ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ (หลังเลิกเรียน)

6.8

เขียนโดย shotaro

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 เวลา 15.35 น.

  32 ตอน
  8 วิจารณ์
  32.08K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 15.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

16) คาบเรียนที่ 9 : ความจริง 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ชมรมวิจัยเรื่องลึกลับ(หลังเลิกเรียน)

คาบเรียนที่ 9 : ความจริง 2 (บทเพื่อนรัก)

          “พี่ยา! พี่ยา!” เสียงของเด็กสาวปลุกให้ไคตื่นจากฝันร้าย เขาค่อยๆ สังเกตเห็นใบหน้าของน้องสาวเต็มใบ เธอสีหน้าดูเป็นห่วงเอาการใหญ่

          “อึม..อืม” เมื่อเด็กหนุ่มตั้งสติได้จึงพยายามใช้แขนและมือยันตัวลุกขึ้นนั่ง

           จีนยืนเท้าสะเอวโค้งตัวลงมาหาเขา “ทำไมถึงมานอนที่โซฟาล่ะคะ? แล้วที่พี่แอนนามานอนบนเตียงผู้ป่วยนี่มันหมายความว่าไง? เฝือกกับสายน้ำเกลือก็ถอดออก ไม่อยากจะหายหรือไงคะ!?” เธอเริ่มถามคำถามทั้งหมดในพริบตาแรกที่ไคได้สติ

          “เอ่อ..พี่...” ไคเริ่มหาคำพูด ท่าทีของเขาดูมีพิรุธ

          “หาวววว!! เอ๋! ยะโฮ น้องจีน” แอนนาลุกขึ้นบิดขี้เกียจ ซึ่งช่วยให้เด็กหนุ่มรอดพ้นจากวิกกฤตได้อย่าง เฉียดฉิว  

          จีนขมวดคิ้วหันไปหาแอนนา “ทำไมไปนอนอยู่บนเตียงได้คะพี่แอนนา!?” เธอเป็นห่วงพี่ชายของเธอจนทำให้น้ำเสียงดูเกรี้ยวกราดเวลาถามแอนนา

          “อ๋อพอดีเมื่อคืนเดินไปห้องเก็บศ...” ทันทีที่แอนนายังอธิบายไม่จบไคก็รีบกระโจนนำมือปิดปากเธอเอาไว้

          เด็กหนุ่มกระซิบที่ข้างหู “ไม่ได้นะ ถ้ายัยนี่รู้ว่าฉันออกไปเดินพล่านตอนกลางคืนเรื่องไม่จบแค่เตียงกับโซฟาแน่” เมื่อเธอได้รับฟังจึงพยักหน้าหงึกๆ

          “กระซิบกันดังจังนะ!” จีนแผ่รังสีมืดมนปกคลุมไปทั่วห้อง ไคเหงื่อตกเอาการใหญ่ “นี่พี่ยาแอบออกไปเดินเตร็ดเตร่ทั้งที่เมื่อคืนเพิ่งเกือบตายมาเนี่ยนะ”

          “พ...พี่หาห้องน้ำ...” ไคยิ้มแหยๆ อย่างกลัวๆ

          “ห้องน้ำ!!” จีนตะคอกใส่พี่ชาย

          “ข..ขอโทษจ้า...” ไคยกมือพนมขอโทษ สั่นไปทั้งร่าง (‘ตายแน่ฉัน’)

          จีนกอดอกจ้องในดวงตาของเขา ความรู้สึกตึงเครียดราวกับตอนโดนพี่อีฟจ้อง “งั้นก็ค่อยยังชั่ว”

          “แฮะๆ” ในที่สุดไคก็หวิดตายมาได้ เขารู้สึกโล่งใจไปไม่น้อยที่น้องสาวยอมเชื่อเขา (‘เลี่ยงประเด็นเรื่องเตียงกับโซฟามาได้แฮะ!’)

          “แล้วสรุปไปนอนบนโซฟาได้ไง แล้วทำไมถึงถอดเฝือกกับสายน้ำเกลือออก ถ้าไม่ตอบหนูจะไปเรียกคุณหมอมานะ”

          “อ่า..เอ่อ..อ่า” เด็กหนุ่มจนปัญญา (‘เอาไงดี ถ้าตอบว่าแผลหายแล้วยัยนี่ไม่เชื่อแน่’)

          “จ้าๆ กริยาแผลหายแล้วน่ะ! ส่วนที่สลับเตียงกันเป็นเพราะเราเผลอไปนอนผิดที่อะนะ” แอนนายกมือทำท่าราวกับเวลาตอบคำถามของคุณครู

          (‘จ...จะบ้าเรอะ!!’) ไคมองไปที่ใบหน้าของจีนอย่างสิ้นหวัง

          “เอ๋ จริงเหรอคะพี่!” ท่าทีของเธอผิดคาด เธอโผเข้ากอดเด็กหนุ่มพลางน้ำตาไหลพราก “โล่งอกไปที”

          เด็กหนุ่มลูบศีรษะน้องสาวอย่างงวยงง (‘น..น้องสาวเราจะเชื่อง่ายเกินไปแล้ว..’) แอนนาชูนิ้วสองนิ้วทำเป็นรูปตัววีบอกถึงชัยชนะสมบูรณ์แบบของเธอ

          หลังจากที่พี่น้องกอดกันอยู่เป็นเวลานาน คุณหมอก็ตรวจดูอาการซึ่งก็ตกใจไปตามๆ กันเพราะทั้งรอยร้าว และรอยฟกช้ำทั้งหมดหายเป็นปกติภายในคืนเดียว มีการเอ็กซเรย์ซ้ำแล้วซ้ำอีกจนคุณหมอเชื่อได้สนิทใจว่าเป็นปกติแล้วจริงๆ จึงส่งเด็กหนุ่มกลับบ้านตามที่เจ้าตัวขอร้อง

          ก่อนเดินทางกลับไคอำลาพี่ยาม และให้สัญญาว่าจะจับเจ้าตัวการมาให้จงได้ แต่ก็น่าเสียดายที่เขาหาฟ้าวิญญาณเด็กหญิงที่ดูจะติดใจเขาแจไม่พบ จึงต้องกลับไปโดยไม่ได้อำลา  

          ไคกลับถึงบ้านโดยรถกระบะตกรุ่นของคุณพ่อ เมื่อเด็กหนุ่มเปิดประตูบ้านเสียงดังปัง! และ เศษกระดาษเงินกระดาษทองรวมถึงริบบิ้นหลากสีก็ลอยกระจาย เด็กหนุ่มสังเกตเห็นป้ายขนาดใหญ่ ตั้งอยู่เหนือผ้าม่าน เขียนถึงงานฉลองการกลับมาของเขา ทั้ง เอิร์ธ เดียร์ และทุกคนในชมรมมาร่วมแสดงความยินดีให้กับเขาในวันที่ออกจากโรงพยาบาล

          เด็กหนุ่มน้ำตาไหลซาบซึ้งตรึงอยู่ในอก อีฟวิ่งเข้ามากอดเขาพลางพึมพำว่า ‘โล่งอกไปที  โล่งอกไปที’ ในขณะเดียวกันโตก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ไคปลอดภัย แต่เขายังคงโทษว่าเป็นความผิดของตนเองเช่นเคย

          เมื่อไคออกจากอ้อมอกของอีฟได้ ก็เดินตรงไปหาโต “พี่โตครับผมมีเรื่องจะคุยด้วย ช่วยมาด้วยกันหน่อย” ไคกระซิบแล้วเดินนำไปข้างนอกบ้าน

          “พี่เองก็มีอะไรจะบอกแกเหมือนกัน” โตเดินตามไคออกไปคุยกันหน้าบ้าน เขาเตรียมพร้อมที่จะสารภาพความผิดของตนให้ไคได้ฟัง

          “เมื่อคืนก่อนผมฝันประหลาดถึงสองครั้งครับ”

          “.....” โตเริ่มใช้ความคิดขณะฟังไคเล่าสิ่งที่พบเจอ “แล้ว..เรื่องเป็นยังไงบ้างล่ะ!?”

          “ครั้ง แรกผมฝันเห็นเจ้าตัวการ มันพยายามจะฆ่าผม แต่ผมตื่นก่อนทั้งที่อีกนิดเดียวก็จะขาดใจตายอยู่แล้วหวุดหวิดไปเลยครับ ที่น่าแปลกคือมันบอกกับผมว่าผมรู้จักมันดีที่สุดด้วยครับ” ไคเริ่มกุมขมับอาการปวดหัวเกิดขึ้นเมื่อเขาพยายามใช้ความคิด

          “นายเนี่ยนะรู้จักมันดีที่สุด! เป็นไปได้ยังไง! นายเพิ่งจะย้ายเข้ามาไม่กี่สัปดาห์เองนะ และเจ้านั่นก็เล่นงานคนทั้งชมรมเลยไม่ใช่เหรอ ทั้งฉัน อีฟ และโจก็โดนด้วยเหมือนกันนี่นา ถ้าเรื่องรู้จักมันควรจะเป็นพวกพี่กับแทงค์มากกว่านะ”

 

          “ทีแรกผมก็สงสัยแบบนั้นครับ แต่ก็เริ่มแน่ใจเมื่อฝันครั้งที่สอง” ไคกำมือแน่นขณะเริ่มเล่าเรื่องเพื่อนสนิทในโรงเรียนเก่า “ก่อน ผมจะย้ายมาเรียนที่นี่ผมเคยศึกษาอยู่โรงเรียนในเมืองมาก่อนครับ ผมมีเพื่อนสนิทอยู่สองคน เป็นผู้ชายหนึ่งคนชื่อวิน กับผู้หญิงอีกคนชื่อชมพู่ เราสามคนสนิทกันมากครับ ในวันที่เปิดเทอม ม.4 ผมถูกชมพู่สารภาพรัก ความจริงผมก็ชอบเธออยู่บ้างแต่ว่า..เพราะพ่อแม่ต้องการย้ายบ้านจึง สั่งให้ผมย้ายมาอยู่โรงเรียนแถบชานเมือง ถ้าผมตอบตกลงกับเธอไปก็มีแต่จะทำให้แพ้ระยะทางกันเสียเปล่า เธอเป็นคนสวย  ร่าเริง นิสัยก็ดี ผมอยากให้เธอได้คู่กับคนดีๆ มากกว่า ผมจึงปฏิเสธไป หลังจากนั้นผมกับเธอก็แทบจะไม่ได้คุยกันอีกเลย ผมเล่าเรื่องนี้ให้วินฟัง หมอนั่นดูฉุนพอตัวอัดหมัดใส่ผมไม่ยั้งเหมือนกัน มิตรภาพของเราสามคนแตกหักเพียงแค่ผมปฏิเสธเธอครั้งเดียว ผมจำต้องย้ายโรงเรียนทั้งที่ทุกอย่างยังคงค้างคา”

            “นี่คือเหตุผลที่ย้ายมาเรียนที่นี่สินะ ว่าแต่...ความฝันล่ะ” โตวกกลับเข้าประเด็นเพราะอารมณ์เศร้าของไคทำให้เขาพูดออกนอกประเด็นหลัก

          “ผมฝันย้อนความถึงเรื่องในวันที่เธอมาสารภาพรักกับผมครับ” น้ำตาของเขาเริ่มไหลพราก “ในฝันของผม...ชมพู่ตายแล้ว...”

          โตเงียบอยู่สักพัก แล้วจึงตบหลังเด็กหนุ่มเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้อย่างสดใส “เอาน่าๆ มันก็แค่ฝันนี่นะอาจจะแค่เพ้อไปก็ได้ ฮ่าฮ่าฮ่า” โตมองดูไคอาการดีขึ้นแล้วจึงพูดต่อ “ถ้า เจ้าตัวการมีความแค้นส่วนตัวกับนายก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับชมรมด้วยเลย นอกจากนั้นเพื่อนเก่านายจะไปรู้จักชมรม หรือก็คือเพื่อนของนายไม่มีทางเป็นคนร้ายได้ยังไงล่ะ”

          “จริงด้วยสินะครับ” ไคใช้มือปาดน้ำตา “นอกจากนั้นผมยังได้เจอกับวิญญาณของพี่ยามด้วยนะครับ” ไคเริ่มเล่าต่อ

          “ฮะ!! แล้วพี่ยามว่ายังไงบ้าง” ท่าทีของโตเริ่มเปลี่ยนไป เขาดูจะใจฟังมาก

          ไคพยักหน้าเล็กน้อย “รู้สึก เหมือนกับว่าในตอนเย็นหลังเลิกเรียน ก่อนที่พี่ยามจะเจอกับพวกพี่โตเมื่อคืนก่อนเกิดเหตุ จะมีเด็กผู้ชายท่าทางแปลกๆ ที่ไม่ใช่นักเรียนของโรงเรียนเรามายืนลับๆ ล่อๆ อยู่หน้ารั้วโรงเรียน แต่พอพี่ยามเดินเข้าไปหาเด็กคนนั้นก็เดินหนีไปซะเฉยๆ น่ะครับ”

          “คนนอกงั้นเหรอ..” โตเริ่มขมวดคิ้ว เขาไม่อยากจะคิดว่าเป็นเพื่อนสนิทของเด็กหนุ่ม

          “ครับ ส่วนตอนที่พี่ยามตายผมคิดว่าน่าจะโดนของเข้านะครับ”

          ทั้งคู่ต่างเงียบกริบเป็นเวลาหลายนาที จนคนในบ้านเริ่มสงสัยว่าทำไมทั้งสองถึงยังไม่กลับเข้ามา อีฟจึงเดินออกมาตาม ภาพที่เธอเห็นคือทั้งคู่กำลังตึงเครียด จึงอดคิดไม่ได้ว่าพี่โตไปพูดถึงเรื่องตนเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้ไคมองเห็น วิญญาณได้

          “เอ่อนี่ทั้งสองคนเขาจะเริ่มกินพิซซ่ากันแล้วนะ ถ้าไม่รีบจะอดนะเออ” อีฟโผล่หัวออกมาพูดนอกประตู

          “เอ๋... พิซซ่า” โตทำท่าทีระริกระรี้วิ่งเข้าบ้านทันทีหลังจากสิ้นประโยคของอีฟ

         

          ไคค่อยๆ เดินตามอย่างช้าๆ แต่เมื่อเข้าไปในตัวบ้านก็ไม่ลืมที่จะทำตัวร่าเริงไม่ให้ผิดสังเกต

          “วันนี้พิซซ่าหน้าอะไรหรือครับ!?”

          “ซีฟู้ดจ้า..” แอนนาโบกมือทั้งสองข้างที่ถือพิซซ่าข้างละชิ้น เรียกให้เด็กหนุ่มมาทานด้วยกัน

           ไคขยี้ตาเขาตาฝาดเห็นแอนนาเป็นชมพู่ “อ...เอ๋ ดีจังน้า!” เขาพยายามไม่คิดอะไรแล้วเดินเข้าไปร่วมกับทุกคน

          เด็กหนุ่มมองดูทุกคนอย่างตื้นตันใจ “ขอบคุณนะครับทุกคน!”

          เสียงฮือฮาดังกันทั้งบ้าน ต่างคนต่างบอกว่า ‘อะไรกันเล่า เรามันเป็นพี่น้องกัน’ บ้างก็บอกว่า ‘ถ้านายเป็นฉันนายก็ทำเหมือนกัน’

          เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะสามารถหาเพื่อนที่ไหนได้อีกนอกจากวินกับชมพู่ แต่ในตอนนี้เขากลับมีเพื่อน แถมยังมีมากมาย มีมากซะจนเขาไม่เคยนึกฝันว่าจะมีได้มากขนาดนี้ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังอยากให้วินและชมพู่มาอยู่ร่วมในงานนี้ด้วยเช่นกัน

          ก็อก! ก็อก! ก็อก! เสียงประตูดังขึ้น พ่อสั่งให้ไคไปเปิดดูว่าใครมา เด็กหนุ่มรับคำสั่งแล้วเดินไปเปิด   ประตู สิ่งที่ทำให้เข้าเซอร์ไพรส์ในคราวนี้จนเขาต้องร้องดังลั่นบ้านก็คือ “แม่!!” จีนและไคต่างโผเข้ากอดอย่างไม่รีรอใดๆ 

          แม่ของเขาและจีน เธอเป็นคนสวยดวงตาสีดำออกน้ำตาลแวววาว ผมสั้นนิสัยดูห้าวหาญ รูปร่างสูงโปร่งและตัวสูงที่สุดในบ้าน เดิมทีวันนี้เธอตั้งใจจะไปเยี่ยมลูกชายที่โรงพยาบาล ทว่าเขากลับหายไวเกินคาดจึงต้องเปลี่ยนกำหนดการมาเป็นฉลองเสียแทน

          “ว่าไงลูก อาการเป็นยังไงบ้าง” ตามความเป็นแม่เธอใช้มือทั้งสองข้างตรวจสอบร่างการของลูกทั้งแขนขา และศีรษะอย่างเป็นห่วง

          “สบายดีครับ จะมีก็แต่อาการปวดหัวนิดๆ หน่อยๆ ครับอีกเดี๋ยวก็หาย” ไคพูดอย่างมีความสุขที่เห็นแม่เป็นห่วงเป็นใยเขากว่าทุกครั้ง

          พ่อแทรกพูดกลางคันระหว่างสองแม่ลูก “ไม่ต้องห่วงหรอกน่าแม่ ลูกของเราเขาเป็นญาติกับบันได  ตกได้เกือบทุกวัน ตกบ่อยมากมาตั้งแต่เด็ก ภูมิคุ้มกันมันแรง ฮ่าฮ่าฮ่า” ดูเหมือนมุขของพ่อจะประสบความสำเร็จทุกคนในบ้านต่างหัวเราะอย่างสนุกสนาน

          ไคมองไปรอบๆ ไม่เห็นแอนนาจึงเดินวนหาอยู่ในบ้าน (‘ยัยนั่นหายไปไหนกันนะ เมื่อตะกี้ยังเห็นอยู่เลย’) เขาเริ่มสังหรณ์ใจคอไม่ดี

          เอิร์ธยังคงเดินตามจีบโซเฟียไม่หยุดหย่อนจนถูกเดียร์ลากไปนั่งเทศน์ยกใหญ่ อีฟเริ่มจะโมโหกับการเล่นพิเรนของโตที่ใส่ซอสพริกลงไปในแก้วโคล่าของเธอ แทงค์นั่งเล่นอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์ โจยืนเก็บกินอาหารต่างๆ จนพุงป่อง ในขณะที่ไคกำลังตามหาแอนนาจนฟ้ามืด และในที่สุดเขาก็พบเธอจนได้

          แอนนากำลังนั่งมองท้องฟ้าอยู่บนหลังคาบ้าน ไคใช้บันไดราวไต่ขึ้นไปหาเธอแล้วนั่งลงข้างๆ เด็กหนุ่มมองดูสายตาอันเหงาหงอยของเด็กสาว เธอยังคงงดงามและน่ารักไม่เปลี่ยนไปจากตอนที่เจอกันครั้งแรกและบนดาดฟ้า

          “ไม่ไปร่วมกับทุกคนเหรอ” ไคยิ้มอย่างชักชวน

          “ไม่ได้หรอก เราอยู่ใกล้กับพวกเขานานๆ ไม่ได้เธอเองก็รู้ไม่ใช่เหรอ”

          คำพูดของเด็กสาวทำให้ไคนึกขึ้นได้ เธอเป็นสาวน้อยจากดวงจันทร์ เธออยู่ไม่ได้หากขาดยาอายุวัฒนะมิเช่นนั้นจะต้องทำการดูดกลืนอายุไขของคนรอบ ข้างเพื่อทดแทน เด็กหนุ่มรู้สึกโมโหตัวเองที่ไม่ทันได้นึกถึงจนเผลอไปพูดให้เธอดูเหงายิ่ง ขึ้นไปอีก

          “วันนี้ฟ้าโปร่งนะ ยังไม่ทันค่ำก็เห็นดวงดาวได้แล้ว” ไคเปลี่ยนประเด็นทันที

          “อื้ม.. ความสัมพันธ์ของท้องฟ้ากับดวงดาว ก็เหมือนกับคนเราเลยเนอะว่ามั้ย” แอนนาเริ่มที่จะชวนคุยอย่างเป็นกันเองเช่นเคย

          “ยังไงเหรอ” เด็กหนุ่มเอียงคอสงสัย

          “ตอนกลาง วันดูๆ ไปแล้วมันก็ทั้งสว่างทั้งปลอดโปร่ง แต่สุดท้ายก็มองไม่เห็นดวงดาวอยู่ดี แต่ทำไมตอนกลางคืนทั้งมืดมิดและหมองหม่นกลับเห็นแสงสว่างสวยงามรำไรอยู่เต็ม ไปหมด มันเหมือนกับมนุษย์เลยนะทั้งๆ ที่คนๆ นี้น่าจะเป็นคนดีเหมือนท้องฟ้าที่สว่างไสวและปลอดโปร่งแต่ก็กลับบดบังความงด งามของดวงดาวเอาไว้หมดเลยทั้งที่ดวงดาวน่าจะสวยงามกว่าท้องฟ้าที่ไม่มีอะไร เลยแท้ๆ แต่คนเราก็เลือกเข้าหาคนที่สว่างไสวดูปลอดโปร่งราวกับกลางวันมากกว่าคนที่ดู มืดมนราวกับกลางคืน ทั้งๆ ที่กลางคืนยังสวยงามกว่าเลยนี่นา...”

          “คือ..จะบอกว่าคนที่ดีๆ นั้นมักจะถูกคนที่ดีกว่าบดบัง เปรียบได้กับความสว่างของกลางวันกับกลางคืนงั้นเหรอ” ไคพยายามจับใจความ

          “อื้มๆ ประมาณนั้นแหละ ทำไมกันน้า..” แอนนาทำท่าสงสัย สายตาจ้องมองพระจันทร์เต็มดวงที่สว่างไสว

          “แต่ถ้าเป็นฉัน! ฉันจะไม่เอาความสัมพันธ์ของท้องฟ้ากับดวงดาวไปเปรียบเทียบแบบนั้นหรอกนะ”   ไคเกาศีรษะจนผมร่วงไปสองสามเส้น

          “ถ้าเป็นกริยาจะเทียบกับอะไรงั้นเหรอ” แอนนาเบนสายตามาหาเด็กหนุ่ม

          “ก็มันเป็นตัวบอกเราอยู่เสมอนี่ไง ไม่ว่าจะแสงของดวงดาว หรือแสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องผ่านพระจันทร์ มันก็เป็นตัวบอกเราอยู่เสมอ” ไคหันหน้าไปสบตากับแอนนาแล้วยิ้มกว้าง “ว่าไม่ว่าจะเวลาไหนแสงสว่างก็จะอยู่กับเราเสมอ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่สดใส หรือยามใดที่หม่นหมอง สุดท้ายแล้วแสงสว่างก็ไม่เคยหายไป เหมือนกับเธอ เหมือนกับฉัน ที่ต่อให้จะมืดมนหรือสดใสก็จะยังเป็นแสงสว่างให้กันและกันยังไงล่ะ เปรียบดังท้องฟ้า....กับดวงดาว”

          น้ำตาของแอนนาเริ่มหลั่งไหล เธอกอดไคอย่างแนบแน่น “เรา เหงา เราเหงามากเลย ทั้งที่ทุกคนได้อยู่ร่วมกันอย่างสนุกสนานราวกับท้องฟ้าที่สดใส แต่เรากลับดูมืดมนอยู่คนเดียว เราเหงามากเลย ทุกคนบดบังความสว่างของฉันจนหมด และสุดท้ายฉันก็จะหายไป หายไปเหมือนกับดวงดาว”

          ไคค่อยๆ ลูบหัวเธออย่างช้าๆ “ไม่ ต้องห่วงนะ ต่อให้ทุกคนที่อยู่ร่วมกันจะสว่างมากจนมองไม่เห็นเธอเลยก็ตามที ต่อให้ผมจะชอบกลางวันมากกว่ากลางคืนเพราะจะไม่ค่อยได้เห็นผี แต่ถ้าเธอจะต้องหายไปแล้วละก็ ผมจะขอยอมเป็นความมืดให้เธอฉายแสงได้เต็มที่เอง ผมจะเป็นท้องฟ้าสีดำไม่สดใสเพื่อให้เธอได้เปล่งประกายเอง” ไคจับหน้าของเด็กสาวเงยขึ้น “ดวงดาวน่ะจะสวยงามไม่ได้หรอกนะ ถ้าไม่มีความมืด”

          ค่ำคืนที่แสนวิเศษที่สุดในชีวิตของเขา ค่ำคืนที่เขาได้มองเห็นความงดงามของดวงดาวอย่างแท้จริง   ค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง....

          “เฮ้ยๆ จะทำอะไรบนหลังคาก็ได้นะ แต่มันจะไม่เปิดเผยกันไปหน่อยเหรอ!?” เสียงของพี่โตตะโกนขึ้นมาจากหน้าบ้าน ทำให้ทั้งคู่ต้องหยุดความหวานแหววลงไปสักพัก

          “อย่าพูดให้เข้าใจผิดสิครับรุ่นพี่! ผมแค่มาตามเธอลองไปกินฉลองด้วยกันต่อเท่านั้นเอง” ไคจับมือของแอนนาแน่นไว้แนบอก ค่อยๆ พาเธอเดินไปยังบันไดราว     

          “เอ้า คู่นั้นเร็วๆ หน่อยทุกคนเขาจะเริ่มเล่นเกมเก้าอี้ดนตรีกันแล้วนะ” โจเร่งทั้งคู่ให้ลงมาไวไว

          อีฟโบกมือเรียก “ไคค่อยๆ ลงมาก็ได้นะเดี๋ยวจะตกลงมาอีก เพิ่งจะหายจากที่ตกบันไดนะ”

          โตตะโกนเสริม “ให้แม่สาวจากดวงจันทร์มาด้วยก็ได้ ถ้านั่งคุยกันเว้นระยะห่างสักหน่อยละก็ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ถือเป็นวันดีซะด้วย”  

          ทุก คนที่อยู่ในบ้านเดินออกมาตามทั้งคู่จนดูเป็นภาพแห่งมิตรภาพที่ทั้งคู่ไม่เคย เห็นมาก่อน ทั้งไคที่เสียเพื่อนสนิทไปถึงสองคน และแอนนาผู้ไม่สามารถเข้าใกล้ใครคนไหนได้ ทั้งสองมองหน้ากันน้ำตาต่างไหลพรากอย่างไม่อายต่อกัน

          “กริยา! เราขอเปลี่ยนคำพูดเรื่องที่ว่าทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเหมือนท้องฟ้าสดใสตอนกลางวันนะ” แอนนาสะอื้นขณะเธอพูด

          ไคก็ไม่ต่างกันน้ำมูกน้ำตาของเขาไหลอย่างหนักกว่าเสียอีก “จะเปลี่ยนเป็นอะไรล่ะ”

          “ทุกๆ คนคือดวงดาว ดวงดาวที่ส่องสว่างพร้อมๆ กัน เป็นดวงดาวท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีที่ไม่มีแสงสว่างที่ไหนมาเทียบความงามได้” แอนนาใช้มือปาดน้ำตาให้ไคในก่อนจะเริ่มลงบันไดราว

          เด็กหนุ่มรอให้หญิงสาวไต่ลงไปก่อน ซึ่งในขณะนั้นเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่สวยงาม ในคืนนี้สำหรับเขานั้น เป็นคืนที่ดวงดาวมีค่ามากกว่าทุกคืน (‘นั่นสินะ ต่อให้เจ้าตัวการอาจจะเป็นเพื่อนของฉันจริงๆ ต่อให้เป็นวินหรือชมพู่ ฉันก็จะไม่ยอมให้อะไรมาบดบังดวงดาวของฉันโดยเด็ดขาด…..’) หลังจากที่ไคคิดเสร็จ       ทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบลงกะทันหัน

          ทุกคนที่กำลังพูดคุยอย่างยินดี แอนนาที่ลงไปจนถึงข้างล่าง พ่อกับแม่ที่กำลังพูดคุยกับจีน ทุกคนหยุดเงียบกริบ มองดูภาพเด็กหนุ่มที่ล้มลงกลิ้งตกจากหลังคา ดัง คลุกๆ !!

          สติของเด็กหนุ่มขาดฉับพลันหลังจากที่อาการปวดหัวกำเริบอย่างหนัก เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายให้ยืนหรือขยับใดๆ ได้เลยแม้แต่น้อย

          “ไอ้บ้าเอ้ย!!” เอิร์ธกระโจนเข้าไปรับตัวของไคได้ทันก่อนถึงพื้น ทุกๆ คนอารมณ์เปลี่ยนไปในทันที 

          “พี่ยา!!!” จีนตะโกนลั่นหมู่บ้าน

          “กริยา!!” แอนนาใจหายวาบ เธอรู้สึกกังวลและกลัวมาก

……………...…………………………………………………………………………………………………………………………………………

          “ที่นี่...ที่ไหน” ภาพเบลอๆ ทำให้เด็กหนุ่มสับสน ไคค่อยๆ ใช้แขนและมือยันตัวขึ้นยืนโซเซ

          เมื่อปรับภาพได้จึงมองเห็นทุกอย่าง ตอนนี้เขายืนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นตึกอาคารสูงหลายชั้น เมื่อลองพิจารณาดูจึงทำให้นึกออกว่าที่นี่คือห้องพยาบาล ที่อยู่ชั้น 5 ของโรงเรียนเก่าตนเอง หน้าต่างเปิดโล่งเขากำลังยืนมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง 

          “เป็นเพราะมึง!” น้ำเสียงฟังดูคุ้นหูกว่าทุกครั้ง เป็นเสียงของคนที่ผลักเขาอย่างแน่นอน

          เด็กหนุ่มพลิกตัวหันกลับไป  “วิน..” น้ำตาของไคไหลพราก ขาเริ่มที่จะยืนไม่ได้ เขาแทบจะล้มเข่าทรุดลงกับพื้น

          “เป็นเพราะมึงไอ้ยา!” วินเดินเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มเรื่อยๆ กลิ่นเหม็นคาวเลือดลอยคลุ้ง ทั้งที่ไม่เลือดใครไหลเลยแม้แต่น้อย

          “ทำไมวิน.. ทำไม!?”

          “มึงยังจะมีหน้ามาถามกูอีกเหรอ!? รู้มั้ยว่าชมพู่น่ะตายไปแล้ว” น้ำเสียงดูเคียดแค้น มือทั้งสองบีบคออย่างแน่นหวังจะฆ่าให้ขาดลมหายใจตายอย่างช้าๆ

          “ช...ชมพู่น่ะเหรอ” ไคพยายามจะแกะมือของวินออก

          “มึง ไม่รู้อะไรเลยงั้นเหรอ อย่ามางี่เง่า ทั้งๆ ที่เธอฆ่าตัวตายเพราะมึงบอกปฏิเสธเธอ นั่นยังไม่เท่าไหร่นอกจากมึงจะเลี่ยงไม่กล้าพูดคุยกับเธอจนความเป็นเพื่อน ไม่เหลืออีกแล้ว มึงก็ย้ายออกโดยไม่มีบอกกล่าวซักคำ”

          “น..นั่นมัน..”  

          “เธอโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ทำให้มึงหนีไป มึงไม่เคยจะอยู่ในเวลาแบบนี้เลยให้ตายสิ”

          “ค..คือฉัน..แอ้ก!” แรงบีบรัดแน่นยิ่งขึ้น

          “ไม่ ใช่แค่ปล่อยให้เธอฆ่าตัวตายเฉย แต่ขนาดเธอตายไปแล้ว งานศพมึงก็ไม่โผล่หัวไปให้ใครเห็นหน้าเลย มึงจำตอนที่มึงเล่าให้กูฟังเรื่องที่ชมพู่บอกรักมึงได้มั้ย!” วินถลึงตาใส่ไค

          ตอนนี้ตาของเด็กหนุ่มเริ่มเป็นสีแดง หน้าเริ่มแดงก่ำเพราะถูกบีบคอ “ก..กู..ขอ..”

          วินกระแทกศีรษะของเด็กหนุ่มกับพื้นห้องอย่างแรง “กูรู้มาก่อนหน้านั้นแล้วว่าเธอชอบมึงมากแค่ไหน กูชอบชมพู่ก็จริง แต่เพราะเป็นมึงกูถึงยอมปล่อยเธอไป แต่มึงก็กลับ!”  

          “นั่นคือสาเหตุที่ซัดหมอนี่ซะเละสินะ!” เสียงของเด็กหนุ่มผมยาวดังขึ้น

          “อ...เอธร” มือของวินค่อยๆ คลายลง ทำให้ไคเริ่มที่จะพูดได้

          “มึงเป็นใคร!” เสียงของวินดูรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

          “ก็ เป็นศัตรูของคนที่แกกำลังบีบคออยู่นั่นไง ฮ่าฮ่าฮ่า แล้วก็เป็นคนที่จะฆ่าหมอนั่นเองกับมือเท่านั้นด้วย ใครก็ห้ามสอเสือใส่เกือกทั้งนั้น”

          “แค่กๆ บ้าเอ้ย! เวลาโดนผู้ชายมารุมแย่งแล้วมันขัดๆ ชิป!” ไคค่อยๆ ใช้มือจับกรอบหน้าต่างยันตัวเองขึ้นยืน “ฟัง ให้ดีนะวิน ที่เราไม่กล้าคุยกับเธออีกเลยหลังจากปฏิเสธไปมันก็จริง ที่นายพูดมามันจริงหมดเลย เราไม่รู้อะไรเลยว่าชมพู่รู้สึกยังไง เรามัวแต่คิดว่าเธอจะหาคนที่ดีกว่าฉันได้ ให้ตายสิ! ทำไมคนที่เธอชอบถึงไม่ใช่นายนะวิน มันบ้าชะมัด! เราไม่กล้าคุยจนแม้แต่จะลาก็ยังไม่กล้า รวมไปถึงนายด้วยเพราะตอนนั้นนายโมโหมากฉันจึง..คิดว่ามิตรภาพของพวกเราจะจบ ลงไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้น แค่กๆ” ไคเริ่มที่จะร้องไห้ “คงโกรธฉันมากสินะ เกลียดมากสินะ ฉันมันไม่รู้อะไรเลยขนาดเพื่อนที่รักที่สุดตายไปแค่คนเดียวก็ยัง...”

          เอธรยิ้มกว้าง “ฮ่า ฮ่า ฮ่า นี่แกแน่ใจว่าแค่คนเดียวหรือกริยา คิดว่าไอ้หมอนี่มันจะมีฤทธิ์ได้ถึงขั้นลากจิตของแกมานี่ได้แบบฉันด้วยหรือไง” เอธรยิ้มพลางส่ายหน้าเพื่องบอกถึงความไม่รู้อะไรเลยของเด็กหนุ่ม       “ไม่มีเด็ก ม.ปลาย ที่ไหนทำได้ขนาดฉันหรอกนะจะบอกให้!”

          “หมายความว่าไงกันวิน!” ไคหันไปถามเพื่อนในทันที

          วินหันมาหาเขาอย่างเคียดแค้น “กูฆ่าตัวตายตามชมพู่ไปด้วยตัวของกูเองไงล่ะ มึงเองก็ต้องมากับพวกกูด้วยกูจะไม่ยอมให้มึงใช้ชีวิตเป็นสุขดีแน่”

          “อ่า...ฉัน ล่ะเบื่อการสนทนาแบบเพื่อนๆ นักแล อุตส่าห์จะมาปราบผีที่จะมาแย่งเหยื่อทั้งที ดูท่าจะเป็นแค่วิญญาณอาฆาตบ้านๆ ไร้รสนิยมดีๆ นี่เอง” เอธรค่อยๆ ร่ายมนต์สะกด

          “อ้าก!! นี่มันอะไรวะเนี่ย” วินดิ้นพล่านไปมา

          “หยุดนะ!” ไคกำหมัดไว้แน่น “อย่าทำอะไร..เพื่อนของฉัน” เด็กหนุ่มจ้องเอธรด้วยสายตาน่ากลัว “บอกให้หยุดไง!!!” หมัดขวาตรงเข้ากลางปากของเอธร ทำให้การร่ายมนต์หยุดกะทันหัน วินหลุดจากมนต์สะกด

          “ทำไม! ทำไมมึงถึง..” วินทำท่าทางเหนื่อยหอบ ร่างกายเริ่มจะสลายไป

          “เพราะ พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันน่ะสิ การที่นายแค้นเราได้ขนาดนี้เป็นเพราะในใจลึกๆ ก็ยังเห็นเราเป็นเพื่อนกันใช่มั้ยล่ะ อีกอย่างชมพู่น่ะที่จริงแล้วฉันชอบที่สุดเลยล่ะ แต่ว่านะ! เพราะว่านายชอบเธอนี่แหละฉันถึงได้....” เด็ก หนุ่มหยุดพูดกะทันหัน ชมพู่ลอยขึ้นมาจากด้านหลังซึ่งเป็นหน้าต่างที่ปิดโล่ง เธอลอยเข้ามาหาไคแล้วกอดเบาๆ หนึ่งทีแล้วตบไหล่เบาๆ อีกครั้ง เธอไม่พูดอะไรมีแต่เพียงรอยยิ้มเท่านั้น

          “ชมพู่...” ไคมองดูเธอเดินไปพยุงวินที่กำลังจะสลายไปให้ยืนขึ้น

          วินทำทีจะเริ่มพูด “ที่ นี่น่ะคือจุดที่ชมพู่กระโดดลงไป..ฉันเข้าฝันนายแล้วพยายามจะบอกให้นายเห็น ฉากที่เธอตาย ความจริงแล้วนั่นน่ะเป็นภาพที่ฉันเห็นต่อหน้าต่อตาเอง ภาพที่เธอ..” ชมพู่ใช้มืออันเลือนรางปิดปากของวินเอาไว้

          เธอเริ่มเอ่ยขึ้น “ขอบคุณนะ เราได้รู้แล้วว่าเธอไม่ได้เกลียดหรือโกรธเรา เราจะได้ไปสบายเสียที...”

          น้ำตา ของไคไหลพรากอย่างไม่หยุด ภาพของเพื่อนสนิททั้งสองที่กำลังจะหายไปนั้นทำให้เขารู้สึกใจหาย ทั้งที่เขายังไม่เคยบอกลาทั้งสองคนเลยแท้ๆ แต่มาคราวนี้ครั้งสุดท้ายเขากลับเป็นฝ่ายถูกบอกลาเสียเอง น้ำตาไหลจนเขาไม่อาจอดกลั้นไว้ได้ เขาวิ่งไปกอดวิญญาณของทั้งสอง

          “ยกโทษให้ฉันด้วยนะที่ทำร้ายนาย” วินพูดอย่างรู้สึกเสียใจ

          “ไม่ ต้องห่วง ทั้งเรื่องที่นายทำร้ายคนในชมรม และที่นายเล่นของใส่พี่ยาม ถึงมันจะไม่น่าให้อภัยเลยก็ตามที เพราะนายคือเพื่อนฉัน นั่นหมายความว่าทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเอง!” ไคยืดอกพูดให้เพื่อนสบายใจทั้งที่ในใจยังคงเจ็บเหลือเกิน

          วินเอียงคอสงสัย “ด..เดี๋ยวนะ ชมรมอะไร!?ยามไหน”

          “นี่นาย! อย่าบอกนะว่า” ไครู้สึกได้ว่าเรื่องราวคงจะไม่จบเพียงแค่นี้เป็นแน่

          วินมองไคอย่างงุนงง “ฉันยังไม่ได้ทำอะไรใครเลยนะนอกจากนายน่ะ” เขาเริ่มอธิบายตามความเป็นจริง

          (‘ตัวการไม่ใช่วินกับชมพู่’) ไคเริ่มรู้สึกเบาอกผสมกับใจหายที่ไม่รู้ถึงตัวจริงของต้นเหตุ

          “ถ้างั้นฉันไปล่ะ” วินและชมพู่หายไปพร้อมกัน ทั้งสามอำลากันด้วยรอยยิ้ม แสงละอองสีทองลอยคลุ้งหายไปกับกลิ่นหอมหวนชวนคิดถึงเรื่องราวสมัยก่อน

          ภาพที่ทั้งสามได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานความรักความผูกพันแบบเพื่อนของทั้งสามจะไม่มีอีกต่อไป แล้วนอกจากภายในใจของเขา วันเวลาที่ได้ทานอาหารในพักกลางวันร่วมกัน พูดคุยเรื่อยเปื่อย การทะเลาะกันตามประสาเพื่อน ทุกๆ อย่างกำลังลอยหายไปกับละอองแสงสีทองนี้อย่างช้าๆ

          ไคได้แต่กัดริมฝีปากโบกมืออำลาเท่านั้น “ลาก่อนนะ แล้วพบกันอีก….”

         

          “หาววว อะไรกันจบแล้วเหรอ” เอธรยืนหาวพิงประตูห้องพยาบาลทำท่าทีกวนประสาทเช่นเคย “น่า เบื่อชะมัด อุตส่าห์จะจับมาเป็นบริวารซะหน่อยดันทำให้พลาดไปเป็นสลายวิญญาณซะได้ แต่เอาเถอะยังไงแกก็ติดหนี้ฉันแล้วนะกริยา เพราะถ้าฉันไม่ช่วยไว้นายตายแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า แล้วก็จะบอกข่าวดีให้ว่า อายุขัยของฉันน่ะเริ่มที่จะกลับมาแล้วนะ เตรียมตัวรับมือกับศึกใหญ่ได้เลย”

          “ทางนี้ก็อยากจะบอกเหมือนกันแหละว่า ต่อให้แกเก่งแค่ไหนยังไง สุดท้ายก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่ดี ฉันน่ะไม่แพ้นายหรอก” รอยยิ้มของไคครั้งนี้ดูกว้างกว่าที่เคยมีมาเสียอีก

 

..............................................................................................................................................................................

 

 

          “พี่ยา! พี่ยา” เสียงของจีนดังก้องอยู่ในหัวเด็กหนุ่ม

          ตามมาด้วยเสียงของแอนนา “กริยา!”

          “อืม..........” เด็กหนุ่มค่อยๆ ปรับสายตา ตอนนี้นอนอยู่ในบ้าน บนโซฟาหน้าทีวี ทุกคนกำลังมุงดูเขาอยู่ พ่อกับแม่ดูเป็นห่วงมาก

          “พี่ยาได้สติแล้วค่ะ” จีนตะโกนลั่น ทุกคนรู้สึกโล่งใจ

          เด็กหนุ่มค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบตัวของเขา “หน้ามืดน่ะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

 

 

 

                                                  จบตอน

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา