เผลอรัก...จับใจ

10.0

เขียนโดย soso_sung

วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 14.15 น.

  20 chapter
  0 วิจารณ์
  21.95K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2556 20.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่1

           

            แสงสว่างของพระอาทิตย์ในยามเช้าได้ขึ้นมาพร้อมกับวันใหม่ ท้องฟ้ากว้างเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆหลากหลาย ผู้คนเริ่มตื่นขึ้นมาดำเนินชีวิตเพื่อความอยู่รอด และแน่นอนว่า ไม่ว่าเราจะเจอเรื่องร้ายมามากแค่ไหนหากเรายังมีชีวิตอยู่เราก็ต้องดิ้นรนกันไป

            ฉัน นางสาวไขไข่ อายุ 20 ปี ผู้หญิงแสนธรรมดา ผู้ซึ่งสูญเสียคุณพ่อและคุณแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก แต่ฉันก็ได้เติบโตมาด้วยความรักของท่านทั้งสองถึงแม้จะลำบากไปบ้างแต่ฉันก็ยังอยากจะใช้ชีวิตไปตามที่ท่านหวังไว้ ถึงแม้จะมีการท้อบ้างแต่ฉันก็ยังเชื่อมั่นที่จะ ‘รอ’ เพื่อสักวันหนึ่งฉันจะไม่ต้องอยู่เพียงลำพัง

           

 

           

            “เขามาได้ยังไง” ฉันพูดออกมาอย่างมีน้ำโหเมื่อรู้ว่าเพื่อนสาวตัวดีได้พาเจ้าตัวปัญหามาด้วย

            “ก็ฉันกลัวเธอเหงานี่น่า” อาเยียนเพื่อนสาวแสนดีและเป็นเพื่อนสนิทที่สุดพูดเสียงหงอยๆพร้อมกับทำหน้ารู้สึกผิด

            “เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบเขา อีกอย่างเธอไม่ต้องมากลัวว่าฉันจะเหงาหรือกังวลเวลาที่เธอจู๋จี๋กับแฟนของเธอหรอกนะ”

ถ้าไม่ติดว่ายัยเพื่อนตัวแสบจะเลี้ยงนะ ฉันคงไม่เสียสละเวลาทำงานมาหรอก

            “ไขไข่ ฉันซื้อตั๋วหนังแล้ว เรารีบเข้าไปกันเถอะ” พูดยังไม่ทันขาดคำเสียงหน่อมแน้มที่ไม่เข้ากับหน้าตาอันหล่อเหลาของอาเฉินดึงให้ฉันกับอาเยียนต้องหันไปมอง

            “เธอโดนแน่อาเยียน” ฉันพูดคาดโทษทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปดึงตั๋วจากมือของอาเฉินแล้วนำเข้าไปในโรงหนัง

            “รอฉันด้วยสิไขไข่” อาเฉินตะโกนตามหลัง แต่มีหรือที่ฉันจะหยุดรอ

และพอเข้ามาถึงในโรงหนังฉันมองหาที่นั่งแถวของตัวเองแล้วเห็นที่ว่างสองที่ซึ่งอยู่ตรงการแถวพอดี ทำให้ฉันหงุดหงิดอาเฉินยิ่งกว่าเดิมเมื่อเดินเข้ามาฉันต้องเหยียบโนขาของคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้วทำให้ฉันโดนสายตาตำหนิที่ส่งออกมาเมื่อเจออย่างนี้แล้วฉันอยากจะหันไปตบหัวอาเฉินให้รู้แล้วรู้รอด ส่วนอาเยียนกับแฟนนะหรอ คงไปจู่จี๋กันข้างหลังแล้วแหละ เฮ้ย!ทำไมฉันต้องมาลำบากลำบนกับหมอนี้ด้วยนะ

            “เรื่องนี้ต้องสนุกมากเลยว่าไมไขไข่” พอนั่งลงปุ๊บอาเฉินก็ยื่นหน้ามาชวนฉันคุยทันที

            “อาเฉินฉันอยากดูหนังเงียบๆ” ฉันกัดฟันพูด

            “นั้นสิ เรามาตั้งใจดูหนังกันเถอะ” เขาทำทีหันไปสนใจภาพบนหน้าจอใหญ่ แต่แล้ว...

            “ไขไข่ เฉินลืมซื้อป๊อบคอร์นมาด้วยอ่ะ” จู่ๆอาเฉินก็ทำเสียงเหมือนมีเรื่องคอขาดบาดตายขึ้นมา จากที่หงุดหงิดอยู่แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิม มือที่กำแน่นเพื่อระงับอารมณ์ก็ต้องค่อยๆคลายและกำมันแน่นใหม่อีกครั้ง

            “เดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อให้นะ”

            “ฉันไม่อยากกิน” ฉันรีบชิงตอบออกไปก่อนที่หมอนี้จะออกไปจริงๆ แต่เขาก็ไม่วายหาเรื่องให้ฉันหงุดหงิดไปมากกว่าเดิม

            “ไขไข่หนาวหรอ จับมือฉันก็ได้นะ” ว่าแล้วมือของเขาก็คว้ามือของฉันไปกุมทันที

            ฉันค่อยๆบิดมือออก “หนังเริ่มแล้ว”  ฉันเปลี่ยนเรื่องแล้วไปสนภาพที่ฉายอยู่บนจอสี่เหลี่ยมข้างหน้า

หนังที่ฉันมาดูเป็นหนังแนวรักโรแมนติก ที่พระเอกกับนางเอกเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยความที่ทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันจนไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ทั้งสองคนนั้นแสดงออกมาให้แกกันนั้นเป็นความรักหรือความเคยชินที่ต้องห่วงใยดูแลกันเลยทำให้ทั้งสองแยกทางกันเพื่อพิสูจน์สิ่งที่อยู่ในใจ แต่สุดท้ายคำตอบก็อยู่ในตัวของมันอยู่แล้ว ไม่ว่าทั้งสองจะต่างมีคนรักใหม่เผื่อแสดงความรู้สึกของตัวเองแต่สุดท้ายหัวใจของทั้งสองก็ยังคงเรียกร้องซึ่งกันและกันอยู่เลยทำให้ทั้งสองกลับมาตามเสียงเรียกร้องของหัวใจ

            “น่ารักจังเลยว่าไม” หนังดำเนินเรื่องมาได้สักพักอาเฉินก็เริ่มขยับตัวเข้ามาใกล้ฉันที่ละนิด และฉันก็ขยับออกทีละหน่อย

            “อาเฉินขยับไปหน่อยฉันอึดอัด” ฉันไม่บอกเปล่าแต่ยังดันไหล่ให้เขาออกไปห่างๆ

            “ไขไข่ดูนั้นสิ เขินจังเลย” อาเฉินยังไม่สนใจฉัน แถมยังชักชวนให้ฉันดูฉากที่พระเอกให้นางอีกขี่หลังท่ามกลางสายฝน

            “อาเฉิน ฉันจะเข้าห้องน้ำ” ฉันพูดเสร็จก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันทีด้วยหมดความอดทนซึ่งนั้นก็ทำให้คนที่นั่งข้างๆสะดุ้งด้วยเช่นกัน

            “รอฉันด้วย” แล้วอาเฉินก็ลุกตามออกมา

            “ตามาทำไมฟ่ะ” ฉันก็ได้แต่พูดในใจแล้วรีบเดินออกมาเมื่อเริ่มได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะแบบไม่พอใจของผู้ชมที่กำลังเคลิ้มกับหนังที่ดูอยู่

            “อาเฉินเข้าไปดูหนังต่อเถอะเดี๋ยวฉันเสร็จแล้วจะรีบเข้าไป” พอออกจากโรงหนังฉันก็หันไปยิ้มหวานให้อาเฉิน

            “ไม่เป็นไรเฉินไปเป็นเพื่อนไขไข่ดีกว่า” อาเฉินพูดแล้วยิ้มตาหยี

            “ฉันไม่อยากพลาดหนัง ถ้านายและฉันไม่อยู่ดูใครจะเล่าให้ฟังละ” ฉันลองหาวิธีที่จะทำให้

อาเฉินออกไปจากฉัน

            “อาเหยียนกับแฟนไง” อาเฉินตอบอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิดทำให้ฉันหงุดหงิดเป็นทวีคูณเมื่อไม่เป็นดังที่คิดฉันก็ได้แต่เดินปึ้งปังเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่สนใจอาเฉินที่ยังยืนงงอยู่ข้างหลัง

            “ฉันรออยู่หน้าห้องน้ำนะ” อาเฉินยังหวังดีตะโกนบอกฉันอีกว่าจะรออยู่หน้าห้องน้ำ

            “ให้ตายสิ อาเฉินเฉิ่มเอย ฉันแสดงออกไปตั้งมากมายว่าไม่ชอบก็ยังจะตื้อกันอยู่ได้” ฉันเปิดก๊อกน้ำให้ไหลออกมาเพื่อระบายความแค้น(มันช่วยอะไรได้เนี่ย)

            “ค่อยๆสิค่ะ...” จู่ๆเสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น

            “อีกนิดก็จะเสร็จแล้ว...” และก็มีเสียงของผู้ชายดังตามมา

            “นี้ฉันเข้าห้องน้ำผิดหรือเปล่าเนี่ย” แต่ก่อนจะเข้ามาฉันก็เห็นป้ายว่าเป็นห้องน้ำหญิงแต่ทำไมมีเสียงผู้ชาย หรือว่า... ฉันยังจิตนาการไม่ออกเลยว่าสิ่งที่ได้ยินนั้นมันเป็นสถานการณ์ไหนก็ต้องสะดุดลงเพราะเจ้าของเสียงล่าสุดได้เดินออกมาจากห้องน้ำด้วยหน้าตานิ่งๆ พระเจ้าเขาเป็นมนุษย์ใช่ไมเนี่ย ทำไมเขาถึงได้หล่อลากดินขนาดนี้ ตั้งแต่ฉันเกิดมายังไม่เคยเจอใครที่หล่อขนาดนี้มาก่อน และตอนนี้ฉันมองเขาตาไม่กระพริบ...แต่เพียงไม่นานสายตาฉันก็ต้องหันไปสนใจผู้หญิงที่ออกมาด้วยสภาพที่ดูยุ่งๆ แต่นั้นไม่สามารถทำให้รัศมีความเซ็กซี่ของเธอลดลงเลย มันกลับทำให้เธอดูเซ็กซี่มากกว่าเดิมอีก นั้น!คุณโรส ที่เป็นางแบบชื่อดังในตอนนี้

            “มองอะไรย่ะ” เสียงแหลมปรี๊ดดังออกมาจากริมฝีปากที่เอิบอิ่มของเธอทำให้สิ่งที่ฉันคิดหยุดชะงักพร้อมก้มหน้างุดๆรอให้เขาทั้งสองเดินออกไปจากห้องน้ำ

            “ไขไข่เธอเสร็จหรือยัง” เสียงของอาเฉินดึงสติของฉันกลับมาที่เดิมอีกครั้ง

            “อาเฉิน ฉันท้องเสีย นายกลับเข้าไปดูหนังก่อนเถอะ” ฉันเดินกุมท้องไปบอกอาเฉิน

            “หรอทำไมถึงเป็นได้ละ เมื่อกี้ก็ยังดีๆอยู่เลย” อาเฉินถามด้วยความสงสัย

             “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

            “งั้นๆๆ...เดี๋ยวฉันจะไปซื้อยามาให้นะ ไขไข่รอฉันก่อนน่ะ” อาเฉินพูดอย่างร้อนรนด้วยความกังวล

            “ดีเลย! อาเฉินนี้ฉลาดจังเลยน่ะ แต่ไม่ต้องรีบมาก็ได้ฉันทนไหว” ฉันเกือบร้องกรี๊ดออกมาด้วยความดีใจที่จะหลุดพ้นจากเขา แต่ฉันก็ต้องระงับอาการลงได้ทัน

            “แหะๆๆเดี๋ยวฉันมานะ” อาเฉินยิ้มเก้อๆ

            “จ้า ฉันจะรอนะ” ฉันยืนส่งยิ้มโบกมือให้เขาจนเขาลับหายไปจากสายตา

            “เฮ้อ หลุดพ้นสักที” ไม่ต้องรอนานฉันรีบออกเดินเพื่อหาที่หลบทันทีแต่แล้วฉันก็ต้องมาสะดุดเมื่อได้ยินเสียง พิธีกรสาวที่ดังออกดมาจากโทรทัศน์ซึ่งกำลังฉายหนุ่มป๊อบสุดสัปดาห์

            “และมาถึงเวลาที่สาวๆรอคอยกันนะจ๊ะ ในช่วงปิ๊งรักเจ้าชาย วิ๊งๆๆ เจ้าชายที่สาวๆไม่ว่าจะรุ่นเล็กหรือว่ารุ่นใหญ่ก็ต้องยกให้เขาคนนี้ เฟย เดน์ คาร์ล ซึ่งเป็นหนุ่มลูกครึ่งไต้หวัน-อังกฤษ เป็นหนุ่มนักธุรกิจไฟแรงแถมยังควบตำแหน่งผู้บริหารห้างใหญ่อย่าง เฟย ฮวาง และเขายังเป็นถึงทายาท เฟย เรามาดูกันสิว่าเขานั้นจะเท่ห์ระเบิดขนาดไหน...” และภาพก็ตัดเป็นเจ้าของชื่อที่พิธีกรสาวกำลังประกาศอยู่ โดยภาพนั้นเป็นผู้ชายท่าทางน่าเกรงขามกำลังช่วยลูกน้องทำงานด้วยความจริงจัง “ถึงแม้ว่าเขาจะพึ่งเข้าวงการธุรกิจมาไม่นานแต่เขาก็เป็นที่จับตามองเป็นที่สุด”

            “นั้นมันไอ้หื่นที่อยู่ห้องน้ำเมื่อกี้นี้นิ ไม่น่าเชื่อว่าเขา แหวะ...” พอนึกถึงฉากในห้องน้ำก็ทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที

            “นี้นะหรอที่ว่าจริงจังกับงาน สร้างภาพซะมากกว่าไม่ไหวๆ หน้าตาก็ดี แต่นิสัยคงแย่มากๆๆ ก็อย่างนี้ละน่าพวกคนรวยทำอะไรก็ไม่ผิด ทำอะไรก็ดูดี” และฉันก็เลิกสนVJสาวโดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าคนที่เธอกำลังต่อว่ายืนมองเธอด้วยสายตาที่ใครๆเห็นเป็นต้องเสียวสันหลัง

            “เมื่อกี้เหมือนมีคนจ้องอยู่เลย หรือว่าเราคิดไปเอง ชั่งเถอะๆ” เธอยักไหล่ไม่สนใจเดินไปทางร้านหนังสือและเลือกหาหนังสือที่เธอสนใจ

 

            ผ่านไปสิบนาที

เสียงร้องของโทรศัพท์เครื่องจิ๋วที่ตกยุคไปแล้วร้องดังขึ้นและเมื่อไขไข่กดรับก็ถึงกับต้องเอาโทรศัพท์ออกห่างจากหู “ไขไข่! ตอนนี้เธออยู่ไหนนะแล้วเป็นยังไงบ้าง”

            “ฉันสบาย...อาเฉินขอโทษนะที่ไม่ได้โทรบอก คือตอนนี้ฉันถึงบ้านแล้ว กำลังจะนอนพักนะ” เกือบเผลอหลุดปากไปแล้วสิเรา

            “ทำไมไขไข่ไม่รอเฉินก่อนละ” อาเฉินทำเสียงน้อยใจทันที

            “ขอโทษนะเฉิน ไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะ” แน่นอนว่าไม่มีครั้งหน้าสำหรับนายหรอ

            “ก็ได้ ไว้ครั้งหน้าเรามาดูหนังด้วยกันใหม่นะ ดูแลตัวเองด้วยเฉินเป็น...” พออาเฉินพูดรู้เรื่องฉันก็กดตัดสายและปิดเครื่องทันทีไม่สนใจฟังให้จบว่าอาเฉินจะพูดอะไร

            “โอเค เอาเรื่องนี้แหละ” และไม่นานฉันก็ได้เรื่องที่ต้องการมาสองเรื่อง  

            “ทั้งหมดเจ็ดสิบห้าหยวนค่ะ” ฉันยื่นธนบัตรแบงค์ร้อยไปให้พนักงานแต่ก็มีใครไม่รู้ยืนบัตรมาชิงตัดหน้า และพอฉันจะหันไปต่อว่าเขา เขาก็ชิงพูดขึ้นก่อน

            “ผมจ่ายให้คุณเอง” เขาพูดด้วยเสียงนิ่งๆที่ทำให้รู้สึกถึงความน่าเกรงขาม

            “ค่ะ คุณคาร์ล” และดูเหมือนว่าพนักงานจะรู้จักหมอนี้ด้วยสิ และพอฉันเงยหน้าก็ถึงกับชะงัก แต่ก็แค่แป๊บเดียว

“เดี๋ยวก่อน เล่มนี้ฉันซื้อฉันก็ต้องเป็นคนจ่ายสิ” ฉันหยุดพนักงานแคชเชียร์แล้วหันไปต่อว่าเขา “ถ้าคุณอยากได้ก็ไปหยิบที่ชั้นว่างหนังสือ แต่ถ้าคุณไม่รู้ก็ถามพนักงานก็ได้นิ ไม่เห็นต้องมาแย่งฉันซื้อเลย” เป็นถึงเจ้าของห้างฯยังต้องมาแย่งลูกค้าซื้ออีก พิลึกคน

“ผมซื้อให้” เขาหันมาตอบฉันสั้นๆแล้วหันไปพูดกับพนักงานแคชเชียร์ “คุณจะรับเงินผมไม” เหมือนเป็นประโยคคำถามทั่วไปด้วยโทนน้ำเสียงนิ่ง เมื่อคนนอกได้ยินก็เหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่คนวงในอย่างพนักงานทุกคนย่อมเข้าใจดีหากว่าคำตอบไม่ถูกใจผู้ถามเรื่องอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่ต้องเดาให้เสียเวลา

            “คุณไม่ต้องรับเงินของเขา เอาเงินของฉัน” และฉันที่โมโหอยู่ ก็ไม่ได้ทำให้เซ้นส์ที่มีอยู่น้อยนิดนั้นอ่านสายตาที่กำลังมองมาอย่างขอร้องจากแคชเชียร์ได้เลย

            “ผมจะนับหนึ่งถึงสาม” เขายังคงพูดกับแคชเชียร์แต่สายตานั้นกลับมองมาที่ฉัน

            “โอเค นายอยากได้หนังสือนี้มากใช่ไม ฉันไม่เอาก็ได้เชิญนายเอาไปตามสบายเลย” ฉันหยิบหนังสือนั้นยัดใส่มือเขาแล้วกำลังจะเดินออกจากร้านแต่เสียงของเขาก็ทำให้ฉันชะงักเท้าที่กำลังจะก้าว

            “เธอโดนไล่ออก ตั้งแต่พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงาน” เสียงสั่งที่ดังออกมาเหมือนสายฟ้าฟาดทำให้พนักงานสาวถึงกับล้มทั้งยืนและนั้นไม่ได้ส่งผลแค่พนักงานแต่มันยังส่งมาถึงฉันด้วย

            “หมายความว่ายังไง” พอฉันได้สติฉันก็รีบวิ่งตามเขาที่เดินออกจากร้านไปแล้ว

            “นี้ นายหยุดก่อน เมื่อกี้ที่นายพูดหมายความว่ายังไง” ก่อนออกมาฉันได้ยิ่งเสียงของเธอร้องไห้เหมือนจะขาดใจตาย นี้ไม่ใช่เรื่องอำกันเล่นๆใช่ไมเขาเพียงจะแกล้งฉันเฉยๆใช่ไม

            “ก็อย่างที่พูด ในเมื่อผู้หญิงคนนั้นไม่ต้องการเงินฉัน แล้วฉันจะจ้างเธอไปทำไม” เขาพูดได้น่ากระทืบมากเลย นั้นชีวิตคนๆหนึ่งเลยนะอยากไล่ใครออกก็ไล่เลยอย่างนั้นนะหรอ

            “และฉันก็ไม่ได้ผิด เธอต่างหาก” ไม่รู้ว่าผู้หญิงที่เขาพูดอยู่หมายถึงฉันหรือว่าพนักงานคนนั้น แต่ฉันก็ไม่อยากเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอต้องถูกไล่ออก

            “นี้นายเล่นแรงไปหรือเปล่า นายทำแบบนี้แล้วเธอจะเอาอะไรกินละ” ฉันคว้าแขนของเขามาเขย่าแล้วถามด้วยเสียงสั่นๆ เพราะเริ่มเข้าใจแล้วว่าเขาเป็นคนจริงอย่างที่VJสาวนั้นพูดเอาไว้ แต่เดี๋ยวก่อน! แต่เรื่องที่เกิดมันคนละเรื่องนิ เอ๊ะ! ยังไง

            “โอเค ฉันยอมทำทุกอย่างที่นายสั่ง แต่ขอให้ผู้หญิงคนนั้นกลับมาทำงานเหมือนเดิม” คนเริ่มมุงเรากันมากขึ้น แต่ฉันก็ไม่ยอมเป็นต้นเหตุให้เธอต้องถูกไล่ออกแน่ ถึงแม้เขาจะสั่งทำเรื่องบ้าๆก็ยอม

            “ปล่อยมือของเธอแล้วกลับบ้านไปซะ” เขาสะบัดมือออกจากฉัน และไม่รู้ว่าชายชุดดำใส่แว่นดำมากันเมื่อไรเพราะจู่ๆพวกเขาก็ยื่นล้อมวงตัวคาร์ลทำให้ฉันต้องกระเด็นออกมานอกวง

            “มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันเนี่ย”

            ฉันพึ่งจะตัดตัวปัญหาไปได้ไม่นานก็ต้องเจอกับปัญหาใหม่ แถมยังเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติอีกด้วย ให้ตายเถอะ! ฉันควรทำยังไงดี

“แต่สิ่งแรกที่ฉันต้องทำคือไปขอโทษเธอถึงแม้จะโดนเธอตบก็ตาม”

            “ฉันขอโทษสำหรับเรื่อง...” ฉันยังไม่ทันพูดจบ หน้าฉันก็ต้องหันไปตามแรงมือที่กระทบใบหน้าอย่างแรง

            “ไปตายซะ” เธอตะโกนใส่หน้าฉันแล้วก็เดินออกไป 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา