ่านทางที่ไม่ค่อยมีใครใช้สัญจรนัก  แต่ก็ใช่ว่าจะดูเปล่าเปลี่ยวมากจนเกินไป

ฟิลลิปป์กอดเขาจากด้านหลังพร้อมเอนซบลงมา  แม้ว่าอาจจะเป็นเพราะต้องการหลบเลี่ยงสายลมที่ปะทะตามความว่องไวของพาหนะตามวิสัยอันคุ้นชินก็ตาม  สารถีใต้หน้ากากแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจ  อาจเป็นเพราะเขาไม่ต้องรู้สึกผิดต่อตนเองในยามวิกาลก็เป็นได้  ถึงอย่างไร อ้อมกอดนี้เป็นของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น  ไม่ว่าใครในค่ำคืนที่แล้วจะมานัดพบหกับกุหลาบงามของเขา  คนคนนั้นก็ไม่อาจได้อ้อมกอดอันอบอุ่นนี้ไป

ม้าสีขาวเทาตัวงามนำพาพวกเขาออกจากโลนอนซ์ในที่สุด  ชานเมืองที่มีทุ่งหญ้าเริ่มสลับกับบ้านเรือน  กลิ่นของธรรมชาติเริ่มปรากฏมากขึ้นต่างจากในเมืองหลวง  อีกทั้งต้นไม้สูงมากมายคอยบังแสงแดดแรงร้อนของพระอาทิตย์กลางท้องฟ้าได้เป็นอย่างดี

ซิลเวอร์คิดว่าคงถึงเวลาพักม้าเต็มที  หากแต่เส้นทางไร้ซึ่งความคุ้นเคยทำให้เขากังวลใจ  บางทีเขาอาจจะออกมาไกลเกินไป  แต่ร้านน้ำชาเล็กๆริมทางได้ปรากฏขึ้นเสียก่อน

เจ้าของร้านนั้นเป็นหญิงชราท่าทางใจดีและแข็งแรง  นางสนใจในอาชาสีน้ำตาลมากทีเดียว  ทั้งสีขนความเงางามหรือแม้แต่ท่าทางปราดเปรียวแข็งแรง  แม้ว่าแขกท่านหนึ่งจะสวมชุดชาวบ้านทั่วไป  โคเรนซ์ที่สวมชุดองครักษ์ก็เป็นที่จับตามองไม่น้อย  หญิงชราจึงอดไต่ถามเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ในการรับใช้ในปราสาทอันใหญ่โตไม่ได้  รวมทั้งสาเหตุของการสวมหน้ากากเต็มใบหน้าดูเย็นชานั้นด้วย

“ข้าเป็นเพียงทหารยามหน้าห้องเท่านั้น  ไม่สลักสำคัญเท่าใดนัก”  เขาจิบน้ำชากลิ่นหอมเพื่อขจัดความกระหายจากการเดินทาง  แม้จะไม่หอมหวานเท่าน้ำชาชั้นเลิศ  กลิ่นของมันก็เป็นเอกลักษณ์ไม่น้อยเลยทีเดียว  แน่นอนว่าเขาเอ่ยชมในเรื่องนี้เพื่อตัดปัญหาเรื่องการตอบคำถามเกี่ยวกับหน้ากากหรือสิ่งอื่นที่นางอาจจะสนใจ

เมื่อถูกตัดบทดังนั้น หญิงชราจึงหันไปทางเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนโยนเสมือนสตรีเพศแทน  ท่าทางของเขานุ่มนวลใจเย็น  น่าจะตอบคำถามของนางได้อย่างไม่กล้าบ่ายเบี่ยง  ลงท้ายก็อดเอ่ยหยอกต่อบุคคลที่สวมชุดเต็มยศ  แต่กลับนำหนุ่มน้อยเดินทางมาจนถึงที่แห่งนี้  น่ากลัวว่าคงเป็นการหลบอู้ในเวลางานเป็นแน่

“เขาเป็นสหายของข้าเอง  แล้วก็เป็นคนที่คอยอารักขาอยู่หน้าห้องด้วย”  ฟิลลิปป์กล่าวแก้ให้ผู้ที่พาตนหลบออกมาจากความวุ่นวายในปราสาท  พลางถามเกี่ยวกับสถานที่น่าสนใจในบริเวณนี้  ไม่แน่ว่าแถบนี้อาจมีจุดชมวิวสวยงามสักแห่งให้พวกเขาไปพูดคุยกันอย่างเพลินเพลินได้

หญิงชรามองออกไปตามทางอันแสนไกลอันว่างเปล่า  แล้วทอดถอนใจเชื่องช้า  “ที่แห่งนี้คือจุดชมวิวอย่างไรเล่า  จะมีอะไรดีไปกว่าการได้อยู่ท่ามกลางความสงบสุขอีกเล่า?  แม้ว่ามันจะไร้ซึ่งสิ่งใดนอกจากความสงบสุขที่ว่านั่นก็ตาม”

 

ในค่ำคืนสิบสองค่ำอันเงียบงัน  เสียงฝีเท้าได้ก้าวเป็นจังหวะแทนเสียงดนตรี  หากว่าเป็นเมื่อหลายเดือนก่อน  ฟิลลิปป์คงใฝ่ฝันถึงงานเลี้ยงเต้นรำอันแสนหรูหรา  สถานที่ซึ่งตนกับอัศวินไร้นามได้โลดแล่นอยู่กลางฟลอร์  ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนหวานอย่างเต็มเปี่ยม  หากแต่คำกล่าวของหญิงชราดังก้องมาอย่างเต็มเปี่ยม  เขาขยับกายเข้าไปใกล้คนรักจนคล้ายกับต้องการซบต่อความอบอุ่นของร่างนั้น  นั่นทำให้ซิลเวอร์ปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจขึ้น  เขาโอบกายนั้นเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม

สายลมพัดอาจจะหนาวเย็นอยู่บ้าง  ไม่เป็นไร...อ้อมกอดของอัศวินเพียงพอสำหรับสิ่งนี้แล้ว

“คืนพรุ่งนี้...วันตัดสิน”  ฟิลลิปป์เงยหน้าขึ้นเหม่อมองแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวบนท้องฟ้า  “พระจันทร์คงจะมีเสี้ยวมากขึ้น  หรือเพราะเหตุนั้น พระจันทร์จึงไม่อาจทนต่อพระอาทิตย์ที่สดใสอยู่ตลอดเวลา  ซึ่งได้แผดแสงแรงกล้ามากจนไม่อาจอยู่เคียงข้างหรือซ้อนทับในเวลากลางวัน”

“ทำไมพระจันทร์และตะวันจึงไม่อยู่ด้วยกัน”  ซิลเวอร์เอ่ยขึ้นเบาๆ  “มีคำตอบมากมายในโลกใบนี้  ทุกเหตุผลต่างมีน้ำหนักเท่ากัน  แต่สำหรับข้า  ข้าทั้งหลงรักทั้งรังเกียจต่อแสงแดด  ช่วยตอบข้ามาที...เพราะข้าใฝ่ฝันมากจนเกินตัวใช่หรือไม่  ข้าเพียงแต่ปรารถนาจะได้อยู่ข้างกายเจ้าแล้วออกเดินทางไปด้วยกันเท่านั้น  ไปตามที่ต่างๆอย่างใจเจ้าต้องการ  ส่วนข้า...เพียงแค่ก้าวออกจากสถานที่ซึ่งข้าไม่คู่ควรเลย  หรือแม้แต่การอยู่กับเจ้าก็เป็นสิ่งที่ข้าไม่อาจกระทำ...?”

เด็กหนุ่มหยุดทุกคำพูดด้วยริมฝีปากของตน  ดุจจะปลอบโยนต่อใจอันเปลี่ยวเหงาดวงนั้น  หรือนั่นอาจเป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้างกันหนอ  ผู้ที่ปรารถนาจะได้รับสิ่งเหล่านั้นคือตัวของเด็กหนุ่มเองไม่ใช่หรือ  แต่เขาจะพูดออกไปให้อีกฝ่ายยิ่งเสียใจไม่ได้  สิ่งที่เขาจะได้รับจากการวอนขอในวินาทีนี้คือการจุมพิตอันแสนหวาน  ให้ทุกสิ่งรอบกายหยุดลงเสมือนนาฬิกาอันค้างการไหลเวียน

วีนัสเอ๋ย...อย่าได้เมินหนีออกจากรักนี้อีกเลย  อัศวินสีเงินร่ำร้องอยู่ในใจด้วยความเจ็บปวด  เทพีผู้คงไว้ด้วยอำนาจแห่งรัก  ได้โปรดเสกมนตราให้กุหลาบงามที่เขาหลงใหลได้รับรู้ด้วยเถิด  ในเมื่อไม่ว่าอะไรเขาก็ได้กระทำอย่างเต็มที่  ทำไมคนคนนี้จึงไม่รับรู้เลยสักนิด  ความรู้สึกที่สื่อไปอย่างไม่มากพอรึอย่างไร  หรือท่านยังต้องการอะไรมากยิ่งกว่านี้งั้นหรือ

ฟิลลิปป์ละออกจากการจุมพิตนั้น  มันเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยเกินจะประมาณ  แววตานั้นสั่นไหวราวกับว่าหัวใจของคนตรงหน้าได้แตกสลาย  แต่ซิลเวอร์ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเปี่ยมเสน่หา  โดยไม่มีใครรู้ว่าความหวังนั้นมอบแด่คนรักแล้ว  ยังต้องการมอบให้ตนเองด้วยหรือไม่  “เรายังเหลือวันพรุ่งนี้...จริงไหม  แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ใช่อย่างที่เราต้องการ  ข้าจะต้องนำเจ้ากลับมาอยู่ในอ้อมกอดเฉกเช่นค่ำคืนนี้ให้จงได้  และเมื่อเป็นเช่นนั้น คืนนี้เราจะสร้างพิธีวิวาห์ที่ไม่จำเป็นต้องมีคนนอกได้ไหม  ให้มีเพียงเราเท่านั้น”

ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร...ช่างเป็นวาจาที่เรียกร้องแด่ความโลภของเขาเหลือเกิน  ฟิลลิปป์ยื่นมืออกไปอย่างเชื่องช้า  คำตอบรับที่ทำให้อัศวินสีเงินต้องรออยู่เนิ่นนานเลยทีเดียว  ทว่า...คำกล่าวแสนสั้นที่ไม่ได้มีอะไร  กลับทำให้หัวใจของเขาปีติยิ่งกว่าอะไรทั้งมวล

ในค่ำคืนนี้ไม่มีอะไรนอกจากพระจันทร์และคู่บ่าวสาว  คนทั้งสองไม่ได้สวมชุดอันสวยงามหรือมีเสียงเพลงบรรเลง  ไม่แม้แต่กลีบกหลาบอันคอยโปรยปรายเพื่ออวยพร  ไม่เป็นไร ขอเพียงแสงจันทรายังคงอวยพรประหนึ่งแสงอันรื่นเริงอย่างเช่นที่ผ่านมาก็เพียงพอแล้ว  หรือหากทุกสิ่งจะว่างเปล่าไป  ในตอนนี้พวกเขายังคงไว้ซึ่ง ‘ความสุข’ มิใช่หรือ  แม้ความสุขนั้นจะทาบลงบนความหม่นหมอง  เพราะไม่กล้าคาดหวังถึงคืนวันพรุ่งนี้เลยแม้เพียงน้อยนิด

พวกเขาได้พบพานกันในจันทรา  ย่อมได้ครองรรักในจันทรา  แสงอันเจิดจ้าคงจะไม่เหมาะนัก  คนที่ไขว่คว้าทะเยอทะยานมากจนเกินไปเพิ่งได้รับรู้ในข้อนี้เอง  ถึงอย่างนั้น...

“เราจะก้าวไปด้วยกัน”  อัศวินสีเงินจับมือกับเจ้าสาวในร่างบุรุษอย่างแนบแน่น  “ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ก็ตาม”

สวนวงกตอันกว้างขวางและซับซ้อน  เมื่อยามหลับตาลงควรจะชวนให้รู้สึกมากกว่าเดิม  ถึงกระนั้น เวลาที่ได้ก้าวเข้าสู่ใจกลางมันช่างแสนสั้น  เสมือนมีใครได้เพิ่มความเร็วของนาฬิกาทรายทุกเรือนบนโลกใบนี้  ทั้งที่อยากจะหยุดมันลงมากเพียงไร  พวกเขาก็ยังคงก้าวสู่เช้าวันใหม่มากขึ้นทุกวินาที

เดิมที ซิลเวอร์เคยยิ้มรับกับตะวันอันส่องแสงในยามเช้า  เพื่อที่เขาจะได้ตื่นขึ้นมาพบกับคนรักในปราสาทแห่งนี้เหมือนอย่างเคย  แม้ว่าจะมีคืนไหนไม่ได้พบกัน  วันพรุ่งนี้จะยังคงกล่าวทักทายกันอย่างสดชื่น  เพื่อสนทนาแทนในส่วนที่ขาดหายไป

แต่ในตอนนี้...ซิลเวอร์เกลียดแสงแดดและเช้าวันใหม่  รวมทั้งเกลียดค่ำคืนต่อไปอย่างที่สุด

 

แม้จะไม่ใช่คืนแรกในการนอนเคียงข้างกัน  แต่นี่คือคืนแรกสำหรับการอยู่ร่วมกัน  ไม่ว่ามันจะมีเพียงคืนนี้เท่านั้นหรือไม่ก็ตาม 

วงแหวนอันรังสรรค์ขึ้นอย่างลงตัวได้ประดับไว้ที่นิ้วของคนทั้งสอง  มันสร้างจากคริสตัลสีฟ้าใสไร้ซึ่งการสลักลวดลายใดๆ  หากแต่ล้อมรอบด้วยทองคำขาวถักไขว้กันเป็นเกราะคุ้มกันไม่ให้สิ่งภายในเปราะบางมากจนเกินไป  เมื่อกระทบกับแสงจันทร์  มันจึงเปล่งแสงออกมาได้ดุจเวทมนตร์

ฟิลลิปป์ซุกกายลงกับร่างของคู่ครอง  ถึงเขาหรือทุกคนจะรู้ผลลัพธ์ในคืนพรุ่งนี้ก็ตาม  เขายังคงยืนยันต่อการสวมสิ่งนี้ไว้ยังนิ้วนางข้างซ้าย  จากนี้ไป คู่ชีวิตของเขาจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น  ไม่ว่าผู้ใดจะก้าวกรายเข้ามาก็ไม่อาจทำให้เด็กหนุ่มหวั่นไหวได้อีกต่อไป

ซิลเวอร์ก็เช่นกัน...หลังกล่าวคำรักมั่น ณ ใจกลางสวนแห่งนั้น  สิ่งต่อไปที่เขาจะต้องทำให้ได้  นั่นคือการเหนี่ยวรั้งให้อีกฝ่ายมาอยู่ข้างกาย  แม้ว่าจะต้องเดิมพันกับองค์ราชาอีกกี่ครั้งก็ตาม

กุหลาบงามเอ๋ย โปรดวางใจ 

ระฆังแห่งวันใหม่ยังไม่กังวาน 

ทุกสิ่งในคืนนี้คือสัญญาณ 

ให้เราได้มาพบพานกันอีกครั้ง 

 

เมื่อวิวาห์นี้ได้เริ่มต้น 

โคลงบทนี้ได้ขันขาน 

ข้าชักชวนเจ้ามาในวันวาน

และขับขานวาจาในวิวาห์

แด่เจ้าสาวผู้แสนดี

 

“ข้าอาจจะชักชวนเจ้ามาด้วยบทกวี  แต่มันจะไม่มีทางเป็นบทอำลาอย่างแน่นอน” 

นัยเนตรนั้นส่องประกายด้วยความมาดมั่นต่อผู้เป็นที่รักยิ่งกว่าสิ่งใด

หากแต่ความฝันยังคงเป็นความฝัน  ต่อให้พยามสักเท่าไร คืนพรุ่งนี้จะยังคงปรากฏพร้อมกับกาลเวลาอันหมุนเวียนในแต่ละวินาที  และภาพฝันในการค้นพบยังคงเป็นเพียงแค่เรื่องโกหก

 

“เจ้ายังคงยืนยันในคำตอบนั้นงั้นรึ...?”  องค์ราชาถามด้วยเสียงทุ้มหนัก  “ยังคงมีเวลาตัดสินใจเสมอ  จนกว่าทรายเม็ดสุดท้ายจะร่วงหล่น  ถึงตอนนั้น แม้อยากจะกลับคำ  วาจาของเจ้าก็ไร้ผล”

ในห้องนี้มืดสนิทเหมือนครั้งนั้นไม่มีผิด  หากแต่ผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้คือองค์ราชาหาใช่พระนางผู้สูงศักดิ์ไม่  ในพระหัตถ์เปี่ยมอำนาจได้รองรับนาฬิกาทรายที่ต้องแสงไฟจากเชิงเทียนจนสะท้อนเป็นประกาย  ด้วยเม็ดแห่งกาลภายในช่างเปล่งประกายสมกับที่สร้างสรรค์ขึ้นจากทองคำ

ณ ที่นี้ไม่มีใครอื่นจะสามารถเกลี่ยกล่อมอีกต่อไป  เนื่องจากผลการตัดสินควรเป็นที่สดและหยุดลงแค่นั้น  ไม่น่าเชื่อว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าพระองค์กลับเป็นฝ่ายยอมรับความปราชัย  หาใช่การคุกเข่าอ้อนวอนต่อการความพ่ายแพ้อย่างที่คาดคิดไว้  ดูเหมือนว่าฟิลลิปป์จะสร้างความประหลาดใจแก่พระองค์ไม่น้อยเลยทีเดียว

เขาไม่อาจ ‘กล้า’ มองการไหลเวียนของเวลาในชั่วโมงแห่งการตัดสินนี้เลย

“ท้ายที่สุดนี้ยังมีรางวัลปลอบใจผู้แพ้เสมอ”  องค์ราชากล่าวอย่างเมตตา  “เจ้าทำให้บุตรชายของข้าได้มีความสุขมาเนิ่นนาน  แม้ความสุขจะทำให้เขาทำตัวเหลวไหลไปมากและไม่เคยกล่าวอรุณสวัสดิ์ต่อใครมาตลอดห้าปี  มันก็เหมาะสมดีสำหรับการพักผ่อนอันสงบสุข”

ฟิลลิปป์หลบตาลงในความมืด  สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ตัดสินต่อเรื่องราวในสามเดือนมานี้  พระองค์ได้ทำถูกต้องในการสร้างความมืดมิดให้ปกคลุม  หากว่าสว่างไสวเกินไปมากกว่านี้  เขาคงต้องรับรู้ต่อใบหน้าที่สะท้อนเงาในกระจกเป็นแน่  เขาหวั่นเกรต่อความใจอ่อนในภาพเงานั้นมากเกินไป

รางวัลสำหรับผู้พ่ายแพ้งั้นรึ...?  เพราะความปรารถนาสูงสุดนี้ช่างโลภมากจนเกินไป  องค์ราชาไม่สามารถตอบรับความหวังเหล่านี้หรอก  แต่ใช่ว่าคนที่กำลังพร่ำบ่นดุจจะอ้อนวอนกึ่งยอมรับโชคชะตา  จะไร้ซึ่งความต้องการใดๆในจิตใจ  มางสิ่งที่ควรจะเป็นมานานแล้ว  และพระองค์หรือทุกคนต้องตอบรับต่อคำวอนขอนี้

“ก่อนนี้ เจ้าหญิงเดเนียร์ได้กล่าวกับข้าพระองค์ไว้  เจ้าชายนั้นกำเนิดขึ้นเพื่อตอบรับต่อสิ่งที่เจ้าหญิงไดอาน่าควรเผชิญ  หากวันหนึ่งโลนอนซิลต้องผูกสัมพันธไมตรีกับแคว้นใดสักแห่งด้วยการวิวาห์”  ดวงตาอันแน่วแน่ของเด็กหนุ่มมองจรดเข้าไปในนัยเนตรของผู้ปกครองเหนืออาณาจักรอย่างไม่หวั่นเกรง  “ในเวลานี้เจ้าหญิงได้เข้าสู่อ้อมกอดของชายที่นางรักและเลือกเขา  ด้วยความแข็งแกร่งของสายสัมพันธ์นี้คงจะเพียงพอสำหรับโลนอนซิลแล้ว”

องค์ราชาไม่เข้าใจต่อสิ่งที่เด็กหนุ่มผู้อ่อนทั้งวัยวุฒิและประสบการณ์กำลังจะเอื้อนเอ่ย  ทว่า สิ่งหนึ่งที่พระองค์รู้คือความเด็ดเดี่ยวเป็นของจริง

“หากวันหนึ่ง สตรีที่เข้าหลงรักหาใช่เจ้าหญิงเลิศเลอจากใด  หรือกระทั่งไร้ซึ่งความต้องการต่อการวิวาห์  ข้าพระองค์อยากให้ฝ่าบาทช่วยเขาสองประการ  หนึ่งนั้นคืออย่าทำให้เขากลายเป็นเพียงผู้มีตำแหน่งหลักลอย  โปรดมอบอำนาจของเจ้าชายอย่างตรงไปตรงมา  ส่วนประการที่สอง ข้าพระองค์มิได้วอนขอต่อฐานะของราชา  หากแต่วอนขอต่อฐานะบิดาของฝ่าบาท  ได้โปรดให้ความรักและห่วงใยเขาเสมือนบุตรแท้ๆและทำลายเกราะอันห่อหุ้มเขาลงเถิด  ในใจลึกๆของเขาเองก็กำลังรู้สึกว่าฝ่าบาทเป็นบิดาและครอบครัวของเขาอย่างแน่นอน  โปรดทำให้ทุกอย่างไม่อยู่ในม่านอันขุ่นมัวได้ไหมพะยะค่ะ”

ตำแหน่งหลักลอยกระนั้นรึ...?  คงจะจริงดังที่เด็กหนุ่มผู้นี้ว่า  แม้จะได้อำนาจในการควบคุมกองทหารก็ตาม  การมีส่วนร่วมจะเกิดขึ้นเมื่อจำเป็นต้องใช้อำนาจในฐานะของเจ้าชายเข้าช่วย  ซึ่งมันไม่ต่างจากการเป็นแขนขวาของราชาในการควบคุมรถศึกเลยสักนิด  ทั้งที่เป็นเช่นนั้น พระองค์กลับเข้าใจมาตลอดสำหรับการเพียงพอต่อซิลเวอร์  โดยไม่ได้ฉุกคิดถึงการโดนเหยียดหยามอยู่ลึกๆจากบรรดาขุนนางทั้งหลาย  หรืออาจจะทราบดี...แต่กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

สำหรับคำขอในประการที่สองของฟิลลิปป์  พระองค์อดยิ้มเยาะต่อวาจานั้นไม่ได้  ยิ้มเยาะต่อตัวเด็กหนุ่มและพระองค์เอง  เจ้าชายผู้กล่าวอย่างถ่อมตนอยู่เสมอว่า ‘ไม่ต้องการสิ่งใด’  ได้พูดพร่ำรำพันให้อีกฝ่ายฟังว่าอย่างไรบ้างหนอ  มีสิ่งใดที่พูดให้คนรักซึ่งพบพานเพียงแค่ห้าปีได้  แต่กลับกล่าวต่อบิดาไม่ได้งั้นรึ...?

เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธในคำกล่าวนั้นโดยไว  ดูเหมือนว่าองค์ราชาจะเข้าใจสิ่งใดผิดพลาดไปเสียแล้ว  หากว่าบุรุษผู้เปี่ยมอำนาจได้หันกลับมามองบุตรต่างสายโลหิตสักนิด  พระองค์จะรับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อให้พระองค์รับรู้คือความห่วงใยเอาใจใส่  หาใช่ข้าวของประดับเกียรติยศไม่  สิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดเลย  ขอเพียงพระองค์อย่าได้ละเลยและพยามเปิดใจของเขาออกมาก็พอแล้ว

องค์ราชาลุกขึ้นจากบริเวณที่แสงเชิงเทียนส่องถึง  พลางเปิดม่านรับแสงจากดวงจันทราขึ้นสิบสามค่ำ  อีกไม่กี่เสี้ยวเท่านั้น...เจ้าจันทร์เอ๋ย  อีกไม่กี่เสี้ยวเจ้าก็สามารถสว่างไสวส่องสะท้อนต่อสิ่งทั้งมวลในโลกานี้  หากแต่ไม่ว่าจะผ่านคืนวันอันเต็มดวงไปกี่ครั้ง  เจ้ากลับไม่สามารถแสดงความจริงในใจคนได้เลย...

ตั้งแต่ครั้งที่ซิลเวอร์ยังเป็นเด็ก  เขามักจะแสดงตนในฐานะของพี่ชายและผู้ปกป้องต่อเจ้าหญิงน้อยเสมอ  นั่นทำให้องค์ทั้งสองรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก  กล่าวซ้ำไปซ้ำมาต่อเด็กน้อยไร้เดียงสา ‘เจ้าเกิดขึ้นมาเพื่อปกป้องนาง’ และคำชมนั้นคือ ‘เจ้าดูแลนางได้ดีมาก’ 

จนไม่ทราบว่านานเท่าไร ใบหน้าของเขาแย้มยิ้มได้ต่อทุกคนที่พบพาน  เขายืดอดเสมอว่าตนเองคือผู้เดียวที่ปกป้องเจ้าหญิงได้  แต่หลายครั้งที่ผ่านเลยสิ่งต่างๆไปอย่างไม่คิดสนใจ  ราวกับไม่มีสิ่งใดที่สำคัญต่อเขาเลย

ทุกอย่างเคยสงบสุขและเรียบร้อยมาตลอด  จนกระทั่ง การถกเถียงครั้งแรกได้กำเนิดขึ้นมาเมื่อเด็กหนุ่มแปลกหน้าได้ปรากฏตัว  เป็นครั้งแรกที่องค์ราชาพบว่าเขายกดาบขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว  แม้ว่าปลายดาบนั้นจะหันมาทางผู้ดำรงฐานะอยู่เหนือทุกสรรพสิ่งก็ตาม  และดาบนั้นได้ถูกเก็บลงก็เพราะเด็กหนุ่มคนเดิมอีกครั้งเพื่อปกป้อง  ในตอนนั้นเอง พระองค์เริ่มครุ่นคิดขึ้นมา  ทำไมกันหนอ...คนคนหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรเลย  กลับทำให้เจ้าชายได้ลุกขึ้นออกจากวงกลมและพันธนาการอย่างช้าๆ

คำตอบนั้น พระองค์เพิ่งพบในค่ำคืนนี้เอง...เพราะคนตรงหน้านี้มิได้ต้องการพันธนาการเขาไว้เลย  กลับประคองไว้ด้วยอ้อมกอดอันห่วงใย  มองลึกเข้าไปในหัวใจ คอยดูแลเยียวยาทุกบาดแผลด้วยห้วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน  ในทางกลับกัน นั่นกลับเป็นสิ่งที่คอยเหนี่ยวรั้งไว้ได้ดีที่สุด  จะมีสิ่งใดเหนี่ยวรั้งใจได้ดีกว่าใจด้วยกันอีกเล่า  ราชาผู้ปกครองเหนืออาณาจักร  ย่อมเขาล่วงรู้ดีที่สุด  พระองค์ใช้หัวใจแลกกับความภักดีของผู้คน  หาใช่เงินตราหรือสิ่งล้ำค่าประการใดเลย

แต่การเดิมพันย่อมเป็นการเดิมพัน  ในเมื่อเขาไม่ได้บอกชื่อของบุคคลใดมาเลย  เงื่อนไขของผู้แพ้ปรากฏอย่างชัดเจน  และพระองค์ยินยอมต่อความวอนขอนั้นอย่างเรียบร้อย  ถึงกระนั้นก็อดเสียดายไม่ได้  เนื่องจากการสานสัมพันธ์กับโอเทล์มในครั้งนี้นับว่าราบรื่น  แม้ว่าจะต้องตกลงเจรจาปัญหากันอีกหลายอย่าง  ดูเหมือนราชินีแห่งอาณาจักรฝ่ายนั้นจะมีความคิดตรงกัน  นั่นคือการปฏิเสธสงคราม  มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายวุ่นวายไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว  ซึ่งหมายความว่าซิลเวอร์เองก็ไม่จำเป็นต้องฝืนวิวาห์กับใครอีกต่อไป  เด็กหนุ่มตรงหน้านี้น่าจะได้ในสิ่งที่ตนสร้างขึ้น  ทั้งความรู้สึกและตัวตนของคนรัก...

องค์ราชากลับมานั่งที่เดิมอีกครั้งเพื่อเชื้อเชิญให้เขาเข้าร่วมการแข่งขันหมากรุก  รวมทั้งอดหัวเราะขบขันไม่ได้ว่าสตรีผู้เป็นที่รักก็เคยเชื้อเชิญเช่นนี้ด้วย  อาจเป็นเพราะการเดินหมากช่วยในการสร้างสมาธิได้ดี  แต่ที่แน่นอนกว่านั้นคือยื้อเวลาในการพูดคุย

“หากว่าเจ้าได้รับชัยชนะอีกครั้ง  ข้าอาจจะให้เวลาสำหรับการเดิมพันเพิ่มขึ้น”  องค์ราชากล่าวทีเล่นทีจริง  อย่างน้อยก็แสดงให้พระองค์รับรู้ถึงความตั้งใจอันแรงกล้าหน่อยเถิด  “เพราะนาฬิกาทรายไม่ได้มีเรือนเดียวในโลก  รวมทั้งที่โลนอนซิลแห่งนี้ด้วย...จริงไหม?”

แทนที่จะได้สนทนากันอย่างที่ตั้งใจ  พระองค์กลับมุ่งมั่นอยู่กับการเล่นเพียงอย่างเดียว  เนื่องจากท่าทีอันเคร่งขรึมของคู่ต่อสู้ไม่ได้บอกถึงแผนการเลย  เป็นการเดินไปเรื่อยๆจนฝ่ายตรงข้ามหวาดหวั่น  เหตุเพราะคู่ต่อสู้ไม่เคยรุกไล่  แต่ในขณะเดียวกันก็ปกป้องตัวหมากแต่ละตัวได้เป็นอย่างดี  ชวนให้เกมนี้ครั้งเร้าใจมากยิ่งขึ้น

“ข้าเพิ่งเข้าใจคำถามขององค์ราชินีในวันนี้เอง”  องค์ราชาเดินตัวหมากสำคัญตัวต่อไปเพื่อตัดสิน  “ในความจริง นางอาจจะชาญฉลาดกว่าข้าในบางเรื่องก็ได้...ในบางเรื่องเท่านั้น”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา