เผลอรัก...จับใจ

10.0

เขียนโดย soso_sung

วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 14.15 น.

  20 chapter
  0 วิจารณ์
  21.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2556 20.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

15)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่15

 

การที่ฉันร้องไห้หนักเมื่อขึ้นทำให้ตาทั้งสองข้างบวมฉึ่งแถมมันยังคล้ำเหมือนตาน้องมีแพนด้าอีก จนมันเป็นที่สังเกตให้อาเยียนมองฉันตาไม่กระพริบ

            “จะมองฉันอีกนานไม”

            “เธอไปทำอะไรกับมัน” อาเยียนชี้มาที่ตาของฉัน

            “ไม่ได้ทำอะไร” ฉันตอบเรียบๆแล้วสนใจอาจารย์ที่กำลังเขียนอะไรก็ไม่รู้ขยุกขยิกเต็มกระดาษ

            “ไขไข่” อาเยียนเอ่ยเสียงเรียบอย่างหมดความอดทน

            “ตรงนั้นจะคุยกันอีกนานไม” อาจารย์ที่ยังตะโกนจากหน้าห้องในขณะที่มือก็ยังเขียนไม่หยุด

            “ตกลงเธอไปทำอะไรมา” อาเยียนลดเสียงลงแต่ไม่ได้ทันได้รับคำตอบจู่ๆหนังสือเท่าสมุดเล่มเหลืองก็บินว่อนมาจากหน้าห้องพุ่งตรงมาที่โต๊ะอาเยียน

            “คริ คริ” ทุกคนในห้องนั่งหันไปมองอาเยียนกันหมดแล้วก็หลุดขำ

            “ขอโทษคะ” อาเยียนลุกขึ้นเอ่ยขอโทษแล้วหญิงตำราไปให้อาจารย์หน้าห้องอย่างสลด

            “หวังว่าคาบหน้าคุณจะไม่ทำอีกนะ” อาจารย์ยืนกอดอกทำหน้าเหี้ยมใส่

            “ค่ะ”

 

พอเลิกเรียนแล้อาเยียนก็รีบเก็บของเธอและของฉันไปถือแล้วลากฉันออกไปจากห้องตรงไปที่สวนสาธารณะที่ตอนนี้มีหนุ่มสาวนั่งจับจองตามใต้ต้นไม้แล้วทานข้าวกล่องกัน และโชคดีที่มาไวเลยทำให้ฉันและอาเยียนเจอต้นไม้ที่ยังไม่มีคนจับจอง

            “เพราะเธอเลย ฉันเลยต้องขายหน้าแบบนี้” พอนั่งลงปุ๊บอาเยียนก็บ่นทันที

            “อะไร ฉันไปทำอะไรให้” ฉันทำไขสื่อแล้วมองไปที่คู่รักข้างๆที่กำลังพลัดกันป้อนอาหารกันอยู่

            “เลิกสนใจคนอื่นสักที ตกลงเธอจะตอบไม” คราวนี้ฉันคงหนีไม่พ้นต้องตอบคำถามอาเยียนซะแล้วละ

            “เมื่อวานคาร์ลมาหาฉันที่บ้าน” ฉันตอบเสียงเบาพรางดึงหญ้าอย่างไม่รู้จะทำอะไร

            “หา! เขาไปหาเธอทำไม”

            “ฉันก็ไม่รู้ เขาแค่บอกว่ามีธุระแถวบ้านฉันก็เลยแวะมาหาแค่นั้นเอง” ฉันเล่าไม่หมดหรอกว่าเขาเจอฉันนอนสลบอยู่ที่หน้าบ้าน ถึงบอกอาเยียนคงไม่ได้กินข้าวแหงๆ

            “แปลก หรือว่าเขายังมีใจให้แก” อาเยียนสันนิฐานได้น่าตบจริงๆ

            “เธอก็รู้ว่าเขามีตัวจริงอยู่แล้ว เลิกพูดถึงเขาเถอะ” ฉันพูดอย่างเหนื่อยใจ ขนาดว่าฉันยังไม่ได้ทำอะไรแต่รู้สึกเหมือนพละกำลังทั้งหมดของฉันจะเหือดหายไปหมด

            “อาฉีมาแล้ว” ไปไม่นานอาฉีก็เดินมาพร้อมกับกล่องอาหารสามสี่กล่อง

            “มาแล้ว กินกันเถอะ”

            “ไจไข่ ตาเธอไปโดนอะไรมานะ” อาฉีหันมายื่นกล่องเขาให้ก็ถึงกับชะงัก

            “ร้องไห้ มีปัญหาไรไม” ทำไมสองคนนี้ต้องถามด้วยเนี่ย มันแปลกตรงไหนที่ตาฉันเหมือนน้องหมีแพนด้า

            “อ่อ...จ๊ะ กินเยอะๆนะ” อาฉีไม่ใส่ใจเปลี่ยนไปหันคุยกับอาเยียนแล้วชี้ชวนกันดูกับข้าวหน้ากิน

            “ชิ สวีตกันเข้าไปเถอะ” น่าหมั่นไส้คนมีคู่ ทำไมฉันถึงได้อาภัพรักอย่างนี้นะ แฟนคนแรกก็ดันไปมีคู่หมั้น พอคนที่สองเขาก็ทิ้งฉันไปหาคนที่เหมาะสมกว่า เฮ้ย น่าเศร้าจริงๆเลยให้ตายสิน่า

            “ทำไมนั่งเศร้าอยู่คนเดียวละ” ฉันที่มัวแต่เขี่ยข้าวแล้วนึกเศร้ากับความรักอยู่นั้น เหวินอี้ก็เดินเข้ามานั่งข้างๆ

            “เปล่านั่งเศร้าซะหน่อย” ฉันตักข้าวใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างเอาเป็นเอาตาย พอหมดแล้วก็ยัดข้าวใส่เพื่อไม่ให้มีช่องว่างให้เหวินอี้ถามเรื่องตาของฉันถึงแม้เขาจะจ้องเขม็งก็เถอะ

            “เดี๋ยวท้องฉันก็ป่องหรอก” ฉันพูดขณะที่ข้าวก็ยังเต็มปากอยู่

            “เป็นผู้หญิงภาษาอะไร ข้าวเต็มปากแล้วยังพูดอีก” เหวินอี้บ่นไม่จริงจังนักแล้วก็ล้มตัวลงนอน

            “กินข้าวแล้วหรอ” ฉันกลืนข้าวคำสุดท้ายแล้วหันไปถามเขาที่นอนมองท้องฟ้า

            “ยังหรอก ตอนแรกว่าจะชวนเธอ แต่เห็นเธอกินเอาๆก็เลยไม่อยากขัด”

            “แล้วทำไมนายไม่บอกฉันแต่แรกเล่า เห็นจ้องหน้านึกว่าจะถามเรื่อง...”

            “ฉันรู้แล้ว”

            “นายรู้ได้ยังไง”

            “ก็หมอนั้นเล่นจ้องหน้าฉันตาเขม่น ถ้าฉันไม่รีบกลับคงโดนเลเซอร์แห่งความหึงปาดคอตายแน่ ถ้าเป็นแบบนั้น อ้ากก น่ากลัว” เหวินอี้ที่เอามือจับที่คอส่ายหัวไปมาด้วยความจิตนาการที่ไปไกลซะแล้ว

            “เวอร์ อีกอย่างเขามีเจ้าของตัวจริงแล้วจะมาหึงฉันทำไม”

            “เดี๋ยวเธอก็รู้เองแหละน่า แล้วนี้มีเรียนต่อไม”

            “ไม่มีแล้ว ทำไม”

            “ก็จะพาไปเที่ยวยังไงละ”

และตอนนี้เราสองคนก็อยู่บนรถเรียบร้อยโดยทิ้งสองคนนั้นผลัดกันกินผลัดกันป้อนอยู่อย่างนั้น

            “เราจะไปไหนกันดี” เหวินอี้ที่ทำหน้าที่คนขับหันมาถาม

            “นายยังไม่มีที่จะไปหรอเนี่ย” ไหนเขาบอกว่าเดี๋ยวก็รู้ยังไงละ

            “ตอนแรกก็คิดว่าจะพาไปที่นั้น แต่มาคิดอีกทีไม่เอาดีกว่า ถ้ายูมิรู้คงโกรธฉันตาย” แล้วหมอนี้ไปกลัวยูมิตอนไหนละเนี่ย

            “หรอ...ฉันก็คิดไม่ออกว่าอยากจะไปไหน” ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรสักอย่าง

            “ไขไข่ เกาะแน่นๆนะ” จู่ๆเหวินอี้ก็สั่งเสียงเข้ม

            “มีอะไรหรอ” ฉันถามด้วยความตกใจแต่เหวินอี้ไม่ทันตอบก็มีเสียงกระจกแตก

            เพล้ง!!!

            กรี๊ด!!!

            “คนร้ายใช้ปืนเก็บเสียง...ไขไข่ก้มหัวลงต่ำๆแล้วโทรหาตำรวจด้วย” เหวินอี้มองฉันที่ทำตามเขาด้วยความตกใจแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาหักหลบกระสุน โชคดีหรือโชคร้านไม่รู้เมื่อตอนนี้ฉันอยู่ชานเมืองที่ไม่ค่อยจะมีรถ

            “ไขไข่ระวัง” ฉันที่ยังไม่ทันได้กดเบอร์โทรศัพท์เหวินอี้ก็ผลักฉันให้ลงไปนั่งข้างล่างและเสียงที่ตามมาก็คือเสียงกระจกแตก

            เพล้ง!!!

            อั๊ก!!!

            “เหวินอี้!” กระสุนที่ผ่าเข้ามาทำให้โดนแขนเหวินอี้ไปเต็มๆ เลือดที่ไหลออกมาทำเหวินอี้เสียการควบคุม

            “พวกมันเป็นใครกัน” เหวินอี้หันไปมองรถที่ขับขึ้นหน้าอย่างแค้นๆ

            “ไขไข่เกาะให้แน่นนะ” เหวินอี้สั่งแล้วเหยียบคันแรงจนมิด พุ่งทะยานไปข้างหน้าเพื่อที่จะชนรถทุกคันที่ขวางหน้าเขา แต่รถที่เขาหมายจะชนให้มันกระจุยดั่งซากเหล็กก็คือรถที่ขวางพร้อมกับมีคนถือปืนเล็งมาทางรถเขา

            “บังอาจมาทำไซเฟอร์ของฉัน” เหวินอี้คำรามแล้วเหยียบคันเร่งอีก

            ปัง!!!

คนร้ายยิงกระสุนออกมาระยะห่างเพียงไม่ถึงเมตรเหวินอี้ก็หักหลบไปอีกทางหนึ่งทำให้กระสุนเฉียดรถและเหวินอี้ก็หักรถกลับมาด้วยความรวดเร็วแล้วชักปืนที่หยิบออกตอนไหนไม่รู้ยิงคนร้ายที่ยืนโดยความงงงวย

            ปัง ปัง ปัง

เพียงไม่นานเสียงไซเรนของตำรวจก็ดังรอบสี่ทิศทำให้พวกมันไม่สามารถไปไหนได้

            “ไขไข่เธอเป็นอะไรไม” เหวินอี้เบรกรถแล้วถามด้วยความเป็นห่วง

            “ฉันไม่เป็นอะไร...แต่แขนนาย” เลือดสีแดงยังคงไหลไม่หยุดทำให้ฉันนึกเป็นห่วงเขายิ่งกว่า

            “เราไปโรงพยาบาลกันเถอะ” เขาเอ่ยชวนเหมือนว่าเราจะไปเที่ยวอย่างนั้น

 

           

และคนที่คิดแผนการกำลังนั่งรอข่าวจากลูกน้องอย่างกะวนกระวาย และเพียงไม่นานเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

            “เป็นไง” เสียงที่ติดจะสั่นๆนั้นถามขึ้น

            “ว่าไงนะ!!!” ไม่รู้ว่าปลายสายตอบมายังไงแต่ก็ทำให้คนที่ฟังอยู่ถึงกลับทำอะไรไม่ถูก

            “ไม่ ฉันไม่เลิก แกต้องทำให้สำเร็จแล้วฉันถึงจะให้เงิน” เขาไม่สนอะไรทั้งนั้นแล้วว่างสายทันที

            “ไขไข่ ฉันไม่ได้ก็ไม่มีไอ้หน้าไหนได้เหมือนกัน” เขามองผ่านที่มีผู้หญิงกำลังยืนยิ้มหันมาให้ทางกล้องอย่างร่าเริง

 

ณ โรงพยาบาล

            “นายเป็นยังไงบ้าง” ไขไข่ถามคนป่วยที่ตอนนี้ลืมตาตื่น

            “ก็แค่โดนยิงไม่เป็นอะไรหรอก” เขายังมีหน้ามากวนฉันอีก “ฉันล้อเล่นน่า อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ”

            “นายน่าจะตายๆไปซะ” ขายไข่สะบัดหน้ากอดอกไปอีกทาง

            “ฉันรับกระสุนแทนเธอนะ”

            “ใครขอร้องนายละ”

            “รู้งี้น่าจะให้เธอโดนยิงแทนให้มันรู้แล้วรู้รอด”

            “ไม่คิดมาก่อนว่านายจะเป็นคนใจร้ายอย่างนี้ รู้งี้ฉันไม่โทรหายูมิก็ดี”

            “เธอโทรหายัยนั้นหรอ” คาร์ลที่สนุกกับการแกล้งฉันถึงกับสะดุ้ง

            “ใช่ ฉันโทรหายูมิและอีกไม่กี่ชั่งโมงเธอจะมาหานาย”

            “โอ้ย ใครที่ใจหลายกันแน่” เหวินอี้นอนโอดโอยอย่างน่าสงสาร

            “ฉันล้อเล่นหรอกน่า”

            “นี้เธอ...”

            “ฮ่าๆๆ ก็นายอยากมาแกล้งฉันก่อนทำไมละ แบร่”

            “นายเงียบทำไม”

            “ดีใจที่เห็นเธอยิ้มได้ รู้ไมว่าเธอยิ้มยังดีกว่าทำหน้าบึ้งเสียอีก”

            “นายมาอารมณ์ไหนเนี่ย” ฉันเริ่มมองเขาอย่างระแวง หรือว่าเขาไม่ได้โดนยิงที่แขนแต่เป็นหัว

            “โอ้ย เธอทำบ้าอะไรเนี่ย”

            “ก็จู่ๆนายก็มาพูดดีกับฉันอย่างนี้มันแปลกๆนะ”

ฉันดึงแขน ดึงหัวเขามาสำรวจว่ามีอะไรผิดปกตินอกจากแขนที่ถูกยิง

            “พอแล้ว ชมแค่นี้ทำเป็นเขิน” เหวินอี้ดันตัวให้ฉันออกไปจากตัวเขา

            “ก็มันแปลกจริงๆนี้น่า” ฉันยอมแล้วนั่งเรียบร้อยเหมือนเดิม

           

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

            “มีของฝากมาเยี่ยมคนไข้คะ” คุณพยาบาลแสนสวยเดินเข้ามาพร้อมกับช่อดอกไม้

            “แอ๊ะ! ฉันยังไม่ได้ใครว่าคุณเข้าโรงพยาบาล” และยังไม่ทันได้พบคำตอบว่าตัวเองเลอไปบอกใครคุณพยาบาลแสนสวยก็ทิ้งช่อดอกไม้แล้วคว้าตัวฉัน

            “นั้นเธอจะทำอะไรนะ” เหวินอี้ลุกขึ้นนั่งแต่ก็ขยับได้เท่านั้นเมื่อคุณพยามาร(เปลี่ยนโดยด่วน)ชักปืนมาชี้ทางเหวินอี้

            “ถ้าไม่อยากให้คุณผู้หญิงตายก็ควรอยู่นิ่งๆจะดีกว่านะคะ” คุณพยามารพูดเสียงหวานแล้วบังคับให้ฉันออกเดิน

            “เดี๋ยวก่อน...” เหวินอี้รั้งไว้

            “อะไร!” จากที่เสียงหวานกลายเป็นเสียงหาวทันที “อะไรอีกคะคุณคนไข้” และเมื่อได้สติก็กลับมาเสียงหวานอีกครั้ง

            “เอาตัวฉันไปไม่ได้หรอ” เหวินอี้ทำหน้าเศร้า

            “ดิฉันก็อยากได้ตัวคุณอยู่หรอกนะคะ แต่ว่านายฉันสั่งให้เอาตัวชะนีนางนี้ไป ขอโทษด้วยนะคะ” เหวินอี้และฉันถึงกับหน้าเหวอเมื่อเจ๊แกเปลี่ยนบุคลิกได้น่ากลัวจริงๆ

            “ผมถามอะไรหน่อยได้ไมครับคนสวย” และก่อนที่ฉันจะถูกผลักให้ออกไปทางประตูเสียง

เหวินอี้ก็ดังแทรกมาก่อน

            “อะไรหรอคะ” คุณพยามารหันไปถามด้วยสายตาเปล่งประกายพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ

            “ผมจะเจอคุณได้ที่ไหนหรอครับ” นี้มันเป็นเวลาที่พวกนายจะจีบกันหรือไง

            “คุณชอบฉันหรอคะ” ฉันพยายามมองตาเหวินอี้ว่าเขาต้องการสื่ออะไรให้ฉันเห็นแต่ฉันก็ไม่รู้อะไรสักอย่างเพราะเขามัวแต่ยิ้มหวานให้คุณพยามาร และบังเอิญว่าหูของฉันก็ได้ยินเสียงคนเดิน ฉันรอดแล้ว แต่เสียงเดินนั้นไม่ได้หยุดที่หน้าห้องฉันแต่เลยไปอีก

            “เสียใจด้วยนะ ไม่มีใครช่วยเธอได้หรอก” เหมือนว่าคุณพยามารจะรู้ว่าฉันกำลังหวังอะไรอยู่

            “ไปก่อนนะจ๊ะพ่อหนุ่ม” คุณพยามารทำปากจู๋จูบส่งแล้วสั่งให้ฉันเปิดประตู

            “อย่าคิดที่จะตุ๊กติ๊กกับฉัน เพราะฉันไม่สามารถควบคุมสิ่งนี้ได้หรอกนะ” คุณพยามารเอามือที่ถือปืนจิ้มเข้าที่หลังฉัน “ลงไปทางบันไดหนีไฟ” เธอสั่ง

            “ฉันไม่มีใครและไม่มีเงินหรอกนะ” ฉันบอกเขาไปเพื่อว่าเจ้านายจะสั่งให้เขาจับผิดคนแล้วยอมปล่อยตัวฉัน

            “ฉันไม่ได้ต้องการเงิน” อยากจะร้องไห้ ทำไมฉันเกิดมาถึงได้ซวยอย่างนี้นะ พึ่งผ่านจากกระสุนปืนมาอย่างฉิวเฉียดแล้วนี้ต้องมาโดนจำตัวอีก

            “แล้วเธอต้องการอะไรละ” ฉันพยายามเดินให้ช้าแล้วเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ

            “ฉันไม่ได้ต้องการอะไร เลิกถามแล้วรีบๆเดินได้ไม” เธอพูดเสียงเข้ม

            “แต่ฉันว่า...” ฉันที่จะพูดต่อรองกลับต้องหยุดชะงักเมื่อ

            “ถ้าเธอไม่อยากตายอยู่ตรงนี้ฉันจะสงเคราะห์ให้” ไม่พูดเปล่าแต่เธอเอาปลายกระบอกปืนมาจ่อไว้ที่ขมับ และนั้นก็ทำให้ฉันกลัวความตายเลยทำตามอย่าว่าง่าย และเมื่อเดินออกมาถึงลานจอดรถก็มีรถตู้สีดำวิ่งมาจอด

            “ขึ้นไป” ฉันพยายามขัดขืนเผื่อมีคนมาเห็นแต่ก็ขัดขืนได้ไม่นานก็รู้สึกอะไรหนักๆกระแทกที่หลังทำให้สติของฉันเลือนราง

           

            ซ่า!!!

            “ตื่นได้แล้ว” คุณพยาบาลนั้นเองที่เอาน้ำมาสาด และนั้นทำให้ฉันรู้สึกตัวว่าฉันถูกลักพาตัวจริงๆไม่ได้ฝันไป

            “ที่นี้ที่ไหน”

            “บอกไปเธอก็ไม่รู้หรอก” คุณพยามารตอบแล้วก็เดินไปนั่งเก้าอี้ที่ไม่ห่างจากฉัน และพอสำรวจดูรอบๆก็เห็นเป็นห้อง คล้ายห้องเก็บของหรือห้องใต้ดิน ในห้องมีกล่องไม่กี่ใบที่ไม่รู้ว่าข้างในมีอะไรอยู่ แต่ดูแล้วรู้สึกขนลุกยังไงก็ไม่รู้

            “มองอะไร” คุณพยามารถามพรางแทะเมล็ดทานตะวันอยู่

            “ป่าว” ฉันตอบพรางขยับข้อมือที่มัดติดกับเสา

            “หน้าตาเธอก็บ้านๆ แต่ทำไมนายถึงต้องการเธอจะเป็นจะตายนะ” คุณพยามารเดินเข้ามานั่งจ้องหน้าฉัน

            “นั้นสินะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน เธอช่วยไปถามให้ฉันหน่อยสิ”

            “นี้ ยัยบ้า โดนมัดอย่างนี้แล้วไม่เจียมตัวอยากโดนตบหรือยังไง” คุณพยามารแผดเสียงที่ดัดให้แหลมปี๊ดแล้วขว้างเปลือกเมล็ดทานตะวันใส่หน้าฉัน

            “นั้นเธอจะทำอะไรนะ” เสียงเข้มดังขึ้นจากหน้าประตูพร้อมแสงที่สาดเข้ามา ทำให้ฉันมองเห็นไม่ชัดว่าเขาเป็นใครแต่เสียงนั้นฉันจำได้แม่น ถึงแม้ว่ามันจะดูแหบๆไปสักนิด แต่เขาจะมาอยู่ที่นี้ได้ยังไงกัน

            “นาย ฉันแค่จะสั่งสอนหล่อนที่มากล้าว่านายนะคะ” คุณพยามารรีบกระดี๊กระด๊าเข้าไปออเซาะนายแต่ไม่ทันได้กอดก็ถูกคนเป็นนายถีบให้ที่กลางอก

            “อย่าคิดที่จะทำให้คนรักของฉันต้องเจ็บตัว ฉันบอกกี่ครั้งแล้ว” หมอนั้นตวาดใส่จนทำให้เธอถึงกับสั่นด้วยความกลัว

            เขาน่ากลัวขนาดที่ทำให้ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าถึงกับก้มหัวให้ขนาดนั้นเลยหรอ เขาเป็นใครกัน

            “ไขไข่ไม่เป็นอะไรใช่ไม” เขาเริ่มเดินเข้ามาใกล้ๆฉันทีละก้าวๆ

            “นาย...” ฉันถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นหน้าผู้ชายตรงหน้า เขาใช่คนเดียวกับคนที่ฉันรู้จักใช่ไม

            “เป็นอะไร ยัยนั้นทำอะไรเธอ” เขาเอามือมาลูบหน้าฉันอย่างอ่อนโยนแต่ในเวลานี้ฉันกลับรู้สึกขยะแขยงสัมผัสนี้ที่สุด

            “นายออกไปให้พ้นจากตัวฉันนะ” ฉันกรี๊ดร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

            “เธอเป็นอะไรไป” เขามีท่าทีตกใจที่เห็นปฏิกิริยาของคนที่เขารัก

            “นายต่างหากที่เป็นอะไรไป ทำไมนาย...”

            “หึ เพราะอย่างนี้นี่เอง” เขาหัวเราะออกมาแล้วลุกขึ้นมองฉันด้วยสายตาที่แตกต่างจากเดิม สายตาที่เขาเคยมองฉันแล้วครั้งหนึ่งตอนที่อยู่โรงอาหาร

            “ตอนนี้ฉันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว อาเฉินคนนี้เปลี่ยนไปก็เพราะเธอ เธอทำให้ฉันต้องเปลี่ยนไป” อาเฉินลงมาขยุ้มคอเสื้อฉันและตวาดใส่หน้าอย่างห้ามอารมณ์ไม่อยู่ ตอนนี้อาเฉินไม่ใช่ผู้ชายติ๊งต๊องเหมือนเมื่อก่อนที่ฉันรู้จัก แต่ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ชายเหี้ยมโหดที่ใครกล้าขัดคำสั่งเขาเป็นต้องตายทุกคน

            “นายทำบ้าอะไรนะ ฉันเจ็บนะ” ฉันพูดเสียงสั่นๆแต่ก็ต้องกลั้นใจพูดตะคอกกลับไปให้เขารู้สึกตัว “นายรักฉันแต่นายทำแบบนี้นะหรอ” น้ำตาเริ่มไหลด้วยความกลัวเพราะแววตาของเขานั้นแข็งทื่อเหมือนไม่รู้สึกตัวว่าเขาทำอะไรลงไป

            “ก็เพราะเธอ...ทำให้ฉันเป็นแบบนี้” อาเฉินพูดเสียงลอดไรฟันแล้วคว้าหน้าฉันเข้าไปจูบ

            “ปล่อย...นะ” ฉันพยายามหลบริมฝีปากหนาที่พยายามครอบครองริมฝีปากบาง

            “หึ ทำเป็นสะดีดสะดิ้ง ที่ไอ้หมอนั้นเธอยังยอมให้มันจูบเลย” อาเฉินผละออกมาแล้วขย้ำผมของฉันและดึงให้ฉันเงยหน้ารับจูบของเขาได้ถนัดยิ่งขึ้น

            “โอ้ยย เธออยากตายหรือไง” อาเฉินผละออกเมื่อได้รับความเจ็บจากริมฝีปากที่ถูกฉันกัด

            “ถุย ฉันยอมตายดีกว่าต้องมาถูกนายทำปู้ยี้ปู้ยำแบบนี้” ฉันถุยเลือดที่ยังคงติดปากแล้วต่อว่าเขา

            “หน็อย ยังจะตายแล้วยังมาทำปากดีอีก” อาเฉินง้างมือเตรียมจะตบหน้าฉันแต่ก็ต้องถูกห้ามจากคุณพยามารซะก่อน

            “พอเถอะคะนาย เดี๋ยวเธอก็ตายกันพอดี”

            “เธอยุ่งอะไรด้วย ออกไปรอฉันข้างนอก ไป๊”

            “อาเฉิน อย่าทำอะไรฉันเลยนะ” ฉันเอ่ยออกมาด้วยเสียงเบาราวกระซิบเงยหน้ามองเขาพร้อมสายน้ำที่ไหลมาเป็นสายอย่างน่าสงสาร

            “...” อาเฉินมองหน้าฉันอึ้งๆและเหมือนรู้สึกตัว รีบก้มตัวเอามือมาเช็ดน้ำตาอย่างนุ่มนวล

            “ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจ” เขาคว้าตัวฉันเข้าไปกอดแล้วฉันสัมผัสถึงร่างกายเขาที่สั่นๆและไม่นานที่ไหล่ของฉันก็รู้สึกถึงความเปียก นี้เขาร้องไห้อย่างนั้นหรอ

 

 

เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่พ้นหูของคาร์ล ที่สั่งให้ลูกน้องติดตามหญิงสาวไปทุกที่ทุกแห่ง และนั้นทำให้เขาถึงกับควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ทำให้การประชุมที่จะมีในไม่กี่นาทีนี้ต้องหยุดไปก่อน

            “ใคร” คาร์ลถามสั้นๆ

            “คิดว่าน่าจะเกี่ยวกับ...”

            “ฉันไม่ต้องการสันนิฐานฉันต้องการรู้ว่าใคร!” คาร์ลคำรามออกมาอย่างพยายามควบคุมอารมณ์

            “แล้วเธอปลอดภัยไม” คาร์ลถามในขณะที่ใจก็กลัวว่าคนที่เขารักจะได้รับบาดเจ็บ

            “เธอปลอดภัยดีครับ แต่คุณเหวินอี้ได้รับบาดเจ็บที่แขน...” และยังไม่ทันที่ลูกน้องรายงานก็ถูกขัด

            “ฉันไม่ต้องการรู้ว่าใครเป็นอะไร ออกไปได้แล้ว” คาร์ลมองหน้าลูกน้องตาขวางแล้วไล่ให้ออกไปจากห้อง พอลูกน้องทำความเคารพแล้วเดินออกไปคาร์ลก็มองไปที่หน้าปกนิตยสารเล่มดังที่มีหญิงสาวแสนสวยยืนยิ้มหวานอยู่

            “คิดว่าฉันไม่เอาเรื่องแล้วเธอจะทำอะไรก็ได้อย่างงั้นหรอ”

            “ตามคุณเดลล์มาด้วย” คาร์ลสั่งเลขาหน้าห้องอย่างใจเย็นแล้วพยายามคิดแผนการที่จะทำให้คนที่มาแหยมเรื่องของเขาหรือคนที่เขารัก มันจะต้องไม่ตายดี

แต่แล้วหญิงสาวที่อยู่หน้าปกนิตยสารตอนนี้ได้เดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเขาโยข้างหลังมีเลขาที่ทำหน้าเศร้ายืนก้มหัวอยู่

            “คาร์ลคะวันนี้เราทานอะไรดีคะ”

            “ออกไปก่อน” คาร์ลไล่เลขาให้ออกไปแล้วมองหญิงตรงหน้าด้วยรอยยิ้มหวาน

            “คุณอยากทานอะไรละครับ” คาร์ลเดินเข้าไปกอดเอวเธอแล้วพาเธอมานั่ง

            “แล้วแต่คุณดีกว่า คุณตามใจฉันจนฉันชักไม่แน่ใจแล้วละคะ”

            “ไม่แน่ใจยังไงฮื่อ บอกผมหน่อย” คาร์ลก้มลงจูบไปที่ขมับของคุณเพ้อ

            “ก็เมื่อก่อนคุณไม่เคยสนใจฉันเลย แต่มาตอนนี้คุณทำกับฉันราวกับฉันเป็นนางฟ้า คุณดูแลฉันจนฉันไม่อยากตื่นจากฝันนี้” คุณเพ้ยมองหน้าคาร์ลด้วยสายตาเคลิ้มๆรอรับจุมพิตที่กำลังจะประทับบนเรียวปากอวบอิ่มนั้น

            “คุณเปรียบเหมือนนางฟ้าของผม” เขาพูดเพียงเท่านั้นก็เล้าโลมด้วยจูบที่หนักหน่วงทำให้ผู้หญิงตรงหน้าถึงกับตั้งรับไม่ทัน แต่ก็เพียงไม่นานหญิงสาวก็ได้โต้ตอบอย่าไม่แพ้กัน

            “ผมว่าเราไปทานข้าวกันเถอะครับ” และเมื่อความเร้าร้อนที่เขาก่อขึ้นมา ก็ต้องหยุดชะงักด้วยฝีมือเขาอีกเช่นกัน ทำให้หญิงสาวตรงหน้าถึงกับทรมานในสิ่งที่เขาทำ

            “แต่ว่า...”

            “ผมหิวแล้ว” คาร์ลผละตัวเธอแล้วเดินไปเปิดประตู “ไม่ไปหรอครับ ไหนคุณบอกว่าหิว” ทีแรกเขาใช้สายตาเย็นชาเพียงชั่วครูก็ส่งสายตาหวานมาให้ทำให้หญิงสาวต้องระงับอารมณ์ของตัวเองแล้วก้าวเดิน

            “คะ”

เขาก็เกือบพลาดท่าให้กับอารมณ์ที่เขาก่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ แต่เขาก็ต้องตัดใจเมื่อนึกถึงผู้หญิงอีกคนที่เขารอเธออยู่ ที่เขาทำแบบนี้ก็เพื่อให้เธอปลอดภัย จากเหตุการณ์ครั้งที่แล้วทำให้เขาคิดหนัก เขาไม่อยากให้คนที่เขารักต้องเป็นอันตรายแต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะถูกดักทำร้ายอีก แต่โชคช่วยที่

เหวินอี้ได้รับกระสุนแทน หากเป็นเธอเขาคงฆ่าผู้หญิงคนนี้ตายคามือแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นห่วงเธอไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะเป็นยังไงบ้าง คงดูแลไอ้เหวินอี้กันอย่างสบายใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจ ทีกับเขาเธอไม่เห็นจะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้ เขาต้องหาวิธีทำให้เธอสนใจเขาจนบางทีเขาก็เหนื่อย เคยคิดที่จะปล่อยเธอไปแต่ก็ได้แค่คิดเพราะหากเธอจากเขาไปจริงๆ เขาคงไม่ต้องบ้าตายแล้วแน่ๆ

            “คาร์ลคะ คุณคิดอะไรอยู่ อาหารจะเย็นหมดแล้วนะคะ” เสียงหวานของคุณเพ้ยดังขึ้น

            “...” คาร์ลไม่ตอบได้แต่ยิ้มหวานแล้วก้มหน้ากินอาหารตรงหน้า

            “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” คุณเพ้ยถามพรางแตะมือใหญ่

            “ผมไม่เป็นอะไร แล้วคุณละ” คาร์ลย้อนถาม

            “ฉันก็สบายดีนิคะ”

            “ก็ดีแล้ว”

            การที่จู่ๆคาร์ลก็เย็นชาใส่เธอทำให้คุณเพ้ยเริ่มคิดระแวงในตัวชายหนุ่ม เธอพยายามที่จะปัดความคิดนั้นออกไปว่าสิ่งที่เขากระทำต่อเธอนั้นอาจจะมาจากใจไม่ใช่การหลอกลวง แต่ยิ่งนานวัน มันก็ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เขาพยายามทำดีกับเธอแต่ไม่นานเขาก็ทำตัวห่างเหินกับเธอ ช่วงแรกๆเธอยอมรับได้ แต่มาตอนนี้เธอกลับรู้สึกปวดร้าว เริ่มแน่ใจในสิ่งที่เขาทำ เขาไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตาเลย ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนๆ ในสายตาของเขาก็มีเพียงผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่แย่งความรักทั้งหมดไปจากฉัน

            “คุณเพ้ยครับ” คาร์ลทักเมื่อรู้สึกเจ็บบริเวณที่มือของเธอจิ๊กมาที่มือของเขา

            “อ่ะ ฉันขอโทษคะ” คุณเพ้ยชักมือกลับเมื่อรู้สึกตัว แล้วมองความผิดพลาดที่ตัวเองไม่อาจห้ามอามรณ์ของตัวเองได้ ทำให้คนที่เธอรักต้องเจ็บตัว “คุณเจ็บไมคะ” คุณเพ้ยจะยื่นมือเช็ดเลือดที่ออกมาจากแผลแต่คาร์ลก็ชักมือกลับ

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้เอง”

            “ขอโทษจริงๆนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” คุณเพ้ยเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

           

            ครืดๆๆๆ

            “ผมขอตัวรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ” เสียงริงโทนของคาร์ลดังขึ้นทำให้เขาต้องออกไปรับโทรศัพท์

            “ว่าไง”

            “อะไรนะ” เมื่อคาร์ลได้ฟังเสียงจากปลายสายก็ทำให้เขาต้องหันไปมองเธอที่กำลังนั่งทานอาหารอย่างสบายใจ นี้เธอคิดจะทำอะไรอีก

            “หาเธอให้เจอ” คาร์ลกดวางสายแล้วเดินไปที่คุณเพ้ย

            “งานด่วนหรอคะ” คุณเพ้ยหันไปถามแล้วยิ้มหวาน

            “คุณ...ทำอะไรลงไป” คาร์ลมองหน้าเธอด้วยสายตาเย็นชา

            “คุณคาร์ล...ฉัน...” ไม่ทันที่คุณเพ้ยจะเข้าใจคำถามของชายตรงหน้าก็ต้องถูกเขากระชากตัว

            “คุณเอาไขไข่ไปไว้ที่ไหน!!!” คาร์ลตะคอกใส่หน้าโดยไม่เกรงใจชาวบ้านที่นั่งอยู่บริเวณนั้น

            “คุณ...พูดถึงเรื่องอะไร” คุณเพ้ยเสียงสั่นแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว

            “อย่ามาเสแสร้ง บอกมา...บอกมาว่าคุณเอาไขไข่ไปไว้ที่ไหน” คาร์ลกำลังจะคว้ามือบีบคอเธอเพื่อให้เธอบอกความจริงแต่เขาก็ต้องถูกผู้ชายแถวนั้นคว้าตัวมานั่งสงบสติก่อน

            “ปล่อยฉัน นังผู้หญิงเพศยาบอกฉันมานะ” ตอนนี้ใครก็ไม่สามารถหยุดยั้งคาร์ลได้ เขาตะเกียจตะกายจะเข้าไปคว้าเธอเพื่อมาเค้นหาคำตอบ แต่ก็ต้องถูกขัดด้วยผู้ชายสองสามคน

            “หยุดนะ หยุด!!!” คุณเพ้ยกรี๊ดร้องออกมาจนในที่สุดเธอก็เป็นลมไป ทำให้คาร์ลที่กำลังบ้าคลั่งถึงยอมสงบสติลงได้

            “คุณคาร์ลครับ” ลูกน้องของคาร์ลวิ่งกระหืดหระหอบเข้ามาหาผู้เป็นนาย

            “นั้นคุณเพ้ย” ลูกน้องอีกคนหันไปมองคุณเพ้ยที่สลบอยู่ก็ถึงกับอึ้ง

            “จัดการเธอด้วย” คาร์ลเดินออกไปจากร้านโดยที่ไม่สนใจใครเลย ยิ่งผู้หญิงที่เขาพามาด้วยแล้วยิ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด อยากจะฆ่าเธอให้ตายแต่ก็ติดที่ว่าเขายังไม่รู้ว่าไขไข่อยู่ที่ไหน

 

 

            “เธอจะไม่ยอมกินข้าวจริงๆหรอ” พยามารที่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้จักชื่อลงมานั่งป้อนข้าวให้ฉัน แต่ก็ถูกฉันปัดออก

            “ฉันไม่หิว”

            “แต่ฉันจะตายเอานะ” คุณพยามารทำเสียงเศร้า

            “กล่องนั้นอะไรนะ” ฉันเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงกล่องสามสี่ใบที่ว่างอยู่มุมห้อง

            “ก็แค่กล่อง อ้าปากนะ อ้าม” คุณพยามารไม่ตอบแต่เอาช้อนมาจ่อที่ปากฉัน

            “ตอบมาก่อน” ฉันเบี่ยงตัวหลบทำให้คุณพยามารเริ่มอารมณ์ขึ้น

            “เลิกเล่นตัวได้แล้วน่า ฉันอุตส่าห์มานั่งป้อนเธอแล้วนะ”

            “ใครขอร้องเธอละ”

            “นี้!”

            “ถ้าเธอไม่อยากถูกอาเฉินต่อว่าก็บอกฉันมา”

            “เธอต่างหากที่จะต้องตายถ้าไม่กินข้าว” คุณพยามารทำเป็นไม่ได้ยินว่าฉันพูดถึงเรื่องอะไรแล้วก็เอาช้อนที่เต็มไปด้วยข้าว(แต่ไม่มีกับ)มาจ่อที่ปากฉัน “อย่าให้ฉันต้องบังคับเธอนะ”

            “แล้วนี้เธอยังไม่บังคับฉันหรือไงนะ” ไขไข่ได้แต่บ่นในใจ เพราะหากเธออ้าปากโต้ตอบคงได้กินข้าวที่จออยู่ที่ปาก

            “อ้าปากสิ” คุณพยามารคงอดใจไม่ได้ บีบแก้มให้ปากอ้าออก

            “ไม่เอา” ฉันเบี่ยงหน้าหนี เลยทำให้อาหารหล่นลงมา

            เพี้ย!!!

            “ฉันทนไม่ไหวแล้วนะยะ” คุณพยามารตบหน้าเข้าฉาดใหญ่แรงพอที่จะทำให้เลือดออกที่มุมปาก

            “ฉัน...ไม่ได้ตั้งใจ...เธอห้ามบอกเขานะ” คุณพยามารรีบกระวีกระวาดเข้ามาเช็ดเลือดที่มุมปาก “ฉันจะออกไปซื้อยา” แล้วหล่อนก็วิ่งออกไปซื้อยา ปล่อยให้ฉันนั่งอยู่ในห้องคนเดียว

            “ฉันไม่เป็นอะไร” ไม่ทันได้รั้งเธอไว้ เธอก็ออกไปเสียแล้ว

            “ให้ตายสิ ในนี้มันหนาวจะตาย” ยิ่งมองไปที่กล่องนั้นก็ยิ่งรู้สึกขนลุก บรึ๋ย หวังว่านั้นในนั้นจะไม่มีอะไรนะ

และทันได้นั้นเอง สายลมก็ได้พัดผ่านหน้าของไขไข่ ทำให้เธอรู้สึกง่วงนอนแต่ในขณะเดียวกันเธอก็คิดในใจว่าลมมันมาจากไหน ในเมื่อในห้องนี้มีเพียงประตูบานเดียวแล้วมันก็ถูกปิดนานแล้วหลายนาที

            “ช่วยฉันด้วย” เสียงเย็นๆดังขึ้น

            “นั้นใครนะ” ไขไข่มองไปทั่วห้องแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเลยนอกจากเธอ

            “ไม่จริงใช่ไมอ่ะ” แล้วเธอก็คิดไปถึงตอนที่เธอสลบอยู่หน้าบ้านตกเอง

            “ช่วยฉันด้วย” มันมาอีกแล้วแต่เสียงนั้นเริ่มจะเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ

            “เธอเป็นใคร” พอหันไปตามเสียงก็เจอกับผู้หญิงผมยาวนั่งก้มหน้าตัวสั่นนิดๆ

            “เธอหนาวหรอ” ถามไปด้วยความใสซื่อแล้วก็ต้องขนลุกเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับสายน้ำสีแดง

            “ฉันหนาว” เธอเงยหน้าขึ้นมาตอบพร้อมกับปล่อยน้ำตานั้นออกมาอย่างไม่ขาดสาย

            “ฮื่อ...ฉันก็หนาว” ขายไข่ร้องออกมาด้วยสี่หน้าแปลกแล้วมองผู้หญิงตรงหน้าที่ลอยเข้ามาใกล้เธอ

            “ช่วยฉันด้วย” มีอีกเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง ทำให้ไขไข่ต้องหันไปมอง

            “แว๊กก พวกเธอเป็นใครกัน ไม่เอานะ ฉันยังไม่อยากตาย” ไขไข่กรี๊ดร้องดิ้นไปดิ้นมา พยายามจะให้ตัวเองหลุดจากพันธะนาการ แต่ยิ่งดิ้นเหมือนเชือกก็ยิ่งแน่นและยิ่งทำให้ผีผู้หญิงสองตนลอยเข้ามาใกล้อีก

            “ช่วยฉันด้วย” สองเสียงประสานกันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยเสียงเย็นๆ

            “ฉันช่วยไม่ได้ ฉันเป็นคน” ขายไข่ร้องตะโกนพลางหลับตาปี๊

            “ไขไข่ ไขไข่”  

            “ฉันไม่ได้ชื่อไขไข่ ถอยออกไป” ไขไข่ไม่สนใจเสียงที่ตอนนี้กลายเป็นเสียงเข้มของอาเฉิน เธอดีดดิ้นไม่สนใจอะไรเลย ตาทะมึนของเธอมองเขาอย่างไม่เกรงกลัว

            “เพี้ย!!!” เมื่อได้รับสัมผัสหนักที่แก้มข้างเดียวกับที่คุณพยามารตบ ทำให้ไขไข่ได้สติลืมตาขึ้นมอง แล้วเห็นอาเฉินที่มองเธออย่างโมโห “เธอเป็นบ้าอะไรของเธอ”

            “อาเฉิน...อาเฉินปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันขอร้อง” ไขไข่อ้อนวอนด้วยน้ำตาที่พรั่งพรูไหลออกมา

            “ทำไม อยู่กับฉันแล้วเธอจะตายหรือยังไง”

            “ใช่ นายกำลังจะทำให้ฉันตาย มีผู้หญิง...” แต่ไขไข่ยังไม่ทันได้บอกสิ่งที่เธอเห็น เธอก็เป็นลมล้มทับไปเสียดื้อๆ

            “ไขไข่ๆ” อาเฉินเรียกเท่าไรเธอก็ไม่ยอมตื่น ถึงแม้จะตบจะตีเธอก็ไม่รู้สึกอะไรเลย

            นี้ฉันอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แล้วอาเฉินทำไมถึงทำกับฉันแบบนั้น “เธอต้องช่วยฉัน” เสียงเย็นๆดังขึ้นข้างหูฉัน

            “กรี๊ดด เธอเป็นใคร” วิญญาณผู้หญิงตรงหน้าเข้ามาเกาะแขนฉันที่ตอนนี้ฉันก็ไม่ต่างอะไรไปจากเธอ ใช่แล้วฉันกลายเป็นวิญญาณแต่ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้กลายเป็นแบบนี้

            “เธอต้องช่วยฉัน” วิญญาณสาวอีกตนเข้ามาเกาะแขนอีกข้างที่ยังว่าง

            “เธอสองคน ทำไมหน้าเหมืนกันจัง” ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกมึนๆจากการหันซ้ายหันขวามองวิญญาณสาวสองตนที่หน้าเหมือนกันราวกับเป็นแฝด

            “ช่วยเราด้วย” วิญญาณสาวไม่ยอมตอบคำถามได้แต่ร้องขอความช่วยเหลือ

            “เธอจะให้ฉันช่วยอะไรเล่า ในเมื่อเธอพูดได้อยู่แต่ประโยคเดียวเนี่ย”

            วิญญาณแฝดได้แต่มองหน้ากัน แล้วก็พยักหน้า ทำให้ฉันงงกับอาการของเธอ และสักพักลมหอบใหญ่ก็พัดโหมมาใส่ตัวฉัน

 

            “ที่นี้ที่ไหนนะ” จู่ๆไขไข่ก็มายืนกลางท่ามผู้คนมากมายที่เดินสันจรกันไปมาเต็มท้องถนน

            “อ่ะ” ความเย็นผ่านเข้ามาที่ร่างเมื่อผู้คนทั้งหลายไม่เห็นว่าไขไข่ยืนอยู่ต่างเดินผ่านเธอไปเหมือนกับว่าเธอเป็นอากาศ

            “ตัวเอง เขาอยากได้จัง” เสียงหวานๆของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นเรียกสติไขไข่ให้ไปดูภาพผู้หญิงคนหนึ่งกำลังออดอ้อนผู้ชายข้างกายให้ซื้อของที่ตนอยากได้

            “จะเอาอะไรก็เอา” ถึงแม้ผู้ชายคนนั้นจะไม่ค่อยสนใจผู้หญิงข้างกายของเขาเท่าไรแต่เพื่อให้หมดปัญหาเขาเลยตัดสินใจซื้อให้เธอไป

            “เธอให้ฉันมาดูอะไรเนี่ย” ฉันหันไปถามสองฝาแฝดที่มายืนข้างๆ

            “ผู้ชายคนนั้นฆ่าฉัน” เสียงเย็นเอ่ยอย่างอาฆาตแค้นแต่แววตาของเธอกลับมองเขาด้วยความอ่อนโยน

            “ใช่ ส่วนฉันไม่ได้ทำอะไรให้มัน แต่มันก็มาฆ่าฉัน” คู่แฝดอีกคนมองผู้ชายคนนั้นอย่างแค้นเช่นกัน ฉันมองเห็นไม่ชัดว่าเขาเป็นใครแต่รูปร่างก็คล้ายๆกับคนที่ฉันรู้จัก

            “นั้นมันอาเฉินนิ” อาเฉินหันหน้าไปมองผู้คนที่เดินสวนไปมาด้วยท่าทางหงุดหงิด

            “ใช่ เพราะมัน มันทำพวกฉันต้องตาย” แล้วลมหอบใหญ่ก็วูบมาอีกครั้ง

            “อย่าทำฉัน ฉันไม่ได้ตั้งใจ” สถานที่แห่งใหม่คล้ายกับห้องที่ฉันถูกขังอยู่ เธอกำลังร้องขอด้วยความกลัวที่ถูกคุมคามด้วยผู้ชายตรงหน้า

            “เพราะเธอคนเดียว!!!” แล้วภาพตรงหน้าก็หายไปพร้อมกับการกระทำที่โหดร้ายของเขา

            “เธอเห็นความเลือดเย็นของมันแล้วใช่ไม” สองเสียงประสานกันถามขึ้น

            “ฉันไม่รู้...” ภาพที่พึ่งผ่านมายังติดตาเธออยู่

            “ถ้าเธอไม่อยากตายเหมือนฉัน เธอต้องช่วยฉัน”

            “ช่วยยังไง ในเมื่อฉันเป็นแบบนี้” สภาพฉันตอนนี้ก็ไม่ต่างจากวิญญาณที่ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง

            “เธอขอให้คนช่วยได้” สองเสียงนั้นตอบออกมาพร้อมเพรียงกัน

            “ใครจะช่วย...” แล้วฉันก็นึกถึงเขา แต่เขาคงไม่สนใจฉัน

            “ใช่ เขานั้นแหละช่วยเธอได้ เพราะจิตใจเธอส่งถึงเขา” สองสาวร้องประสานกันอีกครั้งเหมือนมีความหวัง

            “พวกเธอรู้ได้ยังไงว่าฉันคิดถึงใคร”

            “เรื่องนั้นเธอไม่ต้องรู้หรอก แต่ตอนนี้เธอต้องส่งกระแสจิตไปหาเขา”

            “ฉันทำไม่ได้”

            “เธอต้องทำ!!!” ไม่เพียงแค่เสียงที่เย็นยะเยือกแต่ดวงตาที่เป็นสีเลือดและกลิ่นคาวของเลือดคละคลุ้มเต็มหอมนั้นได้บ่งบอกว่าเธอเอาจริง

            “โอเคๆ แล้วฉันต้องทำยังไง” ทำไมฉันต้องทำอะไรประหลาดๆแบบนี้ด้วยนะ

            “บ่นอะไร” รู้อีกว่าฉันบ่น

            “ทำตามที่ฉันบอก”

            “จ้า”

            “ตั้งสติให้แน่วแน่ นึกถึงเขา”

            “ใคร”

            “นี้เธออยากตายใช่ไม”

            “จ้าๆๆ นึกถึงเขา”

            “เขาหล่อดีนะ ฉันไม่น่ารีบตายเลย”

            “อะไร นี้เธอเห็นความคิดฉันหรอ”

            “ก็ใช่นะสิยะ ไม่อย่างนั้นฉันจะกระชากวิญญาณเธอได้หรอ”

            “ถ้างั้นทำไมเธอไม่ทำเองละ ทำไมต้องใช้ฉัน”

            “ถ้าฉันทำได้แล้วฉันจะ...”

            “พอแล้ว ฉันรู้แล้ว” ก่อนที่จะเลยเถิดไปมากกว่านี้ฉันก็เบรกสองสาวที่สลับกันต่อปากต่อคำกับฉัน และฉันก็เริ่มตั้งจิตให้แน่วแน่แล้วนึกไปถึงคาร์ล ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่

 

            คาร์ลตอนนี้จิตใจของเขาว้าวุ่นไปหมดตั้งแต่ลูกน้องของเขารายงานมาว่าไขไข่หายตัวไป จนตอนนี้เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อไม่ได้ข่าวของเธอเลย

            “โธ่เว้ย!”

            “ใจเย็นๆก่อนสิว่ะ” เดลล์ที่ตอนนี้กำลังอ่านรายงานอย่างใจเย็น ยิ่งคาร์ลเห็นก็ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด

            “ถ้าแกยังมานั่งอ่านอยู่แบบนี้แกก็ไปไหนก็ไปเลย”

            “แกเรียกฉันมาเองแล้วทีนี้ยังมาไล่ฉันอีก” เดลล์วางรายงานในมือลงแล้วมองหน้าเขาอย่างเหนื่อยหน่ายใจ

            “แกนอนพักก่อนเถอะ ตอนนี้หน้าตาแกดูไม่ได้เลยวะ” คาร์ลไม่ตอบอะไรได้แต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เดลล์เลยจัดการลากคาร์ลให้ไปนอนในห้อง “แกอยากให้ฉันกล่อมก่อนนอนไม” เดลล์ยังคงกวนประสาทคาร์ลเมื่อไม่เห็นว่าดวงตาคมจะปิดตาลง

            “ไปไหนก็ไปไป๊” คาร์ลคว้าหมอนมาฟาดหน้าเดลล์

            “ชิ ถ้าไม่เห็นว่าแกกำลังมีปัญหาฉันคงไม่ไปขอร้องแด๊ดให้มาช่วยแกหรอก” เดลล์ทำเป็นบ่นแล้วสะบัดตูดเดินออกไปนอกห้องเพื่อให้คาร์ลได้พักผ่อน

 

            “คุณคาร์ล” เสียงผู้หญิงที่เขาคำนึกหาเสมอดังล่องลอยไปในอากาศ

            “ไขไข่ คุณอยู่ไหน” คาร์ลครางถาม ถึงแม้จะรู้ว่าเธอไม่สามรถจะตอบได้ก็ตาม

            “คุณคาร์ล” เสียงนั้นยังไม่จ่างหาย แต่กลับดังชัดขึ้นเรื่อยๆ

            “ไขไข่ นั้นคุณจริงๆหรอ” คาร์ลหันซ้ายหันขวาตามหาต้นตอของเสียง

            “คุณได้ยินฉันไม”

            “ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไม”

            “ใช่คะ ฉันอยากให้คุณช่วย”

            “ช่วย...ตอนนี้คุณอยู่ไหน”

            “ฉันไม่รู้คะ แต่อาเฉินเป็นคนจับตัวฉันไป”

            “อาเฉิน...”

            “ฉันต้องไปแล้ว คุณต้องช่วยฉันนะคะ”

            “ไขไข่ อย่าพึ่งไป!” และเสียงนั้นก็หายไปพร้อมหับคาร์ลที่กระเด้งตัวตื่นขึ้นมา

            “คาร์ลฉันได้ข่าวแล้ว” เดลล์วิ่งเขามายิ้มเครียดๆแล้วมองคาร์ลที่ทำหน้างุนงง

            “อาเฉิน...” คาร์ลครางชื่อนั้นออกมาแล้วมองหน้าเดลล์

            “นายรู้แล้วหรอ” เดลล์ร้องออกมาอย่างประหลาดใจ เพราะเขาพึ่งรู้จากลูกน้องของแด๊ดก่อนที่จะมาหาคาร์ลเสียอีก

            “จัดการมันอย่าให้เหลือแม้แต่ซาก” คาร์ลเลื่อนตัวลงจากเตียงแล้วออกจากห้องไปทันที

 

            “ไขไข่เธอตื่นสิ” เสียงคุณพยามารดังขึ้นข้างกาย พร้อมกับสัมผัสถึงตัวที่เปียก

            “เธอไม่เป็นอะไรใช่ไม” คุณพยามารรีบก้มลงมาหาฉันเมื่อเห็นว่าฉันขยับตัว

            “ฉันยังไม่ตายหรอ” ฉันถามออกไปด้วยเสียงแหบพร่า

            “ก็ใช่นะสิ จู่ๆเธอก็สลบไป เห็นไมเพราะเธอไม่ยอมกินข้าวตามที่ฉันบอก” คุณพยามารเดินไปนั่งที่เก้าอี้แล้วแทะเมล็ดทานตะวันต่อ

            “แล้วอาเฉินละ”

            “ไม่รู้ พอฉันมาถึงก็เห็นเธอสลบ เรียกเท่าไรก็ไม่ตื่น” เธอถึงต้องเอาน้ำมาสาดฉันใช่ไม

            “เธอรู้ไม ว่าฉันเห็นอะไรตอนสลบไป” ฉันเปรยขึ้นมาแต่สายตายังมองไปที่กล่องมุมห้อง

            “เห็นอะไร เทพบุตรหรอ”

            “ไม่ ฉันเห็นผู้หญิงสองคน” และตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ข้างหลังคุณพยามาร

            “ผู้หญิงสองคน...เป็นไงสวยไม แต่ฉันไม่สนหรอกนะ ฉันชอบผู้ชาย” เธอยังไม่เอะใจว่าฉันพูดถึงเรื่องอะไร

            “เธอไม่สวย...แต่เธอน่ารัก...เธอเป็นฝาแฝดที่น่ารักมาก ฉันคิดว่าเธอก็อาจจะรู้จัก” และฉันก็มองไปที่คุณพยามารที่คาบเปลือกเมล็ดทานตะวันค้าง

            “เธอ...เอาเรื่องอะไรมาโกหกฉัน” คุณพยามารถามเสียงสั่นๆแววตาเหลือบไปมองกล่องทีหน้าฉันที

            “ฉันไม่รู้ชื่อเธอสองคนนั้นหรอกนะ แต่เธอบอกว่าจะเอาชีวิตนายด้วย”

            “นายไหน ฉันเป็นผู้หญิงย่ะ” คุณพยามารพูดพรางลุกขึ้น แต่เธอก็ต้องสะดุดขาตัวเอง แล้วล้มลง

            “ตอนนี้พวกเธอมองคุณอยู่นะ” ยิ่งที่ท่าทางกลัวๆนั้นก็ยิ่งสนุก

            “ยัยบ้า เธออยากตายหรือไง ไม่มีผู้หญิงแฝดที่ไหนทั้งนั้น”

            “มีสิ นั้นไง” ฉันมองไปที่กล่องมุมห้องทำให้คุณพยามารมองตาม

            “กรี๊ดดดด” แต่ฉันก็มองเห็นเพียงกล่องแต่ไม่รู้ทำไมคุณพยามารถึงกรี๊ดออกมาแล้วก็สลบไป

            “คริคริ” วิญญาณสองตนหัวเราะกันอย่างสนุกสนานแล้วก็หายตัวไป

ไม่รู้ว่าคาร์ลจะได้ยินเสียงที่ฉันส่งไปให้หรือเปล่า แต่ถึงจะถึงเขาอาจจะไม่สนใจฉันก็ได้ ในเมื่อเขามีผู้หญิงที่เขารักจริงแล้วนี่น่า แล้วเหวินอี้ละ ตอนนี้เขาจะออกจากโรงพยาบาลแล้วหรือยังนะ แล้วอาเยียนละ เธอจะตามหาฉันหรือเปล่า แต่ตอนนี้ก็คงไม่มีใครสงสัยหรอกมั้งว่าฉันได้หายตัวไป ก็นี้มันยังไม่มืดเลยนี่หน่า

“กรี๊ดดด” จู่ๆวิญญาณสองตัวก็โผล่ตรงหน้าฉันทำให้ฉันที่ลืมตาต้องตกใจ

“ตกใจอะไรของเธอย่ะ” สองวิญญาณสาวถึงกับผงะถอยออกไปซะเกือบชิดกล่อง

“ฉันไม่ชินนะ”

            “ทำไมข้างนอกเสียงดังจัง” สองวิญญาณสาวลอยไปอยู่ที่หน้าประตู

            “พวกเธอออกไปดูไม่ได้หรอ” ฉันถามออกไป

            “ไม่ ไอ้บ้านั้นใส่คาถาไม่ให้พวกฉันไปผุดไปเกิด” เธอบอกเสียงเรียบแล้วก็ลอยมาหาฉัน

            “แล้วเธอแก้มัดให้ฉันได้ไม” ฉันก็ถามไปอย่างนั้น ไม่คิดหรอกว่าผีจะทำได้

            “ได้สิ นี้ไง” และไม่ทันไร ฉันก็รู้สึกถึงเชือกที่คลายออก

            “เธอทำได้แล้วทำไมถึงไม่ทำเล่า” ฉันโวยใส่วิญญาณสองตน

            “ก็เธอไม่ได้บอกให้ฉันทำให้นิ” แล้วหล่อก็หายตัวไป

            ฉันไม่สนใจสองวิญาณนั้นแล้วเดินจะไปเปิดประตู มือกำลังยืนไปเตรียมจะจับลูกบิดแต่มันก็กลับเปิดออกมาซะก่อน

            “ไขไข่” คนที่เปิดประตูเป็นคาร์ล เมื่อเขาเห็นฉันเขาก็คว้าตัวฉันเข้าไปกอด เสียงหัวใจของเขาที่เต้นหนักและรัวเร็วทำให้ฉันที่หยุดหายใจด้วยความตกใจที่เห็นเขาอยู่ตรงหน้า ก็ได้แต่เลื่อนมือขึ้นมากอดเขาและกอดแน่นเข้าไปอีก ความอบอุ่นที่หายไปตอนนี้ได้กลับมาแล้ว เขาคือคนที่มอบความอบอุ่นให้แกฉัน ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าฉันขาดเขาไม่ได้ ฉันอาจจะไม่รู้สึกตัวว่าตลอดเวลานั้นหัวใจของฉันนั้นเรียกร้องหาแต่เขา ฉันพยายามที่จะไม่ยอมรับมัน แต่ตอนนี้อ้อมกอดของเขาได้ตอบคำถามนั้นแล้ว ฉันไม่สามารถยื้อมันได้อีก เขาคือคนที่ฉันรัก คาร์ล...ฉันรักคุณคะ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา